เก็บตะวัน (1)

โดย Logos เมื่อ 25 July 2010 เวลา 4:52 ในหมวดหมู่ พลังงาน, เทคโนโลยีชาวบ้าน #
อ่าน: 5757

เป็นที่รู้กันว่าถ้าหากจะรวมแสงอาทิตย์ ก็จะได้ความร้อน จากนั้นเปลี่ยนความร้อนไปเป็นพลังงานรูปอื่น เพื่อใช้งานได้ตามหลักการอนุรักษ์พลังงานได้

ความร้อนจากดวงอาทิตย์ รวบรวมได้ในสองลักษณะ คือใช้เลนส์นูนวางหน้าจุดโฟกัส หรือใช้กระจกวางด้านหลังจุดโฟกัส บันทึกนี้พูดถึงลักษณะหลังครับ

ไม่ต้องห่วงว่าบันทึกของผม จะเป็นเรื่องพื้นๆ หรอกครับ แต่จำเป็นต้องปูพื้นกันก่อน เพราะว่าบล็อกนี้มีผู้อ่านหลากหลายเหมือนกัน

ดวงอาทิตย์ให้พลังงานเฉลี่ย 1000 W/m2 พลังงานนี้ ตกกระทบพื้นโลกโดยที่เราไม่ได้ร้องขอ และปล่อยทิ้งไปเฉยๆ แต่แสงแดดก็สร้างคณูปการแก่โลก ในแง่ของการสร้างภูมิอากาศ การสังเคราะห์แสงแก่พืชซึ่งเป็นต้นทางของห่วงโซ่อาหาร

รูปข้างบนเป็นการเก็บเกี่ยวพลังงานจากแสงอาทิตย์ โดยพยายามรวมแสงไว้ที่ตัวรับ ซึ่งจะเปลี่ยนเป็นความร้อนให้เรานำไปใช้อีกทอดหนึ่ง มีสามลักษณะใหญ่ๆ คือ

Parabolic Through ท่อนำความร้อน

ใช้กระจกพาราโบลา (คล้ายทรงกระบอก) สะท้อนแสงแดดเข้าสู่จุดโฟกัส ซึ่งก็คือศูนย์กลางความโค้งนั่นเอง ภายในท่อนำความร้อนซึ่งถูกเผาโดยแสงอาทิตย์ จะมีน้ำ น้ำเกลือ หรือน้ำมันเป็นของเหลวที่นำความร้อน

เพราะว่าดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ข้ามท้องฟ้า และจะให้พลังงานสูงสุดก็ต่อเมื่อแสงอาทิตย์ตกกระทบในแนวตั้งฉาก ดังนั้นตัวรับความร้อนแบบท่อนำความร้อน ก็ต้องหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์ตลอดเวลา

การหมุนหันหน้าเข้าหาดวงอาทิตย์แบบนี้ไม่ยากเท่าไหร่ เพราะเป็นการหมุนในแกนเดียวคือหมุนให้แผงรับแสงหันในแนวตะวันออกไปตะวันตก ส่วนแกนของท่อจะวางในแนวเหนือใต้เอียงเล็กน้อย

ที่ต้องเอียงเพราะเมืองไทยไม่ได้ตั้งอยู่บนเส้นศูนย์สูตร อย่างบ้านผมอยู่นนทบุรี ประมาณ 14° เหนือ ก็จะต้องวางให้ปลายท่อด้านทิศใต้ ต่ำกว่าปลายท่อทางทิศเหนือ โดยท่อนำความร้อน เอียงทำมุมกับแนวระนาบ 14° เช่นเดียวกัน ที่นราธิวาสควรเอียง 6° และเชียงรายควรเอียง 20° — อยู่ตรงเส้นรุ้งที่เท่าไหร่ ก็วางท่อนำความร้อนให้เอียงเท่านั้น

อัตราการหมุนก็ไม่ได้ยากเย็น เพราะว่าดวงอาทิตย์โคจรต่อเนื่องด้วยอัตราชั่วโมงละ 15° เสมอ (วันหนึ่งมี 24 ชั่วโมง) ดังนั้นถ้าคิดแบบง่ายๆ ก็ใช้มอเตอร์ความเร็วคงที่ แล้วทดเกียร์เอาจนได้อัตราการหมุนที่ 15°/ชม.

