ความสุขที่ถูกมองข้าม
อ่าน: 6413คุณเป็นคนหนึ่งหรือไม่ที่เชื่อว่า ยิ่งมีเงินทองมากเท่าไร ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น ความเชื่อดังกล่าวดูเผิน ๆ ก็น่าจะถูกต้องโดยไม่ต้องเสียเวลาพิสูจน์ แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ประเทศไทยน่าจะมีคนป่วยด้วยโรคจิตน้อยลง มิใช่เพิ่มมากขึ้น ทั้ง ๆ ที่รายได้ของคนไทยสูงขึ้นทุกปี ในทำนองเดียวกันผู้จัดการก็น่าจะมีความสุขมากกว่าพนักงานระดับล่าง ๆ เนื่องจากมีเงินเดือนมากกว่า แต่ความจริงก็ไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป
ไม่นานมานี้มหาเศรษฐีคนหนึ่งของไทยได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ว่า เขารู้สึกเบื่อหน่ายกับชีวิต เขาพูดถึงตัวเองว่า “ชีวิต(ของผม)เริ่มหมดค่าทางธุรกิจ” ลึกลงไปกว่านั้นเขายังรู้สึกว่าตัวเองไม่มีความหมาย เขาเคยพูดว่า “ผมจะมีความหมายอะไร ก็เป็นแค่….มหาเศรษฐีหมื่นล้านคนหนึ่ง” เมื่อเงินหมื่นล้านไม่ทำให้มีความสุข เขาจึงอยู่เฉยไม่ได้ ในที่สุดวิ่งเต้นจนได้เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เศรษฐีหมื่นล้านคนอื่น ๆ ยังคงมุ่งหน้าหาเงินต่อไป ด้วยความหวังว่าถ้าเป็นเศรษฐีแสนล้านจะมีความสุขมากกว่านี้ คำถามก็คือ เขาจะมีความสุขเพิ่มขึ้นจริงหรือ ?
คำถามข้างต้นคงมีประโยชน์ไม่มากนักสำหรับคนทั่วไป เพราะชาตินี้คงไม่มีวาสนาแม้แต่จะเป็นเศรษฐีร้อยล้านด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยก็คงตอบคำถามที่อยู่ในใจของคนจำนวนไม่น้อยได้บ้างว่า ทำไมอัครมหาเศรษฐีทั้งหลาย รวมทั้งบิล เกตส์ จึงไม่หยุดหาเงินเสียที ทั้ง ๆ ที่มีสมบัติมหาศาล ขนาดนั่งกินนอนกินไป ๗ ชาติก็ยังไม่หมด
แต่ถ้าเราอยากจะค้นพบคำตอบให้มากกว่านี้ ก็น่าจะย้อนถามตัวเองด้วยว่า ทำไมถึงไม่หยุดซื้อแผ่นซีดีเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับหมื่นแผ่น ทำไมถึงไม่หยุดซื้อเสื้อผ้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วเกือบพันตัว ทำไมถึงไม่หยุดซื้อรองเท้าเสียทีทั้ง ๆ ที่มีอยู่แล้วนับร้อยคู่ แผ่นซีดีที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนฟังทั้งชาติก็ยังไม่หมด ในทำนองเดียวกัน เสื้อผ้า หรือรองเท้า ที่มีอยู่มากมายนั้น บางคนก็เอามาใส่ไม่ครบทุกตัวหรือทุกคู่ด้วยซ้ำ มีหลายตัวหลายคู่ที่ซื้อมาโดยไม่ได้ใช้เลย แต่ทำไมเราถึงยังอยากจะได้อีกไม่หยุดหย่อน
