สถาบันสถาปนา

โดย Logos เมื่อ 30 March 2010 เวลา 0:56 ในหมวดหมู่ ดนตรี ศิลปะ วรรณกรรม บันเทิง, ประสบการณ์ชีวิต #
อ่าน: 4480

ความประทับใจในวัยเด็กลืมยาก ผมอ่านนิยายวิทยาศาสตร์บันลือโลกชุดสถาบันสถาปนา (the Foundation) เล่มแปลของ Isaac Asimov มาตั้งแต่เรียนมัธยมปลาย

Isaac Asimov เริ่มเขียนนิยายนี้ เมื่ออายุ 22 และแต่งงานในปีนั้น ตอนแรกๆ ตีพิมพ์เป็นเรื่องสั้นๆ ในช่วงที่สงครามโลกครั้งที่สองกำลังดุเดือด — เนื้อเรื่องสนุกดี อ่านแล้วติดจนลืมหนังสือกำลังภายในไปเลยครับ

(SPOILER) เรื่องย่อจากสามเล่ม…เท่าที่จำได้

บนพิภพทรานทอร์ ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักร (the Empire) ที่ปกครองกาแลกซี่อยู่ ฮาริ เซลดอน (Hari Seldon) นักอนาคตประวัติศาสตร์ ซึ่งอนาคตประวัติศาสตร์ (Psychohistory) เป็นวิชาที่ใช้คณิตศาสตร์ ที่ทำนายความเปลี่ยนแปลงของสังคมในระดับมหภาคได้ ได้ทำนายความเสื่อมสลายของอาณาจักร ทำให้คณะกรรมการความปลอดภัยของสังคม (Commission of Public Safety) เป็นกังวลต่อความมั่นคงของอาณาจักรเป็นอย่างมาก จึงจับกุมเซลดอน

ในตอนที่ขึ้นศาล เซลดอนเล่าถึงการค้นพบของเขาทำนายว่าอาณาจักรจะล่มสลายในอีก 500 ปี และแกแลกซี่จะเข้าสู่ยุคเสื่อมถึงสามหมื่นปี อย่างไรก็ตาม หาก “กระทำสิ่งที่ถูกต้อง” โดยการรักษาศิลปวิทยาการของอาณาจักรไว้โดยการสร้าง Encyclopedia Galactica ก็จะย่นระยะเวลาของยุคเสื่อมลงเหลือพันปีได้

เซลดอนพร้อมนักอนาคตประวัติศาสตร์อื่นๆ ถูกเนรเทศไปสุดของแกแลกซี่ยังพิภพเทอร์มินัส ซึ่งที่นั่นไม่มีทรัพยากรอะไรเลย และล้อมรอบด้วยคนเถื่อน แต่ด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอันก้าวหน้าของอาณาจักร สิ่งที่คนจากพิภพเทอร์มินัสทำ จึงดูเหมือนมีอำนาจเหนือธรรมชาติ วิทยาศาสตร์จึงกลายเป็นศาสนา (Scientism) ช่างเทคนิคกลายเป็นนักบวช

พิภพเทอร์มินัส จึงขยายออกสู่พิภพใกล้เคียง ทำการค้าและ(เสมือนกับ)เผยแพร่ศาสนา เทอร์มินัสนี่แหละคือสถาบันสถาปนา

กลับมาทางฝั่งอาณาจักรซึ่งเสื่อมถอยลงเรื่อยๆ อนาคตประวัติศาสตร์ได้ทำนายถึงความพยายามจะก่อรัฐประหาร เหตุการณ์นี้ได้เกิดขึ้นตามคำทำนาย (ปรากฏฮอโลแกรมของเซลดอนออกมาบอกวิธีแก้ไข) นี่จึงเป็นข้อพิสูจน์ที่อนาคตประวัติศาสตร์ ทำนายเหตุการณ์ในระดับมหภาคที่มีคนมาเกี่ยวข้องมากๆ ได้

