ยุติความรุนแรงต่อสตรี
อ่าน: 5055พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงรับเป็นองค์ทูตสันถวไมตรีของ กองทุนการพัฒนาเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติ หรือ “ยูนิเฟม” ในโครงการ “Say NO to Violence against Women” ในประเทศไทย ซึ่งกองทุนนี้ได้ริเริ่มโครงการรณรงค์ให้ประชาชนทั่วโลกร่วมลงชื่อผลักดัน ให้ประชาคมโลกเร่งยุติความรุนแรงต่อสตรี
ในโอกาสนี้ ขอเชิญผู้ใช้อินเทอร์เน็ตชาวไทย ร่วมลงชื่อต่อต้านความรุนแรงต่อสตรี ที่เว็บ http://novaw.in.th/
ปัจจุบัน ๑ ใน ๓ ของเด็กและสตรีโดนทำทารุณกรรม โดยการทุบตี ล่อลวงหรือล่วงละเมิด
ซึ่งเป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง
ยิ่งไปกว่านี้ เหยื่อผู้ถูกกระทำส่วนใหญ่ไม่ได้ดำเนินการเอาเรื่องกับผู้กระทำ เนื่องจากหวาดกลัวการถูกซ้ำเติม และเกรงสังคมจะตราหน้าให้อับอายขอเชิญร่วมลงชื่อเพื่อแสดงจุดยืนในการสนับสนุนการยุติความรุนแรงต่อเด็กและสตรี
และร่วมรณรงค์ให้วาระนี้เป็นวาระเร่งด่วนของประชาคมโลกในวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ซึ่งเป็นวันสากลแห่งการยุติความรุนแรงต่อสตรี กองทุนการพัฒนาเพื่อสตรีแห่งสหประชาชาติหรือยูนิเฟม จะมอบลายเซ็นต์ของท่านให้เลขาธิการสหประชาชาติบัน คี-มุน
อันเป็นการแสดงถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของทุกท่านในการต่อต้านความรุนแรง
“หนึ่งเสียงของท่านช่วยยุติความรุนแรงต่อผู้หญิง”
ถ้าล่ารายชื่อได้ครบห้าแสนชื่อ จะทำให้ประเทศไทยเป็นประเทศแรกในโลกที่ให้การสนับสนุน ตระหนักถึงปัญหาสิทธิสตรีมากที่สุด อีกทั้งยังสร้างแรงกระตุ้นประเทศอื่นๆ หันมาให้ควสามสนใจต่อสิทธิสตรีและยุติการใช้ความรุนแรง
« « Prev : เงินทุนสิบล้านเหรียญสหรัฐ สำหรับห้าความคิดที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
4 ความคิดเห็น
แวะไปลงชื่อมาแล้วค่ะ ขอบคุณที่แนะนำ…
ความรุนแรงในมิติของกฎหมายไม่ค่อยทราบนักค่ะ แต่ในทางทฤษฎี ความรุนแรงต่อสตรี อาจมาในรูปแบบ ความรุนแรงด้วยวาจา(psychological abuse) เช่นการข่มขู่ กดดัน บีบบังคับ เยาะเย้ย เพื่อให้ยินยอมอยู่ร่วมด้วยหรือยินยอมในรูปแบบอื่นอย่างกรณีนักเรียนถูกครูดุด่าด้วยคำรุนแรง …..สามีนำเรื่องในมุ้งไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟัง…..ความรุนแรงอาจจะมาในรูปแบบของการกีดกันการเข้าถึงสิทธิประโยชน์ที่พึงได้ เช่นการจ่ายงานที่หนักเกินกำลังหรืออาจจะเป็นอันตรายโดยจำยอม …ความรุนแรงอาจมาในรูปแบบของการประจานให้อับอายต่อหน้าสาธารณะชน …โดยระบุชื่อ …ขึ้นเน็ต….ลงคลิป…ใช้คำไม่สุภาพให้เสื่อมเสียฯลฯ
สำหรับเด็กและคนชรา เวลากล่าวถึงความรุนแรงมักจะรวมถึงการละเลยเลี้ยงดูตามพัฒนาการที่พึงมี และการทอดทิ้งให้ตกอยู่ในอันตรายด้วย
ตอนนี้นึกได้คร่าวๆแค่นี้ ขออนุญาตร่วมต่อยอดบันทึกค่ะ
เรื่องความรุนแรง…บางครั้งคนทั่วๆไปมักนึกถึงภาวะสงคราม หรือการทำร้ายทางกาย…แต่สถิติที่ปรากฎโดยทั่วไปหากว่าศึกษาติดตามไม่ว่าจากข่าวสารหรืองานวิจัย…มักจะพบว่าความรุนแรงกว่าร้อยละ 80 เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันและมักเกิดกับคนที่รู้จักหรือใกล้ตัว…..แม้แต่กรณีการข่มขืนก็ตาม..ก็ยังพบว่า ผู้หญิงมักกลัวกรณีที่เกิดจากคนแปลกหน้า..ทั้งๆที่ส่วนมากเกิดจากคนที่รู้จักหรือเคยเห็นหน้ามาก่อน..และผู้ที่ข่มขืนมีการติดตามดูพฤติกรรมของผู้หญิงนั้นๆมาเป็นระยะหนึ่งแล้ว…จนกระทั่งเห็นว่าสามารถลงมือได้
ยิ่งการข่มขืนอนาจารในเด็กและคนชรา ยิ่งพบว่าเกิดจากคนในบ้านหรือคนรู้จักมักคุ้นเกือบ 85%
พอก่อนดีกว่าค่ะ เดี๋ยวจะยิ่งโม้ไปมากกว่านี้
…อิอิ….
สนับสนุนและเห็นด้วยมากๆๆๆค่ะ
แต่เห็น มีการต่อต้านเรื่องแบบนี้ มาตั้งนานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งจะมีนะคะ แล้วก้เงียบๆกันไป แต่ก็เป็นเรื่องที่ดีที่จะมารื้อฟื้นอีกค่ะ
เห็นด้วยอย่างยิ่งค่ะ สังคมเปลี่ยน จิตใจเปลี่ยน ใครๆ ก็ไม่อยากโดนทำร้าย อยู่กันอย่างสันติ เลิกเถอะการทำร้ายผู้หญิง ซึ่งผู้หญิงเป็นเพศเดียวกับแม่เรา รักแม่มากๆ ๆ หวังดีต่อแม่ ก็เหมือนรักผู้หญิงทุกคน และหวังดีต่อผู้หญิงทุกคน ขอบคุณนะคะที่ช่วยกันรณรงค์