ใช่หรือไม่ว่า สิ่งที่เรามีอยู่แล้วในมือนั้นไม่ทำให้เรามีความสุขได้มากกว่าสิ่งที่ได้มาใหม่ มีเสื้อผ้าอยู่แล้วนับร้อยก็ไม่ทำให้จิตใจเบ่งบานได้เท่ากับเสื้อ ๑ ตัวที่ได้มาใหม่ มีซีดีอยู่แล้วนับพันก็ไม่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นได้เท่ากับซีดี ๑ แผ่นที่ได้มาใหม่ ในทำนองเดียวกันมีเงินนับร้อยล้านในธนาคารก็ไม่ทำให้รู้สึกปลาบ ปลื้มใจเท่ากับเมื่อได้มาใหม่อีก ๑ ล้าน
พูดอีกอย่างก็คือ คนเรานั้นมักมีความสุขจากการได้ มากกว่าความสุขจากการมี มีเท่าไรก็ยังอยากจะได้มาใหม่ เพราะเรามักคิดว่าของใหม่จะให้ความสุขแก่เราได้มากกว่าสิ่งที่มีอยู่เดิม
บ่อยครั้งของที่ได้มาใหม่นั้นก็เหมือนกับของเดิมไม่ผิดเพี้ยน แต่เพียงเพราะว่ามันเป็นของใหม่ ก็ทำให้เราดีใจแล้วที่ได้มา จะว่าไปนี่อาจเป็นสัญชาตญาณที่มีอยู่กับสัตว์หลายชนิดไม่เฉพาะแต่มนุษย์เท่านั้น ถ้าโยนน่องไก่ให้หมา หมาก็จะวิ่งไปคาบ แต่ถ้าโยนน่องไก่ชิ้นใหม่ไปให้ มันจะรีบคายของเก่าและคาบชิ้นใหม่แทน ทั้ง ๆ ที่ทั้งสองชิ้นก็มีขนาดเท่ากัน ไม่ว่าหมาตัวไหนก็ตาม ของเก่าที่มีอยู่ในปากไม่น่าสนใจเท่ากับของใหม่ที่ได้มา
ถ้าหากว่าของใหม่ให้ความสุขได้มากกว่าของเก่าจริง ๆ เรื่องก็น่าจะจบลงด้วยดี แต่ปัญหาก็คือของใหม่นั้นไม่นานก็กลายเป็นของเก่า และความสุขที่ได้มานั้นในที่สุดก็จางหายไป ผลก็คือกลับมารู้สึก “เฉย ๆ” เหมือนเดิม และดังนั้นจึงต้องไล่ล่าหาของใหม่มาอีก เพื่อหวังจะให้มีความสุขมากกว่าเดิม แต่แล้วก็วกกลับมาสู่จุดเดิม เป็นเช่นนี้ไม่รู้จบ น่าคิดว่าชีวิตเช่นนี้จะมีความสุขจริงหรือ ?
เพราะไล่ล่าแต่ละครั้งก็ต้องเหนื่อย ไหนจะต้องขวนขวายหาเงินหาทอง ไหนจะต้องแข่งกับผู้อื่นเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ครั้นได้มาแล้วก็ต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ไม่ให้ใครมาแย่งไป แถมยังต้องเปลืองสมองหาเรื่องใช้มันเพื่อให้รู้สึกคุ้มค่า ยิ่งมีมากชิ้นก็ยิ่งต้องเสียเวลาในการเลือกว่าจะใช้อันไหนก่อน ทำนองเดียวกับคนที่มีเงินมาก ๆ ก็ต้องยุ่งยากกับการตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวลอนดอน นิวยอร์ค เวกัส โตเกียว มาเก๊า หรือซิดนีย์ดี
