ขับรถประหยัดน้ำมัน
อ่าน: 3024น้ำมันแพง!!! อย่าเพิ่งบ่นเลยครับ มันคงแพงกว่านี้อีก ประเทศไทยใช้ก๊าซธรรมชาติผลิตไฟฟ้าถึง 75% ราคาก๊าซผูกกับราคาน้ำมัน เมื่อน้ำมันขึ้น ราคาก๊าซก็ขึ้นด้วย และในที่สุดไฟฟ้าก็จะตามไปดูแห่
แล้วเราทำอะไรได้บ้างล่ะ
คงไม่มาก แต่ไม่ใช่ว่าทำอะไรไม่ได้เลย แต่ว่าเราจะทำอะไร ต้องอยู่รอดให้ได้ก่อนในวันนี้ก่อน ไม่อย่างนั้นจะคิดทำอะไรในอนาคต ก็เป็นเพียงเรื่องเพ้อเจ้อครับ ไม่ใช่เรื่องผิดที่คิดหรือเรียนไปเรื่อยๆ แต่ความคิดเหล่านี้ ไม่ได้มีผลอะไรหากไม่ลงมือกระทำ เป็นอาการเดียวกับการรักชาติจนน้ำลายฟูมปากนั่นแหละ
ทำไมเทศบาลนอกกรุงเทพจึงไม่มีรถประจำทาง
ทุกเมืองมีการขนส่งมวลชนในบางรูปแบบ (สามล้อ สองแถว รถตู้ มอเตอร์ไซค์ เรือ ฯลฯ) เพียงแต่ “คนนอก” ไม่รู้ ไม่มีแผนที่การเดินทาง ไม่รู้ตำแหน่งท่ารถ ไม่รู้ว่าไปไหน เวลาเท่าไหร่
เคล็ดไม่ลับกับการประหยัดน้ำมัน
ถ้าประหยัดที่สุด คือไม่สตาร์ทรถ — อาเคยบ่นกับพ่อว่ารถเสียบ่อย พ่อบอกอาว่าถ้าจะไม่ต้องซ่อม ก็จอดไว้เฉยๆ ซิ
แต่ถ้าจำเป็นต้องใช้รถยนต์ มีคำแนะนำดังนี้
- ค่อยๆ เร่งรถ อย่าเหยียบพรวดพราดยกเว้นในกรณีฉุกเฉิน เช่นแซง ถ้าจะทำความเร็ว หลีกเลี่ยงการเร่งเครื่องจนเกินขนาดขณะที่ขับขึ้นเขา/ขึ้นเนิน
- ทิ้งระยะห่างจากคันหน้าให้มากหน่อย แบบที่ไม่โดนคันข้างหลังบีบแตรไล่ เวลาคันหน้าแตะเบรค ท่านยังมีเวลาคิดอีกสักพัก
- ช่วงความเร็วที่เครื่องยนต์เผาผลาญเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพที่สุด ขึ้นกับหลายปัจจัย เช่นน้ำหนักบรรทุก ขนาดเครื่องยนต์ ความสึกหรอของเครื่องยนต์ อายุรถ ฯลฯ แต่มักจะอยู่ในช่วง 70-85% ของ “ความเร็วธรรมชาติ” ซึ่งความเร็วธรรมชาตินั้นคือครึ่งหนึ่งของความเร็วสูงสุดที่หน้าปัด เช่นรถผมหน้าปัดมีเลข 260 กม/ชม เป็นเลขสูดสุด ความเร็วธรรมชาติเป็น 130 (ครึ่งหนึ่ง คือเข็มชี้ขึ้นข้างบนตรงๆ) แล้วความเร็วที่ใช้เดินทางคือ 70-85% ของ 130 คือ 90-110
ด้วยวิธีการอย่างนี้ เวลาเดินทางต่างจังหวัด ผมขับได้ 5.6 ลิตร/100 กม (17.9 กม/ลิตร) แต่ถ้ารีบร้อนขับ จะเหลือ 6.5 ลิตร/100 กม (15.4 กม/ลิตร) เคยขับจากพัทยากลับบ้านได้ 4.5 ลิตร/100 กม แต่ได้ครั้งเดียว — ขับบนทางด่วนในกรุงเทพ ถ้ารถไม่ติดมาก อยู่ประมาณ 7.6 ลิตร/100 กม (13.2 กม/ลิตร) ถ้าลงจากทางด่วนแล้ว เอามาคิดได้ลำบากเพราะสภาพการจราจรเป็นองค์ประกอบที่ควบคุมไม่ได้
ความคิดเห็นสำหรับ "ขับรถประหยัดน้ำมัน"