เลี้ยงลูก

โดย Logos เมื่อ 10 August 2008 เวลา 21:40 ในหมวดหมู่ ภาษา วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์, สังคม ชุมชน ครอบครัว #
อ่าน: 3531

พระบรมราโชวาทเรียบเรียงขึ้นตามที่ได้บันทึกพระสุรเสียงไว้
เมื่อพระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้นายบุญยง ว่องวานิช
นายกยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
พร้อมด้วยคณะกรรมการบริหารการชุดใหม่ของยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย ฯ
พ.ศ.๒๕๑๕-๒๕๑๖ รวม ๓๓ คน เฝ้า ฯ ทูลเกล้า ฯ ถวายเงิน
โดยเสด็จพระราชกุศลตามพระราชอัธยาศัย

และรับพระราชทานพระบรมราโชวาท ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน
วันจันทร์ ที่ ๓๐ ตุลาคม ๒๕๑๕

ปัญหาความประพฤติปฏิบัติของเยาวชนก็เป็นที่น่าวิตกขึ้นมาเป็นลำดับ ทำให้น่าห่วงใยยิ่งขึ้นทุกปี แล้วก็ควรที่จะแก้ไข โดยเฉพาะอย่างยุวพุทธิกสมาคมก็มีหน้าที่โดยตรงตามที่ได้ตั้งเอาไว้ แม้สมาคมจะมิได้เป็นหน่วยราชการหรือเป็นส่วนที่ได้รับมอบหมายให้มาทำงานในด้านนี้ แต่โดยที่รวมตัวเข้ามาเป็นสมาคมและตั้งตัวขึ้นมาเป็นยุวพุทธิก ยุวพุทธิกก็มีหน้าที่ที่จะส่งเสริมพุทธศาสนาและเยาวชน ฉะนั้นปัญหาเยาวชนที่วุ่นวายก็อยู่ในข่ายของการศึกษาและเกิดเป็นหน้าที่ขึ้นมา เพราะว่าตัวได้ตั้งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่นั้น

