ปรมัตถวิจารณ์เกี่ยวกับพระคุณของแม่
ถอดการบรรยายธรรมของท่านพุทธทาสภิกขุเมื่อวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๒๖ จากหนังสือ พระเจ้าของชาวพุทธ หน้า ๑๒๒-๑๓๕
ปรมัตถวิจารณ์เกี่ยวกับพระคุณของแม่
ท่านสาธุชนผู้มีความสนใจในธรรมทั้งหลาย
การบรรยายปาฐกถาธรรมในวันนี้ อาตมาจะบรรยายในหัวข้อว่า ปรมัตถวิจารณ์เกี่ยวกับพระคุณของแม่.
บางคนอาจะจนึกสงสัยว่า นี่เป็นการแทรกแซงของการบรรยายเกี่ยวกับอิทัปปัจจยตาหรืออย่างไร. อาตมารู้สึกว่าไม่เป็นการแทรกแซงเพราะว่าถ้ารู้จักปฏิบัติเกี่ยยวกับแม่ให้ถูกต้อง. มันก็เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ กฎของอิทัปปัจจยตาอยู่นั่นเอง. แต่เนื่องจากมีผู้ขอร้องให้พูดเรื่องเกี่ยวกับแม่ อาตมาก็ต้องยอมรับ เรียกว่าเกรงใจก็ได้ เพราะเรามันทำงานร่วมกัน.
และคิดดูอีกทีหนึ่งก็รู้สึกว่าเราก็เป็นคนมีแม่ แม้จะเป็นเด็กหัวหงอกแล้วก็ยังมี ใคร ๆ ก็ยังมีแม่ แม่ยังจำเป็นอยู่; แม้แต่เด็กหัวหงอกที่ต้องรับรู้. ขอให้นึกอย่างนี้กันทุกคน ถ้าเป็นเด็กหัวหงอกแล้วยังสนองคุณของแม่ไม่ได้ มันก็ดูกระไรอยู่ จึงเป็นสิ่งที่ต้องศึกษาสำหรับเป็นตัวอย่างแก่เด็กที่ยังไม่นุ่งผ้าเลยทีเดียว.
พ่อสร้างชีวิต แม่สร้างวิญญาณ
ทีนี้เราก็ต้องพิจารณากันถึงคำว่าแม่ สิ่งแรกที่สุดคือจะต้องพิจารณาก็คือข้อว่า ทำไมภาษาบาลีที่ใข้กันอยู่เป็นหลักนี่มีคำว่ามาตาปิตา คือแม่-พ่อ; ไม่เหมือนกับภาษาไทยที่พูดว่าพ่อ-แม่. ทั้งที่ประเทศอินเดียเป็นแม่แบบวัฒนธรรมของไทยเราทุกอย่างทุกประการ. ภาษาอินเดียใช้คำว่า แม่-พ่อ แต่เราก็ยังมาใช้กลับกันว่าพ่อแม่. ข้อนี้ก็เป็นสิ่งที่ควรจะพิจารณาว่าทำไมภาษาบาลีโดยเฉพาะจึงใช้คำว่าแม่และพ่อ
อาตมาเห็นว่า เพราะแม่มาก่อน ถึงก่อน หรือสอนก่อนแก่ลูกเล็ก ๆ นั้น. ทำให้นึกถึงแม่ก่อนพ่อ; จะดูอีกทีว่า เด็กทารกเขาจะออกเสียงว่าแม่ได้ง่ายกว่าพ่อ, คือออกเสียงคำว่าม่าได้ง่ายกว่าที่จะออกเสียงว่าป้า. ออกเสียง ม. ง่ายกว่าออกเสียง ป., เด็กคงจะพูดคำว่าแม่ได้ดีกว่าคำว่าพ่อก็ได้, และเมื่อดูพฤติการณ์ทั่วไปแล้ว แม่มาก่อนพ่อ. สรุปความแล้วก็อาจจะได้เป็นว่า พ่อสร้างชีวิต แม่สร้างวิญญาณ.