หลังจากอาณาจักรล่มสลายไปแล้ว แกแลกซี่แตกเป็นอาณาจักรเถื่อนย่อยๆ เต็มไปหมด พิภพทรานทอร์ เมืองหลวงเก่าของอาณาจักร กลายเป็นพิภพเกษตรกรรม อยู่ดีๆ ก็เกิดตัวประหลาดมนุษย์ผ่าเหล่าชื่อมโนมัย (the Mule) ขึ้น มโนมัยสามารถอ่านและสะกดอารมณ์ของผู้อื่นได้ ส่วนใหญ่ก็เป็นการสร้างความกลัวหรือสร้างความภักดีต่อมโนมัย ซึ่งในที่สุดมโนมัยก็ยึดดาวเข้ามาอยู่ภายใต้การปกครองไปเรื่อยๆ จนล้อมรอบสถาบันสถาปนาที่พิภพเทอร์มินัส

สถาบันสถาปนาไม่มีกำลังที่จะไปต่อกรกับมโนมัย บรรดาผู้นำของสถาบันสถาปนา ต่างหวังว่าเซลดอนจะเคยทำนายเหตุการณ์นี้ไว้แล้ว และจะโผล่ออกมาในฮอโลแกรมอีก เพื่อมาบอกวิธีแก้ไข พวกเขาต่างประหลาดใจอย่างใหญ่หลวง เซลดอนไม่เคยทำนายว่าจะมีมโนมัย! เพราะอนาคตประวัติศาสตร์ทำนายเกี่ยวกับคนหมู่มาก ไม่ใช่คนๆ เดียวเช่นมโนมัย

คนจากสถาบันสถาปนาบางคน เดินทางจากสถาบันสถาปนาซึ่งแตกแล้ว กลับไปยังทรานทอร์ ไปยังห้องสมุด (the Great Library of Trantor) มีผู้ค้นพบความลับของสถาบันสถาปนาแห่งที่สอง แต่ก่อนที่จะเผยความลับนี้ ผู้ที่รู้ตำแหน่งของสถาบันสถาปนาแห่งที่สองถูกฆ่าตาย เพื่อไม่ให้ความลับตกถึงมโนมัย มโนมัยตระหนักว่าสถาบันสถาปนาแห่งที่สองเป็นภัยคุกคามของตน จึงต้องการจะค้นหาเพื่อทำลายลงให้สิ้นซาก

ในขณะที่สถาบันสถาปนาแห่งแรก เก่งในเรื่องวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สถาบันสถาปนาแห่งที่สองแข็งในเรื่องพลังจิต อันที่จริง แผนการของเซลดอน มีการเผื่อเหลือเผื่อขาด แม้ในเรื่องที่คาดเดาไม่ได้เลย เช่นเรื่องการเกิดมีผู้มีพลังจิตสูงอย่างมโนมัย เป้าหมายดั้งเดิมของสถาบันสถาปนาแห่งที่สอง คือการยกระดับจิตใจของประชากร ซึ่งประชากรของสถาบันสถาปนาแห่งที่สอง เชื่อว่ายั่งยืนกว่าความเจริญทางวัตถุ อย่างความเจริญของสถาบันสถาปนาแห่งที่หนึ่ง และเป็นผู้ดูแลแผนการของเซลดอน (ที่จะนำมนุษยชาติออกจากยุคมืด) อยู่ห่างๆ

หลายปีก่อน หาซื้อสถาบันสถาปนาแปลไม่ได้ จึงซื้อภาษาอังกฤษดังรูปข้างบนมาอ่าน มีการศึกษาอนาคตประวัติศาสตร์กันจริงๆ โดยให้ความหมายไว้ว่า เป็นการศึกษาถึงผลกระทบทางจิตวิทยาจากเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์

ผมอยากตั้งสมมุติฐานว่าบางทีพล็อตเรื่อง อาจมีเหตุมาจากความไม่แน่ใจในอนาคตความอยู่รอดของมนุษยชาติก็ได้ ย้อนกลับมาดูเมืองไทยแล้ว ก็น่าคิดนะครับ

« « Prev : ทางรอดของประเทศ : การปฏิรูปประเทศไทย

Next : เรียงอย่างไร » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

7 ความคิดเห็น

  • #1 BM.chaiwut ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 March 2010 เวลา 7:02
    สนุกดี…
    น่าจะเขียนเล่าเป็นตอนๆ…