เรื่องปัญหาเยาวชนเหล่านี้ ที่เป็นมาแล้ว หมายถึงที่เป็นมาตั้งแต่อดีตจนถึงเดี๋ยวนี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงมาเรื่อยๆ ก็ด้วยมีเหตุผลทั้งนั้น และที่เป็นไปต่อไป ในอนาคต เราก็คาดคะเนได้ว่า ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลง และจะเป็นผลร้ายสำหรับบ้านเมือง เพราะว่าเยาวชนเหล่านี้ก็จะเป็นผู้ใหญ่ต่อไปผู้ใหญ่ก็หมายความว่าผู้ที่มีอายุมากขึ้น ซึ่งในที่สุดพวกที่เป็นผู้ใหญ่ คือผู้มีอายุมากในสมัยนี้ ก็ย่อมต้องตายไป ทิ้งที่ไว้ให้แก่ผู้ที่เยาว์ ถ้ามีผู้เยาว์ส่วนใหญ่ส่วนมากที่จะเกเร ผู้ใหญ่ก็จะมีหวังจะเป็นผู้ใหญ่ที่เกเรมากเหมือนกัน ถึงแม้จะมีเด็กเกเรมาก แต่เมื่อผู้ใหญ่สามารถและมีจิตใจเรียกว่าจิตใจนักเลง ก็จะมีผู้ใหญ่ที่สามารถจะปกครอง สามารถที่จะปฏิบัติกิจของตัวโดยไม่เกรงกลัวมากเหมือนกัน ฉะนั้นอันตรายของปัญหาเยาวชนนี้จึงอยู่ที่ปัจจุบันมากกว่าอนาคต เพราะว่าในอนาคตพวกที่เกเรย่อมต้องรู้ในผลประโยชน์ของตัวมาก มีแต่ตกหลุมเหลือที่เป็นอาชญากรอาชีพหรือในสันดาน ก็เข้าใจว่าจำนวนน้อยลงกว่าที่เรานึก สำหรับอนาคตก็เข้าใจว่าน่าวิตกพอสมควรเหมือนกัน เพราะว่าพวกที่เกเรด้วยกันก็จะต้องปราบกัน ก็จะทำให้บ้านเมืองอลเวงในอนาคตอยู่ เราไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น เราก็ต้องมาดูว่าทำอย่างไรสำหรับลดความเกเรในปัจจุบัน ซึ่งทำให้เสียหายต่อบ้านเมือง เหตุว่าเยาวชนมีมากว่าผู้ที่เป็นผู้ใหญ่ เพราะอัตราการเกิดของพลเมืองเพิ่มขึ้นโดยเร็วมาก ก็หมายความว่าเฉลี่ยอายุเยาวชนมากกว่าผู้ใหญ่ ฉะนั้นในปัจจุบันนี้จึงมีอันตราย เพราะว่าประชาชนออกไปข้างนอกไม่มีความปลอดภัยแล้ว ก็ต้องมาพิจารณาเหตุผลดูว่าทำไมมีความเกเรมากนัก ก็คงแบ่งไปได้หลายประเด็นหลายเหตุผล อีกข้อหนึ่งที่เป็นวงเล็บก็คือว่าอัตราอาชญากรรมในเมืองไทย และโดยเฉพาะที่พูดกันมากว่าในนครหลวงกรุงเทพธนบุรีนี้ มีอาชญากรรมมาก ความปลอดภัยของประชาชนมีน้อยถ้าไปเปรียบเทียบกับประเทศต่างๆ ซึ่งเรียกว่าเป็นประเทศที่เจริญแล้ว ฟังดูจากผู้ที่ไปต่างประเทศในปัจจุบัน เช่นไปสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งเราถือว่าเป็นพี่ใหญ่ เป็นมหามิตร เป็นตัวอย่าง หรือเป็นสวรรค์ เดินตามถนนไม่ใคร่ได้แล้ว ไม่สามารถที่จะมีความปลอดภัย แม้เมืองไทยที่บอกว่าแย่น่ะ ที่สหรัฐอเมริกาก็แย่กว่า มีคนหลายจำพวกที่ไป ทั้งนักการเมือง ทั้งนักการทูต ทั้งแพทย์ ทั้งวิศวกร หรือนักศึกษา พูดเป็นเสียงเดียวว่า ต่างประเทศที่เขาเจริญที่เขาเป็นสวรรค์ ไม่ใช่สวรรค์ เมืองไทยเป็นสวรรค์ยิ่งกว่า แต่ว่าเหตุนี้เองก็เป็นเหตุของการเพิ่มอาชญากรรมหรือเยาวชนเกเรในเมืองไทย เพราะว่าประชาชนทั้งหมด ทั้งผู้ใหญ่ทั้งเด็กเห็นว่าต่างประเทศ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาหรือยุโรป เป็นพี่ เป็นพี่เบิ้ม เป็นตัวอย่าง เป็นสวรรค์ จึงต้องไปเอาสนใจในสิ่งที่เขามีอยู่ แต่สิ่งที่เขามี เขามีขึ้นมาเพราะประวัติศาสตร์ของเขาตามลำดับ และนิสัยใจคอของประชาชนของเขา เขาตั้งขึ้นมา มานึกว่าจะต้องเป็นลิง เอาอย่างทุกอย่าง ก็เลยทำให้ของเราอาจเสื่อมลงไปได้ เพราะของเราสิ่งที่ดีขัดกับของเขา ก็ต้องเสียไป ถ้ายกตัวอย่างพระพุทธศาสนา คำว่าศาสนาเดี๋ยวนี้กับเยาวชนหรือแม้จะผู้ใหญ่ขนาดผู้ใหญ่ทั้งอายุ ทั้งความรู้ เป็นดอกเตอร์ ศาสนาเป็นสิ่งที่น่าหัวร่อ ก็จริงสำหรับบางความเห็นศาสนาเป็นสิ่งที่น่าหัวร่อจริงๆ เพราะว่างมงาย ครึเชื่อเทวดา เชื่ออภินิหารต่างๆ จึงทำให้ศาสนาไม่มีพลัง ทำให้ไม่น่าเชื่อ เคยได้กล่าวหลายครั้งว่าศาสนาพุทธเราได้เปรียบอย่างยิ่ง เพราะว่าใช้หลักสำคัญก็คือหลักเหตุผล อะไรเกิดมาก็เกิดด้วยเหตุ ต้องมีเหตุอันหนึ่งทำให้เกิด แล้วเหตุนั้นก็เกิดเป็นผลต่อไป ต่อเนื่องไปเรื่อย ในสาขาวิชาต่างๆ ในวิทยาศาสตร์ หรือในปรัชญา หรือในจรรยา หรือในทุกอย่างต้องมีหลักเหตุผล ผลที่เกิดสาวต่อไปถึงต้นได้ แล้วก็ทำนายในอนาคตได้ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะหลักเหตุผลได้ทั้งนั้น เหตุผลไม่ใช่เหตุผลอย่างสั้นๆ เป็นเหตุผล อย่างเห็นการณ์ไกลที่ขอเรียกว่าเหตุผลอย่างเคร่งครัด คือเหตุผลอย่างแท้จริง ฉะนั้นพุทธศาสนาเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับแก้ไขปัญหาเยาวชน แต่ว่าโดยเหตุที่คำว่าศาสนาเสื่อมลงไป เสื่อมไปมากเพราะศาสนาอื่นซึ่งเขาไปเน้นในทางอภินิหารหรือในทางคำสั่งมากเกินไป ไม่ได้นึกถึงธรรมะแท้ๆ ไปนึกถึงศีลหรือไปนึกถึงอภินิหารมากเกินไป ทำให้ศาสนากลายเป็นสิ่งที่โคมลอย และมาถึงศาสนาพุทธ เรียกว่าศาสนาพุทธก็โคมลอยไปด้วย ฉะนั้นวิธีแก้ไข ไม่ใช่ปัญหาเยาวชนเท่านั้นเอง แต่ปัญหายุ่งยากมีอยู่ที่การเมืองด้วย ปัญหาการปกครอง ปัญหาการเป็นอยู่ของคนไทยในเมืองไทยด้วย ก็คือต้องให้คนอยู่ด้วยเหตุผลเป็นข้อสำคัญข้อหนึ่ง แม้จะเป็นต่างศาสนาเราก็นำหลักเหตุผลเข้าไปว่าด้วย ศาสนาอิสลามก็ต้องทำอย่างนั้นเพราะฉะนั้นการที่จะให้ดีขึ้น เราไม่พูดถึงศาสนา แต่ทำตามหลักศาสนาพุทธที่แท้ แล้วนี่ก็เป็นขั้นหนึ่งที่จะเริ่มศึกษาปัญหาเยาวชน

