เหวี่ยงแห..

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 27 เมษายน 2011 เวลา 22:44 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม #
อ่าน: 897

ในสังคมเมืองและสังคมทุนนั้น

จะไม่มีภาพนี้ให้เราได้เห็น เพราะมีแต่ปลาเลี้ยง และการซื้อมาบริโภค

แต่นี่หากอยากกินก็ออกแรงเหวี่ยงแหเอากลางลำน้ำนั่น

ได้ปลาสดๆ เพียงพอสำหรับมื้อ

ไม่สะสม ไม่ได้หวังเอามากๆ

แค่พอกิน หรือเกินพอก็แบ่งให้ญาติพี่น้องเพื่อนบ้าน

ยุคสมัยเปลี่ยนไปเกือบหมดแล้ว

“รูปการจิตสำนึก” ของคนแต่ละรุ่นก็เปลี่ยนไป

จนบางรุ่นต่อกันไม่ติด

หากนี่คือการพล่ามพรรณนา

ก็ขอพล่ามถึงวิถีของบรรพบุรุษ

บันทึกให้ลูกหลานได้มาเจอะเจอบ้างเท่านั้น

——

…Xayaburi Lao…


ความสวยบนหาดทราย

11 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 24 เมษายน 2011 เวลา 22:40 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 854

ตลอดริมโขงจะมีกองทรายตามตลิ่ง

มากน้อย ใหญ่เล็ก ต่างกันไปตามสภาพทางธรรมชาติ

มันอาจจะเป็นหาดทรายทั่วๆไปที่ไหนๆก็มี

แต่ในกองทรายเหล่านี้มีผงทองคำตามธรรมชาติซ่อนอยู่

ที่ชาวบ้านตักทรายไปร่อนน้ำ ทั้งวัน อาจจะได้ผงทองมาเพียงธุลีหนึ่ง

บนหาดทราย บางแห่งมีไม้ดอกที่ไม่ทราบชื่อ และรายละเอียด

เสียดายไม่พบชาวบ้านที่จะอธิบาย

อือ…

มีความสวยบนหาดทราย


เยี่ยมบ้านห้วยซุย

32 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 เมษายน 2011 เวลา 23:17 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2363

แม่โขงที่มีเกาะแก่งมากมาย โดยธรรมชาติ เป็นอุปสรรคที่สำคัญทำให้ฝรั่งเศสแม้จะส่ง มูโอต์ มาสำรวจเส้นทางเพื่อจะทำแผนที่เข้าไปเมืองจีน แต่ก็เอาชีวิตมาทิ้งที่หลวงพระบาง และล้มเลิกในการใช้เส้นทางนี้เข้าจีน เปลี่ยนไปเป็นเข้าทางเวียตนามเหนือ…


วันที่ร้อนระอุหลังจากเสร็จงานสำนักงานแล้วเราวางแผนไปบ้านห้วยซุย เพื่อ spot check และ ติดตามว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นเช่นไรบ้างหลังจากที่เราเคยมาลุยกับอาว์เปลี่ยนและคณะมาแล้วในปีก่อนโน้น

เมื่อเช้าคณะจากสถานทูตเวียตนามเพิ่งเข้าไปและทหารห้ามมิให้ใครเข้าไปในช่วงเวลานั้น เราตั้งประเด็นในใจไว้บ้างว่า หลังจากที่มีการประชุมใหญ่ที่เวียงจันเมื่อสัปดาห์ก่อนเรื่องเขื่อนกั้นแม่น้ำโขงแห่งนี้ และที่ประชุมยกให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีต่างประเทศในลุ่มน้ำโขงคุยกันต่อ ท่านทูตเวียตนามก็ลงมาทันที..

