เจ้าเป็นไผ ภาคพิสดาร

อ่าน: 5846

สืบเนื่องจากบันทึกคุณคนไทย ทำยังไงจะหายบื้อ เป็นการแจกการบ้าน อีกแล้วครับท่าน

Sanctuary Asia cover page (june 2008)

แม่ถ่ายให้ที่พระตำหนักดอยตุง

เคยเขียนเรื่อง กว่าจะเป็น Conductor กับ Blog-Tag เอาไว้

การเขียนเรื่องเกี่ยวตัวเอง มันค่อนข้างยากที่จะนำเรื่องไม่ดีมาเขียน — ซึ่งผมคิดว่าคบกันไป จะทำให้เห็นทั้งข้อดีและข้อเสียตามความเป็นจริงมากกว่า — ที่ไม่ค่อยนำเรื่องไม่ดีมาเขียนกันนั้น อาจไม่ได้เป็นเพราะต้องการจะปกปิดบิดเบือนหรอกครับ ผมเชื่อว่าทุกคนพยายามจะเป็นคนดี ถ้ายังมีสิ่งไม่ดีอยู่ อาจเป็นเพราะไม่รู้ตัวก็ได้ ซึ่งก็ต้องอาศัยเพื่อนช่วยเตือน แต่ถ้ารู้ตัวแล้วไม่แก้ ก็แก้ไม่ได้ครับ ใครก็ไปแก้เขาไม่ได้อยู่ดีถ้าใจเขาไม่เปิดรับ

อย่างไรก็ตาม เขียนก็เขียนครับ หวังว่ามีบทเรียนให้ทุกย่อหน้า — แต่จะได้หรือไม่ ก็สุดแต่จะพิจารณากันเอง

ครอบครัว

ตอนเด็ก ผมอยู่บ้านคุณปู่ ซึ่งเคยเป็นกรรมการผู้จัดการสถาบันการเงินขนาดใหญ่ของประเทศสองแห่ง หลังจากคุณปู่เกษียณอายุ สถาบันการเงินทั้งสองแห่ง “ไม่อยู่แล้ว”; คุณปู่เป็นคนตรงมาก เมื่อขยายสาขาธนาคารซึ่งไปซื้อที่ดินตามจังหวัดต่างๆ มีผู้ขายนำเงินมาให้ คุณปู่บอกให้ลดค่าที่ดินมาเป็นจำนวนเท่ากันให้กับธนาคาร และปฏิเสธการรับเงิน “สินน้ำใจ” เมื่อใช้นามสกุลพระราชทาน ก็ต้องรักเกียรติ รักศักดิ์ศรีของวงศ์ตระกูล

ผมเคยถามพ่อว่าคุณปู่มีเงินขึ้นมาได้อย่างไร พ่อบอกว่าคุณปู่ซื้อทองเก็บฝังตุ่มไว้ในช่วงสงคราม (ตุ่มอยู่ใต้ดิน เลื่อนได้เพราะแรงระเบิด) พอหลังสงครามทองขึ้นราคา เลยพอมีพอกินไปจนตลอดอายุขัย ลำพังเงินเดือนลูกจ้าง แม้จะมีตำแหน่งใหญ่โต แต่ก็จะไม่พอที่จะส่งลูกหลายคนเรียนต่างประเทศได้

คุณปู่มีคนขับรถอยู่คนหนึ่งซึ่งจงรักภักดีเหลือเกิน คุณปู่ส่งเสียลูกคนขับรถให้ได้เรียนจนสุดกำลังของเด็ก (ซึ่งไม่ใช่เรื่องตามกระแสในยุคนั้น) ส่วนคนขับรถนั้น คุณปู่ระบุในพินัยกรรมว่าให้แบ่งเงินสดจำนวนหนึ่งให้ไปตั้งตัว เดี๋ยวนี้เราเรียกเขาว่า เสี่ยบรรจง มีกิจการเล็กๆ เป็นของตนเองมาสักยี่สิบปีแล้ว แต่เขายังขยันขันแข็งเหมือนเดิม คุณปู่ดูคนไม่ผิดเลย

คุณปู่มีลูก 4 คนอยู่ในรั้วบ้านเดียวกัน ผมมีพี่น้องอายุไล่เรี่ยกัน 9 คน ซึ่งเป็นหลานปู่หลานตา หัวแถวกับหางแถว ห่างกัน 7 ปี จึงเป็นแก๊งค์เด็กขนาดใหญ่ เล่นหัวกันมาตลอด เคยฝันกันแบบเด็กๆ ว่าพอโตขึ้น จะไปปลูกบ้านอยู่ด้วยกัน ปลูกบ้านเป็นตัวโอ O แล้วแบ่งเป็นเก้าช่อง — ถ้าเป็นจริง คงจะโกลาหลน่าดูเลย ถึงแม้จะรู้ไส้กันมาตั้งแต่เด็ก แต่คนเราแตกต่างกัน จะไปอยู่ร่วมกัน ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องปรับตัวเยอะ และต้องใช้ความพยายามมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้

แยกบ้าน กับความเป็นตัวของตัวเอง

ครอบครัวผม อาศัยอยู่ในเรือนหอที่คุณปู่ปลูกให้พ่อกับแม่ จนผมอายุ 17 เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย พ่อก็แยกบ้านออกมาครับ

ปีที่ผมเรียน เริ่มใช้คะแนนเอ็นทรานซ์เลือกภาควิชา ทีแรกผมจะเลือกภาควิชาวิศวกรรมคอมพิวเตอร์ เพราะมีความรู้ที่ศึกษามาเองอยู่พอตัวทีเดียว แต่ก็ไปปรึกษาพ่อ พ่อกลับให้แง่คิดว่าการเรียนปริญญาตรีนั้น น่าจะศึกษารากฐาน เรียนรู้วิธีเรียนรู้ ถ้าจะเจาะลึก ก็เอาไว้เรียนปริญญาโท ปริญญาเอกซิ ฟังแล้วสะอึกเลย แต่ผมก็เชื่อพ่อ เลือกเรียนภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า เมื่อจบแล้ว พบว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง ผมมีความรู้ทางไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ การสื่อสาร โดยไม่ได้ทิ้งด้านคอมพิวเตอร์ซึ่งหาความรู้เองได้ ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก

เป็นคุณหนูมาตลอดชีวิต พอเรียนปีหนึ่งต้องขึ้นรถเมล์ เพื่อนก็สงสัยถามว่าทำไมไม่เอารถมา ก็ตอบไปว่ายังไม่มีใบขับขี่ พ่อไม่ซื้อรถให้ คือในกรุงเทพ ต้องอายุ 18 ปีก่อน จึงจะทำใบขับขี่ได้ เพื่อนก็บอกว่า เฮ้ย ไปทำต่างจังหวัดก็ได้ แต่ผมก็ไม่ทำ ในเมื่อกติกาเป็นอย่างนี้ เราก็ทำไปตามกติกา ไม่เห็นต้องไปซิกแซ็กเลย คงไม่ตายก่อนได้ใบขับขี่หรอก ในชีวิตมีประสบการณ์งูเห่าตัดหน้าหลายครั้ง เค้าเลื้อยไปช้าๆ เราหยุดมองเฉยๆ ก็ไม่มีอะไร แล้วมันก็ผ่านไปครับ

เทอมแรกตั้งใจเรียนมาก ผลสอบออกมา C หมดทุกวิชา เซ็งเป็ดเลย หลังจากนั้นอีกเจ็ดเทอม โดดเรียนเป็นระยะๆ ให้เพื่อนเข้าไปจด ตัวผมนั่งดูเพื่อนคนอื่นๆ เล่นไพ่ (แต่ไม่เล่นเอง ไปมหาวิทยาลัยทุกวัน และไม่ได้ไปเที่ยวนอกมหาวิทยาลัยเลย) ได้เล็คเชอร์ของเพื่อน กับอาจารย์ซีร็อกซ์ช่วยชีวิต ผมเอาไปอ่าน แล้วกลับมาติวเพื่อนๆ เอาตัวรอดมาได้จนจบ โดยผลการเรียนกลับดีขึ้นเรื่อยๆ