ปัญหาเยาวชนต่อไปจะทำอย่างไร เราก็จะต้องดูข้อเท็จจริงแท้ๆ ว่าเด็กเกิดมาตอนเกิดมาพ่อแม่เลี้ยง ซึ่งเดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยเลี้ยงกันแล้ว แต่ว่าก็ควรจะตามหลักว่าต้องเลี้ยง เลี้ยงก่อนที่จะเข้าโรงเรียน ตอนนั้นสำคัญที่สุดอายุถึง ๓ ขวบ ๔ ขวบนี้ ถ้าเราเลี้ยงให้เข้าใจ น่าประหลาดที่สุดว่าจะทำให้เด็กนั้นเมื่อโตแล้วจำแม้จะจำไม่ได้แต่เข้าในหัว ถ้าสั่งสอนตั้งแต่เริ่มเดินเริ่มพูด สั่งสอนอยู่เรื่อยให้เข้าใจ ให้เคยชินกับความคิดที่ดีที่ตรงเด็กคนนั้นมีหวังจะดี แม้สันดานหรือเรียกว่ากรรมพันธ์ุจะเลว ก็มีหวังที่จะทำให้ดีขึ้น มีเหตุผลขึ้น แล้วก็รั้งเหนี่ยวไม่ให้ไปตามกรรมพันธ์ุซึ่งอาจมีได้ ฉะนั้นก็อยู่ที่พ่อแม่ที่จะมีเวลาที่จะอบรมหรือเลี้ยงดูบ้างหรือไม่ อันนี้ก็เป็นวิธีแก้อย่างหนึ่ง ต้องแก้ที่ผู้ใหญ่ ที่พ่อของเด็ก ที่แม่ของเด็ก ต่อไปเมื่อเข้าโรงเรียน ครูก็ต้องมีศีลธรรมที่ดี แต่ว่าครูของเรามีน้อยเกิดไม่พอแก่จำนวนนักเรียน โรงเรียนก็ไม่มีพอ จะไปว่ารัฐบาล รัฐบาลก็สร้างไม่ไหวเพราะว่าไม่มีทั้งเงินทั้งเวลา เมื่อสร้างโรงเรียนแล้วก็ไม่มีครู อย่างโรงเรียนหลายแห่งนักเรียนสองร้อยสามร้อยคนครูสองคน มันก็ไม่พอ ฉะนั้นอย่างไรก็ต้องแก้ไขปัญหาครู ปัญหาโรงเรียน ต่อไปถึงปัญหาหลักสูตร อันนี้ก็เป็นเรื่องการศึกษาทั้งนั้น หลักสูตรที่มีเดี๋ยวนี้ในทฤษฎีก็มีประถม ๑ ถึง ๗ แล้วก็มัธยมศึกษา ๑ ถึง ๕ หรือ ๖ สำหรับอาชีวะ และที่มีเพิ่มเติมก็มีอนุบาลต่างๆ เรื่องนี้ไปดูข้อเท็จจริง ประถม ๑ ถึง ๔ หรือประถมต้น เมื่อจบประถม ๔ แล้วควรอ่านหนังสือได้ มีความรู้ในทางความประพฤติอะไรพอสมควร แต่มาดูอายุยังเด็กมาก และหลักสูตรของประถม ๑ ถึง ๓ ถ้าไปดูจริงๆ ก็ซ้ำซาก เด็กก็ยังไม่สามารถที่จะรับความรู้ ยิ่งอนุบาลก็ไม่ยิ่งสามารถ ฉะนั้นหลักสูตรตั้งแต่อนุบาล ๑ – ๒ – ๓ ประถม ๑ – ๒ – ๓ หกปีนี่ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลยแก่เด็ก มีแต่เสียเวลาและเสียกำลังครูที่จะสอนเสียห้องเรียนไป อย่างเช่นโรงเรียนประชาบาลซึ่งมีถึงประถม ๔ ก็ต้องมี ๔ ชั้น ครูมี ๒ คน จะทำอย่างไร ก็ต้องรวมชั้นอยู่ดี แล้วลงท้ายก็ต้องสอนซ้ำซากอยู่ไม่ได้หยุด ถ้าหากว่าเปลี่ยน อันนี้ข้อเสนอ ถ้าเปลี่ยนหลักสูตรเป็นประถม ๑ – ๒ – ๓ รวมกันหมด และประถม ๔ ให้เป็นชั้นประถมที่แยกเพื่อที่จะขึ้นไปประถม ๕ – ๖ – ๗ ก็จะกลายเป็นมี ๑ – ๒ – ๓ แล้วก็เรียกเป็นว่าเตรียมประถม แล้วอายุเท่าไรก็เข้าไปเรียนประถมนั่น ครูคนเดียวก็พอ ก็ประหยัดครูไปอีก ๒ คน ประถมตอนปลายคือประถม ๔ – ๕ – ๖ – ๗ ก็เป็น ๔ รวมกันก็เป็นประถม ๔ ชั้น มีประถม ๓ ชั้น แต่ว่ารวมเป็นอันเดียว แล้วก็อนุบาล อย่างนั้นก็จะประหยัดคน ประหยัดครู ประหยัดที่และจะทำให้เด็กสามารถที่จะได้รับความรู้ได้สมกับอายุ แล้วต่อไปอาจมีอันธพาลน้อยลงไป เพราะว่าได้ประหยัดครู สามารถเพิ่มโรงเรียน สามารถเพิ่มจำนวนนักเรียน นี่ก็เป็นแนวความคิด ซึ่งปลีกย่อยมากพอใช้สำหรับเรื่องของยุวพุทธิกสมาคมที่มาขอคำแนะนำ แต่ว่าเป็นแนวความคิดที่แต่ละท่านก็ควรจะไปคิดเพิ่มเติมว่า เมื่อแบ่งปัญหาออกมาเป็นเรื่อง สำหรับเรื่องเยาวชนซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ แบ่งออกมาเป็นเรื่องของศาสนา ปัญหาต่างๆ ในทางศาสนาจะทำอย่างไร ปัญหาในทางการศึกษาแบ่งออกมา แล้วก็ให้แบ่งปลีกย่อยออกไป เมื่อเห็นปัญหาแล้ว สว่างแล้ว ก็อาจหาทางที่จะปฏิบัติ เพราะว่าผู้ที่เป็นสมาชิกสมาคมแต่ละคนก็มีความรู้ และก็มีความสามารถร่วมแรงกันทำกิจกรรมเพื่อที่จะให้เหมาะสมกับนโยบายที่จะตั้งเอาไว้