หลังจากที่ตรวจสอบว่าเข้าพื้นที่ได้แล้ว เรานั่งรถไปบนเส้นทางสายใหม่ที่บริษัทยักษ์ใหญ่กำลังเร่งงานก่อสร้างดูง่ายขึ้นเยอะ งานก่อสร้างถนนบนภูเขาด้วยเครื่องจักรขนาดใหญ่นั้นดูเหมือนเด็กเล่นขายของกัน มันง่ายไปหมด


เราพบชาวบ้านที่ส่วนใหญ่เป็นสตรีมานั่งหลบแดดใต้ต้นไม้ มีสาวท่านหนึ่งพิการขาขาดไปหนึ่งข้างเลยหัวเข่า กำลังถือพวงแมลงอยู่ หลังจากผมถามเธอว่ามีเท้าปลอมใส่หรือเปล่า ชาวบ้านช่วยกันตอบว่าเธอมีแล้ว ผมไม่ถามสาเหตุอะไรถึงทำให้เธอเหลือเท้าข้างเดียว กลับไปถามว่านั่นแมลงอะไร ดูห่างๆเหมือนแมลงวันตัวใหญ่ เธอบอกว่าจักจั่น จับเอามาทำอาหารเย็นนี้..


ชาวงนั้นเองมีสาวแปลกหน้าเดินขึ้นมาจากแม่น้ำโขงกับผู้ชาย ได้ยินสองคนคุยกันเป็นภาษาอังกฤษ จึงถามเธอว่ามาจากไหน เธอตอบว่าเป็นชาวเวียตนาม มาจากหลวงพระบางมาลงเที่ยวทางเรือที่บ้านนาตอเหนือขึ้นไปไม่ไกลนัก เธอก็ตื่นเต้นเมื่อเห็นแมลงพวงนั้น

ผมเดินสำรวจหมู่บ้านและคุยกับชาวบ้านสักพักใหญ่ๆก็เดินทางกลับ ก่อนกลับผมถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกกับ “ท่านคำสะออน” คนที่อาว์เปลี่ยนรู้จักดี ตรงนี้คือจุดที่จะสร้างเขื่อนไชยบุรี (Xayaboury River Pondage)


อะไรคือมรดกโลก..

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 เมษายน 2011 เวลา 13:22 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 711

 

 

ทุกคนที่มาศูนย์กลางการท่องเที่ยว

เพื่อเสพความอลังการของเมืองและวัฒนธรรมที่แปลกตา

ก็เป็นธรรมดาของการเดินทางสู่เป้าหมาย

ผมเองก็เสพสิ่งเหล่านั้น ทั้งหรรษาและตั้งคำถามกับตัวเอง

แต่ก็ตอบตัวเองว่า

ไม่มีที่ไหนถูกใจใครๆไปทั้งหมดทุกเรื่อง แม้บ้านตัวเอง

เช้าวันหนึ่งกลางเมืองมรดกโลก

หลายคนคงเห็นภาพเหล่านี้

เพราะเขาเดินผ่านพร้อมกับเชิญซื้อผักพื้นบ้าน กับขนมข้าวเหนียวสำหรับมื้อเช้า

ดูเหมือนทุกร้านที่เขาเดินผ่านไม่ตอบสนองข้อเสนอ

ผมคิดว่าชาวบ้าน พื้นเมือง นี่ก็คือเนื้อแท้ของมรดกโลก

มากกว่า สีสันที่ฉาบสวย


จะเอาเงินหรือ….

43 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 21 เมษายน 2011 เวลา 0:01 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 793

ชาวหลวงพระบางภูมิใจที่ เป็นเมืองมรดกโลก และได้รับการ Vote ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าไปเที่ยวมากที่สุดในโลกติดต่อกัน 4 ปีซ้อน


แต่คนหลวงพระบางก็ถามตัวเองว่า “เราต้องการเงินตรา หรือเราต้องการรักษาวัฒนธรรมดีงามของเราไว้”



พี่น้องชาวหลวงพระบางต้องตอบเอง…..


คำพูดอำมาตย์ไทย..

