อย่าเอาแต่คิดฟุ้งซ่าน ตรวจสอบความจริงซะ
อ่าน: 3631วันนี้มีประชุมเครือข่ายรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน ภาคประชาชน แต่ผมไม่ได้ไปเนื่องจากนัดไปดูที่ที่คิดว่าจะสร้างหมู่บ้านโลก
ที่ดินผืนนี้ เป็นที่ขนาด 30 ไร่ มองดูจากถนนใหญ่สวยมาก เป็นเนินเขา อนุมาณได้ว่ามีน้ำอยู่ด้านข้างเนื่องจากมีแนวต้นไม้ขึ้นหนาทึบ เห็นมากับตา ใช่แน่ๆ
แต่ถึงจะแน่ใจขนาดไหน ก็ต้องไปดูรายละเอียดครับ และเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องจริงๆ เพราะว่าเมื่อไปดูแล้ว มันไม่ได้เป็นอย่างที่มองเห็นไกลๆ และไม่ใช่อย่างที่คิดไปเอง
ไม่มีที่ดินอะไรจะไร้ค่าหรอกครับ มีแต่ว่าจะตรงกับวัตถุประสงค์หรือไม่ สภาพโดยทั่วไป
- ให้เช่าอยู่เล่นๆ ด้วยราคาหมื่นบาท/30 ไร่/ปี
- ภูเขามีความลาดเอียง 18° เรียกว่าชันพอสมควร
- มีน้ำอยู่ด้านข้างจริง แต่น้ำไม่ได้ไหลจากยอดเขาลงสู่ที่ต่ำ แต่กลับมีฝายเตี้ยๆ ฝายหนึ่ง มีความสูงของคันดิน ประมาณ 4 เมตร น้ำไม่ไหลข้ามฝาย เนื่องจากเป็นน้ำซับ ดังนั้นจึงไม่เหมาะกับการใช้ปั่นไฟฟ้า คุณภาพน้ำดีพอสมควร
- ดินมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำ ชาวบ้านตัดต้นไม้ไปสร้างบ้านจนภูเขาโกร๋นไปหมด
- เมื่อพัฒนาแล้ว คงมีลักษณะเป็นรีสอร์ตแบบในซีนสุดท้ายของวิดีโอคลิปข้างบน ซึ่งเป็นรีสอร์ตหรู มีวิลลาพัก 4 คนพร้อมสระว่ายน้ำส่วนตัว อัตราค่าพักคืนละเก้าพันบาท
- ทางเข้าค่อนข้างลำบาก แต่สามารถปรับปรุงได้ไม่ยาก
- ยอดเขาสูงกว่าฝาย 40 เมตร (วัดด้วย GPS) ลมที่ยอดเขา แรงกว่าข้างล่างมาก แต่ไม่มีอะไรรับประกันว่าจะพัดอยู่อย่างนั้นเป็นเวลานาน
- ปริมาณดินมหาศาล น่าจะเอาบางส่วนไปอัดบล็อค เป็น CEB
จากนั้น เราก็ไปสะแกราช ไปดูที่ดินของเจ้าของที่ ที่อยู่ติดกับที่ทำการของผู้ใหญ่บ้าน หมู่ 11 ต.อุดมทรัพย์ อ.วังน้ำเขียว เจอหมาสองตัว ตัวหนึ่งสีน้ำตาล ลายเสือ เป็นหมารับแขก ชื่อเสือ อีกตัวอ้วนปุ๊กลุก สีขาว ชื่อเปา (คล้ายซาละเปา)
ที่ดินผืนนี้ อยู่ติดทางหลวง 304 วิ่งจากกบินทร์บุรีไปปักธงชัยผ่านวังน้ำเขียว ต.อุดมทรัพย์ เป็นตำบลหนึ่งในอำเภอวังน้ำเขียว มีอากาศเย็นและชุ่มชื้นตลอดปี บางปีต้องใส่เสื้อกันหนาวตลอดทั้งปี มีสภาพอยู่ในหุบเขา ด้านตะวันออกเป็นอุทยานแห่งชาติทับลาน ด้านตะวันตกเป็นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ให้กับแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของนครราชสีมา คือห้าเขา ห้าเขื่อน