ข้อนี้ขอให้สนใจกันสักหน่อยว่า “แม่” สร้างวิญญาณของลูกได้อย่างไร. เราได้มรดกจากแม่ในเรื่องมรรยาทหรือการเป็นอยู่มากกว่าพ่อ; จะขอยกตัวอย่างที่แม่ได้ทำหน้าที่ของแม่ในการสร้างนิสัยอันละเอียดให้แก่ลูก เช่น :- ในความเรียบร้อย แม่กวดขันให้ล้างจานข้าวให้สะอาดให้เรียบร้อย, และเก็บให้เรียบร้อย, เสื้อผ้าต้องเรียบร้อย, ปูที่นอนต้องเรียบร้อย, ล้างมือล้างเท้าสะอาด.
แม่สอนให้ประหยัด เกิดนิสัยประหยัด แม่บังคับให้ใช้น้ำล้างเท้าอย่างประหยัด, ใช้น้ำอาบอย่างประหยัด, ใช้ฟืนอย่างประหยัด เชือกผูกของ กระดาษห่อของ, เศษกระดาษที่พอจะทำเชื้อไฟได้สักนิดหนึ่งก็ยังต้องประหยัด.
แม่สร้างนิสัยอ่อนน้อมถ่อมตน แม่สอนว่ายอมแพ้นั้นไม่ถือว่าเป็นการเสียเกียรติ เพราะให้เรื่องมันระงับไป; แต่ก็ไม่ต้องเสียหายอะไรเพียงแต่ว่าต้องยอมแพ้ มันเป็นการปลอดภัย, และใคร ๆ ก็รักคนที่ยอมแพ้ไม่ให้เรื่องเกิด.
แม่สอนให้เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ แม่สอนว่าให้ลูกแมวได้กินข้าวก่อน แล้วคนจึงกิน, สัตว์เดรัจฉานเป็นเพื่อนของเรา, คนขอทานเป็นเพื่อนของเรา, คนไร้ญาติขาดมิตรมาตายอยู่ตามท่าน้ำเราก็ต้องเอื้อเฟื้อ, ถ้าเรากินเองมันก็ถ่ายออกหมด ถ้าเราให้เพื่อนกินมันอยู่ในหัวใจของเขายาวนานนัก
แม่อบรมนิสัยให้รักน้อง ให้รักเพื่อน แม่สอนว่า น้องเอาเปรียบพี่ได้; แต่พี่เอาเปรียบน้องไม่ได้ น้องโกงพี่ได้, แต่พี่โกงต้องไม่ได้ อย่างนี้เป็นต้น.
แม่สอนให้ดูว่าไก่ไม่มีเห็บ เพราะมันช่วยจิกให้กันและกัน ลูกไก่เล็ก ๆ ยังช่วยจิกเห็บให้ลูกไก่ตัวใหญ่ เห็บที่มันอยู่ตามหน้าตามหงอนซึ่งมันจิกเองไม่ได้ แต่ไก่ก็ไม่มีเห็บเพราะมันปฎิบัติหน้าที่เพื่อนของกันและกัน. แม้แต่ลิงมันก็หาเหาให้แก่กันและกัน, สุนัขมันก็ยังกัดหมัดให้แก่กันและกัน ตรงที่ที่มันกัดเองไม่ได้ เราจึงต้องมีเพื่อน.
แม่อบรมนิสัยกตัญญูรู้คุณ ให้เด็กเล็ก ๆ ช่วยทำงานให้แม่บ้าง ทำอะไรไม่ได้มากก็เพียงแต่ช่วยตำน้ำพริกแกงให้ก็ยังดี, เหยียบขาให้แม่หายเมื่อย, เอาใจใส่แม่เมื่อเจ็บไข้ นี้ปฏิบัติกันมาจนเป็นนิสัย.
เคารพคนแก่คนเฒ่า พระเจ้าพระสงฆ์ ประนมมืออยู่ตลอดเวลา.
ให้ปลูกฝัง คือว่าให้ใช้เวลาว่างปลูกพริก ปลูกมะเขือ ปลูกตะไคร้ ดอกมะลิ ดอกราตรี แม้แต่สับปะรด กล้วย ก็ยังสอนให้ปลูก.