พลังงานที่ท่อนำความร้อนได้รับ ก็ประมาณพื้นที่หน้าตัดของกระจกเมื่อหันหน้าตรงเข้าสู่ดวงอาทิตย์ ยิ่งใช้กระจกใหญ่ก็จะยิ่งได้พลังงานมาก แต่ว่าจะหมุนยากขึ้นเพราะน้ำหนักมากขึ้นตามไปด้วย

ในวันที่แดดจัดและไม่มีเมฆ ท่อนำความร้อนในรูป จะให้อุณหภูมิได้ถึง 400°C (ถ้าท่อและกระจกยาวพอ) แต่ถ้าสั้นกว่านี้ อุณหภูมิก็ลดลง เพราะมีพื้นที่เก็บพลังงานน้อยลง

Heliostat ฮีลิโอแสตด ตัวรับความร้อนแยกกับกระจก

อันนี้เป็นหลักการของตำนานอันหนึ่ง ซึ่งเคยบรรจุอยู่ในแบบเรียนสมัยผมเด็กๆ ว่าอคีมีดิสแห่งเมืองซิราคิวส์สมัยโบราณ ใช้โล่ขัดเงาสะท้อนแสงอาทิตย์ไปเผาเรือของข้าศึกที่บุกเข้ามา — เรื่องนี้มีผู้พิสูจน์แล้วว่าไม่จริงนะครับ ขนาดใช้กระจกเงาซึ่งสะท้อนแสงได้ดีกว่าโล่ขัดเงา ยังสร้างความร้อนไม่พอจะติดไฟเลย เพราะว่าความร้อนไม่รวมเป็นจุด แต่กระจายกันอยู่บนพื้นที่รับแสง

เนื่องจากกระจกวางอยู่กับพื้น แยกออกจากหอคอยรับแสงสะท้อน ฮิลิโอสแตด มีข้อดีที่สามารถเพิ่มพื้นที่กระจกไปได้เท่าที่ต้องการ รูปข้างบนเป็นฮีลิโอสแตดที่นำความร้อมาปั่นไฟฟ้าขนาด 10 MW ข้อดีอีกอย่างหนึ่งคือพื้นที่รับความร้อนบนหอกว้างใหญ่ขึ้นมาก และรับแสงได้จากทุกด้าน เพราะว่าวางกระจกได้รอบตัว

แต่เรื่องที่ยากคือว่า เนื่องจากกระจกจะต้องสะท้อนแสงจากดวงอาทิตย์ซึ่งเคลื่อนที่ตลอดเวลา ไปยังถังรับแสงซึ่งอยู่กับที่ การควบคุมกระจกแต่ละบานจึงซับซ้อนมาก และจะต้องพลิกตัวสองมิติ ทำให้กระจกแต่ละบานเอียงไม่เท่ากันเลย และไม่หมุนด้วยอัตราเท่ากับเลยทั้งสองมิติตลอดทั้งวัน ทำให้การควบคุมมุมเอียงของกระจกแต่ละบานซับซ้อน

Parabolic Disk จานรับแสงอาทิตย์

อันนี้อาจจะเป็นแบบที่เห็นกันมากจนรู้สึกว่าเป็นเรื่องง่ายๆ ตรงไปตรงมา แต่ที่จริงๆม่ง่ายหรอกครับ ถ้าง่ายคงเห็นกันเกลื่อนกลาดแล้ว

จานรับแสงอาทิตย์เป็นจากเส้นกราฟพาราโบลาที่หมุนรอบแกน ปรากฏเป็นรูปจานสามมิติ ถมื่อแสงตกกระทบผิวพาราโบลาซึ่งเป็นกระจก แสงจะสะท้อนไปเข้าจุดโฟกัส ทำให้รวบรวมความร้อนต่อพื้นที่สะท้อนแสงได้มากที่สุด

แล้วแต่ขนาดพื้นที่ของกระจกสะท้อนแสง ตัวรับแสงที่อยู่จรงจุดโฟกัสอาจจะมีอุณหภูมิสูงหลายพันองศา แม้แต่โลหะก็อาจหลอมละลาย จึงต้องหาวัสดุที่นำความร้อนได้ดี แต่ทนความร้อนสูงมาทำเป็นตัวรับแสง

