“หมาผมหาย” (ไม่ใช่ของผมหรอกครับ)
อ่าน: 3783๑๑ ธันวาคม ๒๕๑๑
หมาผมหาย
หมาไทยสีดำ ตัวผู้ อายุได้ขวบกับหนึ่งเดือน ใครเรียกชื่อว่าสีหมอกก็คงจะเข้ามาหา
ไม่แปลกประหลายอะไร และคงไม่สำคัญสำหรับใคร
แต่ผมทุกข์มากเกินกว่าจะบอกใครได้
นานมาแล้วที่ผมสลัดความมักใหญ่ใฝ่สูงทิ้งไปจากตัว
นานมาแล้วที่ไม่นึกถึงลาภยศสรรเสริญ หรือแม้แต่ความรัก ความเข้าใจจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
นานมาแล้วที่ผมไม่สนใจต่อคำนินทา และไม่กลัวการขู่เข็ญ คุกคาม วันหนึ่ง ๆ ก็คิดแต่ประโยชน์ท่าน ไม่คิดถึงประโยชน์ตน ความว้าเหว่ทางใจมีอยู่ประมาณมิได้…..เพราะยังเป็นปุถุชน
หมาไทยสีดำตัวเดียวเท่านั้น ที่ทำให้อดทนต่อความว้าเหว่นั้น เพราะเวลาออกจากบ้านมันก็คอยส่ง กลับถึงบ้านมันก็คอยรับ เวลาอยู่บ้านมันก็อยู่ใกล้ตัว เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่รู้สึกว่าอยู่ใกล้ เวลาไม่อยู่บ้านก็มีความรู้สึกว่า มีอะไรที่รักผม ไว้ใจผมโดยไม่มีเงื่อนไข คอยอยู่ทางบ้าน
บ้านก็พอที่จะเป็นบ้านขึ้นมาได้ ยังมีอะไรที่พอจะเกาะเกี่ยวทางใจ ทำให้รู้ตัวว่าเป็นคนไม่ใช่อิฐปูน
เมื่อวันจันทร์ที่ ๙ เดือนนี้ มีคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ จับเอาตัวหมาของผมขึ้นรถไปเที่ยวบางกะปิ โดยไม่บอกให้ผมรู้ หมามันตื่นโดดหนีบนถนนสุขุมวิท ระหว่างซอย ๑๘ ถึงซอย ๒๒ ออกหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ผมไม่ได้กินไม่ได้นอนตั้งแต่เช้าวันนั้นเป็นต้นมา ทำอะไรก็ไม่ถูก คิดอะไรก็คิดไม่ออก รู้แล้วการพลัดพรากจากของที่รักเป็นทุกข์ แต่เมื่อการพลัดพรากนั้นมาถึงตัวก็ไม่สามารถระงับได้ เพราะไม่อยากได้ ไม่อยากหวังอะไร ที่คนเขาอยากได้กันเป็นปกติ ขอไว้แต่หมาตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ใช่หมาวิเศษวิโสราคาแพงอะไรด้วย
เพียงแค่นี้ก็ไม่สามารถรักษาเอาไว้รอด ที่เป็นทุกข์มากก็เพราะว่าหมามันจะต้องเป็นทุกข์เท่าผมหรือยิ่งกว่า จะต้องหวาดหวั่นตกใจเพราะพลัดเจ้าของที่มันรัก
เพราะมันเป็นหมา มันจึงไม่มีทางที่จะรู้และเข้าใจธรรมที่ว่า ” ปิเยหิ วิปฺปโยโค ทุกโข ” มันจะมีแต่ทุกข์ โดยที่ไม่มีอะไรเจือปนเลยไปจนกว่าจะตาย ถ้ารู้ว่ามันตายแล้วก็พอจะทำใจได้ แต่ไม่รู้ เลยหมดเยื่อใยในชีวิตขึ้นมาเฉย ๆ เพราะเยื่อใยเท่าที่มีอยู่ก็บางเต็มทีแล้ว อะไรมาสะกิดเข้านิดเดียวก็ขาด ที่เขียนทั้งหมดนี้ มิใช่เพื่อขอความช่วยเหลือจากใคร หรือหวังความเห็นใจสงสารจากใคร เพราะเรื่องมันเล็กเกินไป และไม่มีใครจะทำอะไรให้ได้ด้วย แต่ที่เขียนมาก็เพราะไม่รู้จะเขียนอะไรอีก และคงไม่มีปัญญาเขียนอะไรไปอีกนาน ถ้าจะให้เขียนให้ได้ก็ต้องฝืน ฝืนใจเขียนหนังสือก็เหมือนไม่ได้เขียน อย่าเขียนมันดีกว่า
คัดลอกจากหนังสือ “คนรักหมา” โดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช
« « Prev : บ้านโนนขวาง จ.บุรีรัมย์
Next : เสกสรรค์ ประเสริฐกุล…’แพ้ชนะถึงที่สุดแล้วก็เป็นสุญญตา’ » »
1 ความคิดเห็น
It’s a great piece of writing. It is simplistic in style, use of language and theme, and yet conveys the fundamental of Buddhist philosophy.
We once had a Prime Minister who was a great thinker, writer and philosopher - a great man of his era and a far cry from the PMs of our era.