แล้วยังสอนคาถากันขโมยให้ด้วยว่า “ถ้านกกินเป็นบุญ ถ้าคนกินเป็นทาน”. อาตมายังจำได้อยู่กระทั่งบัดนี้ ว่าถ้านกกินให้ถือว่าเราเอาบุญ ถ้าคนมันขโมยเอาไปก็คือว่าให้ทาน แล้วมันก็จะไม่ถูกขโมยเลยจนตลอดชีวิต มันกลายเป็นให้ทานไปเสียทุกที; ถ้าสัตว์มากินก็เอาบุญ ก็ไม่ต้องไปฆ่าสัตว์ ไม่ต้องไปยิงสัตว์.
แม่อบรมนิสัยห้ามเล่นการพนัน แม้แต่หมากรุกก็ไมได้ ห้ามเล่นดนตรี เราชอบต้องแอบเล่น เรื่องชนไก่กัดปลานั้นไม่ต้องพูด, เรื่องเหล้าเรื่องบุหรี่นี้มันเกลียดเอง แม่ไม่ต้องห้าม พ่อและอาก็ไม่เคยแตะต้องสิ่งเหล่านี้ เด็ก ๆ เป็นเด็ก ๆ เห็นคนสูบกัญชาสูบยาแดงด้วยกล้องไม้ไผ่เสียงโคลก ๆ นั่น รู้สึกว่าเขาเป็นวีรบุรุษ แต่เราก็ไม่กล้าลอง.
ทั้งหมดนี้ได้อุปนิสัยมาจากแม่ที่คอยจ้ำจี้จ้ำไชว่ากล่าวอยู่เสมอ. นี่ดูเถอะว่าแม่สร้างอุปนิสัย สร้างดวงใจ พร้อม ๆ กับที่พ่อช่วยสร้างชีวิต โดยส่วนใหญ่หรือโดยส่วนรวม แม่อยู่วงใน พ่ออยู่วงนอก.
ควรดูต่อไปถึงปัญหาว่า เดี๋ยวนี้ในบ้านเมืองเรามีปัญหาเด็ก ๆ ไม่เคารพ ไม่รัก ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ ชวนกันเป็นอันธพาลมากขึ้น เพราะเขาไม่รู้เรื่องแม่ ปัญหากำลังขยายตัวเพราะเด็กไม่รู้ว่าแม่นั้นคืออะไร. แม่บางคนเสียอีกก็ไม่รู้ว่าความป็นแม่คืออะไร นี้ก็มีอยู่เหมือนกัน เพราะเด็ก ๆ เหล่านี้ไม่รู้ว่า การทำให้พ่อแม่ร้อนใจน้ำตาตกในนั้นเป็นความเลวร้ายอย่างใหญ่หลวง เขาจึงยังกระทำกันอยู่. ดังนั้นเราจะต้องสอนให้เขารู้ว่าแม่คืออะไร.
แม่เป็นผู้สร้างโลก
แม่คืออะไร ? เป็นสิ่งที่ทุกคนควรรู้ และรู้โดยปรมัตถ์ชั้นลึกซึ้ง เนื้อความอันลึกซึ้ง, โดยปรมัตถแล้วเราต้องกล่าวว่า แม่เป็นผู้สร้างโลก. โลกจะดีหรือเลวก็เพราะคนในโลกมันดีหรือเลว, คนในโลกมันจะดีหรือเลวก็เพราะว่า แม่ได้สร้างอุปนิสัยคนเหล่านั้นมาอย่างไร. ถ้าสร้างมาดี คนมันดี โลกนี้มันก็ดี ถ้าสร้างมาไม่ดี โลกนี้มันก็ไม่ดี. จึงเห็นได้ว่าแม่อยู่ในฐานะเป็นผู้สร้างโลก ราวกับว่าเป็นพระเจ้า.
แม่เป็นผู้สร้างดวงวิญญาณของลูก แม่ต้องไม่ไปทำหน้าที่พ่อ; ถ้าทำหน้าที่พ่อ พ่อก็จะว่างงาน แล้วโลกก็จะเลวลง ไม่มีใครกล่อมเกลาดวงวิญญาณ. บางพวกเขาแก้ตัวว่ารายได้ไม่พอ แม่ต้องไปช่วยทำงานหารายได้นั้นหลับตาพูด เพราะมันไม่มองดูว่ามันเป็นการเสียหายมากกว่าได้.