แต่ก่อนตั้งนโยบายจะต้องเข้าใจปัญหาว่า ปัญหาเยาวชนคืออะไร แล้วที่มาของปัญหา และผลของปัญหาที่จะเป็นอย่างไรต่อไป อันนี้ก็ได้มานึกถึงว่า สามารถที่จะมาวางให้แจ่มแจ้งได้ว่าปัญหามีอะไร ทางแก้ไขมีอย่างไร โดยใช้สมองของสมาชิกและกรรมการทั้งหมดมาคิด ไม่ใช่เพียงแต่มาบอกว่า มาขอพระบรมราโชวาทแล้วก็จะทำตามพระบรมราโชวาทต่อไป เพราะว่าทั้งหมดที่พูดนี้ก็เป็นเพียงกระตุ้นให้ไปคิด ไม่ใช่เป็นโอวาทหรือแถลงนโยบาย เพราะว่าถ้ามาขอให้แถลงนโยบาย จะต้องไปเตรียมหลายวัน พูดถึงหลายวัน กรรมการก็มีเวลาเตรียมมากกว่า อาจพบอะไรขึ้นมาได้ แต่ว่าที่พูดนี้ พูดจากความคิดที่มีในปัจจุบันทันด่วนเวลานี้ ไม่ใช่โดยที่ไปพิจารณามาแล้วมาร่างเป็นโครงการ เป็นหน้าที่ของท่านทั้งหลายที่จะไปร่างเป็นโครงการ เพราะว่าท่านมีความรู้ทั้งนั้น จึงเป็นเจตนาที่ดี ปรารถนาที่จะทำให้บ้านเมืองเจริญขึ้นปลอดภัยขึ้น ที่พูดนี้เพียงแต่ว่าเป็นตัวอย่าง ไม่ครบถ้วน ก็ขอเพิ่มเติมในข้อการศาสนาอีกนิดหนึ่งว่า ส่งเสริมศีลธรรมที่ส่งเสริมอยู่นั้น ศีลก็หมายความว่าข้อห้าม โดยมากเอะอะอะไรก็ให้อยู่ในศีลธรรม หมายความว่าคนไหนที่ประพฤติตามศีล ๕ เป็นต้นจะเป็นคนดี ก็ไม่ได้หมายความเช่นนั้น เพราะว่าศีล ๕ ห้ามไม่ให้ทำโน่นทำนี่ ห้ามตามข้อต่างๆ เช่นห้ามฆ่าคน ฆ่าสัตว์ แต่ฆ่าคนนี่ ที่คนเขาไม่ค่อยกล้าที่จะฆ่าก็เพราะว่ามีกฎหมายบ้านเมือง ส่วนข้ออื่นๆ เช่นศีลห้ามดื่มสุรา เมาสุรา กฎหมายบ้านเมืองไม่ได้ห้ามนอกจากนอกเวลาของคณะปฏิวัติที่จะต้องถูกจับ แต่ว่านอกจากนั้นก็ดื่มก็ดื่มไป ถ้าหากว่าดื่มแล้วเมาในที่ประเจิดประเจ้อแล้ว ทำร้ายคนอื่นนั่นถูกจับ หมายความว่าถูกจับไปตอนที่มีผลขึ้นมาแล้ว ผลในทางกายและในทางกฎหมาย แล้วก็กลัวกัน กลัวศีลนี่ สมมุติว่ากลัวบาป ยกมือไหว้ แล้วก็ถ้าให้ศีล ก็ทำตามศีลนั่น ก็กลัวไม่ได้ทำ เพราะว่าไม่มีข้อปฏิบัติมีแต่ข้อห้าม อันนี้ก็ต้องพยายามพิจารณาเรื่องศาสนาว่าข้อปฏิบัติมีอะไรบ้างที่จะปฏิบัติให้จิตใจเข้มแข็งให้เป็นประโยชน์ได้ จะกลับทางมาให้เป็นที่เข้มแข็ง ที่มีเหตุผล เป็นคนที่แข็งในทางที่ดี เป็นนักเลงในทางที่ดี อันนี้ก็เป็นข้อหนึ่งที่น่าจะพิจารณา และก็หนัก ให้พยายามที่จะอธิบายให้หนักแก่ประชาชนทั่วไป ไม่ใช่เฉพาะแก่เยาวชนว่า การปฏิบัติศีลธรรมคือต้องทั้งศีลและธรรม ไม่ใช่ว่าปฏิบัติเลี่ยงข้อห้าม โดยมากเป็นการเลี่ยงข้อห้ามอยู่เสมอ มีข้อห้ามอะไรก็เลี่ยงได้อย่างฉลาด เพราะเขาไม่ได้ห้ามไว้ว่าอย่าทำ