596 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 20 เมษายน 2011 เวลา 15:36 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 5233

ครบรอบชาติกาล 100 ปี ท่านหม่อมคึกฤทธิ์ ผมขออนุญาตกล่าวถึงท่าน ผมรู้จักท่านทางผลงานท่านเท่านั้น เพราะคุณพ่อผมเป็นครูใหญ่โรงเรียนวัด ทุกวันจะรับหนังสือพิมพ์สยามรัฐ และหน้าสามของสยามรัฐ(หากจำไม่ผิด) ก็จะมีกลอนของท่านทุกวัน ผมชอบอ่านหลังจากที่พ่ออ่านเสร็จ ลูกๆก็แย่งมาอ่านต่อ ผมนั้นติดสำนวนท่าน ชอบสำนวนท่าน

ครูสมัยนั้นต้องรับวิทยาสาร ชัยพฤกษ์ วิทยาจารย์ และอื่นๆ ฟังวิทยุ ฟังละคร ซึ่งหลายเรื่องเป็นนิยายของท่านหม่อม เช่น หลายชีวิต…. เนื่องจากท่านเป็นปราชญ์ผู้ใหญ่ในวงการ ท่านก็พูดตรงไปตรงมา ผมยังจำได้ที่ท่านด่าเขมร ด่าอเมริกัน แสบสันยิ่งนัก ผมดูโขนที่ท่านแสดง

สมัยที่ผมไปเรียนที่ มช. ก็มีโอกาสฟังท่านร่วมอภิปรายวิชาการร่วมกับอาจารย์ใน มช.หลายครั้ง ท่านเป็นผู้รู้จริงๆ และรู้ลึกซึ้งไปหมด หายากที่จะทัดเทียมท่าน

เคยตั้งใจจะต้องไปเยี่ยมชมวังสวนผักกาด จนป่านนี้ก็ไม่ได้ไป

สมัยที่ผมต้องเดินทาง 5 กม.ไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนประจำอำเภอ ผ่านตลาดวิเศษชัยชาญ ผ่านร้านอาจารย์เจิมศักดิ์ ผ่านร้านหนังสือ ที่พ่อรับสยามรัฐเป็นประจำ ผมก็ต้องแวะเอาสยามรัฐกลับบ้านไปให้พ่ออ่าน ทุกวัน ทุกเดือนทุกปีทำเช่นนั้น จำได้ว่าครั้งหรือสองครั้งผมคุยกับเพื่อนเพลิน เดินเลยร้านหนังสือ ไม่ได้เอาสยามรัฐ กลับถึงบ้านพ่อดุซะ นอนไม่หลับเลย เพราะเหมือนยาเสพติดวันไหนไม่ได้อ่านสยามรัฐ ก็ขาดอะไรไป ดูเหมือนครั้งหนึ่งพ่อต้องให้ผมเดินกลับไปเอาสยามรับมาจนได้….

เมื่อผมเข้าเรียน มช. ก็มีเพื่อนอยู่ในวงการนักเขียน ก็มี สถาพร ศรีสัจจัง คนดังแห่ง มอ.และ ธงชัย สุรการ พี่นิสิต จิรโสภณ(ถูกถีบตกรถไฟเสียชีวิต) ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นศิษย์ท่านอาจารย์องุ่น มาลิค ท่านอาจารย์ นิธิ เอียวศรีวงค์ และอีกหลายคน… ในวงการนักเขียนมหาวิทยาลัยก็จะเชื่อมต่อกันกับนักเขียนมหาวิทยาลัยอื่นๆ ก็นัดพบกัน คุยกัน ทำหนังสือร่วมกัน และในสมัยนั้น สำนักพิมพ์สยามรัฐเป็นแหล่งส้องสุมทีเดียวหละ ผมก็พลอยติดสอยห้อยตามมาด้วยทั้งที่ไม่ได้เขียนอะไรกับเขา มารู้จักร้านหนังสือศึกษิตสยามที่ราชดำเนิน คลังหนังสือปัญญาชนสมัยนั้น