ถ้าแม่จะต้องช่วยพ่อทำงาน ก็ต้องไม่ให้เสียหน้าที่ของแม่ คือทำงานชนิดที่ดูแลลูกไปพลางก็ยังได้. คนบางพวกเขายังเอาลูกสะพายหลังไปด้วย เพื่อว่าไม่อยู่ห่างจากลูก.
แม่อบรมความเก่งในบ้าน พ่ออบรมความเก่งนอกบ้าน ในสังคมที่กว้างกว่า แต่แล้วแม่ก็สร้างอุปนิสัยลูกมากกว่าพ่อ.
เราได้รับมรรยาทอุปนิสัยต่าง ๆ นานาติดเนื้อติดตัวมาจนถึงกระทั่งวันนี้. อุปนิสัยประหยัดก็ดี สุภาพก็ดี ขยันขันแข็งก็ดี มาจากแม่โดยตรง, เรียกว่าเป็นเนื้อเป็นตัวมาเพราะการอบรมของแม่. เรายอมรับว่าพ่อช่วยให้เรามีอาหารกิน ให้ปลอดภัย, แต่แม่ก็ยังคงช่วยสร้างดวงวิญญาณของเราอยู่.
พ่อรักเราอยู่วงนอก, แต่แม่รักเราอยู่กับอก ถึงกับว่ากินเลือดในอกแม่ กินนมของแม่, เรียกว่ามีการถ่ายพันธุ์อุปนิสัยมากที่สุด. นักเลงผสมไก่ผสมปลากัดเขาบอกให้ฟังว่า การเลือกพันธุ์ผสมนั้นเขาเลือกตัวเมียมากกว่าตัวผู้. เขาจะเลือกพันธุ์ตัวเมียที่ดีที่สุดมาเป็นแม่พันธุ์, พ่อพันธุ์ไม่ค่อยสำคัญนัก อย่างนี้ก็เป็นสิ่งที่น่าฟัง.
แม่ควรอบรมลูกให้มีจิตใจสูง
ทีนี้ก็จะดูไปถึงการอบรมลูก บางคนสอนลูกไม่ให้ไหว้ใคร เพราะกลัวจะเป็นทาสความคิดความเห็นของใคร. บางคนสอนให้ลูกไหว้ใครจนไม่ต้องดูอะไรเอาเสียเลย. อย่างนี้มันผิดทั้ง ๒ อย่าง อาตมาคิดว่า เราควรจะสอนลูกให้รู้จักเลือกไหว้ใครเสียดีกว่า. ดีกว่าที่จะไหว้ไปตะพึด ดีกว่าที่จะไม่ไหว้เสียเลย, ลูกจะรู้จักเลือกไหว้ จะรู้จักผิดชอบชั่วดีในการรู้จักเลือกไหว้ เป็นการดีกว่าที่จะไม่ให้ไหว้ใครเสียเลย.
วันแรกของโรงเรียนอนุบาล เด็ก ๆ ควรจะเรียนกันแต่ว่าแม่คือใคร, อย่างนี้ดีกว่าเรียนหนังสือ. ไม่ต้องอุตริให้เรียนภาษาต่างประเทศไปตั้งแต่ชั้นอนุบาล โตแล้วก้ไม่รู้ว่าแม่นี่คืออะไร, แม่มีบุญคุณอย่างไรก็ไม่รู้.
แม่ควรอบรมนิสัยจิตใจให้ลูกมันมีความรู้สึกสูง : แม่ควรจะพาลูกไปร้านอาหารที่อร่อย ๆ ร้านของเล่นหรือของแต่งตัวที่มีราคาแพง แล้วก็บอกลูกว่า ทั้งหมดนี้เขามีไว้สำหรับทำให้เราโง่. เด็ก ๆ จะรู้จักคิดไปตั้งแต่เล็ก ๆ ว่า ทั้งหมดนี้มันมีไว้สำหรับทำให้เราโง่อย่างไร. ของแต่งตัวสวย ๆ ของกินอร่อย ๆ ของเล่นตุกตาที่น่ารักอะไรก็ตามเถอะ,
ทั้งหมดนี้แม่จะบอกว่ามีไว้สำหรับทำให้เราโง่ แล้วลูกจะคิดอย่างไร มันจะมีผลอย่างไร ก็ค่อยรู้กันเอง.