ในด้านเหตุผลที่ว่าทำไมเยาวชนเดี๋ยวนี้เกเรมาก นอกจากเรื่องความไม่เข้าใจศาสนาหรือเข้าใจเหตุผลในการศึกษาไม่ครบถ้วนแล้ว ยังมีเหตุผลที่เบี้ยวๆ อีก เพราะว่าแต่ก่อนนี้เขาสั่งสอนกันว่าคนที่สุจริตแล้วก็เจริญ ซึ่งไม่จริงเดี๋ยวนี้ คนที่สุจริตท้องแห้ง ไม่ว่าอายุเท่าไร คนสุจริตดูเหมือนว่าท้องแห้ง คนที่เสียสละตายก่อนเขา เพราะว่าต้องเสียสละมาก ต้องไปสู้รบก่อการร้าย หรือผู้ร้ายก็ถูกยิงถูกฆ่า คนที่ไม่กล้า คนที่เรียกว่าไม่สุจริตร่ำรวยขึ้นมาได้เพราะว่าโกงเขา หรือไปหลอกเขา คือไม่ได้โกงก็ไปหลอกเขา ไปเลี่ยงกฎหมายโดยที่อาจไม่ถึงผิดกฎหมาย ไม่ได้โกงแต่ก็รวย ไม่ตาย ก็เพราะว่าเลี่ยง ไม่ไปรบไม่ไปปฏิบัติราชการที่อันตราย เลี่ยงอยู่ที่นั่น มันก็ไม่ตายเท่า หรืออย่างน้อยรู้สึกว่ามีความตายน้อยกว่า แต่ในที่สุดอาจจะหกคะเมนลงมาหัวแตกตายก็ได้ แต่ว่าอย่างไรก็มีความรู้สึกว่าการปฏิบัติตัวโดยสุจริตแล้วท้องแห้ง อยู่ด้วยความขี้ขลาดปลอดภัย ฉะนั้นจิตใจอันนี้มันก็เข้าไปในเยาวชน ทำอะไรง่ายๆ แต่ก่อนนี้เด็กที่ไม่มีกินก็ไปทำงาน ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็ได้มีข้าวกินแล้วชาวบ้านก็ใจดี เห็นเด็กไม่สบายให้กิน ก็ยังเคราะห์ดีว่าเดี๋ยวนี้ก็ยังมี แต่น้อยลง หรือไปหาหลวงพ่อ ไปเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อ ให้ท่านถูไถไป ไม่มีโรงเรียนที่จะไปก็ไปที่วัด ไปหาหลวงพ่อ หรือไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีใครก็ไปที่วัดหลวงพ่อท่านยังเมตตา ท่านบิณฑบาตมาที่ไหนมาท่านก็ให้ แล้วก็ท่านก็สั่งสอน เรื่องที่จริงที่ดีก็คือ ไปหาหลวงพ่อ ถึงท่านก็ตวาดเอาบ้าง ท่านก็ให้อาหารที่ท่านบิณฑบาตมาแบ่งให้ก็พออยู่พอกิน แล้วท่านก็สั่งสอน ก็ได้ความรู้ทั้งในทางศาสนาในทางความประพฤติ ทั้งในความรู้อาชีพ หลวงพ่อท่านสอนได้ เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้ว เพราะว่าอย่างนั้นไม่โก้ ไม่โก๋ แล้วก็ไม่เร็ว จึงตั้งขึ้นมาเป็นแก๊ง เป็นแก๊งขึ้นไปตั้งแต่เยาวชนพวกที่ปล้น เฉพาะอย่างพระนครหลวงนี่เด็กๆ ทั้งนั้น ไม่เกิน ๑๗ – ๑๘ ไปปล้นเขา ไปปล้นอย่างมีเทคนิคสูง เลียนมาจากทีวี เลียนมาจากพี่เบิ้มต่างๆ ที่เขามีความรู้สมัยใหม่ เลียนมาจากข่าว วิธีการไฮแจคเครื่องบินอะไรอย่างนี้ ทำระเบิดแล้วก็มาขู่ แบบเดียวกับที่เขาขู่ในการไฮแจคเครื่องบิน มันง่ายมาก วันๆ ก็ไปจี้รถเมล์ ไปจี้อะไรก็ได้ ได้เงินมาพอกินยิ่งกว่าพอกิน พอที่จะไปเล่นการพนันต่อไป พอที่จะไปซื้อยาเสพติดต่อไป ก็เลยทำให้มันประมูลขึ้นไป และทำให้อันตรายยิ่งขึ้นสำหรับประชาชน

ปัญหาทั้งหมดนี่ก็วางไว้คละอย่างนี้ แล้วก็ให้ไปแยกแยะแล้ววางเป็นโครงการเชื่อว่าคณะบุคคลอย่างเช่น สมาคมนี่ แม้จะมีกำลัง มีความสามารถ มีความตั้งใจที่ดีแล้วก็จะทำไม่ได้ ก็พยายามเลือกส่วนที่ทำได้แล้วก็ทำ จะได้ชื่อว่าได้ทำเป็นตัวอย่าง แล้วก็ทำโดยส่วนรวม สนองคุณของชาติบ้านเมือง ให้สามารถที่จะสร้างบ้านเมืองให้น่าอยู่ยิ่งขึ้น แล้วก็เพื่อช่วยเพื่อนมนุษย์ที่เรียกว่าตกอยู่ในห้วงของทุกข์ คือช่วยพวกเยาวชนที่ไม่สามารถที่จะทำอะไรให้ก้าวหน้าให้เจริญ แล้วก็เชื่อว่าเป็นจุดประสงค์ที่ใหญ่ที่ทางยุวพุทธิกสมาคมอยากที่จะปฏิบัติ ก็ขอฝากความคิดที่ค่อนข้างจะชุลมุนเอาไปแยกแยะ แล้วพยายามพิจารณาดูว่าอะไรรวมกับอะไร แล้วก็สามารถจะปฏิบัติในส่วนที่ดี