ในปัจจุบัน จานรับแสงมักติดตั้งเครื่องยนต์สเตอร์ลิงไว้ที่ปลาย ซึ่งจะเปลี่ยนความร้อนเป็นไฟฟ้าทันที แต่ว่าด้วยความยาวของบันทึกนี้ (มี feedback ว่าผู้อ่านไม่ชอบอ่านเรื่องที่ยาวเกินไป ทำให้ประสาทเสีย) คงต้องยกยอดไปไว้ในบันทึกอื่น

แล้วรวบรวมความร้อนไปทำไม

ตอบแบบรวบรัดนะครับ

  1. อบพืชผลทางการเกษตร ไล่ความชื้น ทำให้ราคาพืชผลสูงขึ้น
  2. ปั่นไฟฟ้า สร้างรายได้ประจำ การไฟฟ้ารับซื้อไฟฟ้าที่ผลิตจากแสงอาทิตย์ ในราคาที่สูงกว่าราคาที่การไฟฟ้าขายไฟฟ้าให้เรา 8 บาท/หน่วย เป็นเวลา 10 ปี (หน่วยคือ kWh) ถ้าหากว่าพื้นที่ตรงนั้นการไฟฟ้าผลิตไฟฟ้าจากน้ำมัน จะซื้อแพงขึ้นอีกหน่วยละ 1.5 บาท และถ้าผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ในเขตสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ จะเพิ่มราคารับซื้อให้อีกหน่วยละ 1.5 บาท — ไม่ว่าค่าไฟจะขึ้นไปเป็นเท่าไหร่ ราคาที่การไฟฟ้ารับซื้อจากเราก็จะสูงกว่าราคาที่การไฟฟ้าขายเสมอ
  3. ส่วนหนึ่งของภาษีมูลค่าเพิ่มจากการขายไฟฟ้าให้การไฟฟ้า (การไฟฟ้าหักเลย เบี้ยวไม่ได้ เลี่ยงไม่ได้) จะตกอยู่กับท้องถิ่น เป็นรายได้ให้ อปท.เอาไปพัฒนาท้องถิ่น — ถ้าเขาโกง ต้องโทษตัวเองที่ไม่เอาใจใส่ดูแลท้องถิ่นของเราเอง

ครูบาเคยเล่าให้ฟังถึง อ.โพนทราย จ.ร้อยเอ็ด ว่ามีสภาพแห้งแล้งเหมือนเป็นทะเลทรายสุดลูกหูลูกตา แม้แต่พืชก็เป็นพืชแบบทะเลทราย มีพื้นเป็นทราย ดูใน Google Maps แล้ว ผมแปลกใจเหมือนกันนะครับ ไม่นึกว่าจะมีพื้นที่อย่างนี้อยู่ในเมืองไทย ที่จริงแล้วมีอยู่หลายแห่งด้วย

ไม่รู้ว่าชาวบ้านอยู่กันยังไงหรอกนะครับ แต่เขาอยู่กันมาได้ก็แล้วกัน ซึ่งคนเราถ้ามีทางเลือก คงไม่เลือกที่จะอยู่ในที่กันดาร  ความกันดารแร้งแค้นมักจะทำให้หากกินลำบาก จะย้ายออกมาก็ไม่ได้เพราะมีถิ่นฐานอยู่ตรงนั้น

ถ้าอยากสร้างโอกาสให้ชาวบ้าน ก็ต้องนำโอกาสเข้าไปสู่พื้นที่ครับเพราะเขาออกมาไม่ได้ ในเมื่อพื้นที่แร้งแค้น ปลูกต้นไม้ไม่ได้ ถึงมีน้ำก็ต้องเก็บไว้สำหรับการอุปโภคบริโภค อุตสาหกรรมไม่มีเพราะไม่มีถนนใหญ่ -แต่- พื้นที่อย่างนี้ อาจเหมาะกับการวิจัยหรือการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์นะครับ

กรณีอย่างโพนทรายนี้ มีอยู่ทั่วไปในเมืองไทย แต่คนเมือง (ไม่เฉพาะคนกรุงเทพ) ซึ่งเป็นประชากรประมาณครึ่งหนึ่ง มักเห็นเป็นเรื่องไกลตัว ไม่รู้ ไม่เห็น ไม่เกี่ยว คนมีความรู้ ก็เฉยๆ ไม่ได้รู้เลยว่าความรู้ที่เปลี่ยนเป็นการกระทำ(ที่เป็นประโยชน์)ไม่ได้นั้น ไม่ต่างอะไรกับการไม่มีความรู้เลย คือว่าทุกอย่างเหมือนเดิม ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไม่มีอะไรจะทนความกดดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้หรอกนะครับ