สอนให้ลูกรู้ว่าเราจะต้องทำอย่างไร, เราควรมีอะไร, ควรกินอะไร, ควรใช้อะไร, ควรบูชาอะไร, ควรทนุถนอมอะไร, ถึงจะเป็นการถูกต้องที่สุด.
บอกให้ลูกรู้ว่า เรื่องกินก็ดี เรื่องกามก็ดี เรื่องเกียรติก็ดี มันมีลักษณะเหมือนกับดาบสองคม; ใช้ไปทางหนึ่งก็วินาศ ใช้ไปทางหนึ่งก็เจริญ
เด็ก ๆ ควรจะรู้ปรมัตถ์เรื่องตัวกู-ของกูดีอย่างไร เสียหายอย่างไร ทีละเล็กทีละน้อยขึ้นมาตามสมควร, ตามความเหมาะสม. เด็ก ๆ จะต้องรู้จักอดทน เสียสละเพื่อแม่ ให้สมกับความเจ็บปวดที่แม่ได้รับเมื่อคลอดเรามา. ให้เด็ก ๆ เขารู้จักมีอะไรเพื่อจะได้ทำหน้าที่ถูกต้องเป็นผาสุก ไม่ใช่เพื่อยึดมั่นถือมั่น. ลูกควรจะรู้ว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร จะปฏิเสธความเกิดมานี้ไม่ได้ เพราะมันเกิดมาแล้ว มันมีแต่ว่าต่อไปต้องทำอะไร.
ส่งเสริมสัญชาตญาณความถูกต้อง
ทีนี้จะดูถึงข้อที่ว่า แม่พ่อจะต้องส่งเสริมลูกอย่างไร, คือส่งเสริมสัญชาตญาณอย่างไร. พวกเด็ก ๆ ทารกมีสัญชาตญาณแห่งการรักดี ดูเถิด พอเราบอกว่าดีๆ มันก็ดีใจตบพุงแป๊ะ ๆ แป๊ะ ๆ เด็ก ๆ ก็ชอบทำงาน ชอบขอมาทำงานว่านี่หนูทำเอง; จะต้องส่งเสริมสัญชาตญาณแห่งการชอบทำงานนี้ให้ยิ่งขึ้นไปตลอดชีวิต.
เด็ก ๆ จะต้องรู้จักรักผู้อื่น รู้จักสังคมกับผู้อื่น เราจะต้องช่วยเพื่อน เราจะต้องมีเพื่อน ถ้าเราไม่ช่วยเพื่อน เราก็อยู่ไม่ได้ และเราก็กลายเป็นคนมีนิสัยที่เลว.
เด็ก ๆ ทำงานให้สนุก รู้จักเป็นสุขเมื่อกำลังทำงานที่รู้สึกว่าเป็นความถูกต้อง. ความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงิน; เด็กนี้โตขึ้นก็จะรู้จักแสวงหาความสุขใจโดยไม่ต้องใช้เงิน ในชีวิตกับการงานนั้นต้องสิ่งเดียวกันไปเสียเลย. งานคือเกียรติยศสูงสุดของคน การทำงานให้สนุกนี้เป็นหลักสำคัญที่สุด คือการเดินทางถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตา ใครทำงานสนุก คนนั้นเดินตามกฎอิทัปปัจจยตาอย่างยิ่ง.
ทีนี้ลูกโตแล้ว ลูกโตขึ้นมาเป็นหนุ่มเป็นสาวแล้ว ควรจะชี้แจงให้เห็นในส่วนที่ลึกขึ้นไปในฐานะที่เป็นปรมัตถ์ ให้รู้ว่ากามารมณ์กับการสืบพันธุ์นั้นเป็นคนละเรื่องกัน; กามารมณ์เป็นเรื่องของกิเลส มีผลคือบ้าวูบเดียว บ้าวูบเดียวเป็นเรื่องของกามารมณ์ อย่าไปหลงเป็นทาสมัน, แต่เรื่องสิบพันธุ์นั้นเป็นหน้าที่ของมนุษย์ ต้องประพฤติกระทำอย่างถูกต้อง.