เมื่อท่านหม่อมมาเล่นการเมืองพรรคกิจสังคม ก็ตามลีลาบทบาทของท่านอยู่จนท่านสิ้นไป ท่านก็สร้างสีสันทางการเมืองไว้มาก ดูเหมือนว่าสมัยการเมืองของท่านนั้นเป็นยุคแรกๆที่มีการใช้เงินซื้อเสียง ที่เรียก “โรคร้อยเอ็ด”

ไม่มีอะไรหรอก เห็นสื่อมวลชนกล่าวถึงท่านในวาระ 100 ปีชาติกาลของท่านผู้ยิ่งใหญ่ ผมก็แค่เขียนถึงท่านเพียงเศษธุลีเท่านั้น เพราะผมอยู่นอกวง เป็นแค่ ผู้ติดตามห่างๆเท่านั้นครับ แต่เคารพและเชิดชูท่านยิ่งนัก

จำวาทะยิ่งใหญ่ของท่านได้คือ “ทุกข์ของชาวนาคือทุกข์ของแผ่นดิน” แม้ว่าท่านจะเอามาจากคำพูดของจีน แต่ท่านเป็นคนไทยคนแรกที่กล้าพูดคำนี้ครับ

ในฐานะที่ท่านเป็นอำมาตย์…..


การเดินทางที่ไม่จบสิ้น..

169 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 20 เมษายน 2011 เวลา 0:20 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4860

ไม่รู้เป็นกรรมอะไรของผมซิครับ มีงานมาให้ทำแล้ว ผมต้องปฏิเสธ เพราะไปขัดกับความเห็นของเพื่อนๆจำนวนมาก รวมทั้ง คุณตุ๊ คนข้างกายบอกว่า อย่าไปทำงานนี้นะ…ก็งาน Public scoping กรณีเหมืองแร่โปแตสที่อุดร บางท่านอาจจะติดตามข่าวการต่อต้านของกลุ่มชาวบ้านและนักวิชาการจำนวนหนึ่งแล้วนะครับ เพื่อนพ้องน้องพี่เหล่สายตามองผมเป็นพวกนายทุนไปแล้ว ส่วนทางหน่วยงานที่ผมสังกัดก็คิ้วขมวดมองผมเป็นพวกต่อต้าน กล้าปฏิเสธงานที่ให้ทำ เพราะผมนั้นเคยยืนตรงจุดที่ฝ่ายต่อต้านยืนอยู่ และ เข้าใจว่าพี่น้องทำอะไรอยู่

วันนี้ก็มีการประชุมเรื่องการสร้างเขื่อนไชยบุรีที่เวียงจัน มีกลุ่มต่อต้านทั้งไทย ลาว และฝรั่งต่างชาติมาต่อต้าน ผมก็ถูกมอบหมายงานให้ไปทำงานที่ไชยบุรีเรื่องการ Resettlement นี่แหละ ต้องรีบทำเพราะสิ้นเดือนนี้จะระเบิดหินกลางแม่น้ำโขงแล้ว รีบไปเดี๋ยวนี้ ไป supervise กลุ่มบริษัทที่ทำหน้าที่โยกย้ายประชาชน เหมือนที่อาว์เปลี่ยนทำที่เมืองหงสา แต่คนละกรณี


วันนี้ผมก็มาโด่เด่ที่หลวงพระบางเตรียมตัวเข้าไชยบุรีพรุ่งนี้ และยาวไปจนสิ้นเดือนเลย ความจริงเขามอบหมายให้ผมมาตั้งแต่ต้นเดือนแล้ว ผมผัดผ่อนมาเพราะแม่ผมไปนอนอยู่ห้อง ICU ต้องลงมากรุงเทพฯดูแลท่านสองสามครั้ง ตอนนี้ก็ตัดใจให้น้องๆดูแลแทนผม ทั้งที่ใจผมอยู่ข้างเตียงแม่