เพ้อเจ้ออีกแล้ว…

« « Prev : การสร้างหลักประกันให้ผู้ประกอบการใหม่

Next : เก็บตะวัน (2) » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

13 ความคิดเห็น

  • #1 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 July 2010 เวลา 7:21

    “ไม่มีอะไรจะทนความกดดันที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ได้หรอกนะครับ”
    ทั้งกด และดัน เป็นพลังจุดระเบิดทางสังคมได้
    แต่ละพื้นที่มีจุดเด่น แม้แต่ที่โพนทราย ที่ตั้งอยู่บนพื้นทราย
    ถ้าได้คิด ก็จะมีเรื่องค้นหาความรู้ดีๆไปใส่ความคิด ให้ผลิตสติปัญญา แก้ปัญหาได้อย่างบรรจง
    ชักอยากจะได้เอาแสงอาทิตย์มาอบใบไม้แห้งเสียแล้ว  คัน คัน ความคิด ดีกว่าคันหัวจ๋าย อิ อิ..
    ; วันหลังจะพาลุนอำเภอโพนทรายนะครับ ไม่ได้ไปมา 20 ปี อาจจะเปลี่ยนแปลงอะไรไปบ้างก็ไม่รู้ อิ อีกที

  • #2 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 July 2010 เวลา 7:31
    ถ้าจะทำให้แห้ง มีบันทึกปั่นจนแห้งเป็นผงน่าสนใจครับ สร้างง่ายแต่ต้องการเครื่องอ็อกเหล็กเพื่อประกอบโครง กับต้องใช้คอมเพรสเซอร์ที่ปั๊มอากาศในปริมาตรสูง

    เอาความร้อนมาอบข้าวไล่ความชื้น จะขายได้ราคาดีขึ้น ถ้าอบกิ่งไม้ซึ่งกองสุมกันไว้ จะทำให้ตัดเป็นเศษเล็กๆ ได้ง่ายขึ้น หรือเอาเศษไม้แห้งไปเข้าเตาทำก๊าซเชื้อเพลิงจากเศษไม้ ประสิทธิภาพก็จะสูงขึ้นอีกครับ

  • #3 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 July 2010 เวลา 7:53

    เครื่องปั่นจนแห้งเป็นผง น่าสนมากครับ

  • #4 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 July 2010 เวลา 8:02
    แหม งานพี่บู๊ดกำลังปิดโครงการ ไม่อย่างนั้นจะหาเงินวิจัยมาสร้างที่สวนป่าสักเครื่องนึงครับ ฮาๆๆๆ

    แถวนั้นมีชาวบ้านมาเรียนรู้เยอะ จะได้เผยแพร่ออกไปในวงกว้าง ชาวบ้านไม่อ่านบล็อก แม้แต่ชาวเน็ตก็มีโอกาสเจอบล็อกนี้น้อยนะครับ ที่เจอแล้วเข้าใจว่ามีประโยชน์อย่างไรยิ่งมีน้อยใหญ่เลย

  • #5 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 July 2010 เวลา 10:14

    นึกว่าเพลงอมตะ…เก็บตะวัน…ของคุณอิทธิ พลางกูร  ^_^

    คนไม่มีประสบการณ์ตรง ขอแจมนิดนะคะ…
    บันทึกหลายบันทึกในบล็อกลานซักล้าง เป็นความรู้ที่มีมิติกว้าง หลากหลายและเป็นประโยชน์ต่อพื้นที่ในชนบท ทั้งเรื่อง น้ำ พลังงาน เทคนิคการดูแลพืัชพันธุ์  ฯลฯ

    เคยคิดว่าแล้วทำอย่างไรจะให้ความรู้ในบล็อกนี้ไปสู่พื้นที่จริง ๆ ได้ เพราะชาวบ้านไม่มากนักที่จะอ่านบล็อก ความรู้มากมายมหาศาลเพียงใด หากผู้ใช้ไม่สามารถเข้าถึงได้…ประโยชน์ก็อาจไม่เกิดขึ้น