เริ่มทำงานเมื่ออายุ 20 วิชาการที่ร่ำเรียนมา ส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ แต่ได้วิธีการเรียนรู้ แบบไม่ต้องรอให้ใครมาจับยัดลงไปในกระโหลกมา ได้เพื่อน ได้ความมั่นใจมา วิชาที่คิดว่าได้ประโยชน์มากที่สุดคือวิชาจิตวิทยาสังคม ซึ่งเป็นวิชาเลือกเสรี (free elective) ไปเรียนมาจากคณะครุศาสตร์

เริ่มทำงาน

เริ่มงานในบริษัทเล็กๆ ของญาติผู้พี่ คือเข้าไปแทรกอยู่ตรงที่เขาขาดพอดี จึงได้รับโอกาสได้ลอง ได้เล่น ได้พิสูจน์ตัวเอง ประเมินสิ่งที่รับรู้มาแห้งๆ ว่าลงมือปฏิบัติแล้วเป็นยังไง บางช่วง เรานึกว่าเราเจ๋งทำงานยากที่ไม่มีใครทำได้ แต่งานไม่เสร็จซะที จะเอาแต่ความสมบูรณ์แบบ วันนี้ได้บทเรียนแล้ว ว่างานที่ไม่เสร็จนั้น คือความล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เสียทั้งทุน เสียเวลา เสียโอกาส

ทำงานที่แรก คิดว่าจะทำเล่นๆ เพื่อรอไปเรียนต่อ แต่พอลงมือทำแล้ว กลับสนุก และรู้ตัวว่ามีค่าต่อบริษัท — การไม่รู้ค่าของตัวเอง เป็นการสูญเปล่าที่ไม่น่าให้อภัย — มีแก๊งค์ลูกหมู (สาวๆ) เป็นสานุศิษย์ เค้าชอบที่ได้ฟังมุมมองแปลกๆ เราชอบที่ได้ประสบการณ์ชีวิต ที่ไม่สามารถหาเรียนได้ในชีวิตของตัวเอง จึงหาวิธีผลัดผ่อนไม่ไปเรียนต่อซักที พ่อก็เพียรถามว่าเมื่อไหร่จะไปเรียนต่อ การเป็นวิศวกรไปอย่างนี้ แม้หน้าที่การงานเติบโตขึ้นไป ก็จะไปตันแค่ chief engineer แต่ศักยภาพนั้น น่าจะไปได้ไกลกว่านั้น พ่อพูดครั้งแรกตอนพ่อเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทมหาชน ในตลาดหลักทรัพย์ ใช้วิธีดื้อเงียบ ครั้งที่สอง พ่อเป็นประธานกรรมการแล้ว ให้รองประธานมาชวน ก็ใช้วิธีลาเรียนปริญญาโทกับสถาบันมีชื่อเสียงในประเทศ (เป็นการร่วมทุนระหว่างมหาวิทยาลัยดังของไทยและเทศ) จนครั้งที่สาม ก็ตัดสินใจลาออก ไม่เช่นนั้นจะเป็นการอกตัญญู บอกบริษัทล่วงหน้าแปดเดือน จึงได้ออกจริง

ไปอยู่บริษัทฝรั่ง ประจำอยู่ในประเทศไทย สร้างวีรกรรมไว้พอสมควร

  • เป็นคนขอนายฝรั่ง เพื่อที่จะเริ่มโปรแกรมการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับสังคมไทย
  • เป็นคนยุแหย่เรื่องการนำอินเทอร์เน็ตเข้ามาในเมืองไทย
  • เป็นคนที่ต่อสู้ให้คอมพิวเตอร์ของบริษัท ใช้ภาษาไทยได้
  • เป็นคนที่ต่อสู้เรื่องมาตรฐานภาษาไทยในประชาคมโลก
  • เป็นคนที่จดทะเบียนรหัสภาษาไทย ทำให้ใช้ภาษาไทยมาตรฐานบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตได้อย่างถูกต้อง

ทำอยู่จนนายบอกว่าไม่รู้จะโปรโมทยังไงแล้ว แต่ถึงเวลาที่ต้องโปรโมท มีทางเลือกอยู่สามทางคือ (1) เปลี่ยนจากสายงานวิศวกรรมมาเป็นสายการจัดการ เพื่อจะได้เติบโตต่อไปในสาขาประเทศไทย (2) ย้ายไปทำงานที่ Asia Region ซึ่งมีตำแหน่งทางวิศวกรรมที่สูงขึ้น (3) ย้ายไปอยู่ศูนย์วิจัยและพัฒนาที่สหรัฐ เอาดีทางนี้ไปเลย; ปรากฏว่าเลือกทางเลือกที่สี่ คือลาออกซะเลย ได้ stock option มาพอสมควร แต่ด้วยความที่ไม่รู้ เลยไม่ได้ exercise ช่างมัน มันผ่านไปตั้งนานแล้ว

กลับมาอยู่บริษัทเดิม เค้าขอให้คัดหางเสือทางเทคโนโลยี คือช่วยเป็นหมอดูทิศทางให้หน่อย เพราะเรื่องทางเทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงเร็วมาก แต่การเตรียมคนต้องใช้เวลายาวนาน ถ้าเตรียมคนผิดทาง จะเป็นการผิดพลาดครั้งใหญ่

อินเทอร์เน็ต

ต่อมามีความจำเป็นบางประการที่จะต้องเปลี่ยนงานอีก มาทำด้านอินเทอร์เน็ตยุคบุกเบิก เงินเดือนลด 50% แต่ก็ทำเพราะรู้ว่าค่าเทอมสี่ปีที่พ่อจ่ายไปรวมห้าพันบาท สำหรับการเรียนปริญญาตรีนั้น มาจากการอุดหนุนด้วยเงินภาษี เมื่อในขณะนั้นไม่เดือดร้อน แล้วมีโอกาสทำอะไรตอบแทนบ้าง ก็ควรทำ ใครจะเห็นหรือไม่เห็น ก็ไม่สำคัญเท่ากับเราได้ทำในสิ่งที่สมควรทำหรือไม่

เรื่องหนักใจคือ ตลอดชีวิตการทำงาน อยู่ในภาคเอกชนมาตลอด ไม่เคยคิดว่าจะเข้ามาอยู่ในระบบราชการ พอบริหารมาได้ปีหนึ่ง กิจการเปลี่ยนรูปเป็นรัฐวิสาหกิจ เลยกลายเป็นกรรมการผู้จัดการรัฐวิสาหกิจเมื่ออายุ 37 แต่โชคดีที่มีมติ ครม.ยกเว้นการใช้กฏระเบียบที่ใช้กำกับรัฐวิสาหกิจโดยทั่วไป บริษัทจึงมีหน่วยงานรัฐถือหุ้น 100% (มีทุนจดทะเบียน แต่เป็นหุ้นลม 100%) บริหารบริษัทแบบเอกชน จนประสบความสำเร็จมาก ผู้ถือหุ้นคืนทุนไปไม่รู้กี่รอบ — การเอากรอบสำเร็จรูปมาครอบ รับประกันได้ว่าจะไม่เหมาะกับผู้ที่อยู่ใต้กรอบเป็นส่วนใหญ่

ต่อมารัฐบาลมีนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ บริษัทเป็นหนูตะเภาตัวแรก สะดวกสุดเพราะไม่มีอำนาจรัฐ ไม่มีสิทธิพิเศษใดๆ และมีทุนจดทะเบียนอยู่แล้ว ไม่ต้องอาศัย พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ; เข้ามาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์วันแรก (หลังเครื่องบินชนตึกสองเดือน) มียอดมูลค่าการซื้อขายหุ้นของบริษัท ประมาณหนึ่งในสามของมูลค่าการซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์ในวันนั้น (มีเหตุการณ์ที่แทบจะซื้อขายหุ้นกันตัวเดียวเท่านั้น ในสมัยราชาเงินทุน) หุ้นบริษัททั้งหมดที่มีอยู่ในตลาด ซื้อขายกันสามรอบกว่า (ซื้อ-แล้ว-ขาย ทุกหุ้น สามรอบในวันนั้น) บ้าสิ้นดี