ผมมีเวลาที่หลวงพระบางเพราะรถที่จะมารับกำลังซ่อม และอีกคันก็ติดภารกิจ จึงมีเวลาเตร็ดเตร่ ผมจึงเดินขึ้นภูสี เป็นภูเขากลางเมืองหลวงพระบางที่ใครๆมาหลวงพระบางต้องเดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ลับภูเขา ดูเมืองหลวงพระบาง มรดกโลกที่มีฝรั่งแน่นไปทั้งเมือง ผมซื้อดอกไม้ธูปเทียนไปกราบพระบนเจดีย์ยอดภูสี ตรงข้ามพระราชวังเจ้ามหาชีวิต เสร็จแล้วลองเสี่ยงทายเซียมซี

ผมภาวนาอนาคตของผม ผมได้เลข 10 ไปหยิบกระดาษเสี่ยงทายปรากฏว่าไม่มีใบเสี่ยงทายเลขนี้ มันหมดไป เอาใหม่ ผมเสี่ยงทายคุณแม่ ขอให้ท่านดีวันดีคืน หากจะสูญสิ้นไปก็อย่าเจ็บปวดทรมานท่านเลยผมได้เลข 25 ไปหยิบใบเสี่ยงทายพบว่า ไม่มีอีก หมด


อากาศร้อนมากเดินลงทางมหาราชวังอีกเพราะผมทราบดีว่าตกเย็น หรือกลางคืนจะมีตลาดไนท์บาซาร์ ผมเคยมาแล้วหลายปีก่อน มาวันนี้โฮ ตลาดขยายเต็มถนนยาวเหยียด ก่อนลงไปตลาดบาซ่าร์ มีโบสถ์เก่าหลังหนึ่ง อยู่ตรงข้ามถนนกับมหาราชวังเจ้ามหาชีวิต อยู่ทางขวามือขาขึ้นภูสี ผมเดินไปเห็นมีคนหนึ่งนั่งอยู่ข้างบน คงเป็นคนเฝ้า


มีป้ายภาษาอังกฤษอธิบายว่าเชิญชมโบสถ์เก่าที่ด้านในผนังมีภาพเขียนพุทธประวัติ มีเพียงโบสถ์หลังเดียวเท่านั้นในหลวงพระบางที่มีภาพเขียน และเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของเมืองมรดกโลก เขาอธิบายเช่นนั้น ผมถอดรองเท้าแล้วเดินเข้าไปกราบพระพุทธรูปประธาน แต่แล้วผมก็ตะลึงเพราะมีป้ายเล็กๆเขียนไว้ว่า สร้างโดยรัชการที่ 5 ของไทย…???

ผมมีเรื่องยาวเหยียดเกี่ยวกับโบสถ์หลังนี้ กับชายคนเฝ้า เก็บเอาไว้ก่อน…

แต่จะมากราบขออภัยพ่อครู และทุกท่านว่า ผมถูกส่งตัวไปไชยบุรีเสียแล้ว ไม่สามารถมาโคราชกราบย่าโมได้ ด้วยความเสียใจ ผมถูกรับผิดชอบงานสำคัญของการสร้างเขื่อนไชยบุรี ที่เร่งด่วนจะระเบิดหินปลายเดือนนี้ จะต้องย้ายชาวบ้านภายในเดือนนี้เท่านั้น…..??!!

โอ้ พระเจ้า แม่อยู่ ICU, งานโคราช, งานส่วนตัวที่เชียงใหม่, งานด่วนไชยบุรี ฯลฯ


ธูปที่วัด…

18 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 17 เมษายน 2011 เวลา 23:46 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1394

