หลังวิกฤติ
กระแสพระบรมราโชวาทเรียบเรียงขึ้นตามที่ได้บันทึกพระสุรเสียงไว้
พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ ในโอกาสเข้าเฝ้า ฯ
ณ อาคารใหม่ สวนอัมพร
วันเสาร์ ที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๑๖ข้าพเจ้ามีความยินดีที่ได้มีโอกาสพบปะกับนักเรียนนักศึกษาทั้งหลาย ผู้เป็นผู้แทนของนักเรียนและนักศึกษาอีกมากหลาย และทราบดีว่าในระยะนี้มีความสะเทือนใจมาก โดยได้มีเหตุการณ์เกิดขึ้นที่ทำให้มีความรู้สึกเป็นพิเศษ เรื่องที่ได้ผ่านมานี้ย่อมเป็นสิ่งที่น่าสะเทือนใจมากจริง ๆ แต่ว่าถ้าเราทุกคนจะพิจารณาดูแล้วก็จะต้องถือว่าเป็นบทเรียน และเป็นสิ่งที่จะเป็นรากฐานสำหรับอนาคตได้ ฉะนั้นเหตุต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจึงต้องรับการพิจารณาอย่างรอบคอบ ในเบื้องต้นก็ขอแสดงความชื่นชม แม้ว่าอยู่ในสถานการณ์ที่น่าหนักใจปานใด แต่ความร่วมมือของเหล่านักเรียนนักศึกษาก็ทำให้สามารถกลับคืนสู่สภาพปรกติในไม่ช้าในเวลาอันสั้น ที่เห็นได้ชัดอย่างยิ่งก็เช่นการจราจร ซึ่งในเวลาที่ปั่นป่วน มีเหล่าลูกเสือได้มาช่วยอำนวยความสะดวก ซึ่งทำให้สถานการณ์เบาบางลงไปอย่างยิ่ง นอกจากนี้เวลามีเหตุอะไร ทุกคนก็ได้ช่วยกันเพื่อให้ระงับเหตุ อันนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้บ้านเมืองของเราแม้จะมีความปั่นป่วนได้กลับคืนสู่สภาพปรกติได้ และอย่างที่อธิบดีได้กล่าวว่านานาประเทศได้มีความยุ่งยาก แต่ประเทศไทยแม้จะมีความยุ่งยากก็ยังอยู่ได้ มั่นคงได้ อันนี้เป็นความลับ ฉะนั้นทุกคนจะเป็นนักเรียน จะเป็นนักศึกษา จะเป็นครูในสถาบันใดก็ตาม ตลอดจนประชาชนทั่วไปก็จะต้องสำนึกถึงข้อนี้ซึ่งสำคัญ คือคนไทยทุกคนไม่ว่าจะอยู่ในวัยใด มีศาสนาใด มีอาชีพใด ย่อมต้องช่วยซึ่งกันและกัน ช่วยกันอุ้มชูชาติบ้านเมืองคือส่วนรวมให้อยู่ได้ ข้อนี้ได้พูดมาเสมอ และคงได้ยินจากหลายคนที่ให้คำแนะนำให้โอวาทว่าทุกคนต้องนึกถึงส่วนรวมเป็นที่ตั้ง ที่ต้องเห็นแก่ส่วนรวมเป็นที่ ตั้งนั้นก็เพราะเหตุว่า แต่ละคน แต่ละบุคคลต้องอาศัยส่วนรวมเป็นที่อยู่อาศัย ถ้าส่วนรวมอยู่เย็นเป็นสุขแต่ละบุคคลก็อยู่เย็นเป็นสุข ฉะนั้นทุกคนมีหน้าที่ที่จะสร้างให้ส่วนรวมมีความมั่นคงและความสงบ
เพื่อการนี้ก็ต้องพิจารณาต่อไปว่าจะทำอย่างไร แต่ละคนมีหน้าที่และได้รับคำบอกอยู่เสมอว่านักเรียนก็มีหน้าที่ที่จะเรียน อันนี้อาจน่ารำคาญบ้าง แต่ว่าเหตุผล คือแต่ละคนมีพลังของตัวสร้างขึ้นมา และรวมพลังก็เป็นพลังแรง พลังนี้มีหลายชนิด พลังกายและพลังใจ ทั้งพลังความรู้ ถ้าได้รวบรวมพลังกายได้แล้วก็เป็นสิ่งอย่างหนึ่งที่น่าชื่นชม