ประสบการณ์เฉียดตายเปลี่ยนคนได้

ในช่วงที่หลงอยู่กับความสำเร็จที่เกิดขึ้นมากมายนั้น ผมใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับงาน ไม่พักเลย จนในที่สุด ร่างกายก็ไปไม่ไหว เป็นโรคหลอดเลือดสมอง (ตีบ) เนื่องจากความเครียด ประกอบกับการไม่ดูแลตัวเอง มันไปเป็นเอาตอนที่พักร้อนเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี แต่ก็ไม่ทันการณ์แล้ว โชคยังดีที่ฟื้นตัวเร็วมากจนดูไม่ออก กลับไปตีกอล์ฟได้ดีเหมือนเดิม (ตอนนี้เลิกตีมาสามปีแล้ว)

ความเจ็บป่วยครั้งนั้น ทำให้เห็นว่าสิ่งที่คิดว่ามีนั้น ไม่มี สิ่งที่คิดว่าเป็นของเรา ไม่เห็นช่วยอะไรได้เลย หน้าที่ความรับผิดชอบก็สำคัญ แต่ไม่สำคัญไปกว่าชีวิต หากไม่มีชีวิตอยู่ หรือกลายเป็นมนุษย์ผักไป จะทำประโยชน์อะไรได้ ชีวิตจะมีค่าอะไร เริ่มเข้าใจในโลกธรรมมากขึ้น รู้ซึ้งถึงคำว่า พ่อ แม่ และครอบครัว (โง่มาสี่สิบปี) ออกจากโรงพยาบาลมา กินข้าวกับพ่อแม่มื้อแรก ผมนั่งร้องไห้เพราะลืมวิธีจับส้อม เชื่อไหมครับ กะอีแค่ตักอาหารเข้าปากยังทำไม่ได้ จะไปดูแลพ่อแม่ได้อย่างไร

การดำเนินชีวิตเปลี่ยนไป เริ่มดูแลตัวเองบ้าง ทั้งอาหารการกิน การพักผ่อน จังหวะ และที่สำคัญคือเห็นพนักงานเป็นเพื่อน เป็นคน ไม่ใช่เครื่องจักรที่จะเร่งเอาให้ได้ดังใจ ความสำเร็จทั้งหมด ไม่ได้มาจากเราคนเดียว แต่มาจากทุกคนในองค์กร ช่วยกันสร้าง มากบ้าง น้อยบ้าง อย่าคิดเอาตื้นๆ ว่าจะเนรมิตเอาได้ตามใจปรารถนา ตั้งทิศทางให้ชัด แล้วช่วยพากันเดินไปในทิศทางนั้น มีปัญหาอะไร ก็ช่วยกันแก้ไข แต่ต้องมีการสื่อสารที่ดี และเข้าใจในบริบททั้งหมด อย่าตัดสินด้วยอคติ ความรู้สึก หรือตัดสินในเวลาที่ไม่พร้อม กระจายงานออกไป หัดเชื่อใจคนอื่นบ้าง อาจจะมีไม่ถูกใจไม่เหมือนกับทำเอง แต่ขืนจะทำเองทั้งหมด ควรจะไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ไม่ต้องมาอยู่ในสังคมหรอกครับ

มาวันนี้ แม้ดูภายนอกจะไม่ผิดปกติ แต่ผมรู้ตัวดีว่าขี้ลืมมาก ต้องหาเครื่องมือช่วย (ไม่ได้บ้าเทคโนโลยี) กล้ามเนื้อใหญ่ไม่มีปัญหา ตีกอล์ฟได้ เดิน-วิ่งได้ ออกกำลังกายได้ หมอเคยบอกว่าชาตินี้อาจจะพิมพ์ดีดอีกไม่ได้ แต่ผมดื้อ ฝึกจนกลับมาดีพอสมควร แม้จะต้องพยายามมากกว่าเก่าก็ตาม ถ้า chat กัน จะเห็นผมสะกดผิดมาก สมองกับกล้ามเนื้อไม่สามัคคีกัน

เคล็ดวิชา

  1. อย่าติดกรอบ พอกรอบแล้วจะแตกหักง่าย หลีกเลี่ยงความหมายของคำว่า “ต้อง” ยกเว้นใช้ในสำนวน; คำว่า “ต้อง” นั้น ใช้กับใครก็ไม่ได้ผลเท่ากับใช้กับตัวเอง
  2. อย่าเชื่อตำราจนกว่าจะได้พิจารณาแล้วว่าเหมาะ คนเขียนตำรา ไม่ได้เข้าใจบริบทและข้อจำกัดของปัญหาที่เรากำลังเผชิญอยู่ซะหน่อย เค้าไม่รู้จักเรา ทำไมจึงไปเชื่อเป็นตุเป็นตะ ถ้าเชื่อไปทั้งดุ้น อาจจะพอๆ กับเชื่อหมอดู (มีโอกาสถูกเหมือนกัน)
  3. อย่าตัดสินใจโดยความไม่รู้ เมื่อไม่รู้ ก็เรียนรู้ซะ แค่รับรู้ หรือคิดไปเองนั้น ไม่พอที่จะทำให้เป็นการตัดสินใจที่ดี
  4. ว่าแต่ว่าวันนี้รู้หรือเปล่า ว่าไม่รู้อะไร แล้วอะไรที่คิดว่ารู้ แต่ที่จริงไม่รู้ — มีคนเป็นจำนวนมากที่ไม่กล้าที่จะเผชิญกับความเป็นจริง อย่าไปหงุดหงิดกับคนเหล่านี้ เค้าเป็นอย่างนั้นเอง
  5. หัดอ่านคนตามความเป็นจริง ชีวิตจะหงุดหงิดน้อยลง
  6. ความเป็นจริง บางทีก็โหดร้าย; แต่ถึงโหดร้าย ก็ยังเป็นจริงอยู่ดี
  7. ความรู้ที่ไม่สามารถนำสู่การปฏิบัติได้ มีค่าน้อย เข้าทำนองความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด — มีโศกนาฏกรรมเกี่ยวกับความรู้ไม่จริงอยู่มากมาย
  8. ใครคิดว่าเราเป็นอย่างไร สำคัญน้อยกว่าเราเข้าใจตัวเองหรือไม่ (ดูจิต)
  9. เมื่อเข้าใจตนเองแล้ว มีโอกาสเลือก ก็เลือกให้เหมาะกับตัวเองซะ อย่ารอให้คนอื่นมาเลือกให้เลย
  10. สิ่งที่เราทำ เราก็คิดว่าดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าคนอื่นไม่ชื่นชม อาจแปลว่ายังดีไม่พอ หรือไม่มีผลต่อเขาแรงพอ เมื่อคิดได้อย่างนี้ ก็ปรับปรุงสิ่งที่ทำให้ดียิ่งขึ้น อย่าเสียเวลาไปหงุดหงิดกับการที่ไม่มีคนชื่นชมเลย ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับใคร
  11. กำลังใจ ถ่ายให้กันไม่ได้ กำลังใจมาจากความเข้มแข็งภายใน แรงจูงใจ/แรงบันดาลใจ สร้างจากภายใน สิ่งที่อยู่รอบตัวเป็นเพียงสิ่งประกอบเท่านั้น
  12. ไม่มีรากฐาน ก็ไม่มียอด อย่าใจร้อน จะไปให้ถึงยอด ก็ต้องมีรากฐานที่ดีก่อน ดีกว่าก่อไปเรื่อยๆ แล้วพังลงมาก่อนไปถึงยอด

ลูกน้องเคยถาม ว่าทำไมไม่บอกอะไรตรงๆ ผมตอบว่าถ้าบอกตรงๆ คุณก็รับรู้ แต่ไม่เข้าใจน่ะซิ อยากจะเข้าใจก็ไปพิจารณาเอาเอง ถ้าจะเอาแค่ฉาบฉวย ผมบอกเลยก็ได้ ไม่ยาก

« « Prev : จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า…

Next : ใจเป็นใหญ่ ใจเป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจ // ใจมีค่าที่สุด อย่านำไปแลกกับสิ่งใด » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

40 ความคิดเห็น

  • #1 หมอเจ๊ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 0:04

    เห็นตรงกัน…..รากฐานสำคัญที่สุด…รากฐานกาย รากฐานใจล้วนพึ่งพากัน….จึงต้องเพียรเรียนรู้ สิ่งที่รู้แล้วยังปฏิบัติไม่ได้..หรือไม่รู้ให้มากไว้..เรียนรู้จากภาคปฏิบัติย้อนรอยวิธีเรียนรู้เดิมให้ได้….