    คิดเรื่อยเปื่อยว่า หาก Rewrite เป็นเวอร์ชั่นภาษาชาวบ้าน จัดพิมพ์เป็นคู่มือที่มีเกร็ด (เล็กหรือใหญ่ก็แล้วแต่) ความรู้ ลองใช้ในพื้นที่ของพ่อครูบาและเครือข่ายหรือจะส่งมอบต่อให้พี่บางทรายไปใช้ในเครือข่ายดงหลวง น่าจะดี…
    เพ้อเจ้อบ้าง..ฮา ๆ

  • #6 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 July 2010 เวลา 10:44
    ชาวบ้านเค้าก็อดทนมานานแล้วนะครับ จนวันนี้คงทนจะไม่ไหวอยู่แล้ว

    คนที่บักโกรกป่วยไข้มานาน พิมพ์หนังสือแจกก็ไม่อ่าน ต่อให้จับมือทำ พอกลับบ้านก็เฉยเหมือนเดิม เพราะว่าเขามีปัญหาอื่นเยอะแยะอยู่แล้ว… แต่ว่าถ้าเขารู้ว่าทำแล้วเกิดประโยชน์ทันที อย่างนี้จะทำครับ นี่ไง!!! ประชานิยมถึงได้ฮิตติดตลาดไปทั่ว

    ผมคิดว่าทางที่เหมาะคือรวมกำลังสร้างของจริงให้ดู ที่สำคัญคือจะต้องชี้ประโยชน์ด้วยว่าทำแล้วได้ทันทีอย่างไร; ถ้าทำแล้วเขาได้ทันที นั่นล่ะครับ จึงจะสนใจใคร่รู้ ต่อให้ต้องทำเองหรือลงทุนเองก็จะทำ แต่ถ้าทำแล้วมันจะดีขึ้นในอีกสามปี เขาก็จะรอไปก่อน… ชาวบ้านกับนักวิชาการจึงไม่เข้าใจกัน และชาวบ้านจึงถูกพ่อค้าเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลา เพราะพ่อค้าเสนอประโยชน์เฉพาะหน้าให้… เหมือนคนขาดอากาศหายใจ เอาอากาศให้ก็รอดแล้ว ไม่ต้องเป็นออกซิเจนหรอกครับ ใครยื่นอากาศให้ คนนั้นเป็นคนดีโดยอัตโนมัติ

    ผมไม่เชื่อโมเดลของอัศวินม้าขาวที่แก้ปัญหาให้ทุกคนหรอกนะครับ ทำเครื่องสาธิตให้ดูอันเดียว ทิ้งความรู้ไว้ที่แหล่งความรู้เช่นสวนป่า ใครอยากเอาไปทำก็เชิญ ไปเรียนเอาเอง

    ความรู้เกี่ยวกับชีวิตเป็นสหวิทยาการ มีความกว้างและต้องลงลึกได้เมื่อต้องการ อย่างไรก็ตาม จะแก้ปัญหาของชาวบ้านโดยนั่งคิดเอาเองอยู่ในเมืองไม่ได้หรอกนะครับ

  • #7 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 July 2010 เวลา 11:09

    นักวิชาการในหอคอยงาช้าง…เลยงง ๆ
    ทำอะไรไม่ถูกเำพราะไม่เคยทำจริง…เป็นพวก NATO ตลอดกาล

    จะแก้ปัญหาให้ชาวบ้านต้องทำจริง
    ที่ไหนดีคะ … หากมีโอกาสจะได้ร่วมกันช่วยกันค่ะ
    ;)

  • #8 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 July 2010 เวลา 11:18
    ฮาๆๆๆ โธ่ ก็ลงมาจากหอบ้างก็ดีครับ แต่นักวิชาการในหอ ก็ยังดีกว่า CSR แบบยกป้ายถ่ายรูปนะครับ อย่างน้อยก็ยังแนะนำอย่างจริงใจ

    ไปสวนป่าซิครับ ไปกับจานปูก็ได้ (ระวังถูกกรี๊ดใส่) หาโอกาสไปเรียนรู้จากของจริง แล้วมุมมองอาจจะเปลี่ยนไป

  • #9 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 July 2010 เวลา 16:14

    โห ป๋านำเข้าสู่บทเรียนได้ถูกจายยเจง ๆ ถ้าแน่จริงต้องไปดูให้เห็น ไปให้ถึงแหล่งเรียนรู้ที่เขามีการปฏิบัติกันจริง ๆ น่าจะดีเนาะคะ

    คิด(ไปเอง)เยอะ ออกแบบแยะ แต่ไม่เคยปฏิบัติ ก็ได้แต่นั่งสงสัยไปเรื่อย ๆ ยังไงไปให้ถึงแหล่งเรียนรู้จริง ก็มีโอกาสได้ “อะไร” มากกว่านั่งรอบนหอคอยอ่ะนะ (สูงมากไม๊ มีบริการสั่งของกิน delivery อ๊ะป่าว ขึ้นลงระวังมีปัญหาเรื่องหัวเข่าและไขข้อนะ กั่กๆๆ)  

    ให้โอกาสกับชีวิตด้วยการเพิ่มมุมมองใหม่ ๆ บ้าง ก็ไม่เลวนะคะ
    สะดวกเมื่อไหร่ว่ามาเลยค่ะ แจ้งล่วงหน้าซัก 2 เดือนน่าจะดี อิอิ    ครูปูยินดีเป็นเพื่อนร่วมทางเสมอค่ะ แต่ไม่สะดวกนำทางนะคะ เพราะก่อนมาใช้นามสกุลนี้ เคยใช้ “แซ่หลง” มาก่อนอ่ะค่ะ กร๊ากกก….

    หมายเหตุ  ไม่เคยกรี๊ดใส่ใครเลยนะคะ เพราะเกรงว่าจะไม่งามอ่ะค่ะ เอิ๊กซ์ :P

  • #10 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 July 2010 เวลา 16:22
    แหม เม้นท์ซะยาวเชียว สงสัยถูกใจจริงๆ

    กำลังเขียนตอนต่อไปอยู่พอดี ไม่พูดมากล่ะครับ เดี๋ยวหมดมุกเขียน

  • #11 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 25 July 2010 เวลา 19:48

    ขออนุญาตใช้พื้นที่บันทึกคุณ Logosนี้คุยกันค่ะ
    ขอบคุณล่วงหน้าค่ะ

    ครูปูคะ นักวิชาการนั้น ก็คล้ายกับ “ราพันเซล”ที่ถูกแม่เลี้ยงใจร้ายจองจำไว้บนปราสาท ต้องไว้ผมให้ยาว ๆ พอที่จะหย่อนลงไปรับเจ้าชายขึ้นมาช่วยตัวเองลงไปจากหอคอยที่ถูกขังอยู่ได้ (การ์ตูนแสนสนุกที่ดูตั้งแต่เด็ก ๆ)

    นักวิชาการมักติด “กรอบ” (เหมือนติดอยู่บนปราสาท) ที่ไม่รู้ใครสร้างขึ้นมา บางทีอาจสร้างขึ้นมาเองก็เป็นได้

    ที่ทำงานของตัวเองเขาเรียกว่า “หอคอยงาช้าง” บางทีก็เรียก “ศาลพระภูมิ” เพราะทำเรื่องนโยบายการศึกษาของชาติแต่…นำไปปฏิบัติจริงไม่ได้สักเรื่องเลย…(ฮาไม่ออก)

    ชินแล้วด้วยค่ะ ที่จะถูกหาว่าเป็น นักวิชาเกิน พวกเพ้อเจ้ออยู่บนหอคอย น่ะ…เห็นด้วย ๆๆอย่างแรง เพราะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ

    สวนป่าของครูบานั้นเคยไปประมาณ 4 ครั้ง แต่ไม่ค่อยได้เดินดูหรือศึกษาอะไร เพราะมัวแต่เป็นนักวิชาเกิน คอยประสานงานดูแลผู้ใหญ่ที่ไปดูงานค่ะ

    หากฤกษ์งามยามดี เราคงได้ไปที่สวนป่าด้วยกันนะคะ

    ปล. ถึงกรี๊ดก็ไม่ว่าค่ะ … คงน่ารักดี ไม่น่าเกลียดหรอก…รับรอง

  • #12 ลานซักล้าง » เก็บตะวัน (2) ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 July 2010 เวลา 6:31

    [...] solar collector ที่เขียนไปในตอนที่แล้ว: ฮีลิโอสแตด (Heliostat) [...]

  • #13 sutthinun ให้ความคิดเห็นเมื่อ 27 July 2010 เวลา 5:10

    ทำเรื่องนี้อย่าลืมใส่แว่นตาดำ เดี๋ยวจะตาถั่วได้ แคว๊กๆ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.073583126068115 sec
Sidebar: 0.26282596588135 sec