เพื่อให้พลังกายนี้ได้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมได้มากยิ่งขึ้น ต้องพยายามที่จะสร้างพลังวิชาความรู้และพลังใจให้มีขึ้น พลังจิตใจนี้ถ้าพูดโดยส่วนรวมแล้วเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะรวมทั้งเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะทราบว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร ทั้งทำให้สามารถที่จะคิดดีชอบเพื่อให้ตนได้สามารถปฏิบัติหน้าที่ของตน เพื่อตนเองและเพื่อส่วนรวมได้ดี ยกตัวอย่างเวลาเรามีความโกรธแค้น เราก็มีกำลังกายมาก แต่ว่ากำลังกายนั้นอาจมีไม่ได้เต็มที่ คือไม่ได้รับการควบคุมจากวิชาความรู้หรือสิ่งที่ดีที่อยู่ในตัวได้ อาจเปะปะไปบ้าง ฉะนั้นความโกรธนั้นก็เป็นผลทำให้เราไม่สามารถที่จะใช้กำลังกายโดยเต็มเปี่ยม เหตุผลก็คือเวลาเรามีความโกรธ จิตใจของเราไม่สว่าง มีสิ่งที่มาครอบอยู่ ทำให้มืดมนไม่เห็นทางเราจึงอาจเปะปะ และมิใช่เฉพาะความโกรธ ความเศร้าก็ทำให้มืดก็ได้ หรือแม้แต่ความดีใจก็ทำให้มืดก็ได้ ฉะนั้นทุกคนจึงมีหน้าที่ที่จะควบคุมจิตใจ ทั้งจิตใจทางโกรธ ทางเศร้า หรือทางดีใจเพื่อให้ทุกคน สามารถที่จะมีความสว่างในใจ
ในวันนี้เพื่อที่จะให้ขจัดความเศร้าหรือความโกรธหรือความดีใจเพื่อให้มีความสว่างจึงได้มีการสวดมนต์ของพระทั่วราชอาณาจักร เพื่อที่จะให้มีความสว่างไสวในใจของประชาชนทุกคน การสวดมนต์ครั้งนี้ก็เป็นทางหนึ่งที่จะทำให้ระลึกถึงสิ่งที่ดีที่งาม และทำให้บุคคลแต่ละคนสามารถที่จะหาความสว่าง ที่สวดมนต์วันนี้ก็เป็นการสวดมนต์ทางพุทธศาสนา แต่ศาสนาอื่น ๆ ก็ได้มีการสวดมนต์เหมือนกัน ประชาชนในประเทศไทยก็มีศาสนาต่าง ๆ นานา แต่ละคนก็มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่จะยึดและมีความดีที่จะยึด ฉะนั้นควรที่จะพยายามที่จะยึดสิ่งที่ดีเพื่อความสว่างของตน
คราวนี้มาว่าถึงวิธีที่จะทำให้มีความสว่าง สามารถที่จะมองเห็นสิ่งที่ดีที่งาม และสามารถที่จะสร้างกำลังใจ และกำลังวิชาให้แก่ตน คือแต่ละคนที่มาในวันนี้ก็เป็นผู้ที่กำลังศึกษาวิชาความรู้ในด้านต่าง ๆ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในวันข้างหน้าเพื่อสร้างตน สร้างบ้านเมืองให้มีความเจริญ ให้สามารถที่จะใช้วิชาความรู้ให้เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมและแก่ส่วนตัว ถ้าแต่ละคนพากเพียรที่จะศึกษาในวิชาการ จะเป็นวิชาการใดก็ตามอย่างเคร่งครัดและอย่างขะมักเขม้น ก็จะแก้ปัญหาในการสร้างบ้านเมืองได้อย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าถ้าขาดวิชาความรู้ก็เท่ากับไม่สามารถที่จะใช้กำลังของตนเพื่อให้เป็นประโยชน์ได้เต็มที่ เมื่อมีโอกาสเรียน ก็จะทำให้สร้างเสริมตนเองให้มีสามารถสูง ทำให้มีทางที่จะช่วยส่วนรวมมากขึ้น ตัวเองเท่ากับเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่ง เครื่องมือทุกชนิดถ้าเราไม่สามารถที่จะใช้ ก็ไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เครื่องมือมีเครื่องมือที่ง่ายๆ และมีเครื่องมือที่ค่อนข้างจะมีกลไกที่ยุ่งยากและสับสน กลไกที่ยุ่งยากสับสนนั้น ถ้าทุกคนจะใช้ก็ต้องพยายามเรียนรู้ แต่กลไกที่ง่ายๆ หรือเครื่องมือที่ง่ายๆ ก็ต้องเรียนรู้เหมือนกัน ให้ยกตัวอย่างที่ง่ายที่สุดคืออย่างไม้บรรทัดที่แต่ละคนต้องใช้ทุกวิชาเขาก็ใช้ไม้บรรทัดตีเส้น โดยเฉพาะวิชาอย่างช่างก่อสร้างเขาก็ใช้ไม้บรรทัดสำหรับขีดเส้น ถ้าหากเราใช้ไม่เป็นก็ถือว่าเป็นไม้ แล้วก็เท่าที่ได้เห็น บางทีเคยเห็นเขาถือไม้บรรทัดไว้เป็นสำหรับตีหัวคน ไม่ใช่สำหรับมาใช้เพื่อที่จะวัดส่วนและขีดเส้น การใช้ไม้บรรทัดมาตีหัวคนนั้น ก็มีประโยชน์เหมือนกัน แต่ว่าประโยชน์ของไม้บรรทัดก็จำกัดในข้อนั้น ใช้ไม้อื่น ๆ ก็ยังได้ แต่ถ้ามาใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่ของไม้บรรทัด ก็จะทำให้สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ดี แล้วก็เป็นประโยชน์มากขึ้นตามลำดับ ไม้บรรทัดนั้น ส่วนมากก็มีขีดเอาไว้ว่ามีเซนติเมตร บางอันที่มีมากกว่า อาจมีเป็นมุมฉากหรือเป็นมุมต่าง ๆ ถ้าเรามาใช้ประโยชน์จากไม้บรรทัดนี้ เราก็จะสามารถจะสร้างตึกรามที่ใหญ่โต เขียนแบบเขื่อนหรือสร้างถนนได้ เป็นประโยชน์แก่ส่วนรวมแก่ตนเองได้มาก ฉะนั้นการใช้เครื่องมือก็ย่อมต้องเรียนรู้วิชาให้ใช้เป็นประโยชน์ให้ใช้เต็มที่ แต่ละคนมีสมอง มีกาย ก็ต้องเรียนรู้ที่จะใช้ให้ถูกต้องเพื่อที่จะเป็นประโยชน์แก่ตน ประโยชน์แก่ส่วนรวม จึงขอวิงวอนให้นักเรียน นักศึกษาทั้งหลายให้พยายามที่จะสร้างตนเองด้วยการขะมักเขม้นในการเรียน การเรียนนี้เขาอาจว่าได้ว่าที่บอกให้เรียนเถิดนั้น อาจนึกว่าให้เรียนเพราะว่าไม่อยากให้มาก่อความวุ่นวาย ถ้ามาถามว่าเป็นเช่นนี้จริงหรือเปล่า ก็ขอตอบว่าจริงส่วนหนึ่ง เพราะว่าคนที่มีความรู้จะสามารถที่จะก่อความวุ่นวายในทางที่มีประโยชน์ถ้าเราก่อวุ่นวายทั้งที ก็ขอให้ก่อวุ่นวายที่เป็นประโยชน์ ในระยะเวลาที่ผ่านมาก็เป็นเวลาหลายปีอยู่ ก็เห็นว่ามีการแสดงความวุ่นวายที่เป็นประโยชน์บ้างไม่เป็นประโยชน์บ้าง แต่ที่ไม่เป็นประโยชน์ก็มากอยู่ ไอ้ไม่เป็นประโยชน์นี้แหละที่หนักใจ ถึงขอให้ทุกคนพิจารณาในการหาความรู้วิชาการและหาความรู้ในทางจิตใจ เพื่อที่จะให้ความวุ่นวายที่ไม่เป็นประโยชน์นั้นเป็นประโยชน์ขึ้นมา ความวุ่นวายที่จะไม่เป็นประโยชน์นั้นเป็นสิ่งที่มีข้อเสียหายหลายอย่าง