เดี๋ยวนี้คนหนุ่มสาวเอาเรื่องกามารมณ์ไปปนกับเรื่องการสืบพันธุ์ แล้วปฏิบัติผิด ๆ; ถ้าปฏิบัติผิดมันก็เสียทีที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เพราะเกิดมาเป็นทาสของกามารมณ์. ใครเขาจะหลงใหลก็ตามใจเขา เราไม่เอา.
ไม่ต้องแต่งงานสมรสเพราะกิเลสต้องการ แต่ต้องแต่งงานเพราะความรู้สึกผิดชอบชั่วดี ว่าเราต้องมีหน้าที่สิบพันธุ์ไว้ ให้มนุษย์เดินทางไปถึงนิพพานให้จงได้. ช่วงคนนี้ไปไม่ถึง ช่วงคนหน้าก็ไปให้ถึง.
การแต่งงานเพื่อแบ่งภาระกัน ให้มนุษย์ได้ทำหน้าที่ของมนุษย์สมบูรณ์ สะดวก โดยเร็ว และโดยง่าย. การแต่งงานเพื่อเป็นคู่คิด เพื่อช่วยกันให้เกิดความง่ายในการก้าวไปข้างหน้า เพื่อความสมบูรณ์แห่งความเป็นมนุษย์; แม้จะพูดว่าเป็นเพื่อนเดินทางไปสู่นิพพานก็ไม่ผิด. แต่คนเขาจะหัวเราะเยาะ นั่นมันคนโง่ ไม่ต้องไปสนใจ.
การสมรส การแต่งงาน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระความยากความลำบากของความเป็นมนุษย์ให้มันง่ายเข้า, ไม่ใข่เพื่อมาหลงใหลในกามารมณ์; เหมือนที่เขาทำกันอยู่โดยมาก เสียสละทุกสิ่งทุกอย่างแพงมาก เพื่อการสมรสและแต่งงาน แต่เพื่อกามารมณ์, ไม่ได้เพื่อการก้าวหน้าไปของความเป็นมนุษย์, สู่จุดหมายปลายทางของความเป็นมนุษย์.
แต่ระวังให้ดี การพูดอย่างนี้มันถูกด่าทุกที มีผู้เอาไปพูดต่อ ก็ยังไม่พ้นจากการถูกด่า; แต่อาตมาก็ยังขอพูดอยู่อย่างนี้. แม่จะสอนให้ลูก ๆ ให้รู้ว่าชีวิตคืออะไร การสมรสคืออะไร; ใครจะด่าก็ตามใจ เราจะทนทำไปเพื่อการบูชาคุณของแม่เองนั้นก็ยังได้.
แม่ทั้งหลายล้วนแต่ต้องการให้ลูกรอด และต้องการให้ลูกไปได้ไกลกว่าพ่อแม่ด้วยกันทั้งนั้น.
พูดถึงแม่แบบปรมัตถธรรม
สรุปความวันนี้เป็นวันแม่ ต้องพูดกันถึงหน้าที่ของแม่ ต้องพูดกันถึงพระคุณแม่ในแง่ที่เป็นปรมัตถวิจารณ์, คือพินิจพิจารณากันในส่วนลึกของความหมาย เรียกว่าปรมัตถวิจารณ์ การพูดอย่างนี้ก็ยังคงอยู่ในชุดของการบรรยายเรื่องประมัตถธรรมกลับมา เพื่อเป็นรากฐานของศีลธรรม.
การปฏิบัติให้ถูกต้องต่อแม่ ต่อพ่อ หรือแม่พ่อปฏิบัติถูกต้องต่อลูก นี้เป็นเรื่องศีลธรรมที่เว้นไมได้ ที่จำเป็นที่สุด, แต่การที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องโดยแท้จริงนั้น ต้องมีความรู้ในส่วนปรมัตถธรรม, คือในส่วนลึกที่สุด ที่มองเห็นยาก, ต้องใช้สติปัญญาพิจารณาว่า ความเป็นพ่อคืออะไร ความเป็นแม่คืออะไร ความเป็นลูกคืออะไร กระทั่งความเป็นหลานเหลนสืบ ๆ ไป คืออะไร. เขาก็จะปฏิบัติได้ถึงความหมายในส่วนลึก; จะได้รับประโยชน์ในส่วนลึก มิใช่สักว่าเกิดมาแล้วก็หลงใหลในกามารมณ์, อย่างดีก็สืบพันธุ์ในลักษณะเหมือนกับที่สัตว์เดรัจฉานสืบพันธุ์ ไม่มีความมุ่งหมายอะไรมากไปกว่านั้น, นี่ก็เพราะไม่รู้ว่าแม่คืออะไร ไม่รู้ว่าแม่คือผู้สร้างดวงวิญญาณของลูก ตั้งแต่วันแรกที่ลูกเกิดมา.