ก็ยินดีที่จะช่วยกันพิจารณาในสิ่งใดที่เป็นความเป็นความตายของบ้านเมือง ของส่วนรวม บ้านเมืองของเราก็คือพวกเรานี่เอง ไม่ใช่ผู้อื่น ก็พวกเราเองผู้ที่อาศัยแผ่นดินนี่ ถ้าเราสามารถที่จะสร้างตัวเอง เราก็สามารถสร้างบ้านของเราด้วย โดยมีความสามารถ มีความพอใจ มีความสำเร็จ แล้วก็มีวางโครงการ ฉะนั้นถ้าสามารถที่จะร่วมแรงกันทำคนละไม้คนละมือก็จะเป็นการดี ปัญหาที่แต่ละคนก็สามารถที่จะช่วยกันในด้านหนึ่งๆ ก็ขอให้ช่วยกันแล้วก็ร่วมมือฝากความเข้าใจในจุดประสงค์ของแต่ละคน ก็ยุวพุทธิกสมาคมเดี๋ยวนี้ก็แพร่ไปเกือบทั่วราชอาณาจักร ในแต่ละจังหวัดแต่ละแห่งๆ ก็มีสมาชิก ก็คงสามารถที่จะวางแนวนโยบายให้เข้าใจกันว่าจะส่งเสริมพุทธศาสนาในเยาวชนหรือในผู้ที่ยังถือว่ายังเยาว์อยู่ บางคนก็มีลูก แต่ก็รู้สึกว่ายังเยาว์อยู่ ทำไมจะยังเยาว์ไม่ได้ ความจริงอายุ ๖๐ – ๗๐ ยังเยาว์ก็มีเพราะยังไม่เป็นบัณฑิต เพราะว่ายังไม่มีความรู้เต็มที่ คนที่จะนับตัวเป็นบัณฑิตแท้ๆ ผู้ที่เป็นภันเตแท้ๆ เป็นผู้ที่มีความเป็นทั้งผู้มีอายุ ทั้งผู้มีความรู้ เป็นผู้ใหญ่จริงๆ รู้สึกว่าจะหายาก เพราะว่าต้องครบถ้วนด้วยความรู้ทั้งในด้านวิชาการทั่วๆ ไปส่วนหนึ่ง แล้วก็ในความรู้ในวิชาที่เห็นอะไรๆ ไม่ใช่เป็นอภินิหารแต่ด้วยเห็นเหตุผลอีกส่วนหนึ่ง ฉะนั้นผู้เยาว์หรือยุวพุทธิก หรือไม่จำกัดอายุทั้งหมดนี้ ต้องพยายามที่จะส่งเสริมให้ยุวพุทธิก กลายเป็นผู้ที่มีความรู้สูง ให้มีความรู้สูง เข้าใจ พูดง่าย พูดง่ายสอนง่าย นี่ดูเหมือนเป็นสิ่งที่น่าเสียเปรียบ ใครว่าง่ายสอนง่ายเป็นคนที่เสียเปรียบ แต่ว่าไม่ใช่คนที่ว่าง่ายสอนง่ายนั้นเป็นคนที่ฉลาด พูดอะไรเข้าใจ แม้สมมุติว่าพูดคำสอน คำสั่งสอนนั้นจะมิได้ถูกต้องหมด คนที่ว่าง่ายสอนง่ายฟังแล้วก็รู้เรื่อง รู้ทันที คือรู้โดยความเฉลียวฉลาดของคนมีปัญญา รู้ว่าคำสั่งสอนนั้นน่ะถูกตรงไหนผิดตรงไหน ก็เอามาเป็นประโยชน์ได้โดยเร็ว เพราะว่าเป็นคนฉลาด เป็นคนมีปัญญา ก็เอามาใช้เอามาสะสมเอาไว้ แยกแยะส่วนนี้ไม่ดีส่วนนี้ดี เอามาวางไว้เป็นตู้ๆ เป็นลิ้นชักๆ แล้วก็เราต้องการตัวอย่างในสิ่งที่ดีเราก็ไปเปิดลิ้นชักในสิ่งที่ดี ถ้าอยากดูตัวอย่างที่ไม่ดี ที่จะต้องแก้ไขแล้วก็มาชี้ให้เห็นคุณเห็นโทษ ก็ไปเปิดเอาลิ้นชักส่วนที่ได้รับทราบมาในสิ่งที่เราพิจารณาว่าดีไม่ดี แต่ว่าถ้าว่ายากสอนยาก หมายความว่าเป็นคนที่โง่ โง่เง่า ตื่น สอนเท่าไรๆ ไม่เข้าใจ ต้องเข็นเอาไป ต้องดู ต้องลงโทษ ต้องใช้กำลังถึงจะเข้าใจ หรือบางทีไม่มีวันเข้าใจ คนที่ว่ายากสอนยากอย่างนี้เป็นคนที่น่าสงสาร เป็นคนที่เสียเปรียบที่สุด อันนี้ก็เป็นความคิดสมัยใหม่ ที่เรียกว่าสมัยใหม่ ที่จริงไม่สมัยใหม่ เป็นความคิดที่ผิด แต่ว่าเป็นสมัยใหม่ ว่าคนที่เก่งจะต้องว่ายาก สอนยาก มันถอยหลังเข้าคลอง คลองของเราเกือบแย่แล้ว เหม็นจะตาย แต่ว่ามันถอยหลังจริงๆ คือไม่สามารถที่จะรับรู้อะไรเลย แต่ก็มีปมด้อย ก็ต้องแสดงออกมา ถือว่าส่วนรวม ไปขว้างปาโน่นนี่ด้วยความมีปมด้อยก็เลยทำให้เสียหมด เราต้องพยายามสอนด้วยอุบาย และอุบายนี้ไม่ใช่อุบายที่เลวหรืออุบายที่เรียกว่าทุจริต อุบาย หมายถึงคือการยกเหตุผล ทำให้ผู้ที่ว่ายากสอนยากสามารถที่จะเข้าใจ ก็เลยทำให้เห็นว่า งานหน้าที่ของผู้ที่ตั้งตัวขึ้น มาเป็นยุวพุทธิกสมาคมนี้มีมากจริงๆ ก็ขอให้พยายามพิจารณาด้วยตนเอง และปรึกษาหารือ พยายามแพร่ความคิดที่มีเหตุผลเบื้องต้นแก่สมาชิก ยุวพุทธิกสมาคมด้วยกันซึ่งเข้ามาเป็นสมาคม ไม่ใช่เข้ามาโก้ๆ ไม่ใช่ที่จะมาแต่งใส่เครื่องหมายของสมาคมหรูๆ หรือแสดงตัวว่าเป็นสมาชิกของสมาคมอันมีเกียรติ เพื่อที่จะมีอภิสิทธิ์อะไรเท่านั้นเอง แต่เพราะด้วยศรัทธาว่าเรามีความคิดความเห็นที่ดีที่ถูกต้อง ที่จะทำให้พวกเราเองมีชีวิตที่ใสสะอาด ที่มีความสุขมากขึ้นร่วมกัน ช่วยกัน แล้วก็แผ่ความคิดนี้แก่สมาชิกก่อนให้เข้าใจกันทั่วทุกคนว่าจุดหมายของเราเป็นอย่างไร แล้วต่อไปก็สามารถที่จะไปช่วยเพื่อนฝูงที่ไม่เป็นสมาชิก ต่อไปก็ไปช่วยผู้ที่อยู่ในละแวกบ้านของตัว หรือในที่ที่ต้องขยายออกไปทั่วประเทศทั่วทุกคน เพื่อที่จะให้เราสามารถมีความภูมิใจ มีความสงบ มีความมั่นคงได้ เพราะว่าไม่ได้หมายความว่าจะให้สมาชิกเป็นที่เขาเรียกกันว่า นักบุญผู้สละทุกอย่าง จะเป็นโดยสิ่งตรงข้าม เราทำเพื่อความเจริญเพื่อความพอใจส่วนตัว เพื่อความปลอดภัยส่วนตัว เพื่อความดีส่วนตัวของเรา แต่ว่าทำในทางที่ถูกที่ต้อง และทำในทางที่มีเหตุผล นี่ก็ขอฝากเพิ่มเติมดังนี้เพื่อที่จะไปพิจารณาเป็นการบ้านด้วย