ถ้าเราเพียงแต่รู้จักแสวงหาความสุขจากสิ่งที่มีอยู่แล้ว ชีวิตจะยุ่งยากน้อยลงและโปร่งเบามากขึ้น อันที่จริงความพอใจในสิ่งที่เรามีนั้นไม่ใช่เรื่องยาก แต่ที่เป็นปัญหาก็เพราะเราชอบมองออกไปนอกตัว และเอาสิ่งใหม่มาเทียบกับของที่เรามีอยู่ หาไม่ก็เอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น เมื่อเห็นเขามีของใหม่ ก็อยากมีบ้าง คงไม่มีอะไรที่จะทำให้เราทุกข์ได้บ่อยครั้งเท่ากับการชอบเปรียบ เทียบตัวเองกับคนอื่น การเปรียบเทียบจึงเป็นหนทางลัดไปสู่ความทุกข์ที่ใคร ๆ ก็นิยมใช้กัน
นิสัยชอบเปรียบเทียบกับคนอื่น ทำให้เราไม่เคยมีความพอใจในสิ่งที่ตนมีเสียที แม้จะมีหน้าตาดี ก็ยังรู้สึกว่าตัวเองไม่สวย เพราะไปเปรียบเทียบตัวเองกับดาราหรือพรีเซนเตอร์ในหนังโฆษณา
การมองแบบนี้ทำให้ “ขาดทุน” สองสถาน คือนอกจากจะไม่มีความสุขกับสิ่งที่มีอยู่แล้ว ยังเป็นทุกข์เพราะไม่ได้สิ่งที่อยาก พูดอีกอย่างคือไม่มีความสุขกับปัจจุบัน แถมยังเป็นทุกข์เพราะอนาคตที่พึงปรารถนายังมาไม่ถึง ไม่มีอะไรที่เป็นอุทธาหรณ์สอนใจได้ดีเท่ากับนิทานอีสปเรื่องหมา คาบเนื้อ คงจำได้ว่า มีหมาตัวหนึ่งได้เนื้อชิ้นใหญ่มา ขณะที่กำลังเดินข้ามสะพาน มันมองลงมาที่ลำธาร เห็นเงาของหมาตัวหนึ่ง (ซึ่งก็คือตัวมันเอง) กำลังคาบเนื้อชิ้นใหญ่ เนื้อชิ้นนั้นดูใหญ่กว่าชิ้นที่มันกำลังคาบเสียอีก ด้วยความโลภ (และหลง) มันจึงคายเนื้อที่คาบอยู่ เพื่อจะไปคาบชิ้นเนื้อที่เห็นในน้ำ ผลก็คือเมื่อเนื้อตกน้ำ ชิ้นเนื้อในน้ำก็หายไป มันจึงสูญทั้งเนื้อที่คาบอยู่และเนื้อที่เห็นในน้ำ
บ่อเกิดแห่งความสุขมีอยู่กับเราทุกคนในขณะนี้อยู่ แล้ว เพียงแต่เรามองข้ามไปหรือไม่รู้จักใช้เท่านั้น เมื่อใดที่เรามีความทุกข์ แทนที่จะมองหาสิ่งนอกตัว ลองพิจารณาสิ่งที่เรามีอยู่และเป็นอยู่ ไม่ว่า มิตรภาพ ครอบครัว สุขภาพ ทรัพย์สิน รวมทั้งจิตใจของเรา ล้วนสามารถบันดาลความสุขให้แก่เราได้ทั้งนั้น ขอเพียงแต่เรารู้จักชื่นชม รู้จักมอง และจัดการอย่างถูกต้องเท่านั้น
แทนที่จะแสวงหาแต่ความสุขจากการได้ ลองหันมาแสวงหาความสุขจากการมี หรือจากสิ่งที่มี ขั้นต่อไปคือการแสวงหาความสุขจากการให้ กล่าวคือยิ่งให้ความสุข ก็ยิ่งได้รับความสุข สุขเพราะเห็นน้ำตาของผู้อื่นเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม และสุขเพราะภาคภูมิใจที่ได้ทำความดีและทำให้ชีวิตมีความหมาย จากจุดนั้นแหละก็ไม่ยากที่เราจะค้นพบความสุขจากการไม่มี นั่นคือสุขจากการปล่อยวาง ไม่ยึดถือในสิ่งที่มี และเพราะเหตุนั้น แม้ไม่มีหรือสูญเสียไป ก็ยังเป็นสุขอยู่ได้