แม่ทำหน้าที่อย่างหนึ่ง พ่อทำหน้าที่อย่างหนึ่ง ถ้าให้แม่ไปทำหน้าที่ของพ่อ โลกนี้ก็จะไม่มีแม่ แล้วมันจะเป็นอย่างไร. มันจะเกิดความทรุดโทรมในด้านจิตด้านวิญญาณ ด้านอุปนิสัยอย่างไร, มันจะไม่มีสิ่งผู้พันอันลึกซึ้งในเรื่องความรัก ในเรื่องความกตัญญู. มันไม่สมกับที่ว่าคำว่าแม่นี้มาก่อนคำว่าพ่อ.
ในภาษาธรรมะ ภาษาบาลี ภาษาศาสนา จะพูดว่ามาตาปิตา แม่พ่อ, ไม่ได้พูดว่าปิตามาตา ไม่เคยพบเลย, เพราะแม่มีความสำคัญในส่วนที่ว่ามาก่อน, ลูกจะเรียกแม่ชัดก่อนที่เรียกพ่อ คำว่าแม่ออกเสียงง่ายสำหรับเด็กทารก อย่างนี้เป็นต้น.
ขอให้สนใจว่าแม่จะนำหน้าที่ในการสร้างอุปนิสัยชีวิตวิญญาณในด้านลึกของลูก. เราจึงควรพิจารณากันในลักษณะที่ว่าเป็นปรมัตถวิจารณ์.
ปรมัตถธรรมอย่างนี้มาแล้ว ศีลธรรมก็จะมีรากฐานที่มั่นคง จะก้าวหน้า ถูกต้อง และลึกซึ้ง. มันเป็นกฎของอิทัปปัจจยตาอย่างนี้เอง, ชีวิตทุกก้าวย่างต้องเดินตามกฎของอิทัปปัจจยตา. ไม่ว่าจะอยู่เป็นชาวนา หรือว่าจะบรรลุนิพพาน มันเป็นกฎที่เฉียบขาดว่าเราทุกคนจะต้องเดินให้ถูกต้องตามกฎของธรรมชาติอันเฉียบขาด เหมือนกับพระเป็นเจ้า.
แม่ก็มีหน้าที่สร้างโลกเหมือนกับพระเป็นเจ้า เพราะเกิดมาก็สร้างอุปนิสัยของเด็กทุกคนในโลก จนโตขึ้นมาแล้วก็จะได้เป็นพลโลกที่ดี. แม่ก็สร้างโลกนี้เหมือนกับที่พระเจ้าสร้างโลก และก็โดยกฎของพระเจ้าผู้สร้างโลก คือกฎของอิทัปปัจนยตานั่นเอง จะเดินตามกฎของอิทัปปัจยตา ไม่ว่าจะอยู่เป็นชาวนาหรีอว่าจะบรรลุนิพพาน.
พูดอย่างนี้ก็หมายความว่า พูดให้มันหมดจดสิ้นเชิงถ้าจะอยู่กันในระดับต่ำ เป็นชาวนาหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง มันก็ต้องเดินตามกฎของอิทัปปัจยตา. แม่ของชาวนาก็ต้องเป็นแม่ที่ถูกต้อง เป็นแม่ที่เป็นอาจารย์ของลูกที่ดี เป็นพระพรหมของลูกที่ดี เป็นอาหุเนยยบุคคลของลูกที่ดี; ไม่มีอะไรดีไปกว่าแม่ในแง่นี้ของลูกแต่ละคน ๆ จึงว่าแม้จะอยู่เป็นชาวนา ก็ต้องเดินตามกฎของอิทัปปัจยตา.
