ปัญหาเรื่องน้ำ
อ่าน: 4739เรื่องนี้เขียนซ้ำซาก บ่น โวยวาย แต่เป็นเรื่องวิกฤติจริงๆ ครับ
ผมเป็นกังวลมากเพราะว่าดูเหมือนว่าชาวบ้านจะรอฟ้ารอฝนกันไปเรื่อยๆ ใครลุยลงข้าวนาปีไปแล้ว ป่านนี้ก็คงเจ๊งแล้วเพราะไม่มีน้ำ มีฝนตกมาแว๊บๆ แต่ก็ไม่มีการเตรียมตัวเก็บกักน้ำฝนไว้ จะรอน้ำจากระบบชลประทานอย่างเดียว โดยที่ไม่เข้าใจเลยว่าระบบชลประทานนั้น วิกฤติมากแล้ว
ขณะที่เขียนนี้ ทางทิศเหนือ น้ำในเขื่อนภูมิพลเหลือไม่ถึง 3% ของปริมาณน้ำที่ปล่อยออกมาได้ ถ้าเหลือ 0% ต่อให้มีน้ำอยู่ในเขื่อนบ้างก็ปล่อยออกมาไม่ได้ (นอกจากจะทุบเขื่อน) เขื่อนสิริกิติ์เหลือน้อยกว่า 6% ทางด้านตะวันตก เขื่อนศรีนครินทร์เหลือน้อยกว่า 38% อาจจะช่วยลุ่มแม่กลอง/ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างได้ แต่ว่าพื้นที่อื่นนั้น ส่งน้ำไปช่วยไม่ได้เพราะน้ำไหลลงที่ต่ำเสมอ เขื่อนวชิราลงกรณ์เหลือต่ำกว่า 6% ส่วนทางใต้ เขื่อนรัชชประภาเหลือน้อยกว่า 50% และเขื่อนบางลางเหลือน้อยกว่า 35%
ไม่ได้เขียนถึงเขื่อนอื่น เพราะไม่มีเขื่อนใดเลยเหลือปริมาณน้ำที่จะปล่อยออกมาได้เกิน 100 ล้านลูกบาศก์เมตร หมายความว่าที่คิดว่าจะปล่อยน้ำมาช่วยได้นั้นไม่จริงครับ แต่ที่หนักหนาสาหัสจริงๆ คือเขื่อนอุบลรัตน์ต้นแม่น้ำชี และเขื่อนลำตะคองต้นแม่น้ำมูล เหลือน้ำอีกนิดเดียวครับ — ตั้งแต่ต้นปีนี้ เขื่อนทุกเขื่อทั่วประเทศ ขาดทุนน้ำอย่างย่อยยับ ถ้าฝนไม่ตกหนักเหนือเขื่อนทุกเขื่อน (ซึ่งยากมาก) ปีหน้าจะหนักกว่าปีนี้อีกครับ จนป่านนี้ยังไม่รู้ตัวอีก!
ยุโรป และอเมริกากำลังร้อนจัดเป็นประวัติการณ์ จะทำให้น้ำแข็งละลาย อาจมีท่วมจนแปลงพืชผลทางการเกษตรเสียหาย ถ้าโชคดีไม่ท่วมช่วยนี้ ก็จะทำให้ปริมาณน้ำจืดสำรองร่อยหรอลง และอาจจะเกิดอาการขาดน้ำในฤดูกาลต่อๆ ไป ทางบ้านเราจะเร่งผลผลิตออกมาก็ไม่ได้ เพราะไม่มีน้ำเหมือนกัน
มีความพยายามทำฝนเทียม แต่ฝนจะตกได้ก็ต้องมีความชื้นในอากาศก่อน จึงจะไปบังคับความชื้นให้กลั่นตัวเป็นฝน [เติมน้ำในอากาศ] เมื่อฝนตก ถ้าตกเหนือเขื่อน เขื่อนก็เก็บน้ำไว้ แต่ถ้าตกใต้เขื่อน หรือตกไม่ใกล้บริเวณเขื่อน เราปล่อยน้ำทิ้งไปเฉยๆ เรื่องนี้ต้องรีบแก้ไขครับ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแนวคิดแก้มลิง มีองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นไหนบ้าง ที่ลงทุนทำสถานที่เก็บกักน้ำสำหรับชุมชน [เขื่อนส่วนตัว] คงไม่ติดแหงกอยู่กับประโยคที่ว่า ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว หรอกนะครับ ตื่นได้แล้ว!