วันที่ไปกราบพระวัดอรุณราชวรารามนั้น คนมากมายจนแน่น แน่นไปหมด อาจเป็นเพราะชื่อวัดเป็นสิริมงคล คืออรุณ… คือการเริ่มใหม่ วันใหม่ วันที่สดใส อะไรทำนองนั้น แต่ผมและครอบครัวไม่ได้ไปกราบพระเพราะชื่อวัด แต่เพราะคุณตุ๊อยากไป อยากพาลูกสาวเข้าวัดในวันสำคัญๆ และเราใช้ชีวิตใกล้ชิดกับลูก น้อยมากๆ ต่างคนต่างอยู่ ติดต่อกันทางโทรศัพท์และอีเมล์มากกว่า


ผมก็เห็นด้วยที่ต้องการมีเวลาให้แก่กัน เราเหมือนเป็นที่ปรึกษาให้แก่ลูก แม้ว่าวิชาชีพจะแตกต่างกัน แต่หลักการ ประสบการณ์หลายเรื่องเราสามารถแนะนำ หรือแสดงความเห็นแลกเปลี่ยนกับเธอได้ ให้เธอตัดสินใจเอง


เรียกได้ว่าเธอเป็นคนรุ่นใหม่ เพราะเบ้าหลอมของเธอนั้นเป็นสังคมสมัยใหม่ เทคโนโลยี่ใหม่ๆ แวดวงของเธอมีแต่ In trend ซึ่งตรงข้ามกับเรา พ่อแม่ สองคน ที่คลุกคลีกับสังคมชนบท ความขาดแคลน ปัญหา ฯลฯ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรค เราเอาความต่างมาแซวเล่นกันสนุกๆในครอบครัวมากกว่า

วันนั้นเราไปสามวัด คนแน่นทั้งสามวัด สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจแต่นึกชื่นชมเพราะมีคนจุดธูปไหว้พระ ขอพรหนาแน่นเป็นพิเศษ ท่านลองนึกซิว่า ควันธูปที่ทุกคนจุดนั้นมันจะอบอวนมากแค่ไหน ยิ่งทางวัดเอา สแลนซ์มุงกันแสงแดดด้านบนไว้ ยิ่งปิดมิให้ควันธูปลอยขึ้นไป

แต่ภาพที่ผมเห็นนั้นก็คือ มีวัยรุ่นหน้าตามอมๆ ตัวอ้วนๆมาทำหน้าที่รวบเอาธูปเล็กธูปใหญ่ที่ประชาชนจุดบูชาพระนั้นเอาออกจากกระถางทั้งหมด เขารวบเป็นกำใหญ่ๆแล้วเดินเอาไปจุ่มน้ำในถังที่เขาเตรียมไว้ให้ธูปดับ แล้วก็เอาไปใส่ในเข่งจนเต็ม ผมเข้าใจเจตนาเขาดีว่าทำเพื่ออะไร


จากรูปนี้ท่านคงเดาออกนะครับว่า จำนวนคนมากแค่ไหนถึงมีจำนวนธูปเท่าที่เห็น หากไม่ดับธูปแล้วเอามากองเช่นนี้ ควันธูปคงมหาศาล ประชาชนที่มากราบพระขอพรคงสูดเอาควันพิษเหล่านี้เข้าไป

เราไม่ได้จุดธูป เมื่อเข้าไปกราบพระด้านในแล้วก็ออกมา ผมเห็นอาแป๊ะเฒ่าท่านหนึ่งกำลังคัดเอาธูปดอกใหญ่ๆออกมาแล้วกองไว้ต่างหาก ผมสนใจว่าท่านจะเอาไปแปรรูปเป็นอะไรหรืออย่างไร จึงเข้าถามว่า เอาไปทำอะไรครับ

อาแป๊ะ บอกว่า เอาไปจุดไล่ยุงที่บ้าน ดีมากๆเลย…..??!!!