    เจริญพร

  • #2 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 30 March 2010 เวลา 18:43
    เขียนไม่ไหวครับ
  • #3 silt ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 April 2010 เวลา 20:28

    เคยอ่านเรื่องย่อในหนังสือ “โนวา”ครับ ไม่รู้นิตยสารเล่มนี้หายไปไหน สงสัยยอดขายไม่ดีปิดกิจการไปแล้ว

  • #4 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 April 2010 เวลา 22:30
    หนังสือมีพิมพ์ออกมาหลายรุ่นครับ
  • #5 krupu ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 April 2010 เวลา 11:50

    เคยไปเดินหาฉบับแปลกับเพื่อนเมื่อสองปีที่แล้ว ไปเจอโดยบังเอิญที่ร้านหนังสือเก่าชั้นใต้ดินเซ็นทรัลลาดพร้าวนะคะ ได้เล่ม 1-3 มา เห็นว่าตอนนี้มีการเอามาพิมพ์ใหม่ขายตามห้างทั่วไปเยอะเหมือนกันค่ะ คงหาไม่ยากเหมือนก่อนแล้วล่ะค่ะ

  • #6 ลานซักล้าง » การล่มสลาย ของประชาธิปไตย ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 April 2010 เวลา 1:41

    [...] [สถาบันสถาปนา] — การที่ตอนนี้สังคมเราอยู่ตรงไหน [...]

  • #7 supra ให้ความคิดเห็นเมื่อ 8 April 2010 เวลา 7:58

    มหากาพย์แห่งเมืองฟ้าอมร

    แม้ว่าราชันย์แห่งจักรวาลสุริยะจะรวบรวมจักรวาลทั้งหลาย จัดตั้งเป็นอาณาจักรแห่งดวงดาวได้แล้วก็ตาม ผู้นำของจักรวาลทั้งหลายก็ยังติดใจในสายพันธุ์แห่งราชันย์สุริยะ  สร้างให้เกิดความยุ่งยากในการบริหารอาณาจักรแห่งดวงดาวมาโดยตลอด  ขุนศึกยอดซึ่งมาจากสายพันธุ์ชั้นสูงจึงตัดสินใจยึดเอาอาณาจักรแห่งดวงดาว มาปกครองเสียเองและจัดตั้งเป็นจักร วรรดิ์เมืองฟ้าอมรขึ้น ณ ดวงดาวที่ห่างจากดาวสุริยะเพียงแค่หนึ่งอวกาศเหิน (warp jump)

    จักวรรดิ์เมืองฟ้าอมร ผ่านการปกครองมารวมเจ็ดคณะผู้ปกครองก็เริ่มปรากฏให้เห็นความเสื่อมในระบบการ บริหารจักรวรรดิ์ อันที่จริงก็เริ่มมีลางบอกเหตุมาก่อนหน้าแล้ว แต่ผู้คนก็ไม่ใส่ใจแม้กระทั่งมีผู้ทำนายทายทักต่างๆ ก็มองว่าเป็นนิทานสำหรับเด็กที่เล่ากันก่อนนอน คณะผู้ปกครองในยุคที่เจ็ดได้ปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ๆ ผสมผสานรูปแบบการบริหารใหม่ๆ ก็รักษาการบริหารจักรวรรดิ์มาได้อีกสองคณะการปกครอง การบริหารจักรวรรดิ์ในยุคปัจจุบันนี้ ได้พัฒนาการให้มีนักจิตวิทยามวลชนลงพื้นที่ เพื่อให้สามารถจูงใจหรือปรับเปลี่ยนแนวคิดของมวลชนให้สอดคล้องกับแนวทางของ คณะผู้ปกครอง แนวทางที่นักจิตวิทยามวลชนใช้ก็จะขึ้นกับลักษณะดวงดาวที่รับผิดชอบ ดวงดาวที่ห่างไกลจากศูนย์กลางการปกครองเป็นแดนเถื่อนก็อาจใช้รูปแบบทางความ เชื่อ ดวงดาวที่ขาดทรัพยากรก็ใช้การจูงใจด้วยผลตอบแทน ส่วนดวงดาวที่อยู่รอบศูนย์กลางการปกครองแม้จะดูเหมือนว่าไม่สามารถสะกดมวลชน ให้คิดเห็นที่ผิดจากข้อเท็จจริงได้ แต่ที่จริงแล้วนักจิตวิทยามวลชนเหล่านี้ก็ยังสามารถสอดแทรกการปรับจิตมวลชน ได้ในจังหวะที่เกิดความอ่อนล้าในจิตซึ่งบังเกิดขึ้นได้เสมอๆ