คงเป็นแบบครูบาว่าไว้ คนกรุงเทพไปไหน มันก็ถางแหลก ตอนนี้วัฒนธรรมเมืองแพร่ผ่านทีวี ทำให้เราถางป่ากันทั่วประเทศ คิดจะมาปลูกป่าตอนนี้ ทันซะที่ไหน ตอนจะถางทำไมไม่คิดก่อน… วิธีปลูกพืชก็ต้องเปลี่ยนแปลงครับ [ทำนาโดยใช้น้ำน้อย]
ตอนนี้ จะแก้ไขปัญหา คงต้องฉวยทุกอย่างที่มีแล้วล่ะครับ สำหรับพื้นที่ที่มีภูเขา สมมุติภูเขาเป็นรูปสามเหลี่ยม มีฐาน 200 เมตร สูง 100 เมตร เราควรจะรีบไปขุดร่องทางน้ำไหล ใช้ภูเขาเป็นพื้นที่รับน้ำ ส่งน้ำมารวมกันในบ่อ ถ้าฝนตกทั่วภูเขา ไหลมาด้านเราครึ่งหนึ่ง ไหลไปอีกด้านหนึ่งของสันปันน้ำอีกครึ่งหนึ่ง พื้นที่รับน้ำฝั่งเรา คิดเป็น 10,000 ตารางเมตร ถ้าฝนตก 5 มม. สูญเสียไปกับดินบนภูเขาครึ่งหนึ่ง (ซึ่งจะไปโผล่เป็นน้ำใต้ดินและต้นน้ำลำธาร) ปริมาณฝน 2.5 มม. ได้น้ำ 25,000 ลิตร ถ้าเราใช้น้ำคนละ 100 ลิตร/วัน (ครึ่งถังสองร้อยลิตร) น้ำห้าหมื่นลิตรนี้ ใช้สำหรับหมู่บ้านขนาด 200 คนได้สองวันกว่าๆ จากการที่ฝนตกไม่หนักแค่วันเดียว — ฟังดูไม่เยอะเลย แต่น้ำนี้ได้ฟรี ขอแรงคนสัก 30 คน มาช่วยกันทำแหล่งเก็บน้ำสำหรับหมู่บ้าน ก็จะมีความเสี่ยงเรื่องการขาดแคลนน้ำน้อยลงมาก
ยังไม่จบหรอกครับ ทุกพื้นที่ของประเทศไทย มีฝนตกเฉลี่ย 1,000 มม./ปี ทั้งนั้น ทางใต้สูงกว่าตัวเลขนี้เยอะ น้ำฝน 1,000 มม. ตกบนภูเขานี้ สูญเสียไปครึ่งหนึ่ง ก็ยังเป็นปริมาณน้ำ 5 ล้่านลิตร หรือใช้สำหรับหมู่บ้าน 200 คนได้ถึง 8 เดือน… อย่างนี้จึงผ่านแล้ง ผ่านหนาวได้ครับ
บ่นเยอะแล้ว บันทึกหน้าจะเขียนเรื่องการนำเอาน้ำไปใช้งานโดยไม่ต้องใช้ไฟฟ้า หรือน้ำมัน
« « Prev : ขุดบ่อบาดาลแบบชาวบ้าน
Next : สูบน้ำจากแหล่งน้ำตื้น » »
6 ความคิดเห็น
ปัญหาเรื่องน้ำคงไม่ใช่เรื่องเล่นอีกต่อไปนะคะ สำหรับทั้งประเทศไทยและทั่วโลก และขณะนี้คนไทยก็ยังไม่ตื่นจริงๆค่ะ เห็นบางแห่งยังเปิดน้ำทิ้ง ก๊อกที่สาธารณะที่หยดทิ้งทั้งวันทั้งคืน ก็ไม่มีการแก้ไขและการใช้น้ำที่ไม่คุ้มค่าอีกมากมาย…ส่วนใหญ่เราไม่ค่อยได้รับการสั่งสอนให้เห็นคุณค่าของน้ำ…ต่างก็เลยเฉยเมย
แวะมาอ่านบันทึกนี้แล้ว ก็มาคิด ๆ ว่าในฐานะของคนกทม.ที่ใช้น้ำจากท่อประปา จะทำอะไรได้บ้าง
เมื่อราวต้นเดือนมิถุนายน เลยคิดเล่น ๆ ว่าจะประหยัดน้ำกันอย่างไร เพราะปีนี้ฝนน้อยและปัญหาฝนแล้ง น้ำขาดแคลนก็รุนแรงมาก
ขอต่อ freemind ครับ
คนกรุงเทพฯใช้น้ำประปา แต่ไม่ทราบว่าน้ำประปานั้นเอาน้ำมาจากไหน….