CERN

28 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 17 เมษายน 2011 เวลา 0:21 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1732

คืนนั้นดูทีวี ผมสนใจที่วิทยากรท่านหนึ่งพูดถึงพระพุทธเจ้าค้นพบการบรรลุความจริงที่หลุดพ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เล็กที่สุดที่อยู่ภายในตัวของเราที่เรียกจิต วิทยากรท่านนี้กล่าวต่อว่า นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งก็สนใจเรื่องที่เล็กที่สุดที่มนุษย์ไม่เคยเข้าใจมาก่อน และร่วมกันตั้ง CERN เพื่อศึกษาเรื่องนี้ ผมเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับ CERN แต่ไม่สะดุดใจเท่ากับคืนนั้น จึงไปไปค้นจนได้เรื่องราวของ CERN มา ขออนุญาตเจ้าของเรื่องคัดมานะครับ…..

———————-

ข่าวใหญ่ของวงการวิทยาศาสตร์หนีไม่พ้นการเริ่มเดิน เครื่อง “ลาร์จ แฮดรอน คอไลเดอร์” (Large Hadron Collider หรือ LHC) โครงการทดลองฟิสิกส์ขนาดยักษ์สังกัดสถาบันวิจัยนิวเคลียร์แห่งสหภาพยุโรปที่ มีนักวิทยาศาสตร์เข้าร่วมทดลองกว่า 8 พันคนจากกว่า 85 ประเทศ

LHC คือเครื่องเร่งอนุภาคที่มีขนาดใหญ่ที่สุดและเร่งอนุภาคให้มีพลังงานสูงที่ โดยมีจุดมุ่งหมายคือยิงโปรตอนเข้ามาชนกันด้วยพลังงานสูงยิ่งยวดแล้วดูว่าจะ เกิดอะไรขึ้น ทำไมต้องเร่งอนุภาค แล้วจะเร่งไปไหน


หากเราอยากจะรู้ว่าข้างในหินประกอบไปด้วยแร่อะไร ก็ทุบให้แตกแล้วเก็บเศษมาวิเคราะห์ ถ้าเราอยากรู้ว่าข้างในอนุภาคที่ประกอบเป็นธาตุต่างๆ เช่น โปรตอน นิวตรอน (สองอย่างนี้เรียกรวมกันว่า “แฮดรอน “) ประกอบไปด้วยองค์ประกอบย่อยอะไรบ้าง เราก็ต้องหาทางทำให้อนุภาคนั้นแตกออก แต่โปรตอนมีขนาดเล็กถึงหนึ่งส่วนพันล้านล้านเมตร และมวลเพียงหนึ่งส่วนพันล้านล้านล้านล้านกิโลกรัม

ทางที่เป็นไปได้ก็คือ “ซิ่ง”โปรตอนเข้าไปชนอะไรสักอย่างด้วยความเร็วสูงจนโปรตอนแตกเป็นเสี่ยงๆ แล้วใช้เครื่องตรวจจับอนุภาคคอยจับตามองว่ามี “เศษอนุภาคมูลฐาน” อะไรหลุดออกมาบ้าง การ “ซิ่ง” โปรตอนนี้เองที่เรียกว่าการเร่งอนุภาค การเร่งอนุภาคนี้เมื่อ 40 ปีที่แล้วทำให้นักวิทยาศาสตร์ค้นพบ “ควาร์ก” ซึ่งเป็นส่วนประกอบย่อยของโปรตอนและนิวตรอนใน ทุกๆ อะตอมที่เรารู้จัก เมื่อนักฟิสิกส์เห็นทางแล้วว่าสามารถศึกษาองค์ประกอบของสสารและความสัมพันธ์ ระหว่างองค์ประกอบแต่ละอย่างได้ด้วยการเร่งอนุภาค ก็มีการสร้างเครื่องเร่งอนุภาคที่สามารถ “ซิ่ง” โปรตรอนหรือนิวเคลียสของอะตอมให้มีพลังงานสูงมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

