ถ้าเมืองไทยเป็นรัฐที่ล้มเหลว
วิกิพีเดีย ให้ความหมายของ “รัฐที่ล้มเหลว” ไว้ว่า
รัฐที่ล้มเหลว หรือ (ภาษาอังกฤษ:Failed State) หมายถึง รัฐ ที่ไม่สามารถบริหารการปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือไม่สามารถดำรงรักษาไว้ซึ่งความสงบเรียบร้อยภายใน มีความขัดแย้งทางการเมืองและสังคมอย่างรุนแรง มีการเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย รัฐบาลและกลไกรัฐขาดความมั่นคงและประสิทธิภาพ จนไม่สามารถบริหารประเทศและแก้ปัญหาต่างๆ ให้ประสบผลสำเร็จได้
คำว่า Failed State ถูกหยิบยกขึ้นมาใช้หลายครั้งโดยประเทศที่เรียกตัวเองว่า รัฐที่เจริญแล้ว (Enlightened State) เพื่อสร้างความชอบธรรมในการใช้ความรุนแรง โดยอ้างว่าทำไปเพื่อปกป้องประชาชนของรัฐที่ล้มละลาย รัฐอันธพาล (Rogue State) หรือรัฐก่อการร้าย (Terrorist State) โดยวิธีการที่อาจจะผิดกฎหมายแต่ก็มีความชอบธรรม (Illegal but Legitimate)
โดยมีตัวชีวัด 12 ข้อ ดังนี้
ตัวชี้วัดทางสังคม
1. แรงกดดันทางประชากรศาสตร์ 2. การย้ายถิ่นฐานของประชาชน 3. กรณีความขัดแย้งของแต่ละกลุ่มชน ซึ่งเป็นผลจากความไม่พอใจในอดีต 4. ปัญหาการไหลออกของทุนมนุษย์ (สมองไหล)
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจ
5. ความไม่แน่นอนของการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ : โดยพิจารณาถึงความไม่เสมอภาคของประชากร (ความเหลื่อมล้ำ) ซึ่งสามารถเห็นได้จากโอกาสทางการศึกษา การงาน และสถานะทางเศรษฐกิจ อีกทั้งยังสามารถวัดได้โดยตัวเลขกลุ่มคนยากจน อัตราการเกิดการตาย หรือระดับการศึกษา 6. ความชัดเจน และ/หรือ ความรุนของการถดถอยของเศรษฐกิจ
ตัวชี้วัดทางการเมือง
7. การปกครองของรัฐที่ไร้ความเป็นธรรม 8. ความเสื่อมถอยของการให้บริการสาธารณะ 9. การละเมิดสิทธิมนุษยชนที่แพร่หลาย 10. การใช้เครื่องมือที่ใช้รักษาความมั่นคง ที่เรียกว่า ‘State within a state’: เป็นลักษณะการปรากฏตัวของกลุ่มอำนาจสูงสุดของรัฐ โดยอาศัยการดำเนินกิจกรรมทางการเมืองที่คุกคามฝ่ายตรงข้าม หรือพลเรือนที่มีความเห็นไม่ตรงกับรัฐ หรือมีความเห็นที่สนับสนุนกลุ่มตรงข้ามรัฐ เปรียบกับการสร้าง “กลุ่มกองกำลังภายในกองกำลังเดียวกัน” เพื่อรับใช้แสวงหาผลประโยชน์ให้กับกองทัพหรือกลุ่มการเมือง ซึ่งในที่สุดจะก่อให้เกิดกลุ่มต่อต้านทั้งในรูปของทหารพลเรือน กองโจร กองกำลังเอกชนติดอาวุธ หรือการใช้ปฏิบัติการต่างๆ ที่ทำให้ความรุนแรงแผ่ขยายออกไป เพื่อต่อต้านกับกองกำลังของรัฐ 11. การก่อตัวของกลุ่มผู้มีอิทธิพลทางความคิด 12. การแทรกแซงกิจการภายในจากรัฐอื่น หรือปัจจัยภายนอก
บันทึกนี้ ก็เป็นเช่นเดียวกับบันทึกอื่นๆ ในบล็อก คือไม่แตะเรื่องการเมือง — ไม่ใช่ว่าผมเรื่อยเจื้อยไม่มีความคิดเห็นทางการเมืองหรอกนะครับ แต่เป็นเพราะเรื่องการเมือง ไม่เหมาะกับบล็อกนี้
จุดที่ผมสนใจคือชีวิตต้องดำเนินต่อไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราทุกคนมีวิถีชีวิตไทยเป็นมรดกจากบรรพบุรุษ (ถึงบางคนไม่สนใจก็เป็นสิทธิส่วนตัว) แต่หากเมืองไทย ตกอยู่ในฐานะรัฐที่ล้มเหลว ชีวิตจะดำเนินต่อไปแบบไหนก็ยังไม่มีคำตอบหรอกครับ บางทีเราทำอะไรโดยไม่ค่อยคิดถึงผลกระทบต่อเนื่องในอนาคต
ข้อมูลจากสำนักงานและแผนพลังงาน กระทรวงพลังงานบอกว่าไทยมีปริมาณน้ำมันสำรองประมาณ 21 วัน ครึ่งหนึ่งเป็นน้ำมันดิบ อีกครึ่งหนึ่งเป็นน้ำมันสำเร็จรูป — คือหากเกิดภาวะวิกฤติขึ้น ดูเหมือนว่าจะมีน้ำมันใช้ไปอีก 21 วัน