ก็เป็นเรื่องแปลกประหลาด ที่คนกรุงเทพมาวังน้ำเขียวแล้วชอบไปแถวเขาแผงม้า ทั้งที่เขาแผงม้านั้นร้อนแห้งแล้ง เนื่องจากมีการถางป่าออกไปจนเกือบหมดแล้ว กลายเป็นไร่ข้าวโพด หรือไร่มันกันไปหมด ดินก็ไม่ดี ปลูกพืชไร่ก็ถูกพ่อค้าคนกลางเอาเปรียบ เลยขายที่ดินทำกินกันให้นายทุนเอาไปทำรีสอร์ต ถ้ามีทุนรอนกันบ้าง ก็ลงมือสร้างรีสอร์ตเอง
ผมไม่รู้ว่าคิดอะไรกัน ที่ดินทั้งอำเภอ จะเป็นรีสอร์ตกันหมดได้อย่างไร ถางต้นไม้ออกไปหมด อยากจะเห็นวิวกว้างๆ (แล้วมันสวยยังไง) พอไม่มีต้นไม้ ก็ไม่มีความชุ่มชื่น อากาศก็ไม่เย็น งานประจำปีวังน้ำเขียวฟลอร่า จัดกลางหน้าหนาวแต่อากาศร้อน นักท่องเที่ยวมาแล้ว ก็ไม่อยากมาอีก แล้วรีสอร์ต ร้านอาหารจะอยู่ได้อย่างไร
สำหรับเจ้าของที่ดินซึ่งขอคำแนะนำ คราวที่แล้วผมยุให้ทำโรงเพาะเห็ด ส่งขายนิคมอุตสาหกรรมที่มีญี่ปุ่นอยู่เยอะซึ่งอยู่ทางใต้ ~40 กม. บอกให้ไปเรียนวิธีทำก้อนเชื้อเห็ด ก็ยังไม่ไปเรียน ถ้าจะคิดแบบคนกรุงเทพคือทำอะไรไม่เป็นและซื้อเอาหมดก็ได้ ก้อนละ 8 บาท กำไรก็น้อยลงไปตามส่วน ควบคุมคุณภาพไม่ได้ และยืมจมูกคนอื่นหายใจ
สามีเป็นสถาปนิกอยากทำรีสอร์ต แต่โดนผมวิจารณ์เรื่องรีสอร์ตทั้งอำเภอ เลยไม่ยอมพูด แต่ถึงไม่พูดผมก็พออ่านออก ก็เลยแนะให้หารายได้เสริมให้พอกับค่าใช้จ่ายประจำก่อน ทำเป็นขั้นๆ ไป อย่าโลภทุ่มลงไปหมด อาจจะหมดเร็ว
เสร็จแล้วไปกินมิลค์เชค ก่อนแวะไปดู Site 0 แถวมวกเหล็กต่อกับปากช่อง เป็นที่ที่ไปดูมาสองปีแล้ว พาเจ้าของที่ไปดูว่าผมอยากได้น้ำแบบไหนครับ พอเห็นที่เข้า เขาบอกว่าที่สวยมาก (แต่แพง ก็เลยไม่ซื้อ)
« « Prev : ทางเลือกที่ไม่ได้เป็นทางเลือก
Next : jDrones » »
10 ความคิดเห็น
งั้นทำ “หมู่บ้านโลก รีสอร์ท” ดีไหมครับ :3
ถ้าจะทำรีสอร์ต คงต้องหาแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ ซึ่งที่ดินในคลิปที่ 2 เหมาะกว่ามากครับ ถึงจะดูรกก็ตาม
สนันสนุนให้จำลองโลกที่น่า อยู่ด้วยตัวเราเอง ตั้งแต่ออมน้ำ ออมดิน ออมพืช สร้า้งพลังงานทางเลือก ที่ธรรมชาติเอื้ออำนวย สร้างคนที่หัวใจรักธรรมชาติ อยู่กับธรรมชาติอย่างธรรมชาติ ครอบครัวหมีสนับสนุนค่ะและจะร่วมด้วยช่วยกัน เราจะมาช่วยกันจำลองโลกที่น่าอยู่ค่ะ ตอนนี้ออมความรู้ได้ระดับหนึ่ง และมีทีมงานที่สุดยอดด้านอินทรีย์ชีวภาพ ที่กอบกู้เกษตรที่ล้มเหลวอยู่ค่ะ บอกได้เลยว่าเป็นทีมงานที่รวบรวมคนหลายๆ ด้าน มีทางด้านไบโอเทค วิศวกรไฟฟ้า วิศวเครื่องกล วิศกรผลิตสัตว์ สัตวศาสตร์ เกษตรกรอินทรีย์ผู้เชี่ยวชาญ ชาวนา ผู้บริหารโภชนาการการบินไทย(เกษียณอายุตัวเองมาทำเกษตร) รวมทั้งครอบครัวหมี อย่างนี้พอจะช่วยสร้างโลกจำลองได้ไหมค่ะ
