ความไม่รู้จะไม่นำสู่ความสุข
อ่าน: 3069หัวหน้าช่างก่อสร้างปราสาทคุณชายชื่อตาดี เป็นคนขยันขันแข็ง ครูบากับแม่หวีรับรองฝีมือและความรับผิดชอบ ผมจ่ายค่าแรงเกิน แกก็เอามาคืน เป็นคนธรรมะธรรมโม
ตาดีเป็นลูกบุญธรรมของช่างก่อสร้างฝีมือดีของอำเภอ ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนกับครูบาและเป็นคนสร้างอาคารใหญ่ของสวนป่า ส่วนตาดีเข้ามาสร้างอาคารใหญ่และสร้างถังเก็บน้ำของสวนป่า เรียกว่ารู้จักคุ้นเคยและรู้ฝีมือกันมานานแล้ว แม่หวีว่าผมโชคดีที่ได้ตาดีมาสร้างปราสาทให้
เมื่อสักสองสามเดือนที่ผ่านมา ตาดีเริ่มมีความดันสูง ผมก็เตือนแกหลายอย่าง ให้ปรับวิถีชีวิตและอาหารการกิน ซึ่งแน่ล่ะครับ แกไม่ได้ปรับหรอก ชีวิตแบบพึ่งพาเงินไม่มีทางเลือกมากนัก ข้าวกลางวันเป็นข้าวกับปลาทอด แห้งๆ น้ำก็ไม่ค่อยดื่ม เมื่อทำงานกลางแดดที่เสียเหงื่อมาก เลือดก็ข้นมากกว่าปกติ เสี่ยงทั้งนั้น
ระหว่างที่นักศึกษาแพทย์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีมาสวนป่า ตาดีเกิดหน้ามืด ล้มทั้งยืน แข้งขาอ่อนเป็นพักๆ แต่ยังพูดรู้เรื่อง โต้ตอบได้ ผมรีบทดสอบการทำงานของร่างกายทั้งซีกซ้ายและขวา ยังทำงานได้ดี ระหว่างนำส่งโรงพยาบาลก็คาดเข็มขัดนิรภัยได้ด้วยตัวเอง พูดคุยโต้ตอบได้ ผมนำไปส่งโรงพยาบาลประจำอำเภอเพราะคิดว่าไม่ควรเสี่ยงเดินทางไกลเข้าตัวจังหวัด
เข้าไปที่ห้องฉุกเฉิน ความดัน 160/90 แต่หมอห้องฉุกเฉินพบหัวใจเต้นผิดปกติ ขอให้นอนโรงพยาบาลเพื่อสังเกตอาการก่อน อยู่ในโปรแกรม 30 บาท ระหว่างนั้นผมก็กลับมาอบรมนักศึกษาต่อ
วันรุ่งขึ้น โทรเช็คอาการ ตาดีกลับบ้านได้ แต่ตอนหัวค่ำลูกสาวโทรมาบอกว่าตาดีหมดสติอีก และกำลังนำส่งโรงพยาบาลจังหวัด เมื่อไปถึงโรงพยาบาล หมอพบว่าเส้นโลหิตในสมองตีบ เรื่องนี้ลูกสาวเล่าให้ฟังว่าที่โรงพยาบาลประจำอำเภอก็ตรวจพบ ผมเลยงงว่าถ้าพบแล้วและเข้ามาโรงพยาบาลด้วยอาการหน้ามืดโดยรู้อยู่ก่อนว่ามีความดันโลหิตสูง ปล่อยกลับบ้านไปได้อย่างไร
เรื่องนี้เล่าเป็นกรณีศึกษาให้นักศึกษาแพทย์ฟัง แต่ย้ำขอไม่ให้ตัดสินใคร (เพราะว่าเรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องเล่าจากลูกสาว ซึ่งมีอคติกับโรงพยาบาลประจำอำเภอ เธอเพิ่งประสบอุบัติเหตุ สมองบวม ได้รับยาพารามากิน จนในที่สุด refer ไปโรงพยาบาลประจำจังหวัด และรักษาจนหายที่นั่น) เป็นข้อมูลฝ่ายเดียว ไม่มีรายละเอียดของผลตรวจ ไม่รู้การวินิจฉัย ฯลฯ