แต่หากไม่มีไฟฟ้า เรามีน้ำมันเพียงเท่าที่มีในถังนั่นล่ะครับ ปัมป์น้ำมัน ปัมป์แก๊ส ปัมป์หยอดเหรียญ ใช้ไฟฟ้าทั้งนั้น ปัมป์คันโยกยังมีอยู่บ้าง แต่ก็หายไปเกือบหมดแล้วแม้ในต่างจังหวัด
ผมไม่ได้เป็นผู้รอบรู้ เห็นมาแล้วทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เท่าที่เห็นมา ยังไม่มีท้องถิ่นไหนที่มีความมั่นคงสามเรื่องที่จะช่วยให้ชีวิตปัจจุบันดำรงอยู่ได้ คือความมั่นคงทางอาหาร น้ำ และพลังงาน
ทุกชุมชนต่างอาศัยโครงสร้างพื้นฐานจากรัฐ อาศัยพึ่งพาชุมชนอื่น จนต้นทุนการขนส่งสูงมาก (ร้อยละ 40) ซึ่งหมายความว่าแหล่งผลิต กระจัดกระจายไปทั่ว และไม่อยู่ใกล้แหล่งที่ขายเลย เป็นการความสูญเสียที่ทำให้สินค้ามีราคาแพง แข่งขันยาก กำไรน้อย — และเมื่อการคมนาคมขนส่งเป็นไปไม่ได้ตามปกติ ก็หมายความว่าจะเกิดความขาดแคลนสินค้าขึ้นทั่วทุกพื้นที่
« « Prev : เมื่อไหร่จะคิดเปลี่ยนระบบโทรทัศน์กันเสียที
6 ความคิดเห็น
เข้าใจว่าเป็นคณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ หรือไม่ก็คณะกรรมการธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ชุดแรก ได้ผลักดันเรื่องโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญยิ่งยวด (Critical Infrastructure) ออกมาหลายปีแล้ว ผมไม่รู้ว่ามีความคืบหน้าอย่างไร แต่ในส่วนไอทีและความปลอดภัยทางไอที มีที่เนคเทคและ CIO16 ผลักดันครับ
ภาวะรัฐที่ล้มเหลวจะทำให้เงินไม่มีความหมาย ถึงมีเงินก็ซื้ออะไรไม่ได้ อย่าว่าแต่เงินอยู่ในธนาคารเลยครับ วันนี้ คนไทยมีความรู้ที่จะดำรงชีวิตอยู่มากแค่ไหนครับ อย่างผมเนี่ย ทำกับข้าวไม่เป็น ถ้าไม่มีใครทำให้กิน (ไม่ซื้อนะ) สงสัยอดตาย ความรู้+ผลงานมากมาย ก็ไม่ทำให้รอด — ถึงผมทำกับข้าวเป็น แต่ก็ไม่รู้จะไปหาอะไรมาทำอาหาร ปลูกข้าวก็ไม่เป็น เฮ้อ
เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าปัญหาการขาดแคลนน้ำ จะกลายเป็นปัญหาระดับโลก ภูเขาของเราไม่สูงใหญ่พอที่จะดักกักความชื้นระดับเมฆ แลวเราก็ตัดต้นไม้กันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน แต่จนวันนี้ เรายังไม่มีวิธีการหาน้ำมาเพิ่ม ยกเว้นติดสินบนเทวดา จุดบั้งไฟ หรือแห่นางแมว จะทำยังไงดี
เมื่อไม่มีน้ำ จะผลิตอาหารมาเลี้ยงคนได้อย่างไร อย่าเพิ่งไปคิดถึงการจะเป็นครัวของโลกเลยครับ (ชอบความคิดนี้มาก แต่มีเงื่อนไขเยอะ)
ผมไม่คิดว่าจะมีใครในประเทศไหน ที่เจตนาจะทำให้บ้านของตนเป็นรัฐที่ล้มเหลวหรอกนะครับ แต่มันก็เคยเกิดขึ้นแล้ว และก็คงเกิดขึ้นอีก
เมืองไทยอยู่ในขั้น เหลวแหลก ต่อๆไปก็จะล้ม คว้าน้ำเหลวทุกเรื่อง
เพราะคนไทยลอยเพสังคม เมืองไทยจึงลอยเท้งเต้ง เหมือนผักตบชะวา
ตายอย่างเเขียดแน่ๆอยู่แล้ว
มันไม่ใช่เพราะเสื้อเหลืองเสื้อแดง แต่มันเป็นอะไรที่มากกว่านั้น
ชะตากรรมบ้านเมืองเดินเข้าสู่จุดอับ
พระอาจารย์บอกว่า เลืิอดจะนองท้องช้าง
ตนมีกะตังหนี่ไปอยู่เมืองนอกได้
คนจนๆจะหนีไปไหน
อยากถูก ก็พิสูจน์มา ลงมือทำเสียที
อยากดี ก็ทำอะไรเพื่อผู้อื่นบ้าง
มีความรู้แต่ไม่ใช้ให้เกิดประโยชน์ ก็ไม่ต่างกับไม่มีความรู้หรอกนะครับ
ถ้าอวดอ้างไปทั่ว เหมือนเป็นของที่ไม่ดีจริง จึงอาศัยโฆษณาและพึ่งผู้ที่จิตอ่อนไหว
ช่วยกันดูแลตัวเอง ดูแลคนรอบข้าง ช่วยเหลือสังคมในส่วนที่พอช่วยได้ ก็คงพอแล้วครับ อิอิ
ใครพอแค่ไหน เขาควรตัดสินใจเองเพราะเขารู้ข้อจำกัดของตัวเองดีที่สุด กว้างไปก็เกินกำลัง แคบไปก็ไม่เกิดผล จำกัดอยู่เฉพาะตัวเองคือเห็นแก่ตัว
แคบนักมักคับขยับยาก
กว้างมากไม่มีอะไรจะใส่สม
สูงนักมักลิ่วปลิวตามลม
ต่ำนักมักจมสู่บาดาล…ลอกเอามาฝากครับ