    ชอบคำเตือนใจนี้ “หัดเชื่อใจคนอื่นซะบ้าง” มันหน่วงสติการติดกรอบ ติดตัวตนดีค่ะ

  • #2 nontster ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 0:24

    โดนหลายเรื่องเลยครับ

    1. แต่งานไม่เสร็จซะที จะเอาแต่ความสมบูรณ์แบบ // อันนี้นิสัยผมเลย นายผมคงรู้ดี เพราะงานไม่ค่อยเสร็จ
    2. หลีกเลี่ยงความหมายของคำว่า “ต้อง” ยกเว้นใช้ในสำนวน // พอใช้คำว่า “ต้อง” กับอะไร เมื่อเวลาผ่านไป ได้รู้จักสิ่งๆนั้นมากขึ้น มันมักจะกลายเป็น “ไม่ต้อง” เสมอ
  • #3 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 1:58

    น่าสนใจหลายเรื่องครับ  เป็นความรู้มือหนึ่งจริงๆ (First hand Knowledge)  อิอิ

  • #4 แป๋ว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 2:19

    โดนใจให้ข้อคิดและบทเรียนหลายข้อเลยค่ะ โดยเฉพาะ

    1. สิ่งที่เราทำ เราก็คิดว่าดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าคนอื่นไม่ชื่นชม อาจแปลว่ายังดีไม่พอ หรือไม่มีผลต่อเขาแรงพอ เมื่อคิดได้อย่างนี้ ก็ปรับปรุงสิ่งที่ทำให้ดียิ่งขึ้น อย่าเสียเวลาไปหงุดหงิดกับการที่ไม่มีคนชื่นชมเลย ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับใคร
    2. กำลังใจ ถ่ายให้กันไม่ได้ กำลังใจมาจากความเข้มแข็งภายใน แรงจูงใจ/แรงบันดาลใจ สร้างจากภายใน สิ่งที่อยู่รอบตัวเป็นเพียงสิ่งประกอบเท่านั้น
    3. กระจายงานออกไป หัดเชื่อใจคนอื่นบ้าง อาจจะมีไม่ถูกใจไม่เหมือนกับทำเอง แต่ขืนจะทำเองทั้งหมด ควรจะไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียว ไม่ต้องมาอยู่ในสังคมหรอกครับ
    4. สิ่งที่คิดว่ามี นั้นไม่มี สิ่งที่คิดว่าเป็นของเรา ไม่เห็นช่วยอะไรได้เลย หน้าที่ความรับผิดชอบก็สำคัญ แต่ไม่สำคัญไปกว่าชีวิต
    5. (ขอเพิ่มเติม) ทุ่มเทกับงานจนไม่ดูแลสุขภาพ เมื่อมีปัญหากับสุขภาพหรือเจ็บไข้ได้ป่วยมา คนที่ทำหน้าที่ดูแลเราคือ พ่อ แม่ และครอบครัว

    โดนเลยค่ะ “ต้อง” นำมาเตือนสติตัวเองแล้วค่ะ… ขอบคุณมากค่ะ

  • #5 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 5:24
    • พี่น้องครับ
      สิ่งที่ได้อ่านน่าจะเป็นแก่นสารของลานปัญญา
      ที่อธิบายการเจ๊าะแจ๊ะที่ทรงคุณค่า
      คงไม่ต้องพูดมาก เพราะเราซึมทราบกันได้อยู่แล้ว
      ชอบวรรคทองไหน ก็คลิ๊กเอาไป เอาไป
      อ่านแล้วเกิดแรงบันดาลใจ ก็ช่วยกันเขียนของตนเองรอบใหม่
      เขียนข้าๆ คิดช้าๆ แต่ส่งการบ้านไวๆ
      จะรอ จะร้อๆๆๆๆ
  • #6 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 5:27

    สำหรับผม
    อ่านเรื่องนี้เหมือนได้ไปร่วมทอดกฐินชีวิต
    บอกไม่ถูกว่าดีใจหลาย คาดไม่ถึงว่าได้เจอบุญก้อนนี้
    สาธุ อายุ วรรณโณ หัวโต ปัญญาหลาย

  • #7 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 5:28

    ใครอ่านแล้วไม่ออกความเห็น
    ขอให้หัวใจกระด้างไปตลอดชาติ

  • #8 สิทธิรักษ์ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 6:02

    สุขใจมาก ท่านคอนฯ  “เจ้าเป็นไผ”

    บางครั้งความเป็นต้วตน ความเป็นปัจเจก ย่อมก่อเกิดการตีบตันทางความคิด ความเป็นจริงในสังคมและสิ่งเคลื่อนไหว รวมทั้งแวดวงการปฎิสัมพันธ์
    ช่วงระยะเวลาหนึ่ง ความคิดอยู่ในระดับหนึ่ง ในเมื่อผ่านช่วงเวลาอีกหนึ่ง การพัฒนาด้านความคิดอาจเปลี่ยนแปลงไป   ภายใต้กฎเกณฑ์นี้ย่อมหลีกพ้นไม่ได้
    ความสำเร็จในสังคมไม่ได้เกิดขึ้นจากการที่ตัวเรา เยี่ยม ยอด แต่ฝ่ายเดียว การยอมรับต่อกลุ่มต่อหมู่คณะมีความสำคัญไม่น้อย  ดั่งที่ท่านได้กล่าวมา
    ผมมีคติประจำอยู่อย่างหนึ่ง  ถ้ามีปัญหาในการนำ หรือการบริหารจัดการ ถ้าสรุปว่าไปได้ยาก ควรที่จะปลีกตัวออกมาให้ผู้อื่นที่เกี่ยวข้องดำเนินต่อไป  ปัญหาจะได้แก้ไขได้  ไม่ใช่ว่าดันทุรัง 
    กำลังใจก็เป็นส่วนหนึ่งที่เหนี่ยวนำในการทำงาน แต่ดูให้ลึกก็เป็นเพียง ตัณหา ความต้องการ เท่านั้น
    แต่ปกติคนเราก็ยังต้องการอยู่ดี กับการชมเชย การป้อยอ สรรเสริญ
    ผมได้รับความรู้จากท่านอีกมากครับ  ถึงแม้ว่าคนเราจะมีอายุขนาดไหนก็ตาม ก็ยังต้องรับรู้ในมุมมองมุมคิดต่างๆ  โลกนี้ไม่ใช่มี ข้า มี กู มีผม เพียงอย่างเดียว ยังมี คุณ มี เขา มี คนโน้น คนนี้ อีกมากมาย
     
    ฉะนั้น    “เจ้าเป็นไผ”   ก็ยังต้องค้นหาต่อไป

  • #9 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 6:03

    สุดยอด

  • #10 deaw ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 6:24
    • ผมเห็นแสงสว่าง นำพาให้ชีวิตเดินต่อไปได้อย่างหนักแน่นและมั่นคง อีกแล้วครับ
    • ขอบคุณคร้าบบบบบ
  • #11 มิสเตอร์สะตอฯ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 7:57

    สวัสดีครับพี่คอนฯ
    ขอบคุณมากๆ นะครับ ได้อ่านอะไรดีๆ ตั้งแต่เช้าเลยครับ เกร็ดให้คิดมากมายเลยครับ
    จะดึงบางอย่างไปแนะนำนักศึกษาครับ  ตอนนี้ผมก็ทำคณิตศาสตร์ให้เป็นเรื่องในชีวิตประจำวันอยู่ครับ
    โยงในสิ่งใกล้ตัวที่พบเห็น การเป้นอยู่ของคน ความสัมพันธ์ และอื่นๆ เพื่อปรับให้เป็นเกร็ดคิดทางปรัชญา
    ตกลงไปคุยปรัชญาในห้องเรียนคณิตศาสตร์แทนครับ

    ขอบคุณมากครับ จะหมักบ่มประสบการณ์ไว้บ้างครับ เผื่อจะได้มีโอกาสปล่อยไผด้วยบ้างครับ