ระบบการศึกษาสอนคนในแนวแคบและลึก ซึ่งใช้อธิบายได้หากเผอิญมาตรงกับที่เรียน (แต่ก็ไม่แน่ว่าเวลาลงมือทำ จะเป็นไปตามทฤษฎีที่เรียนมาหรือไม่) ดังนั้นคนที่ไม่หยุดเรียนรู้ แล้วลงมือทำเก็บเกี่ยวประสบการณ์ จึงมีแต่จะเก่งขึ้น มีประโยชน์มากขึ้นดังที่อาจารย์ทั้งสองและเพื่อนพ้องทำให้ดูครับ แม้จะเกษียณอายุแล้ว ก็ยังเรียนรู้และทำประโยชน์ได้อีกมาก ไม่เหมือนเครื่องจักรปลดประจำการเพราะว่าคนไม่ใช่เครื่องจักร ความเก๋าเพิ่มขึ้นตามประสบการณ์และความสามารถในการเรียนรู้ครับ
คนในพื้นที่ คงจะเหมือนๆ กัน คือ ยากที่จะทำตามคำแนะนำ ยกเว้นมีใครทำแล้วได้ผล ก็เริ่มจะมีคนทำตาม…
วันนี้ มีงานที่วัด มีแกงไตปลา ซึ่งก็มีผักเป็นเครื่องเคียง โดยมีผักธรรมชาติหลายอย่าง เช่น ยอดธัมมัง ยอดหมุ่ย ยอดแซะ ยอดหัวครก (มะม่วงหิมพานต์) ซึ่งเป็นพวกไม้ยืนต้น แต่เก็บใบอ่อน (ยอด) มาขายได้ตามฤดูกาล… ก็ปรารภกันถึงเรื่องนี้ เดียวนี้ ไปเก็บตามธรรมชาติไม่ได้แล้ว บางคนปลูกไว้ข้างๆ บ้าน แล้วเก็บยอดขาย ใช้ที่ดินไม่มาก เก็บแต่ยอดขายมีรายได้ทุกวัน วันละ 500 บาท (แต่ห้ามเกียจคร้าน)
เดียวนี้ ใครมาทำบุญ มีโอกาสก็มักจะพูดว่า ไม่จำเป็นต้องเรียนสูงๆ แล้ว เพราะจบปริญญา ถ้าไม่เก่งในสาขาที่เรียนจริงๆ โอกาสตกงานก็เยอะ หาความสามารถพิเศษอะไรก็ได้ ไม่เกียจคร้าน ก็สามารถเป็นอยู่ได้ แม้จะไม่รวย แต่ก็ไม่ขัดสน… รู้สึกว่าคุณโยมฟังแล้ว มักจะมีสีหน้าไม่ค่อยจะเห็นด้วย.
ตามความเห็นส่วนตัว ตอนนี้ สังคมไทย เริ่มปรับตัว จากการมุ่งทำงานส่งลูกเรียนแล้วไม่ได้ผล มาเป็นอย่างอื่น ก็คงจะทำนองเดียวกับสังคมตะวันตกส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เน้นการประกอบอาชีพมากกว่าการแข่งขันทางการศึกษา…
เจริญพร
น่าจะเลยมาเริ่มหมู่บ้านโลกที่ขอนแก่นบ้างนะคะ จะได้ไปขอเรียนรู้ใกล้ๆ แม่ใหญ่แค่จะทำนาสองไร่ ค้นคว้าจนหัวหมุนแล้วค่ะ แต่ก็สนุกดี ลับสมองไปเรื่อยๆ
แถวนาที่แม่ใหญ่ไปซื้อเป็นที่ลุ่ม อยู่ในเขตปฏิรูป ปลูกข้าวได้ปีละสามครั้ง มีน้ำจากชลประทานไหลผ่านเป็นคลองซอยเล็กๆ ถ้าขึดบ่อก็เก็บกักน้ำได้ตลอดปี เมื่อสองปีก่อนเขาขายไร่ละ สองแสนห้า เดี๋ยวนี้อาจขึ้นไปบ้างเล็กน้อย สนใจไหมจะถามให้ จะได้มาทดลองอะไรๆใกล้ๆกัน
ถ้าน้ำเยอะ เราเปิดประตูระบายน้ำเข้าที่ได้แต่ว่า head ไม่พอที่จะปั่นไฟฟ้า ทีนี้ถ้าน้ำน้อย กลับต้องสูบน้ำเข้าที่ ซึ่งแทนที่จะได้พลัังานกลับต้องใช้พลังงาน