ทีนี้ถ้าจะก้าวหน้าหรือจะบรรลุนิพพานอันสูงสุด ก็ยิ่งต้องเดินตามกฎของอิทัปปัจยตาให้ถูกต้องทุกกระเบียดนิ้วเป็นลำดับ ๆ ไป, ก็จะไม่เหลือวิสัยที่คนเราจะบรรลุนิพพาน คือมีชีวิตอันเหยือกเย็นที่นี่และเดี๋ยวนี้ ไม่ต้องรอต่อตายแล้ว.
ถ้าปฏิบัติเพื่อความเยือกเย็นถูกต้องได้ที่นี่และเดี๋ยวนี้ ตายแล้วก็ไม่ต้องสงสัย เรียกว่ามีชีวิตเยือกเย็นทีนี่และเดี๋ยวนี้, จะได้รับประโยชน์กว่า. ถ้าที่นี่เดี๋ยวนี้ได้รับ. ตายแล้วก็ไม่ต้องสงสัย ไม่ต้องเป็นห่วงต่อเรื่องตายแล้ว; ขอแต่ให้ทำให้ถูกต้องที่นี่และเดี๋ยวนี้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ก็เป็นการรับประกันตลอดไป. นี่แม่จะต้องปลูกฝังความรู้อันนี้ให้แก่ลูก ลูกก็จะเดินถูกทาง แล้วก็พร้อมที่จะเป็นแม่ที่ดีเป็นพ่อที่ดีสืบต่อๆ กันไปในอนาคต.
ทั้งหมดนี้เราเรียกว่าปรมัตถวิจารณ์เกี่ยวกับพระคุณของแม่. ดูพระคุณของแม่ในด้านลึกแล้ว จะได้เคารพรักกตัญญูเชื่อฟังพ่อแม่กันอย่างสูงสุด. เพื่อเตรียมตัวเป็นพ่อแม่ที่ดีสืบไปในเมื่อถึงรอบเวรของตนเข้า.
ปรมัตถวิจารณ์นี้ขอให้เป็นที่สนใจแก่บุคคลทั้งหลายที่จะเป็นพ่อเป็นแม่ ให้เป็นความรู้ที่ต้องใช้ ทั้งแก่เด็กที่กำลังอมมือและแก่เด็กที่หัวหงอกแล้ว, อย่าได้มีอะไรผิดพลาดในเรื่องหน้าที่ของแม่และลูกต่อไปอีกเลย. หวังว่าพ่อแม่และลูกหลายทั้งหลายจะมีความรู้เรื่องนี้อย่างเพียงพอ, ปฏิบัติแล้วไม่บกพร่องในหน้าที่ของตน ๆ จะได้ประสบความสุขในฐานะที่เป็นมนุษย์อยู่ทุกทิพาราตรีกาลเป็นแน่นอน
ขอให้ความหวังอันนี้จงสำเร็จสมควรปรารถนาเพราะว่าเรามีความเป็นพุทธบริษัทที่แท้จริง มีความเชื่อถูกต้องมีความพากเพียรถูกต้อง มีความกล้าหาญอย่างถูกต้อง แล้วเป็นอยู่ด้วยความถูกต้องนั้น เป็นสุขอยู่ทุกทิพาราตรีกาลเทอญ.
« « Prev : สลายความขัดแย้ง, นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ และ เศรษฐศาสตร์แนวพุทธ
Next : สิ่งที่น่ารัก และควรรักที่สุด » »
1 ความคิดเห็น
ขอบคุณนะคะ อ่านแล้วใจเบาสบาย ซาบซึ้งในพระคุณของแม่ และภาระกิจที่ยิ่งใหญ่ที่คนเป็น “แม่” พึงกระทำ
วันก่อนดูรายการของท่านแม่ชีศันสนีย์ ท่านพูดไว้สะกิดใจว่า “พ่อก็เป็นแม่ได้”
ก็มาคิดต่อและตั้งคำถามกับตัวเองค่ะว่า คำว่า “แม่” ในทางพุทธคงรวมการเป็นสัญลักษณ์ของการเป็น ผู้ให้ ผู้สร้าง ผู้เจริญงอกงามทางปัญญาและเมตตาถ่ายทอดให้กับผู้อื่นที่มาทีหลังฯลฯ (นอกเหนือจากความจริงที่ว่า เป้นผู้หญิงที่ให้กำเนิดบุตร) ด้วยกระมัง