จากหลายแหล่ง หนึ่งในนั้นคือ เขื่อนจากเมืองกาญจนฯ และน้ำจากป่าห้วยขาแข้งไหลลงเขื่อนแห่งนี้ เคยมีการพูดกันว่า คนกรุงเทพฯต้องออกไปดูแลรักษาป่าห้วยขาแข้งด้วย (ผมเคยทำงานที่นี่ 5 ปี) นี่อาจเป็นอีกวิธีหนึ่งที่กระตุ้นสำนึกอีหลายคนที่ไม่เข้าใจ
แหย่คนกรุงว่าคิดอย่างไรครับ..
เรื่องนี้ก็น่าคิดครับ คนเมืองไม่ว่าเมืองไหน ชอบคิดว่ามีเงินก็ซื้อเอาได้เสมอ แต่ไม่คิดว่าเวลาของขาดตลาดไม่มีจะขายแล้ว มีเงินหรือไม่มีเงินก็ไม่มีของเหมือนกัน
ช่วงนี้ถ้ามีการพูดถึงเรื่องการขาดแคลนน้ำ และปัญหาการกักเก็บน้ำ รวมไปถึงการแก้ปัญหา
วิธีการแก้ปัญหาที่ได้ยิน(บ่น)มาคือ รัฐบาลแก้ปัญหาไม่ถูกต้อง ทำไมไม่สร้างเขื่อนกักเก็บน้ำเวลาเรามีน้ำมาก ๆ ทำไมไม่หาวิธีที่จะดูแลพื้นที่จากน้ำท่วม และผันเอาน้ำนั้นมาเก็บไว้ใช้ยามขาดแคลน @*($*@$@^$*^@*%@$
คำตอบของน้าก็คือ ทุกอย่างที่คุณว่านะมี แต่คุณรอแต่คนอื่นมาทำให้ ถ้าคุณ ชุมชน สังคม ฯลฯ ไม่ช่วยกันทำ รอแต่คนอื่น #%#@^*$%#(*$R$&@%R@*& เราก็ต้องประสบกับปัญหาแบบไม่สิ้นสุดนั่นแหละ อิอิอิ
กลับไปกินกล้วยที่บ้านดีกว่า (ลืมไป … ยังไม่สุก…อิอิอิ)
บริษัทห้างร้าน ทำ CSR โดยการออกเงิน แล้วให้ “ผู้ใหญ่” ไปเปิดงาน ยกป้าย ถ่ายรูป… อย่างนี้อยากแหวะ… ถ้าจะทำจริง ก็สปอนเซอร์พนักงานไปทำ ไปคลุกอยู่กับชาวบ้านสักอาทิตย์หนึ่ง ให้ไปเรียนจากชาวบ้าน จึงจะเข้าใจว่าเมืองไทยนี้มันเป็นยังไง นั่นแหละ สำนึกของการอยู่ร่วมกันจึงจะไหลเวียนในองค์กร เหมือนพลังชี่… แล้วถ่ายรูปกิจกรรมอย่างนี้มาลง Annual Report แจกผู้ถือหุ้น ยังจะน่าชื่นชมเสียกว่าอีกครับ