ทีละหลังสองหลัง
อ่าน: 2856บันทึกนี้เป็นบันทึกที่พันสามร้อยของลานซักล้าง ไม่ใช่โอกาสที่จะฉลองอะไรหรอกนะครับ เพียงแต่อยากจะบอกว่าเรื่องราวที่เขียนทุกวัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่หน่อมแน้มเรื่อยเจื้อยแบบนี้ เขียนไม่ยาก เพียงแต่สังเกตเหตุการณ์รอบตัว พยายามแยกประเด็นออกมาให้ชัดเพื่อให้บันทึกทันสมัยอยู่เสมอ… ส่วนบันทึกอ่านยากก็ไม่เป็นไร มีคนอ่านแล้วได้ประโยชน์ก็พอ ถ้าเขียนแล้วไม่มีใครได้อะไรเลย เสียเวลาเปล่า
หลายวันที่ผ่านมา ได้รับรู้เรื่องราวว่าบ้านเพื่อน บ้านลูกน้องเก่า จมไปทีละหลังสองหลัง ไม่รู้จะทำอย่างไรเหมือนกัน ที่บ้านยังไม่ท่วม แต่ก็ไม่รู้ว่าจะอีกนานเท่าไร น้ำเหนือยังมีปริมาณมหาศาล เขื่อนทานแรงน้ำอยู่เป็นเดือนแล้วว กลัวใจเลยว่าพอเห็นว่าทนได้ ก็จะไม่เสริมความแข็งแรง และความประมาทนี้จะนำไปสู่ความพินาศ
ผมพาพ่อแม่ออกมาอยู่หัวหิน คนเป็นล้าน แต่ก็อยู่สุขสบายดี ยังมีคนที่เป็นห่วงอยู่ในพื้นที่ประสบภัยและพื้นที่เสี่ยงอีกมาก แต่ทุกอย่างก็ต้องจัดลำดับความสำคัญทั้งนั้นละครับ สิ่งใดติดขัดก็หาทางแก้ไขไปทีละเปลาะ
ถ้าผมยังบริหารอยู่ คงประกาศปิดบริษัทในส่วนที่ไม่จำเป็นไปแล้ว นึกถึงใจเชาใจเรานะครับ ถ้าบ้านพนักงานน้ำท่วม จะเดินทางมาทำงานลำบากมาก มีครอบครัว มีทรัพย์สินที่ต้องดูแล จะถือว่าบริษัทจ่ายเงินเดือนแล้วต้องมาทำงาน ดูจะเป็นความเลือดเย็นเกินไป ส่วนใครจะบอกว่าบริษัทจดทะเบียนต้องโกยกำไรให้ผู้ถือหุ้นให้มากที่สุด ดังนั้นต้องทำงานไปเรื่อยๆ ก็เป็นแนวคิดทุนนิยมแบบไร้วิญญาณ ลืมคิดไปว่าถ้าพนักงานที่ไม่มีกะใจทำงาน ไม่น่าจะได้ผลงานที่ดี
ที่ทำงานเก่าเป็นอาคารสูง ถ้าผมทำได้ คงประกาศปิดหลายๆ ส่วนงานที่ไม่จำเป็นต่อการให้บริการลูกค้า เมื่อพื้นที่สำนักงานว่างขึ้น ก็จะให้พนักงานผู้ประสบภัย อพยพครอบครัวมายังสำนักงาน ส่วนสัตว์เลี้ยง บริษัทควรออกเงินสร้างกรงแล้วไปเช่าที่หรือฝากวัดที่อยู่บริเวณใกล้เคียงไว้ก่อน ให้เจ้าของเดินไปดูแลสัตว์เลี้ยงของตนเอง
ป่วยการจะมาพูดเรื่อง CSR ในขณะที่พนักงานของตัวเองยังดูแลไม่ได้นะครับ ผู้บริหารจะพูดเก่งแค่ไหน จะรีแบรนด์ไปกี่ครั้ง ก็หลอกคนในไม่ได้ ขอบอก ใครไม่ประกาศเป็นวันหยุดต่อ ก็เรื่องของเขาครับ แต่ผู้บริหารที่บอกตัวเองว่าไม่ได้เลือดเย็น น่าจะลองคิดดูสักหน่อย กฏเกณฑ์คนตั้ง ถ้าจำเป็นกฏเกณฑ์ก็เปลี่ยนแปลงได้ครับ ใจซื้อไม่ได้ครับ จะได้ใจก็ต้องให้ใจก่อน
สรุปว่า ดีแล้วที่ลาออกมาทำเรื่องทางสังคม แทนที่จะตั้งหน้าทำงานหาเงินเป็นเครื่องจักร เอิ๊กกกก
Next : ทำไมน้ำท่วมกรุงเทพแค่เข่า จึงวุ่นวายได้ขนาดนี้ » »
3 ความคิดเห็น
มองไม่ออก หาเหตุผลไม่เจอ ในสภาวะเดือนร้อยแทบตาย ยิ่งชัง ไม่สั่งปิดวันราชการ ใจคอจะให้คนเดินทางกลับมาอัดตาย ส่วนคนที่เขาไม่เชื่อน้ำยาก็จะลาต่อ ลาพักร้อน บริหารงานแบบทำลายน้ำใจควายยังเมิน ส่อให้เห็นว่าความทุกข์ร้อนประชาชนเป็นเรื่องรอง เรื่องอะไรละที่สำคัญของยิ่งชัง เบื่อๆๆ อิ
เห็นด้วยร้อยปูเซ็งงงงง…เรื่องคนต้องมาก่อน….อิอิ
มันเป็นการตัดสินใจยากสำหรับในบางกรณี
ลูกสาวนั่งลุ้นนอนลุ้นว่า เจ้านายจะหยุดต่อหรือเปล่า เมื่อไม่แน่ใจก็ซื้อตั๋วรถ กลับกรุงเทพฯไว้ก่อนผมไม่ขับมาส่ง และเสนอว่านั่งรถ นครชัยแอร์ดีที่สุด เธอก็ยินดี ในที่สุดเจ้านายบอกไม่หยุดต่อ เธอก็ต้องกลับกรุงเทพฯ เพื่อมาทำงานตามปกติ โดยไปพักบ้านเพื่อนรักของเธอ ส่วนบ้านที่ลาดปลาเค้านั้น เท่าที่ตรวจสอบเพื่อนบ้านบอกว่าน้ำยังไม่เข้า มีมาแตะๆที่หน้าหมู่บ้านนิดหน่อย เมื่อไม่ประมาทก็ไปพักที่บ้านเพื่อนเพราะบ้านของเขาอยู่ในทำเลที่ไม่มีปัญหา
บริษัทที่ทำธุรกิจทางด้านขายสินค้าแบบซูปเปอร์สโตร์นั้นหากปิดไปก็จะมีปัญหากับผู้บริโภคยามที่อะไรก็ขาด หากมองมุมนี้ เธอก็ควรกลับมาทำงานที่มีส่วนไปบริการประชาชนที่มาซื้อหาของกินของใช้ประจำวัน บังเอิญว่าที่บ้านน้ำยังไม่ท่วม แม้ว่ารู้ว่ามันกำลังคืบคลานเข้ามา ก็เตรียมทางหนีที่ไล่ไว้บ้างแล้ว หากวิกฤตจริงๆก็ต้องตัดสินใจกันอีกครั้ง