เล่าเรื่องตัวเองทำไม ? อ่านเรื่องคนอื่นทำไม ?
อ่าน: 2397
…………
การได้อ่านเรื่องของคนที่เรารู้จัก
มีความรู้สึกพิเศษลึกซึ้งนัก
มึความอยากรู้จักให้มากขึ้นเป็นพื้นฐาน
ด้วยเหตุผลนี้..
จึงขออ้อนวอนให้ท่านเขียนบล็อกมากขึ้นอีกนิดนะขอรับ
เรียนบอกเล่าว่าท่านเรียนรู้มาอย่างไร สนใจอะไรพิเศษ
อ่านแล้วพวกเราหายบื้อ บึ้ง เบื่อ บูด
ลงมือเลยนะครับ..มีคนรออยู่นะ..
…………
จากบันทึก “ คุณคนไทย ทำยังไงจะหายบื้อ ” ของครูบาฯ ในลานสวนป่า
ระยะนี้อาจมีคนสงสัยมีคนเปิดอกเปิดใจ (อย่าเปิดอกจริงๆล่ะ อิอิ) เขียนบันทึกเรื่องราวของตัวเอง เริ่มจากบันทึก
“เจ้าเป็นไผ ภาคพิสดาร” ของ Logos ในลานซักล้าง เป็นที่ฮือฮาของคนในวงการ บางคนถึงกับอุทาน มีรูปถ่ายหล่อๆมาลงด้วย เกิดอะไรขึ้น ๆ ๆ ๆ ๆ
ติดตามมาด้วยบันทึก “ร่องรอยบางทราย 1-3” ในลานดงหลวงของ bangsai
และบันทึก “โยนิโสมนสิการแห่งชีวิต” ของน้ำฟ้าและปรายดาวในลานน้ำฟ้าและปรายดาว
และคงจะมีติดตามมาอีกหลายบันทึกเร็วๆนี้
วันนี้มีเวลาว่างก็ว่าจะเขียนเล่าเรื่องตัวเองบ้าง แต่ก็เกิดคำถามในใจขึ้นมาว่า เอ๊ะ ๆ ๆ ๆ เขียนเรื่องตัวเองทำไม ? อ่านเรื่องคนอื่นทำไม ?
ลองทบทวนดูครับ เวลาเราอ่านหนังสือ ถ้าเราไม่รู้จักผู้แต่ง เวลาอ่านก็ไม่ค่อยจะได้อรรถรส แต่ถ้าเรารู้จักผู้แต่งเป็นอย่างดี เวลาอ่านก็จะได้ความรู้สึกที่แตกต่างกัน
การอ่านบันทึกก็เหมือนกัน อ่านบันทึกของคนที่เราไม่รู้จักชื่อ (ชื่ออาจเป็นชื่อที่ใช้ในการเขียนบันทึก) ไม่รู้จักหน้าตา ไม่รู้ที่มาที่ไป อ่านไปก็รับรู้ระดับหนึ่ง เวลาจะแสดงความเห็นอาจมีการสงวนท่าที เพราะไม่สนิทใจ จะหยอกเย้าก็กลัวจะไม่เข้าใจ กลัวเขาจะโกรธเอา การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ก็อาจจะได้ระดับหนึ่ง
แต่ถ้าเรารู้จักดี รู้ตัวตนของผู้เขียนบันทึก รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม (จอมป่วนจำได้แต่ชื่อที่ใช้เขียนบันทึก จำชื่อจริงไม่ค่อยได้ อิอิ) เคยเห็นรูป รู้ประวัติ รู้เรื่องงานที่ทำ รู้ว่าสนใจเรื่องอะไร การอ่านและร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ก็จะมีความหมายมากขึ้น
ยิ่งเคยเห็นกัน เคยกอด เคยนั่งคุยกันแบบตัวเป็นๆ เคยหัวเราะแบบขำสุดๆขำกลิ้งคราวนี้ละก้อกำแพงพังทะลายเลยครับ มีความรู้สึกปลอดภัย สนิทสนมที่จะคุย การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันก็จะมีความหมายมากขึ้น
คิดไปคิดมาก็ลามมาถึง…. แล้วอ่านบันทึกทำไม ? เขียนบันทึกทำไม ?