    รักษาสุขภาพครับ

    กลับมาไทย กะว่าน้ำหนักจะลดครับ ไม่ลดครับ…

  • #12 ครูสุ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 8:06

    มีเรื่องที่ทำให้หัวใจพองโตอีกแล้ว ^_^

    วรรคทองที่โดนเยอะมาก
    แต่ชัดที่สุดตอนนี้..
    ข้อ 5 หัดอ่านคนตามความเป็นจริง ชีวิตจะหงุดหงิดน้อยลง
    ข้อ 11 กำลังใจ ถ่ายให้กันไม่ได้ กำลังใจมาจากความเข้มแข็งภายใน แรงจูงใจ/แรงบันดาลใจ สร้างจากภายใน สิ่งที่อยู่รอบตัวเป็นเพียงสิ่งประกอบเท่านั้น

    และอยากบอกว่า.. ภาพถ่ายฝีมือคุณแม่คุณคอนฯ สวยที่สุด

  • #13 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 8:54

    มายิ้มกว้างให้ค่ะ เพราะการที่คนๆหนึ่งจะเปิดเสี้ยวชีวิตตัวเอง ( โดยเฉพาะในที่สาธารณะแบบนี้ ) ถึงจะไม่ยากเกินไปแต่ก็ไม่ง่ายในการเรียบเรียงให้ได้ดังใจ

    ขอบคุณสำหรับการถอดประสบการณ์ที่ล้ำค่าให้ได้เรียนรู้ว่ากว่าจะมาเป็นในสิ่งที่เห็นนั้นมีเส้นทางเดิน การปลูกฝัง การถ่ายทอดหลอมรวมมาอย่างไร  ขอบคุณมากค่ะ ( และชอบภาพเหมือนพี่สุเลยค่ะ )

  • #14 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 13:18
    ขอบคุณทุกท่านครับ ไม่รู้จะตอบว่าอะไรดี นอกจาก อิอิ

    ช่วยกันเขียน “เจ้าเป็นไผ ตอนวิธีการเรียนรู้” อีกรอบหนึ่งนะครับ

    ไปดูรายละเอียดของรูป ปรากฏว่าถ่ายเมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ เมื่อคราวไปเที่ยวกัน เข้าใจว่าแม่จะถ่ายสวนดอกไม้ เผอิญคนเสื้อดำดันไปนั่งพักอยู่ตรงนั้นพอดี

  • #15 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 15:37

    บันทึกนี้ ได้เห็นตัวตนของท่านรอกอดมากขึ้น แต่ความประทับใจที่มีต่อท่านนั้นผมมีมาก่อน แม้จะไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงจากบันทึกต่างๆหรือจากปากของท่าน แต่จากมุมมองที่ท่านมีต่อสังคมทำให้รู้สึกได้ว่าไม่ธรรมดา 
    เข้าใจความรู้สึกที่อยากให้งานเสร็จโดยไม่สนใจสุขภาพตัวเอง เพราะตอนเป็นอัยการผู้ช่วยถึงรองอัยการจังหวัด ทำงานถึง ๕-๖ โมงเย็นทุกวัน เสาร์อาทิตย์ยังเอางานมาทำที่บ้าน และที่บ้าขนาดหนักก็คือ เวลาลาพักร้อนยังเอางานไปทำด้วย
    ตอนเป็นอัยการจังหวัดไปทำงานก่อนลูกน้อง กลับหลังลูกน้อง หน้าผากย่น อยู่กับกองเอกสารทั้งวัน จนความดันขึ้น เบาหวานขึ้น ลาพักร้อนเพื่อสั่งสำนวนที่มันคั่งค้าง บ้าสิ้นดี…
    วันนี้มีความสุขมากขึ้น หลังสี่โมงครึ่งวางทุกอย่าง เอาความรู้ที่มีไปประชุม,บริหารงานที่นอกเหนือหน้าที่เพื่อการศึกษา มีความสุขไปอีกแบบหนึ่ง
    เอ๊ะ..หรือผมต้องเขียนการบ้านส่งครูบาด้วยไหมเนี่ย..อิอิอิ

  • #16 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 18:31

    ถ้า “เอ๊ะ” แล้ว คงต้องทำมั๊งครับ ไม่อย่างนั้นเอ๊ะสูญเปล่า อิอิ

    วิงวอนถึง..พระสยามเทวาธิราชและท่าน ท่าน ที่มีชื่อและไม่มีชื่อดังต่อไปนี้

    โดนเอาไปขายซะแล้วครับ อิอิ

  • #17 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 November 2008 เวลา 23:42

    วันนั้นผมได้รับ sms จากคนที่ไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนแนะนำเรื่องการจัดตั้ง จานดาวเทียม iPSTAR และระบบ Internet คราวเฮฮาศาตร์ครั้งที่ 3 ดงหลวง ซึ่งผมเองไม่มีความรู้เรื่องนี้มาก่อน คำแนะนำนั้นมีประโยชน์ต่อการจัดการมาก

    นอกจาก SMS ยังกรุณาโทรไปคุยอีกด้วย ผมก็ยิ่งทึ่ง อีตานี่เป็นไผ ทำไมจิตใจสูงส่ง คอยแนะนำช่วยเหลือ สนับสนุนตามความรู้ความสามารถของเขา และเราก็ได้ประโยชน์มากมาย

    ได้รับคำแนะนำอีตานี่ในการติดตั้ง MSN และอื่นๆรวมทั้งแลกเปลี่ยนความเห็นทางการบ้านการเมือง

    ผมได้รับเอกสาร ได้รับ CD โดยเฉพาะน้ำใจอย่างท่วมท้น

    คนนี้ชื่อหลายชื่อ แต่ช่างเถอะจะชื่ออะไรก็ช่าง ตัวตนสิประทับใจที่สุด

    ผมโชคดีที่มีเพื่อนร่วมโลกที่ชื่อ “ตฤณ” คนนี้
    ในที่สุดได้พบตัวเป็นๆที่สวนป่า ยิ่งทึ่งในแนวคิดและประสบการณ์ชีวิตต่างๆ

  • #18 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 November 2008 เวลา 0:57
    ขอบคุณครับพี่บู๊ท ชักเริ่มมีการเปิดโปงกันแล้ว ฮาๆๆๆๆ — อ่านๆ ไป ผมนึกถึง Obituary เลยครับ แต่ผมไม่รีบตาย อิอิ
  • #19 sompornp ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 November 2008 เวลา 11:00

    แรงบันดาลใจที่จะถูกกระทำนั้นเกิดในตัวเรา
    คนอื่นเป็นเพียงประกอบ
    ดังนั้นจะเข้าใจหรือไม่เข้าใจก็เป็นเพียงสิ่งประกอบเท่านั้น

    ……

    กำลังใจให้กันไม่ได้เหมือนถ่ายน้ำมันครับ
    กำลังใจต้องมาจากภายในใจของเราเอง
    …….

    เป็นข้อคิดที่ท่านคอนฯ ได้ฝากไว้ให้น้า “ได้คิด” ผ่าน MSN

    ……..

    การเข้าใจชีวิตผู้อื่น ไม่เท่าการเข้าใจชีวิตตนเอง  คนอื่นอาจเป็นแรงบันดาลใจให้เรา
    เข้าไปเรียนรู้ในโลกของความเป็นปัจจุบัน
    เพื่อการเรียนรู้ภายในใจตัวเอง

    …….
    ขอบคุณสำหรับบันทึกนี้ที่ทำให้ได้เรียนรู้การก้าวผ่านเส้นทางที่ว่ามืด
    แต่…เรายังมองเห็นดวงดาว…อันสว่างไสวเต็มท้องฟ้า

  • #20 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 November 2008 เวลา 11:34

    เออ บางทีเราก็ลืมคิดถึงจุดนี้ไปนะครับ..
    คุณคอนเป็นกว้างขวางในองค์ความรู้ และการสืบค้นมาเผยแพร่จริงๆ จนส่วนหนึ่งเป็นความไวต่อการสื่อสารที่เกิดขึ้นระหว่างกัน 

    น่าทึ่งไปอีกอย่าง ท่านนี้ เอาซี….อิอิ

  • #21 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 November 2008 เวลา 19:34