    ในสมัยการปกครองนี้นี่เองที่มีคณะบุคคลที่ศึกษาวิทยาศาสตร์การปกครอง เริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของจักรวรรดิ์ว่ากำลังเข้าสู่ภาวะล่มสลาย จึงทำการศึกษาศาสตร์ด้านนี้อย่างละเอียด รวมถึงตำนานที่เล่าขานกันมาแต่โบราณเพื่อหาทางแก้ไขการล่มสลายของจักรวรรดิ์ จากเรื่องเล่าที่เขียนเทพพยากรณ์นิล ภัทรบรรยายสภาวะการปกครองในแต่ละยุคได้ตรงกับสิ่งที่เกิดขึ้น รวมทั้งได้กล่าวถึงอาณาจักรยูโทเปีย (ศรีอาริยะ) อันเป็นดินแดนสุขสงบนิรันดร เมื่อค้นคว้าละเอียดมากขึ้นทำให้เชื่อกันว่า อาณาจักรยูโทเปียนี้น่าจะมีจริงและถือกำเนิดขึ้นแล้ว คณะบุคคลดังกล่าวจึงเริ่มการค้นหาอย่างจริงจัง

    ณ ดวงดาวอีกดวงหนึ่งในจักรวาลด้านบนของศูนย์กลางการปกครอง ได้มีเด็กประหลาดถือกำเนิดขึ้น เมื่อเติบโตขึ้นก็ได้แสดงความผิดปรกติด้านความคิด ในภายหลังพบว่าใครที่เข้าใกล้พูดคุยด้วยก็จะ้เกิดความนิยมชมชอย(อย่างไร้ เหตุผล) เด็กประหลาดนี้ได้ชื่อว่า มโน แม้ว คือผู้มีอำนาจจิตที่สามารถสะกดมวลชนได้ จากความนิยมชมชอบกลายเป็นความงมงายและกลายเป็นผู้ติดตาม เมื่อใดก็ตามที่มโนแม้วได้เยี่ยมเยือนดวงดาวต่างๆที่อยู่ห่างไกล มโนแม้วก็จะใช้อำนาจจิตนั้นจูงฝูงชนให้กลายเป็นสาวกมากขึ้นๆทุกขณะ

    คณะผู้ค้นหายูโทเปียเริ่มสังเกตเห็นความคลาดเคลื่อนในคำทำนายของเทพพยากรณ์นิล ภัทร และพบว่า มโนแม้ว ไม่ได้อยู่ในการทำนายของเทพพยากรณ์นิลภัทรมาก่อน สาเหตุน่าจะมาจากเหตุที่ว่าการทำนายของเทพนิลภัทรเป็นภาพรวมของเอกภพ แต่ มโนแม้วเกิดจากการผ่าเหล่า ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ต่อไป มโนแม้ว ก็อาจจะยึดครองจักรวรรดิ์และทำลายอาณาจักรยูโทเปียได้ ดินแดนในความใฝ่ฝันก็จะล่มสลายไป คณะผู้ค้นหายูโทเปียจึงเปลี่ยนบทบาทมาเป็นคณะผู้ต่อต้านมโนแม้ว และ ปกป้องยูโทเปีย

    เหตุการณ์จะเป็นอย่างไร มโนแม้วจะยึดครองจักรวรรดิ์แห่งดวงดาวได้หรือไม่ ยูโทเปียจะรอดมือของมโนแม้วได้หรือไม่ ของให้ทุกท่านโปรดเฝ้าดูกันต่อไป


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.81821703910828 sec
Sidebar: 0.54715204238892 sec