เคยแสดงความเห็นไปว่า การเขียนบันทึก การอ่านบันทึก การแสดงความเห็นโต้ตอบกันเป็นการสนทนาเสมือน ซึ่งอาจพัฒนาเป็นสุนทรียสนทนาเสมือน ( Virtual Dialogue ) ถ้าผู้ร่วมสนทนาเปิดใจมาร่วมสนทนากัน เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
การอ่านบันทึกอย่างเดียว ไม่เขียนบันทึก ไม่แสดงความคิดเห็น ก็ทำให้การสุนทรียสนทนาไม่สมบูรณ์ เพราะไม่มีการสนทนา ได้แต่นั่งฟังอย่างเดียว ลองนึกถึงวงสนทนา ที่เราไปนั่งฟังอย่างเดียว จะเรียกว่าวงสนทนาได้ไหม ?
สาเหตุที่ไม่เขียน ไม่ร่วมแสดงความคิดเห็นอาจมีหลายสาเหตุ เช่นมีปัญหาทางเทคนิคในการเขียนบันทึก ไม่รู้จะสมัครอย่างไร ฯ เรื่องนี้ทางทีมงานคงต้องหาทางพัฒนาระบบให้ง่าย มีคู่มือที่สมบูรณ์ รวมถึงการฝึกอบรมให้เขียนบันทึกต่อไปในอนาคต
นอกจากปัญหาทางเทคนิคแล้ว ปัญหาที่สำคัญที่สุดคงเป็นปัญหาเรื่องการทะลายกำแพงที่แต่ละคนสร้างขึ้นมาเอง และคงต้องเป็นคนทะลายกำแพงนั้ยเองเพราะแม้แต่แฟนก็ยังทำแทนไม่ได้เลย
กำแพงที่เราสร้างขึ้นมาอาจมีตั้งแต่
เราเป็นคนเล็กๆในสังคม ไม่มีอะไรน่าสนใจ
เราไม่มีอะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ
เขียนบันทึกไม่เป็น
ไม่รู้จะเขียนอะไร
ไม่รู้จะทักทายหรือแสดงความคิดเห็นอย่างไร ?……ฯลฯ
การอ่านเรื่องราวของคนอื่นอาจทำให้เราเกิดความไว้วางใจ สนใจที่จะเรียนรู้ร่วมขึ้นมาบ้าง
การเขียนเรื่องราวของตัวเอง ก็จะช่วยให้คนอื่นรู้จักเราดีขึ้น ทราบว่าเราสนใจเรื่องอะไร ? ถนัดเรื่องอะไร ? ซึ่งคนเราทุกคนมีอะไรดีๆอยู่ในตัวเราทุกคน ที่สามารถจะนำมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันได้ เช่นชอบถ่ายรูป ถนัดเรื่องคอมพิวเตอร์ ทำกับข้าวเก่ง กินเก่ง นอนเก่ง เที่ยวเก่ง รู้เรื่องขนบธรรมเนียมประเพณี รู้เรื่องต้นไม้ รู้เรื่องสัตว์ ปฏิบัติธรรม โมโหเก่ง ขี้งอน ใจเย็น มีประสบการณ์ชีวิตที่จะช่วยเหลือคนอื่นได้ ฯลฯ
เรื่องที่เอามาเล่าแลกเปลี่ยนกันอาจเป็นเรื่องของความล้มเหลวที่ผ่านมา จะได้เป็นบทเรียนให้คนอื่น อาจเป็นเรื่องไม่ดีที่เคยทำมาแล้วกลับเนื้อกลับตัวได้ ปรับปรุงตัวเองได้อย่างไร ?
ง่ายๆถ้าอยากรู้ว่ามีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้กันเกิดขึ้นหรือไม่ ก็ลองสังเกตตัวเองดู ว่าที่เข้ามาอ่านบันทึก เขียนบันทึก (เขียนมั่งไม่เขียนมั่ง) แสดงความเห็น (บ้าง เป็นครั้งคราว) แล้วเรามีอะไรดีขึ้นบ้างไหม
อ่าน เขียน แสดงความคิดเห็นมากขึ้นไหม ?
มีเพื่อนมากขึ้นไหม ?
มีอะไรดีๆเกิดขึ้นในชีวิตเราไหม?