    ตอนเริ่มทำงานใหม่ๆ ผมมีอาการที่พูดอธิบายแล้ว ไม่เข้าใจว่าคนอื่นไม่เข้าใจได้อย่างไรนะครับ ตอนนี้รู้แล้ว ต้นเหตุไม่ใช่เพราะผมพูด แต่เป็นเพราะผู้ฟังไม่มีพื้นฐานเพียงพอ และไม่รู้จักตั้งคำถามเพื่อที่จะเข้าใจสิ่งที่ตนไม่เข้าใจ เป็นปัญหาเรื่องการเรียนรู้ที่จะต้องรอให้มีคนมาบอกเป็นขั้นเป็นตอน

    ส่วนผมก็ไม่รู้ว่าผู้ฟังไม่รู้อะไร เพราะผมอยากรู้ตรงไหนก็สามารถไปหาข้อมูลมาได้เอง ไม่ต้องรอให้ใครมาบอก บ่อยครั้งที่เมื่อได้ข้อมูลมาแล้วผมตรวจสอบครับ แต่ฟังไว้ก่อน; ในเมื่อผมรู้ ผมก็พูดไปตามที่รู้ ความรู้แจกให้ได้ ไม่มีหมด ส่วนเมื่อแจกไปแล้ว จะใช้ได้ หรือทำหล่นหาย อันนั้นไม่รู้แล้วล่ะครับ เพราะว่าให้ไปแล้ว

    ช่วงหลังจากป่วย ไม่มีเรี่ยวแรงมากเหมือนเดิม ผมใช้วิธีบอกวิธีคิด แทนที่จะบอกคำตอบที่ผมคิดว่าใช่ครับ ถึงบอกคำตอบไป แต่เขาไม่เข้าใจ ก็นำไปปฏิบัติไม่ได้ผลอยู่ดี ถ้าบอกวิธีคิด แล้วโชคดีที่คนฟังเข้าใจจนนำไปประยุกต์ได้ ต่อไปก็ไม่ต้องพูดเรื่องนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีก ถึงแม้บอกวิธีคิดแล้วเค้าไม่เข้าใจ (และ/หรือไม่ถาม) ก็ทำให้รู้ว่าคนที่เราบอกไปนั้นเป็นอย่างไร ไม่มีอะไรสูญเปล่าหรอกครับ

    ดูเหมือนว่าจะเป็นวิธีที่ต้องใช้แรงอธิบายมาก พวกใจร้อนหลายคนเค้าก็ว่าโยกโย้ เสียเวลา แต่เมื่อได้ผลแล้ว คุ้มค่ามากครับ อยู่ที่ว่าเราจะฉาบฉวยเอาแต่ผลเฉพาะหน้า หรือมองว่าเป็นการลงทุนเพื่อสร้างคน

  • #22 Sasinand ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 November 2008 เวลา 21:42

    อ่านแล้ว ได้เรียนรู้ไปด้วยค่ะ น่าอ่านมากด้วย
    อย่าติดกรอบ พอกรอบแล้วจะแตกหักง่าย หลีกเลี่ยงความหมายของคำว่า “ต้อง” ยกเว้นใช้ในสำนวน; คำว่า “ต้อง” นั้น ใช้กับใครก็ไม่ได้ผลเท่ากับใช้กับตัวเอง

  • #23 dodo ให้ความคิดเห็นเมื่อ 13 November 2008 เวลา 23:58

    “ใครอ่านแล้วไม่ออกความเห็น
    ขอให้หัวใจกระด้างไปตลอดชาติ”

    ติดตามอ่านมานาน ชมชอบ แต่ไม่ได้ออกความเห็นสักที เจอข้อความนี้เข้า โอ้ว! ไม่ได้การ
    รีบลงทะเบียนทันที ไม่ได้กลัวการแช่งแต่กลัวหัวใจกระด้าง :)

  • #24 ลานจอมป่วน » เล่าเรื่องตัวเองทำไม ? อ่านเรื่องคนอื่นทำไม ? ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 November 2008 เวลา 11:45

    [...] “เจ้าเป็นไผ ภาคพิสดาร” ของ Logos ในลานซักล้าง  เป็นที่ฮือฮาของคนในวงการ  บางคนถึงกับอุทาน  มีรูปถ่ายหล่อๆมาลงด้วย  เกิดอะไรขึ้น ๆ ๆ ๆ ๆ [...]

  • #25 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 November 2008 เวลา 16:33

    เรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดาครับ: ผมมีคุณปู่เป็นแบบอย่างของความซื่อตรง มีคุณย่าเป็นแบบอย่างเรื่องความประนีต มีคุณตาเป็นแบบอย่างเรื่องการต่อสู้ชีวิต มีคุณยายเป็นแบบอย่างเรื่องความใส่ใจในผู้อื่น มีพ่อเป็นแบบอย่างการพิจารณาสิ่งต่างๆ ตามความเป็นจริง+ความอดทน มีแม่เป็นแบบอย่างเรื่องน้ำใจ+มารยาท

    มีแบบอย่างที่ดีแล้ว แต่ผมก็ยังเป็นตัวของตัวเอง รับแบบอย่างมาแบบตกหล่นไปเยอะ มีอิสระทางความคิดมากมาตั้งแต่เด็ก เป็นพี่คนโตที่จะต้องรับผิดชอบครอบครัวต่อไป วางแผนชีวิตเอง ฟังคนอื่นเยอะเพียงแต่ไม่ค่อยเชื่ออะไรง่ายๆ ค่อนข้างจะกวนประสาทแบบมีมารยาท

    หลังจากผ่านไปหลายปี พ่อแม่ก็ยกย่องการตัดสินใจที่เลือกทำงานที่ชอบและทำได้ดี ดีกว่าย้ายไปทำงานกับพ่อซึ่งจะทำให้กลายเป็นเด็กเส้นไปในทันที ทั้งสองอย่างสร้างความมั่นคงในชีวิตได้เช่นกัน แต่อย่างหนึ่งมีความสุข อีกอย่างหนึ่งไม่มีความสุข; บทเรียนเรื่องนี้ ที่จริงเป็นบทเรียนจากชีวิตพ่อ ซึ่งไต่จาก superintendent ของโรงงาน ไปจนเป็นประธานกรรมการ - บริษัทนี้คุณปู่ก่อตั้ง แต่คุณปู่ให้พ่อฝ่าฟันเอาเอง

    เพื่อนฝูงมักจะอธิบายลักษณะผมว่าบ้า ลูกน้องให้ความเคารพและไม่ค่อยกล้ายกเว้นที่สนิทกันจริงๆ ผู้ใหญ่เอ็นดู คู่แข่งหมั่นไส้ แต่ผมเป็นผมครับ ไม่ทิ้งอะไรง่ายๆ; เวลาปล่อยอะไรแล้ว ไม่ยึกยัก เมื่อพ้นไปแล้ว ก็ไม่กลับไปยุ่งอีก เมืองไทยมีเรื่องที่ควรทำอีกตั้งเยอะแยะ อิอิ

  • #26 rani ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 November 2008 เวลา 19:06

    สวัสดีคะ
    จริงๆ เข้ามาหลายรอบแล้วนะคะ แต่อ่านไม่จบซักรอบ มีอัีนต้องทำนู่น นี่ตลอด (ไม่ได้แก้ตัวนะ หุหุ) อ่านแล้วก็อึ้ง ๆๆ  อิอิ พิศดารจริงๆ ด้วย ถ้าไม่พิศดารทำไม่ได้หรอก ห้าๆๆ ล้อเล่นหน่า 
    ตอนนี้พยายามเรียนรู้ หลายๆ ด้าน แต่ก็ทำเท่าที่ทำได้ เท่านั้น วันละนิดวันละหน่อย ทั้งงาน และเรื่องอื่น แบบทีละเรื่องหนะค่ะ จะให้ได้ทุกเรื่องก็จะเป็นซูเปอร์เกิล ไป(ตอนนี้ขอแก้ปัญหาเรื่องงานตัวเองไปก่อน) อิอิ
    ขอบคุณสำหรับข้อคิดหลายๆ เรื่องจะน้อมรับไปคิดต่อยอด จะไม่ให้มันพังลงมาแน่ ซิบอกให้

  • #27 mimography ให้ความคิดเห็นเมื่อ 15 November 2008 เวลา 21:26

    โนคอมเม้นท์ค่ะ….
    แค่อยากเข้ามาอมยิ้ม
    ^-^

  • #28 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 November 2008 เวลา 8:06

    การได้อ่านComment  ไม่เพียงแต่เห็นได้ด้วยตาสับปะรด แต่เป็นการมองจากใจ
    ตรงนี้แหละที่อยากทำความเข้าใจ
    ว่าทำไม ถึงไม่อยากให้รับอะไรเงียบๆ โดยเฉพาะเรื่องกลุ่มบทความเจ้าเป็นไผนี้
    ส่วนเรื่องอื่นๆก็แล้วแต่อำเภอใจเถิดนะ
    อิ อิ ..

