“หมาผมหาย” (ไม่ใช่ของผมหรอกครับ)

โดย Logos เมื่อ 21 September 2008 เวลา 0:47 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต ปรัชญา ศาสนา, ประสบการณ์ชีวิต #
อ่าน: 3796

๑๑ ธันวาคม ๒๕๑๑

หมาผมหาย

หมาไทยสีดำ ตัวผู้ อายุได้ขวบกับหนึ่งเดือน ใครเรียกชื่อว่าสีหมอกก็คงจะเข้ามาหา

ไม่แปลกประหลายอะไร และคงไม่สำคัญสำหรับใคร

แต่ผมทุกข์มากเกินกว่าจะบอกใครได้

นานมาแล้วที่ผมสลัดความมักใหญ่ใฝ่สูงทิ้งไปจากตัว

นานมาแล้วที่ไม่นึกถึงลาภยศสรรเสริญ หรือแม้แต่ความรัก ความเข้าใจจากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

นานมาแล้วที่ผมไม่สนใจต่อคำนินทา และไม่กลัวการขู่เข็ญ คุกคาม วันหนึ่ง ๆ ก็คิดแต่ประโยชน์ท่าน ไม่คิดถึงประโยชน์ตน ความว้าเหว่ทางใจมีอยู่ประมาณมิได้…..เพราะยังเป็นปุถุชน

หมาไทยสีดำตัวเดียวเท่านั้น ที่ทำให้อดทนต่อความว้าเหว่นั้น เพราะเวลาออกจากบ้านมันก็คอยส่ง กลับถึงบ้านมันก็คอยรับ เวลาอยู่บ้านมันก็อยู่ใกล้ตัว เป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่รู้สึกว่าอยู่ใกล้ เวลาไม่อยู่บ้านก็มีความรู้สึกว่า มีอะไรที่รักผม ไว้ใจผมโดยไม่มีเงื่อนไข คอยอยู่ทางบ้าน

บ้านก็พอที่จะเป็นบ้านขึ้นมาได้ ยังมีอะไรที่พอจะเกาะเกี่ยวทางใจ ทำให้รู้ตัวว่าเป็นคนไม่ใช่อิฐปูน

เมื่อวันจันทร์ที่ ๙ เดือนนี้ มีคนที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ จับเอาตัวหมาของผมขึ้นรถไปเที่ยวบางกะปิ โดยไม่บอกให้ผมรู้ หมามันตื่นโดดหนีบนถนนสุขุมวิท ระหว่างซอย ๑๘ ถึงซอย ๒๒ ออกหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ ผมไม่ได้กินไม่ได้นอนตั้งแต่เช้าวันนั้นเป็นต้นมา ทำอะไรก็ไม่ถูก คิดอะไรก็คิดไม่ออก รู้แล้วการพลัดพรากจากของที่รักเป็นทุกข์ แต่เมื่อการพลัดพรากนั้นมาถึงตัวก็ไม่สามารถระงับได้ เพราะไม่อยากได้ ไม่อยากหวังอะไร ที่คนเขาอยากได้กันเป็นปกติ ขอไว้แต่หมาตัวเดียวเท่านั้น ซึ่งก็ไม่ใช่หมาวิเศษวิโสราคาแพงอะไรด้วย

เพียงแค่นี้ก็ไม่สามารถรักษาเอาไว้รอด ที่เป็นทุกข์มากก็เพราะว่าหมามันจะต้องเป็นทุกข์เท่าผมหรือยิ่งกว่า จะต้องหวาดหวั่นตกใจเพราะพลัดเจ้าของที่มันรัก

เพราะมันเป็นหมา มันจึงไม่มีทางที่จะรู้และเข้าใจธรรมที่ว่า ” ปิเยหิ วิปฺปโยโค ทุกโข ” มันจะมีแต่ทุกข์ โดยที่ไม่มีอะไรเจือปนเลยไปจนกว่าจะตาย ถ้ารู้ว่ามันตายแล้วก็พอจะทำใจได้ แต่ไม่รู้ เลยหมดเยื่อใยในชีวิตขึ้นมาเฉย ๆ เพราะเยื่อใยเท่าที่มีอยู่ก็บางเต็มทีแล้ว อะไรมาสะกิดเข้านิดเดียวก็ขาด ที่เขียนทั้งหมดนี้ มิใช่เพื่อขอความช่วยเหลือจากใคร หรือหวังความเห็นใจสงสารจากใคร เพราะเรื่องมันเล็กเกินไป และไม่มีใครจะทำอะไรให้ได้ด้วย แต่ที่เขียนมาก็เพราะไม่รู้จะเขียนอะไรอีก และคงไม่มีปัญญาเขียนอะไรไปอีกนาน ถ้าจะให้เขียนให้ได้ก็ต้องฝืน ฝืนใจเขียนหนังสือก็เหมือนไม่ได้เขียน อย่าเขียนมันดีกว่า

คัดลอกจากหนังสือ “คนรักหมา” โดย ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช

« « Prev : บ้านโนนขวาง จ.บุรีรัมย์

Next : เสกสรรค์ ประเสริฐกุล…’แพ้ชนะถึงที่สุดแล้วก็เป็นสุญญตา’ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

1 ความคิดเห็น

  • #1 bojs ให้ความคิดเห็นเมื่อ 21 September 2008 เวลา 7:18

    It’s a great piece of writing.  It is simplistic in style, use of language and theme, and yet conveys the fundamental of Buddhist philosophy.

    We once had a Prime Minister who was a great thinker, writer and philosopher - a great man of his era and a far cry from the PMs of our era.


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.057660102844238 sec
Sidebar: 0.21030688285828 sec