ภาษีซื้อมาขายไป
อ่าน: 4406ธรรมดาผมไม่ค่อยเขียนเรื่องเฉพาะกาลหรอกนะครับ แต่คิดว่าบ้านเมืองเราออกอาการเข้าขั้นตรีฑูต มิใยว่ารัฐบาลจะออกมาตะโกนปาวๆ ว่ากำลังดีขึ้น (ซึ่งแปลว่ายังไม่ดี แต่แย่น้อยลง) แล้วฝ่ายนอมินีก็บอกว่าฝีมือเด็กๆ ทำบ้านเมืองย่อยยับ ทั้งที่ตัวเองก็รู้ว่าตัวมีส่วนสร้างความปั่นป่วนเป็นอย่างมาก บวกกับผลกระทบหนักหนาสาหัสจากต่างประเทศ
บ้านเมืองเรามีปัญหามากมาย เพราะอุปสงค์และอุปทาน ไม่สมดุลย์กัน แห่ผลิตไปตามๆ กันเพราะเห็นว่าราคาดีในปีที่แล้ว พอผลผลิตออกมามาก ราคาก็ตก ก็มาปิดถนนประท้วงต้องการให้ประกันราคา — แต่ที่หนักกว่านั้นคือมีเสือนอนกิน ทำธุรกิจซื้อมาขายไป เป็นคนกลาง มีสินค้าผ่านมือโดยไม่ได้เพิ่มมูลค่า แต่ชักกำไรไปฟรีๆ เฉยเลย เงาะ ข้าว กุ้ง ลิ้นจี่ ลำไย ทุเรียน ฯลฯ อาการเดียวกันทั้งนั้นครับ
อัตราเงินเฟ้อติดลบ ดูเผินๆ เหมือนจะดีเพราะสินค้ามีราคาถูกลง พอเศรษฐกิจไม่โต แต่เงินเฟ้อติดลบ ทำให้เศรษฐกิจไม่โต ก็ไม่มีการลงทุน+จ้างงาน ธุรกิจที่ขาดสภาพคล่องต้องปิดตัวลง ทำให้คนตกงาน ที่จริงปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงแก้ปัญหาได้ แต่เพราะคนส่วนใหญ่ประมาท ไม่ได้ปรับตัวมาก่อน จึงเตรียมตัวไม่ทัน พอตกงาน แถมสูญเสียความรู้เกี่ยวกับการดำรงชีวิต ทุกอย่างเคยซื้อเอาได้หมด พอเงินขาดมือ เลยงงเต็ก ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อไป
ผมอยากให้ลองพิจารณาข้อดีข้อเสียของการจัดเก็บภาษีซื้อมาขายไป “ที่อาจใช้ชั่วคราว” ซึ่ง*ยกเว้นไม่เก็บ*กับสินค้าที่มีการเพิ่มมูลค่า คือว่าถ้าซื้อมา x แล้วขายไปทั้งดุ้นด้วยราคา x+p อย่างนี้ ควรโดนเก็บภาษาซื้อมาขายไป แต่ถ้าซื้อมา x เอาไปทำอะไรสักอย่างที่เป็นการเพิ่มมูลค่า ตัวอย่างเช่น packaging (เช่นเอาข้าวใส่ถุง) ประกอบ (เช่นประกอบรถยนต์) ผลิต (เช่นผลิตอาหารสำเร็จรูป) หรือธุรกิจบริการเช่นท่องเที่ยว,การเงิน ก็จะไม่เก็บภาษีซื้อมาขายไป แต่เก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม และภาษีเงินได้นิติบุคคล
ผู้ที่จะได้รับผลกระทบโดยตรงคือธุรกิจซื้อมาขายไปที่ไม่มีการวิจัย ไม่มีการเพิ่มมูลค่า แต่ถ้าเพิ่มมูลค่า แม้จะง่ายๆ เช่น packaging ก็จะมีการจ้างงานทันทีครับ แล้วถ้าทำวิจัย ตัวเลขสัดส่วนการวิจัยต่อรายได้ประชาชาติ จะเพิ่มขึ้นจากค่าที่ต่ำเตี้ยจนน่าอาย 0.35% ของ GDP
ถ้าเป็นงานวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี สามารถนำไปหักภาษีเป็น tax credit ได้สองเท่าอีก
ย้ำอีกครั้งว่าความคิดเกี่ยวกับภาษีแบบนี้ ไม่กระทบต่อผู้ผลิต (ซึ่ง output ไม่เหมือนกัน input) ไม่ว่าจะอยู่ส่วนไหนของห่วงโซ่ของการผลิต และไม่กระทบต่อธุรกิจบริการ ซึ่งเปรียบเหมือนผู้ผลิตเช่นกัน
ถึงจะไม่ได้วิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ซึ่งจะทำให้ได้สิทธิในการลดหย่อนภาษี แต่แค่ทดลองทำเพื่อปรับปรุง ก็ได้ประโยชน์แล้วครับ
เดิมทีผมคิดถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ VAT ยกเว้นกับธุรกิจการเกษตร ซึ่งมีเสือนอนกินอยู่เยอะมาก ไม่ควรยกเว้นให้
จะมีผลโดยตรงกับผู้นำเข้าสินค้า เครื่องสำอาง ยา วัตถุดิบเพื่อการผลิตที่นำเข้า
ผลบวกคือเม็ดเงินภาษีที่มากขึ้น ฐานผู้เสียภาษีที่กว้างขึ้น การจ้างงาน การทำงานวิจัยและพัฒนาโดยภาคเอกชน
ผลลบคือระบบยุ่งยาก มีผู้เสียประโยชน์
ภาษีซื้อมาขายไป ไม่ควรเกิน 2% เช่นสินค้าราคา 50 บาท จะมีราคาเพิ่ม 1 บาท แต่ถ้าซื้อตู้เย็นนำเข้า 14 คิว ราคาสองหมื่น ก็ควรจ่ายเพิ่ม 400 บาทได้
« « Prev : ลอกคราบ
ความคิดเห็นสำหรับ "ภาษีซื้อมาขายไป"