ข้อนี้ก็ขอเพิ่มเติมอีกนิดหนึ่งว่า จริง ถ้ารัฐบาลท่านช่วยก็สะดวก แต่ว่าการที่เป็นสมาคมนี่ดี ที่แสดงว่าเป็นอิสระ เป็นไทแท้ และก็ความจริงการสนับสนุนของฝ่ายรัฐบาลก็มีความจำเป็นอยู่ที่ว่า สั่งง่าย สะดวกใจ แต่ว่า ถ้าทางรัฐบาลท่านเกิดมีนโยบายที่ไม่เหมือนกัน เพราะเราทำงานทีหลัง หรือถ้าท่านมีความคิดเหมือนกับเราท่านก็อยากทำเอง ทำไมยุวพุทธิกสมาคมมายุ่งด้วย ไม่ใช่เรื่อง ลงท้ายเราทำงานเอาไว้ก็เสียเปล่า วิธีที่ดีก็คือทำแล้วก็ทำไป อาศัยประชาชนและอาศัยข้าราชการทุกชั้นที่เป็นคน คือข้าราชการนี้ไม่ใช่สัตว์นรกก็เป็นคน ก็มีความปรารถนาเหมือนกัน จนกระทั่งท่านหัวหน้าคณะปฏิวัตินี่พูดถึงรัฐบาล ถ้าไม่มีรัฐบาลก็มีหัวหน้าคณะปฏิวัติ แล้วก็มีคณะปฏิวัติ คณะบริหารต่างๆ ถ้าจะคิดจะขอให้พิจารณาก็เข้าหาฐานะเป็นคน เป็นคนที่มีความปรารถนาดีก็พอแล้ว แล้วทีหลังถ้าทางรัฐบาลท่านตั้งขึ้นมาเมื่อไร และท่านมีความปรารถนาที่จะให้ความร่วมมือให้ประชาชนร่วมมือเพื่อความประชาธิปไตย ทุกคนต้องขอเพราะต้องการประชาธิปไตย สมาคมก็สามารถที่จะร่วมมือในฐานะที่เป็นประชาชนเพื่อความประชาธิปไตยในการปกครอง แต่ถ้าเราจะบอกว่าต้องให้ทางรัฐบาลตั้งเป็นนโยบายระดับชาติ เราจะได้ประชาธิปไตยอะไรลงท้ายรัฐบาลก็เป็นเผด็จการตลอดเวลา เพราะว่าประชาชนเห็นว่าถ้างานอะไรต้องให้รัฐบาลท่านทำโครงการถึงจะเด่น เราก็ต้องไปพึ่ง เพราะว่าประชาชนไม่ต้องการประชาธิปไตยนี่เอง ถึงไม่มีประชาธิปไตย อันนี้วงเล็บแต่ว่าเรื่องมันเป็นเช่นนี้ เมืองไทยเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ เพราะว่าประชาชนไม่ต้องการ ที่จริงไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล แต่เป็นเรื่องของประชาชนมากกว่า เพราะปรารถนาอะไรก็ต้องทำ หมายความว่าเราทำให้แน่วแน่ตามประสงค์ของเรา แล้วถ้าต้องการความร่วมมือจากหน่วยราชการใดๆ ซึ่งมีเครื่องมือเครื่องใช้หรือมีนโยบายที่จะทำ เราก็ขอ อย่างเช่นที่ว่าเมื่อกี้ การศึกษาน่าจะเปลี่ยนแปลงก็ต้องแก้ไขบ้าง เมื่อแก้ไขแล้ว เราอย่าไปบอกว่านี่ยุวพุทธิกสมาคมเป็นผู้เสนอ ถ้าเป็นนโยบายที่มีผล รัฐบาลท่านก็ยกย่องให้เอง อันนี้ดูอาจจะอธิบายไม่ค่อยถูกนักก็ได้ แต่แนวทางก็คล้ายๆ อย่างนี้แหละ เราก็ทำไปเพื่อส่วนรวม แล้วก็เท่าที่คนที่เรียกว่าเอกชนซึ่งไม่ใช่รัฐบาลจะทำได้ ยิ่งทำได้มากเอกชนยิ่งมีอำนาจคืออำนาจในทางที่ดี แล้วก็ที่ขอมาพบ เอาเงินมาช่วยนี่ และที่ต้อนรับท่านทั้งหลายนี้ไม่ใช่เพราะเอาเงินมาให้ แต่เอาเงินมาช่วยกิจการต่างๆ ที่ทำอยู่ ก็ยินดี เพราะว่าเงินก็เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งสำหรับสิ่งที่ทำไม่ได้ถ้าไม่มีเงิน แต่ว่าสำคัญที่สุดก็คือ อยากให้เข้าใจ แล้วก็อย่าท้อใจ ให้มีกำลังใจในการทำในสิ่งที่ตัวเห็นว่าดี และขอให้แต่ละคนพิจารณาว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อย่าไปหลงเชื่อในสิ่งที่นึกว่าดี นึกว่าโก้ นึกว่าเก๋ แล้วก็ทำ ทำจริงๆ ด้วยความตั้งใจ มีเหตุผลที่ดี จะเป็นทางที่จะแก้ปัญหาที่ว่าเลวร้ายต่างๆ ทุกปัญหา ไม่ใช่เฉพาะปัญหาเยาวชน ปัญหาการปกครอง ปัญหาก่อการร้ายในเมืองต่างๆ หลายแห่งก็แก้ได้ นอกจากนี้ถ้าทุกคนทำด้วยเจตนาดีต่างๆ แล้วจะเป็นการช่วยตัวเองก่อนที่จะช่วยส่วนรวมด้วย เพราะว่าตัวเองมีปัญหา ตัวเองมีความรู้