การที่ตาดีเกิดหมดสติ เมื่อส่งไปโรงพยาบาลประจำจังหวัด ตรวจพบว่าเส้นโลหิตในสมองตีบ ผมไม่ทราบว่าได้รับการรักษาอะไรไปบ้างสโตรคคืนวันที่ 24 เพิ่งรู้สึกตัวบ่ายวันนี้ (27) ยังใส่หน้ากากออกซิเจนอยู่ ซีกขวาขยับไม่ได้
วันนี้หลังจากหมดภารกิจที่สวนป่า ผมก็ขับรถเข้าเมืองจะไปเยี่ยมตาดี แต่ดันแวะไปซ่อมพีซี ลงวินโดวส์ใหม่ เสียเวลาไปสี่ชั่วโมง อรกว. ทีนี้มันก็จวนค่ำแล้ว ผมหลีกเลี่ยงการขับรถกลางคืนเพราะรู้ว่า reflect ไม่ดีเหมือนเดิมแล้วหลักจากเกิด TIA เมื่อสิบสองปีก่อน ตลอดบ่ายระหว่างรอ ผมก็พยายามโทรเบอร์ช่างดี แต่ไม่ติดเลย นึกว่าเครือข่ายโทรศัพท์มีปัญหา แต่ไม่ใช่หรอกครับ โทรเบอร์ตาดี ยายอิ้ง (เมียตาดี) เป็นคนรับสาย แต่แกกดวางหูแทนรับสายเลยพูดกันไม่ได้ ทีนี้จะไปเยี่ยมได้ยังไง ห้องไหน ตึกไหนก็ไม่รู้
กำลังบ่ายหน้ากลับสวนป่าเพราะเริ่มมืดแล้ว ตัดสินใจลองโทรอีกที โชคดีที่ลูกสาวรับสาย เลยรู้ตึก รู้ห้อง ผมเลยตัดสินใจวกรถกลับไปเยี่ยมตาดี
แกรู้สึกตัวแต่พูดไม่ได้เพราะมีหน้ากากครอบอยู่ครับ จำผมได้ (ยังไงก็ต้องทดสอบ) ผมเลยเทศน์ให้ยายอิ้งและลูกสาวฟังรอบใหญ่ ถึงไม่ใช่หมอ ไม่ใช่พระก็เทศน์เรื่องสโตรคได้ (หลวงพี่ติ๊กเคยบอกว่า รู้ ก. สอน ก. รู้ ข. ก็สอน ข. ไม่ต้องรอจนรู้ ฮ. จึงเริ่มสอน ก. แต่ว่าต้องรู้จริงนะ)
- อาการสโตรคของตาดี มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า ผมก็เตือนทั้งตาดีและยายอิ้งไว้ล่วงหน้าแล้ว… จะมาพูดว่าเห็นไหมบอกแล้ว เอาตอนนี้ ไม่มีประโยชน์แล้วครับ เรื่องเกิดไปแล้ว (ความเสียหายเกิดแล้ว)
- หน้าที่ของตาดีตอนนี้คือร่วมมือกับหมอทุกอย่าง รักษาตัวให้ดีที่สุด อาจไม่เหมือนเก่า 100% แต่เอากลับคืนให้ได้มากที่สุด
- รักษาตัวก่อน ไม่ต้องห่วงเรื่องงาน ทำไปทีละอย่างโดยรักษาตัวก่อน
- วิถีชีวิตเดิม แม้จะคุ้นชิน แต่มันไม่ดีพอ ถ้าดีก็ไม่สโตรคน่ะซิครับ ดังนั้นต้องเปลี่ยน อย่าทำเหมือนเดิม
- ผมเชิญยายอิ้งออกมาคุยกันข้างนอก บอกว่าต้องเข้าใจและให้เวลากับตาดีบ้าง คนขยันขันแข็ง ทำอะไรก็ได้ วันนี้ต้องมานอนตลอดเวลา อาจจะมีหงุดหงิดฉุนเฉียวได้ ต้องเข้าใจแก อย่าให้แกเครียด แล้วผมก็ยื่นค่าใช้จ่ายระหว่างที่ตาดีรักษาตัวให้แก บอกให้ระวังค่าใช้จ่ายเพราะว่ารายได้ของครอบครัวหายไปหมดแล้ว
- เพิ่งเห็นว่าตาดีเอี้ยวคอจากบนเตียงมาดูทางขวา แม้ไม่ได้ยิน แกก็น้ำตาซึม ผมไม่เห็นน้ำตาหรอกครับ เห็นแต่ลูกสาวซับน้ำตาให้
- คืนนี้ผมต้องรีบลากลับก่อนเพราะค่ำแล้ว แล้วจะไปเยี่ยมใหม่
Next : อบรมนักศึกษาสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี » »
ความคิดเห็นสำหรับ "ความไม่รู้จะไม่นำสู่ความสุข"