เกิดมาทั้งที น่าจะมีโอกาสได้สัมผัสกับความสุขจากการให้ และ การไม่มี เพราะนั่นคือสุขที่สงบเย็นและยั่งยืนอย่างแท้จริง
พระไพศาล วิสาโล
« « Prev : ไม่ทำ ไม่มีผลสำเร็จ
Next : บ้านโนนขวาง จ.บุรีรัมย์ » »
12 ความคิดเห็น
สาธุ สาธุ
สวัสดีครับพี่
ดีมากๆ เลยครับ ได้อ่าน ได้อาหารสมองตั้งแต่เช้าเลยครับ
ผมมีความสุขหลายๆ อย่างตอนนี้
แม้ว่าผมจะอยู่ในพื้นที่และทำงานในที่ที่หลายๆ คนอยากจะออกไปที่อื่น
มีรองเท้าคู่เดียว เสื้อชุดทำงานวันละตัว ห้าชุด กางเกงสามตัว
จักรยานหนึ่งคัน ไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง พักในแฟลตมหาลัยที่จัดไว้ให้
มีคอมพิวเตอร์ไว้ทำงานสองเครื่อง
อยู่ในซีต่ำสุดภายในมหาลัย โดยไม่อยากจะปรับขั้นซีเลย อยากจะสงวนเอาไว้ ผมซีสี่พูดได้อย่างไม่ต้องอายใคร
มีน้อยสุขมาก มีมากสุขน้อย มีน้อยสุขน้อย มีมากสุขมาก แล้วแต่ใครจะฝันหวานครับ
ของเก่าของอีกคน ก็เป็นของใหม่สำหรับคนอีกหลายๆ คนได้ครับ หากคนที่มีของเก่ารู้จักคำว่าให้
ในขณะที่หลายๆ คนมุ่งแสวงหาของใหม่มาเล่น แต่มีอีกหลายๆ คนมุ่งแสวงหาของเก่ามาเล่นเช่นกันครับ แล้วแต่ว่าใครสนใจอะไร
แต่ที่สำคัญและเหมือนกันก็คือ การแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ว่าข้ามี ข้าแน่ ฉันเก่งและแน่ว่าเธอ
ทุกวันนี้เราขาดการบริหารใจ แต่เราหันไปบริหารกฏเกณฑ์กันแทน จนขาดคำว่าใจ มองไม่เห็นใจกันจนใจบอด บอดสนิทวันไหนกู้คืนก็ไม่กลับมาแม้เราจะมีหัวใจแต่ไม่มีใจ จะมีค่าอะไร มีหัวใจแต่ไร้ใจ
เราเน้นความสบาย เรารักความสบาย สบายกันวันนี้เพื่อจะได้ลำบากร่วมกันในวันหน้าครับ
หากเราหาเป้าของชีวิตเราไม่พบ หรือพบสายไป เวลาที่ผ่านมานั้นก็เป็นประสบการณ์ที่ดีได้
แต่หากเราหาเป้าของชีวิตพบเร็วกว่า ประสบการณ์ที่จะเกิดขึ้นนั้น อาจจะส่งผลบางอย่างต่อมวลมนุษย์ได้มากกว่าก็เป็นได้
หากเราให้มากกว่ารับ โลกนี้จะเหลือทรัพยากร โดยเฉพาะน้ำใจคงจะท่วมผิวโลกได้
ขอบพระคุณในน้ำใจทุกๆ หยดนะครับ มีค่าสำหรับการสร้างศักยภาพในตัวผมเสมอครับ
คิดถึงทุกท่านครับ
เม้งครับ
ครับ ท่านคอนฯ
อันนี้เป็นทฤษฎี ว่าด้วยความสมดุลย์ การปรับตัว การแยกตัวออกหาก เป็นไปตามธรรมชาติ แรงกระตุ้นนึกคิด ความต้องการ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง
ถ้าตัดจากอัตตาให้ได้มาก ที่คู่กับสิ่งแวดล้อมที่มุ่งสร้าง “ความกำไร”
มุ่งสู่ความเป็นจริงใน ธรรมชาติ มุ่งสู่ความเป็นธรรมในสังคม
ละทิ้ง มูลค่าเทียม สู่มูลค่าของธรรมชาติสัตว์มนุษย์
ความสุขที่ได้ เป็นความสุขโดยแท้ ที่ยั่งยืน
ขอบคุณครับ ที่ให้โอกาสได้แสดงความคิดเห็น
พี่มารายงานตัวครับ กำลังศึกษารายละเอียดอยู่ครับ หากลงตัวจะได้ลุยกันต่อไปครับ
รูู้้จักให้ ให้ให้เป็น จะเป็นสุข คือเศรษฐี(ความสุข)ตัวจริง ถ้าทั้งชีวิตมัวแต่คิดหาเงินไม่รู้จักพอ แล้วเมื่อไหร่คุณจะเป็นเศรษฐี………
ชอสนับสนุน ลุยเลยค่ะ พี่ๆๆ สุขใจที่ได้ทำให้ผู้อื่น บ้าง ยั่งยืนที่สุด ที่สุดแล้วค่ะ อันยศฐาบรรดาศักดิ์ ไม่สิ้นวาสนา วิ่งมาหาเราเองค่ะ แต่ต้องถามตัวเราเองเราทำเต็มที่หรือยังเสมอๆๆ สติเตือนตนเจ้าค่ะ ขอบคุณค่ะ วันสุข วันสุขสมใจ จ้า
บางคนเป็นเศรษฐี ไม่ว่าจะเป็นมาตั้งแต่เกิดหรือมาเป็นในภายหลัง แต่ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเศรษฐี ยังแสวงหาไม่รู้จักพอ
ในทางกลับกัน ก็มีคนที่เป็นเศรษฐีมาโดยกำเนิด และเข้าใจความเป็นเศรษฐีด้วยนะครับ
มีไม่พอ คือ แม้จะขยันทำงานและอดออมประหยัดอย่างไรก็ยัง มีไม่พอ
พอไม่มี คือ แม้จะมีมากมายอย่างไรก็ยังคงพยายามแสวงหาเรื่อยไป นั่นคือ พอไม่มี
จำมาจากหนังสือของเจ้าประคุณฯ สมเด็จวัดสามพระยา ท่านว่าสองอย่างนี้ ไม่ดีทั้งคู่
เจริญพร
A motto that was given as “ของฝาก” จาก ท่านอาจารย์ไชยา ว้ดป่าบัานตาด จ.อุดรธานี last summer that I keep remembering as a way to remember ท่านอาจารย์ and his teaching “เกิดมาทั้งทีเอาดีให้ได้ จะตายทั้งทีฝากดีเอาไว้”
Life and death is two sides of the same coin - we’d like to think of heads more than tails. Yes, we can cheat with coins and make them two heads, but cheating life and death ?
ขอบคุณมากครับ สำหรับผู้เขียน เพิ่งจะได้อ่าน บทความธรมมะที่ ตรงใจ เข้ากับยุคสมัย ดี
แล้วผมจะใช้สิ่งที่มีอยุ่แล้ว ให้เกิดประโยชนืสูงสุดครับ
[...] ที่มา: พระไพศาล วิสาโล [...]
[...] ลานซักล้าง » ความสุขที่ถูกมองข้าม lanpanya.com/wash/archives/235 – view page – cached โดย Logos เมื่อ 19 กันยายน 2008 เวลา 3:21 ในหมวดหมู่ ประสบการณ์ชีวิต # อ่าน: 842 [...]