    ทำไมถึงตอแยแง่มุมนี้
    เพราะเราจะได้อ่าน..สิ่งที่ท่านถาม และท่านรอกอด ตอบเพิ่มเติมนะสิ
    ไม่ชอบเพิ่มขอเติมรึไร
    ใจหนอใจ..กระไรถึงเย็นชาเพียงนี้
    ทั้งที่มีน้ำชาอุ่นวางอยู่ตรงหน้า
    กาน้ำชาก็พร้อมรินเติมให้อย่างเต็มใจ

    ใจหนอใจ..

  • #29 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 November 2008 เวลา 8:17

    Sanctuary Asia cover page (june 2008)
    ใครจะคิดอย่างไรกับรูปนี้
    ใครจะเข้าใจความหมายกับรูปนี้
    ใครจะรู้ไหมว่า../// ประกาศอิสระภาพแล้วนะ
    เปิดตัว เปิดใจ เปิดความรู้ ความนึกคิดแบบสุดๆ
    เป็นไปได้ถึงเพียงนี้ เรายังรีรออะไรกันอีก
    ไม่เจ๊าะแจ๊ะกันให้Blogกระเจิงกระจาย
    มือตอแยแห่งชาติอยู่ไหน อยู่ไหนๆ

  • #30 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 November 2008 เวลา 12:12

    บันทึกเป็นการให้ทางเดียว จะโดนหรือไม่โดน ล้วนเป็นการคาดเดาของผู้เขียน แต่ความคิดเห็นสามารถทำให้เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ได้ครับ

    พ่อครูบาฯ เข้าใจจริงๆ ว่าการแสดงรูปเป็นเครื่องหมายของการประกาศอิสรภาพ ปลดเปลื้องพันธนาการ วางข้อจำกัดต่างๆ ลง จนทำให้ อิอิ ได้อย่าง อิอิ ครับ

  • #31 dd_l ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 November 2008 เวลา 19:01

    แรกๆ รู้สึกว่า ตาคนนี้น่ากลัว  ตอบความเห็นอะไรบางทีก็ดุๆ  ก็ฉันจะตอบอย่างนี้ ใครจะทำไม อะไรประมาณนั้น  ใครสะกดอะไรผิดก็คอยท้วง..555
    แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป ก็เห็นมุมใหม่ ตาหลกแฮะ…(ตาหลก..ตั้งใจจะเขียนว่า..ตาหลก…บอกซะก่อน..อิ อิ)  แล้วก็ใส่ใจ  ช่วยเหลือ  แถมขยันหาข้อมูลเรื่องราวดีๆ มาไว้ให้อ่าน  ได้ประโยชน์หลายสถานจากการอ่านสิ่งที่เอื้อเฟื้อ

    เมื่อได้เจอที่สวนป่า รู้สึกใกล้ชิดมากขึ้น  แต่ก็ยังไม่ค่อยแสดงความคิดเห็นอะไรในการอ่าน นอกจากขอบคุณที่แบ่งปัน

    มาอ่านบันทึกนี้รอบแรก ดีใจที่ได้นำรูปมาให้เห็น เป็นการเปิดตัวเต็มที่  กลับมาอ่านอีกกี่ที ก็ได้รู้จักกันมากขึ้น  เฮ้อ..คนอะไรเขียนได้สาระ ได้ข้อคิดที่ตรงใจ   เจ้าเป็นไผของตัวเองไม่ต้องเขียนแล้วก็ได้มั้ง..  :-P    อ่านเจอข้อคิดเห็นของครูบา  ก็เลยโผล่หน้าออกมาแจม  จริงเนาะ  บางทีชอบแอบอ่านอยู่เงียบๆ  ยิ่งถ้ามีคนเขียนข้อคิดเห็นเยอะๆ ก็ยิ่งเงียบ  มีคนเขียนตรงใจแล้ว ก็ไม่เขียนของเราเอง   เอ..แล้วจะมีคนคิดแบบนี้เยอะมั้ยเนี่ย

    ขอบคุณนะคะรอกอด  อ้าวววว..ขอบคุณอีกละ  ช่างมันเถอะนะคะ  ก็อยากขอบคุณนี่

  • #32 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 November 2008 เวลา 19:45

    เป็นที่รู้กันระหว่างผู้ที่มีประสบการณ์ในเน็ตมากๆ ว่าไม่ควรจะแก้ตัวสะกดให้ใครหรอกครับ เรื่องไม่เป็นเรื่อง อาจจะเป็นเรื่องเสียเปล่าๆ แต่ผมคิดอีกอย่างหนึ่งครับ: ภาษาไทยของเรา ถ้าไม่ช่วยกันรักษา จะให้ใครมารักษาให้ครับ

    ลูกน้องผมก็ตั้งข้อสังเกตอันนี้ ว่าถ้าสะกดผิด ผมจะเห็นเสมอ ไม่ว่าจะเป็นบันทึก อีเมล หรืออยู่ใน presentation ซึ่งแม้แต่จะรีบเปิดสไลด์ผ่านๆ อย่างรวดเร็วก็ตาม; เป็นที่รู้กันว่าผมอ่านทุกตัวอักษร มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อยก็จริงครับ แต่ถ้าเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวที่สุด เช่นการพิมพ์มาเอง ยังปล่อยให้พลาด จะรับผิดชอบงานของบริษัท-ของส่วนรวมได้อย่างไรครับ

    คืนนั้นที่สวนป่า ผมดีใจและแปลกใจที่พี่อึ่งมาคุยด้วย ขอบคุณเช่นกันครับ

    การตอบปัญหาในเน็ต ผมไม่ได้พยายามตอบให้ไม่รู้เรื่องหรอกครับ มีหลายครั้งที่ “คำตอบล้น” — ผมตอบละเอียดซึ่งใช้ความพยายามและเวลามาก ทั้งนี้ไม่เหมือนกับอีเมล ซึ่งมีผู้อ่านผู้เดียว สามารถตอบเจาะจงลงไปได้เลย แต่ในเน็ต มีผู้อื่นอ่านอีก พื้นฐานของแต่ละคนก็ไม่เท่ากัน เมื่อมาอ่านข้อความของผมแล้ว ผมก็อยากให้ได้อะไรกลับไปบ้าง นิดนึงก็ยังดี เป็นอาการที่ห้องเรียนห้องหนึ่งมีนักเรียน ป.1-6 นั่งเรียนรวมกันครับ — ถ้าตอบได้ ก็จะมีคำตอบอยู่ในที่ตอบเสมอ แต่มีคำอธิบายอื่นๆ อยู่ในนั้นด้วย ซึ่งไม่ต้องใช้ทั้งหมดก็ได้ครับ

  • #33 jchrn ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 November 2008 เวลา 22:41

    อ่านบันทึก คำนำ ของครูบาแล้ว กลับมาคิดว่า เอ๊ะ ระยะหลังนี้ไม่ค่อยได้ไปให้ความเห็นกับบันทึกใครเลย..รวมทั้งบันทึกนี้ด้วยค่ะ….ทั้งๆที่ตอนแรกตั้งใจแต่เวลาผ่านไปกลับสงวนความคิดไว้กับตัวเองมากขึ้นๆๆ

    บันทึกส่วนมากของคุณรอกอด เมื่อได้อ่านแล้วก็จะรู้สึกว่ายังไม่อยากออกความเห็นแต่จะกลับมาอ่านอีกรอบและอีกรอบ…เพราะแต่ละรอบที่อ่านต่างช่วงเวลาและประสบการณ์ก็จะเข้าใจต่างกัน ..เมื่อยังไม่ตกผลึกความคิดก็เลยยังไม่ค่อยออกความเห็น…