ก็ขอให้พยายามพิจารณาให้เกิดความคิดที่ดีทั้งหมด ให้เกิดพลังที่จะเป็นผลขึ้นมาสำหรับสร้างสังคมสร้างบ้านเมืองได้ ถ้าเกิดความคิดอะไรก็ควรจะจดเอาไว้ ขอฝากความคิดเพราะอาจไม่สามารถที่จะพูดโดยอ้างว่าเป็นหลักวิชาที่ถูกอะไร แต่ว่าพูดออกมาจากความคิดที่เกิดสงสัยขึ้นมา ก็พูดออกมา อะไรเห็นด้วยก็ไปเขียน ถ้าไม่เห็นด้วยก็ไปดูแก้ไขว่าทำไมไม่เห็นด้วย ก็อาจเป็นเพราะว่าพูดออกมาไม่ชัดเจนก็เป็นได้ ก็ขอให้ไปพิจารณา อย่างน้อยก็คงมีประโยชน์บ้าง ขอจงสามารถที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะเป็นประโยชน์แก่ตนและส่วนรวมโดยทั่วหน้ากัน.

« « Prev : ฟ้าผ่า: ผ่าขึ้นจากดิน หรือผ่าลงดิน

Next : ทดสอบการอัพโหลดรูป » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

1 ความคิดเห็น

  • #1 sasinand ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 August 2008 เวลา 23:01

    คนที่มีลูก มีหลานควรอ่านอย่างยิ่งค่ะ ขอบคุณที่นำมาเผยแพร่นะคะ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.1792151927948 sec
Sidebar: 0.14066195487976 sec