มีความสุขมากขึ้นไหม ?…… ฯลฯ
ลักษณะพิเศษที่ดีของกลุ่มคนแซ่เฮคือไม่ได้แค่รู้จักกันในโลกไซเบอร์ แต่เราโลดแล่นออกมาจากโลกไซเบอร์ มีโอกาสเจอตัวเป็นๆ ได้กอด ได้คุย ได้หัวเราะและมีกิจกรรมดีๆร่วมกัน
การเขียนเล่าเรื่องของตัวเองก็เป็นสิ่งที่จะทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันอย่างหนึ่งและจะทำให้การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในอนาคตมีคุณภาพและความหมายมากขึ้น ถ้าทะลายกำแพงที่ปิดกั้นตัวเองได้สำเร็จก็เชิญเลยครับ
เขียนบันทึกเล่าเรื่องตัวเอง และร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากการอ่านและแสดงความเห็นในบันทึกเรื่องราวของเพื่อนๆที่น่าสนใจ
มัวแต่ เอ๊ะ ๆ ๆ ๆ เลยยังไม่ได้เขียนเรื่องราวของตัวเองเลย 5555555
Next : เรื่องราวของจอมป่วน » »
18 ความคิดเห็น
มัวแต่ อ่าน ๆ ๆ ๆ เลยยังไม่ได้เขียนเรื่องราวของตัวเองเลย 5555555
ไอ้ที่ไม่เขียนน่ะ “ไม่มั่นใจอะไรบางอย่าง” อยู่หรอกค่ะ พี่ชาย
ที่ดียิ่งกว่าได้รู้จักผู้อื่นมากขึ้น คือการได้รู้จักตัวเองอีกครั้งครับ ความคุ้นเคยและค่านิยมของชีวิตสมัยใหม่ ทำให้ชีวิตรีบเร่ง+เดินหน้าไปเรื่อยๆ ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้มองย้อนรอย เก็บเกี่ยวประเด็นที่เล็ดรอดไปอีกที
เราเรียกกำแพงว่า “เหตุผล” ครับ มันฟังดูดีมากเลย แต่ถ้าเข้าออกกำแพงไม่ได้ กลายเป็นติดคุกแบบมีเหตุผล อิอิ
ถูกใจโก๋แก่จริงๆ พับผ่าซิ….
มีอีกคนที่เปิดตัวเองค่ะ
พี่เปลี่ยน แห่งลานลุงเปลี่ยนค่า
การเปิดตัวเองนอกจากจะทำให้เห็นตัวเองชัดขึ้นเพราะได้ทบทวนตัวเองแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้เราก้าวผ่านร่องรอยต่างๆที่เคยเก็บกดหรือกดทับไว้ได้ง่ายขึ้นด้วยค่ะ เพราะเรากลายเป็นผู้ดูและบอกเล่า ไม่ใช่ผู้เก็บไว้เพื่อเจ็บปวดร้าวรานกับเรื่องนั้นคนเดียวอีกต่อไป
เหมือนกันเลย อิอิ
#2 น้องตุ๊กตา
คงมีกำแพง “ไม่มั่นใจอะไรบางอย่าง” อยู่มั๊ง ? เดินผ่านเล้ย
อยากบอก ……แต่กลัวคนอ่าน น้ำตาร่วง
เพราะชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่เด็กจนโต
ยิ่งกว่านิยายน้ำเน่า อิอิ
#3 Logos
ขอบคุณมากครับที่มาร่วมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ แถมเอาบันทึกดีๆมาให้อ่านอีก อิอิ
รุ่นเดียวกันมั๊ง เลยเขียนแล้วถูกใจ ๆ ๆ ๆ ๆ อิอิ
ลืมชมๆๆๆ บันทึกบางทรายนี่สุดยอดเลยครับ ขอบอก ชอบมากๆเลย
#5 น้องเบิร์ดที่รัก
ขอบคุณมากที่แวะมาเยี่ยมและร่วมแลกเปลียนเรียนรู้ มาช่วยต่อยอด อิอิ
จอมป่วนและพรรคพวกชอบเรื่องน้ำเน่า รีบเขียนเลยนะ อิอิ รออ่านอยู่
อิอิ
อิอิ บอกข้อดีแล้ว แต่เจ้าตัวก็ยังไม่เขียน อิอิ แต่บางคนเขียนแล้วไม่อยากจบ ทำท่าจะมีตอนอื่นๆตามมาจะทำไงดีละ อิอิ
อิอิ
ผมเขียนแล้วนะครับ
ของทั่นอัยการก็เขียน 10 ตอนจบก็ได้ครับ อิอิ
ยิ่งเปิด ยิ่งอยากปิด
เอ๊ะ ๆ ๆ ๆ
เอ๊ะ ชักพูดไม่รู้เรื่อง อิอิ