    ตั้งแต่ที่ติดตามอ่านบันทึกมาจาก gotoknow และอีกหลาย web จากผู้เขียนนาม conductor ก็รู้สึกว่าเป็นคนไม่มีพิษไม่มีภัยแถมยังสอนเก่งซะด้วย ดักคอก็เก่ง ไม่ว่าจะแกล้งแหย่รูปแบบไหนก็ไม่หลุดแถมยังทำให้รู้สึกว่า รู้ทันอยู่ในที แหม! อุตส่าห์ทำเป็นบ้าๆบอๆบวมๆ อวดรู้ใส่ ก็ยังรู้แกว …อิอิ

    บล็อกที่ชอบอ่านคือเรื่องคนเป็นนายค่ะ ทั้งๆที่ในชีวิตไม่เคยอยู่ตำแหน่งนายใคร แต่ชอบอ่านมุมคิดและการจัดการกับปัญหาในแบบสร้างสรรค์

    ก่อนไปเจอที่สวนป่า บอกครูอึ่งว่าซื้อไม้เกาหลังให้คุณ conductor แต่เมื่อเจอที่สวนป่า…เห็นหน้าแล้วก็ว่า เอ๊ะ ทำไมดูเด็กคงไม่คันหลัง..เลยไม่ให้…เก็บไว้ก่อน…(ถ้าคันหลังเมื่อไหร่บอกนะคะ ยังเก็บไว้อยู่)

    ความเห็นต่อบันทึกนี้อย่างเฉพาะเจาะจง ก็คือรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง และได้เรียนรู้ว่าการใช้ชีวิตให้มีคุณค่าเป็นเช่นนี้เอง
    ขอบคุณค่ะที่ทำให้มีโอกาสได้รู้จักและที่ช่วยให้มีกำลังใจในการสร้างสิ่งดีๆ จากจุดที่ยืนอยู่…

  • #34 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 17 November 2008 เวลา 23:49

    นี่ล่ะนะครับ เป็นข้อเสียเหมือนกันที่เป็นคนยอกย้อน คนเป็นนายไม่ได้เขียนเรื่องของนายเลยครับ เขียนแต่เรื่องปฏิสัมพันธ์ของคนในองค์กร

    ความเป็นนายเป็นเพียงบทบาทในองค์กร ซึ่งไม่ได้ทำให้ใครมีสิทธิหรือศักดิ์ศรีเหนือใครครับ บรรดานายๆ อาจจะเห็นไม่เหมือนผมก็ได้ คนเราเห็นไม่เหมือนกันครับ บางคนก็ไม่ชอบแบบนี้ — เช่นเดียวกับลูกน้องครับ บางคนก็ไม่ชอบวิธีนี้อยากได้เร็วๆ ตรงๆ มีบางคนลามปามแล้วแต่พื้นฐานของเขา ไม่ว่ากัน

    การดักคอก็ไม่ได้เป็นนิสัยหรอกนะครับ มันเป็นเพียงการประเมินล่วงหน้า ซึ่งมาจากการหัดอ่านสิ่งที่ไม่ได้เขียน ผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่เป็นไร

    ส่วนไม้เกาหลังนั้น ฝากพี่สร้อยปักดิน ปลูกไว้ที่บ้านก่อนได้ไหมครับ เผื่องอกออกมาบ้าง ถ้าคันแล้วขอ ต่อให้ส่ง EMS ก็ไม่ทันกาลแล้วครับ คงจะต้องแก้ขัดโดย ถูถูถูถู แบบหมา แต่โดยปกติ ผมไม่คัน (และไม่ฝัน(ว่าคัน)ด้วย) ครับ

  • #35 nning ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 December 2008 เวลา 16:46

    อ่านรอบที่หนึ่ง…… รอบที่สอง รอบที่สาม รอบที่สี่……สุดท้ายเก็บไว้เป็นของตัวเอง และคงต้องตามไปเก็บอีกหลายๆ คน แล้วจึงเริ่มเข้ามาทักทายค่ะ

    เรื่องราวของชีวิต  ที่ผ่านมาอ่านของคนดัง คนที่ประสบความสำเร็จและคนอื่นๆ ที่มีวางขาย  วันนี้อ่านเรื่องราวของคนที่เราสัมผัส สัมพันธ์ได้ ยิ่งก่อให้เกิดการเรียนรู้

    ชอบมากค่ะให้แง่คิด เชื่อมโยงสู่ตัวตน สู่การเรียนรู้  ยิ่งอ่านยิ่งกระหายใคร่รู้ ค่ะ

    ตลอดชีวิตที่ผ่านมาของหนิง  ถามตัวเองเสมอว่าคิดอย่างไร ตลอดเวลาที่ผ่านมาตอบกับตัวเองตลอดว่าชีวิตมีคุณค่า มีความหมาย

    ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆ ทั้งส่วนตัว ข้อคิด ความรู้ที่สรรหามาให้ค่ะ   รักษาสุขภาพนะคะ 

  • #36 Panda ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 January 2009 เวลา 18:06
    • เพิ่งแวะมาอ่านครับ
    • กลัวหัวใจจะกระด้างตามที่พ่อครูบาฯ ขู่….
    • เห็นรูปแล้วอยากไปเที่ยว…ดอยตุงบ้างครับ
    • การเปลี่ยนแปลง คือ การมีชิวิต… แม้แต่ไม่ชีวิตแล้ว ก็ยังเปลี่ยนแปลงไม่หยุด…..สรรพสิ่งย่อมไม่หยุดนิ่ง….อิอิ
  • #37 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 January 2009 เวลา 18:12
    สวัสดีปีใหม่ครับอาจารย์แพนด้า ขอให้อาจารย์มีสุขภาพที่แข็งแรงนะครับ

    ดอยตุงแค่นี้เอง ทีต่างประเทศตั้งไกลยังไปได้เลยครับ

    Super TL นี่น่าสนุกดีนะครับ

  • #38 ลานไผเป็นไผ » เจ้าเป็นไผ… สะท้านยุทธจักร(ตอนรวมจอมยุทธ์) ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 February 2009 เวลา 13:14

    [...] ท่านLogos           เจ้าเป็นไผภาคพิศดาร [...]

  • #39 ครูปู ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 February 2009 เวลา 18:08

    ขอบพระคุณค่ะคุณครู (พวกหนู ๆ) จะพยายามนะคะ ^_^

  • #40 born2011 ให้ความคิดเห็นเมื่อ 18 July 2011 เวลา 19:36

    ตนมาใหม่ หัวใจไม่กระด้างค่ะ โดนค่ะโดน โดยเฉพาะ
    ข้อแรก ใครคิดว่าเราเป็นอย่างไร สำคัญน้อยกว่าเราเข้าใจตัวเองหรือไม่ (ดูจิต)
    ข้อสอง เมื่อเข้าใจตนเองแล้ว มีโอกาสเลือก ก็เลือกให้เหมาะกับตัวเองซะ อย่ารอให้คนอื่นมาเลือกให้เลย
    ข้อสาม สิ่งที่เราทำ เราก็คิดว่าดีที่สุดแล้ว แต่ถ้าคนอื่นไม่ชื่นชม อาจแปลว่ายังดีไม่พอ หรือไม่มีผลต่อเขาแรงพอ เมื่อคิดได้อย่างนี้ ก็ปรับปรุงสิ่งที่ทำให้ดียิ่งขึ้น อย่าเสียเวลาไปหงุดหงิดกับการที่ไม่มีคนชื่นชมเลย ไม่เกิดประโยชน์อะไรกับใคร
    ข่อสี่ กำลังใจ ถ่ายให้กันไม่ได้ กำลังใจมาจากความเข้มแข็งภายใน แรงจูงใจ/แรงบันดาลใจ สร้างจากภายใน สิ่งที่อยู่รอบตัวเป็นเพียงสิ่งประกอบเท่านั้น
    ข้อห้า ไม่มีรากฐาน ก็ไม่มียอด อย่าใจร้อน จะไปให้ถึงยอด ก็ต้องมีรากฐานที่ดีก่อน ดีกว่าก่อไปเรื่อยๆ แล้วพังลงมาก่อนไปถึงยอด
    เข้าใจตนเองและเลือกแล้วค่ะ กับการกลับไปทำไร่นาสวนผสม


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.443608045578 sec
Sidebar: 0.16946601867676 sec