เสียหายต่อตนเอง คือแต่ละคน แต่ละนักเรียน แต่ละนักศึกษา และเป็นข้อเสียแก่บ้านเมือง คือข้อเสียแก่แต่ละคน และแก่ชื่อเสียงของสถาบันของตน จะเป็นโรงเรียน จะเป็นมหาวิทยาลัย จะเป็นวิทยาลัยก็ตาม เสียหายเพราะว่าทำให้คนเขาเสื่อมความนับถือ ถ้าก่อความวุ่นวายที่ไร้ประโยชน์ ทำให้เสื่อมความนับถือ ก็ทำให้เสื่อมกำลังของตนเองด้วยซ้ำเพราะว่าคนก็ระแวงคนก็ดูถูก ฉะนั้นที่ขอวิงวอนให้เรียนและไม่ให้ก่อวุ่นวายนั้นไม่ใช่เพราะผู้พูดวิงวอนเพื่อผู้พูดแต่ว่าวิงวอนเพื่อตัวของท่านเองทุกคน เพื่อให้มีชื่อเสียงที่ดี เมื่อมีชื่อเสียงที่ดีแล้ว กำลังของแต่ละคนจะเพิ่มขึ้นมา จะมีคนทั่วไปเขาเกรงใจเขานับถือความคิดที่ดี ซึ่งทุกคนก็เชื่อมั่นว่ามีความคิดที่ดี ที่จะสร้างงาน สร้างบ้านให้เจริญให้ไม่เหมือนนานาประเทศที่เขาล่มจม ไม่เหมือนนานาประเทศที่เขาประสบเหตุร้าย ให้เป็นเมืองไทยเป็นประเทศไทยที่คงอยู่ ที่มีเกียรติและมีความมั่นคง ก็ขอให้ทุกคนพยายามสร้างตนเพื่อที่จะสร้างบ้านได้ ข้อที่ได้กล่าวเหล่านี้ก็ยินดีที่ทราบว่าแต่ละคนคิดอยู่เสมอคิดมาอยู่ตลอด และเชื่อว่าทุกคนก็พยายามคิดยิ่งขึ้นในทุกวันนี้ เพราะว่าเหตุการณ์ของบ้านเมืองคับขัน ถ้าทุกคนพยายามที่จะขะมักเขม้นในหน้าที่ของตน คือศึกษาวิชาความรู้ศึกษาใจของตัว ศึกษาสิ่งที่ดีที่งาม และปรองดองกัน ใช้กำลังของตัวในทางที่สร้างสรรค์ในทางที่จะเป็นประโยชน์ หรือสร้างเกียรติของตน ซึ่งเท่ากับสร้างเกียรติของบ้านเมือง เราแน่ใจได้ว่าบ้านเมืองของเราจะอยู่ ทุกคนจะมีเสรีภาพ ทุกคนจะมีที่อยู่อย่างสบายอย่างก้าวหน้าได้แน่ ไม่ต้องให้ใครมากดหัวขี่ และประชาธิปไตยที่ทุกคนปรารถนาก็จะเกิดขึ้นโดยแท้
ในข้อสุดท้ายก็ขอพูดถึงว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่พูดนี้ คือการสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลาต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทนเสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันครึทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีไม่ครึต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนในความเพียรของตน ต้องถือว่าวันนี้เราทำยังไม่ได้ผล อย่าไปท้อบอกว่าวันนี้เราทำแล้วก็ไม่ได้ผล พรุ่งนี้เราจะต้องทำอีก วันนี้เราทำ พรุ่งนี้เราก็ทำ อาทิตย์หน้าเราก็ทำ เดือนหน้าเราก็ทำ ผลอาจได้ปีหน้า หรืออีกสองปีหรือสามปีข้างหน้า แต่ว่าถ้าสมมติว่าวันนี้เราทำแล้วบอกว่าไม่มีประโยชน์ เพราะว่าพรุ่งนี้ไม่ได้ผล เลิกเสีย พรุ่งนี้ไม่ได้ผลแน่ เป็นสิ่งที่แน่นอน แต่ว่าพรุ่งนี้เราจะอยู่หรือไม่อยู่ก็ไม่ทราบ ก็เชื่อว่าอยู่ แต่ว่าปีหน้าเราจะอยู่หรือไม่ถ้าเราหยุดทำสิ่งที่ดี ฉะนั้น ความไม่ย่อท้อ ความเพียร ความเพียรนี่หมายความว่าไม่ใช่ความเพียรในการทำงานเท่านั้นเอง หมายถึงความเพียรที่จะข่มใจตัวเองด้วย ความกล้าหาญที่จะข่มใจตัวเองให้อดทน ไม่ใช่อดทนแล้วก็เหมือนว่าใครทำก็ทำไปเราทนเอาไว้ เท่ากับคนอื่นเขาเอาเปรียบเรา ไม่ใช่อดทนที่จะยังไม่เห็นผล อดทนที่จะทราบว่าสิ่งใดที่เราทำต้องใช้เวลา ถ้าเราอดทน หรือถ้าพูดตามธรรดาว่า “เหนียว” ไว้ อดทนในความดี ทำให้ดี เหนียวไว้ในความดีแล้ว ภายภาคหน้าได้ผลแน่
เคยพูดมาหลายแห่งแล้วหลายเรื่อง อย่างเช่นความเลวต่าง ๆ ที่มีอยู่ในเมืองไทยความทุจริตคอรัปชั่นนั้นมี ถ้าแต่ละคนมีปณิธานที่จะไม่คอรัปชั่น ที่จะไม่ทุจริต และสะสมพลังของตน สร้างตัวเองให้มีความรู้ ให้มีความแข็งแกร่ง และรักษาความรู้นั้น รักษาความแข็งแกร่ง ความมีปณิธานที่จะสร้างความดีสำหรับส่วนรวมและสำหรับส่วนตัว ถ้ารักษาเหนียวไว้ในความดีนี้ภายภาคหน้าความดีนั้นเกิดขึ้น เราก็ต้องรักษาความดีนั้นไปตลอด คนที่ยังมีอายุน้อยมีกำไรเพราะว่าสามารถที่จะถึงในภายหน้าในอนาคตได้ ถ้าเรารักษาความดีวันนี้จริง ๆ คือรักษาความดีที่สุจริต บริสุทธิ์แท้ ๆ รักษาไว้ได้ สิบปีข้างหน้าท่านทั้งหลายเป็นผู้ที่มีหน้าที่สำคัญ งานการสำคัญ ผู้ที่อยู่ในหน้าที่ในงานการสำคัญจะเป็นคนสุจริต จะเป็นที่ไม่คอรัปชั่น เป็นที่มีวิชาความรู้ก็สร้างบ้านเมืองได้ มีอิทธิพล ยิ่งยี่สิบปีข้างหน้าคนที่มีความบริสุทธิ์ใจที่รักษาไว้ ที่เหนียวไว้จะมีมากขึ้น แล้วคนเลวก็ต้องถอย เมืองไทยก็จะมีแต่คนที่บริสุทธิ์ใจ แต่ก็เป็นความหวัง จึงขอวิงวอนเป็นครั้งสุดท้ายว่า ต้องเรียน ต้องหาวิชาต้องสร้างตัวเอง มีความคิดพิจารณาที่รอบคอบ และเหนียวไว้ในความดีบริสุทธิ์ จึงจะทำให้งานที่ทำ ปณิธานที่ตั้งไว้ในระยะนี้เป็นผล เกิดเป็นประโยชน์ ก็ขอพูดแค่นี้ ขอให้การที่ทุกคนได้มีความสามัคคี มีความตั้งใจที่ดี มีความเข้มแข็ง ช่วยซึ่งกันและกัน ช่วยส่วนรวมเช่นนี้ เป็นผลทำให้ประสบความสำเร็จที่แท้จริง ที่บริสุทธิ์ และขอให้ทุกคนมีกำลังใจ กำลังกายต่อเนื่องไปเวลานาน ประสบแต่ความที่ดี ความที่งาม ประสบความสำเร็จ ทั้งในการศึกษา ทั้งในกิจการเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของส่วนรวม และความเจริญรุ่งเรืองของแต่ละคน ขอจงมีความสุขความเจริญทุกประการ.
พระบรมราโชวาทองค์นี้ น่าสนใจในแง่ที่เป็นพระบรมราโชวาทที่พระราชทานหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ที่มีความแตกแยกร้าวลึกในสังคม
« « Prev : “พุทธธรรมสถานผาซ่อนแก้ว” สุดจะบรรยาย
ความคิดเห็นสำหรับ "หลังวิกฤติ"