รถแข่ง หากจะให้แล่นได้เร็วมากๆ ก็ต้องมีทางวิ่งยาวๆ ให้เร่งความเร็วขึ้นไปเรื่อยๆ ทางที่ดีก็ให้วิ่งเป็นวงกลมจะได้ประหยัดเนื้อที่ เมื่ออนุภาคถูกเร่งจนมีพลังงานสูงก็จะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงเกือบเท่า ความเร็วแสง จึงต้องมีลู่วิ่งเป็นวงกลมใหญ่ๆ ในกรณีของ LHC ทางวิ่งของโปรตอนนี้เป็นวงกลมที่เส้นรอบวงยาว 27 กิโลเมตร ฝังอยู่ใต้ดินตามแนวพรมแดนฝรั่งเศส-สวิสเซอร์แลนด์


การทดลองที่ LHC นี้ไม่ได้หวังแค่เพียงว่าโปรตอนจะแตกออกแล้วศึกษาว่ามีอะไรอยู่ภายใน แต่ต้องการให้ลำโปรตอนนำพลังงานจำนวนมากมาอัดเข้าด้วยกันในพื้นที่เล็กๆ เพื่อสร้างมวลขึ้นมาจากพลังงานตามสมการ E = mc^2 ของไอน์สไตน์ ซึ่งบอกเราว่าหากนำมวล m มาสลายจะได้พลังงาน mc^2 และในทางกลับกันหากนำพลังงาน mc^2 มาอัดเข้าด้วยกันก็จะสร้างมวล m ขึ้นมาได้

นั่นคือมวลกับพลังงานนั้นเป็นสิ่งเดียวกันสามารถแปรสภาพกลับไปกลับมาได้ ตรงนี้เองครับที่ทำให้ LHC เป็นการทดลองที่น่าสนใจ เพราะจะมีอนุภาคมูลฐานใหม่เกิดขึ้นมากมาย อนุภาคเหล่านี้ไม่ใช่ธาตุที่เรารู้จักนะครับ แต่เป็นอนุภาคระดับย่อยลงไปกว่านั้นอีก

เราต้องเข้าใจความสัมพันธ์ของสสารในระดับย่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อจะ ได้นำมาอธิบายปรากฏการณ์ในระดับใหญ่ขึ้น อนุภาคที่เกิดใหม่เหล่านี้ไม่สามารถสังเคราะห์ขึ้นได้ด้วยวิธีอื่น และเมื่อเกิดขึ้นก็จะคงอยู่เพียงชั่วขณะเพราะอนุภาคที่เกิดขึ้นจะเกิดมา พร้อม “คู่แฝด” หรือปฏิสสาร (Antiparticle) ซึ่งเมื่อมาเจอกันแล้วก็จะหักล้างกันหายไปทั้งคู่ทันที ดังนั้นในช่วงเวลาสั้นๆ ที่อนุภาคเกิดขึ้นจากการชนกันของโปรตอนนักฟิสิกส์ก็จะเก็บข้อมูลกันถี่ยิบ เพื่อดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นมาใหม่บ้าง เป็นอนุภาคที่เรารู้จักกันมาก่อนหรือเปล่า


องค์ความรู้ที่สั่งสมมา ตลอด 30-40 ปีของการทดลองสร้างอนุภาคใหม่ พฤติกรรม และความสัมพันธ์ของอนุภาคแต่ละชนิดเป็นที่รู้จักกันในนามของ “ทฤษฎีมาตรฐาน” (Standard Model) ทฤษฏีนี้สามารถอธิบายการกำเนิดและสัมพันธ์ของอนุภาคมูลฐานที่พบ ในการทดลองเร่งอนุภาคได้แทบทุกชนิด ซึ่งแสดงให้เห็นว่าความเข้าใจในธรรมชาติของสสารนั้นค่อนข้างเป็นที่น่าพอใจ

แต่ทฤษฎีมาตรฐานก็มีปัญหาอยู่บ้าง เพราะยังมีอนุภาคมูลฐานที่สำคัญอีกอย่างชื่อ ฮิกกส์โบซอน (Higgs Boson) ที่น่าจะมีอยู่ในธรรมชาติหากทฤษฎีนี้ไม่ผิด แต่เราก็ยังหาไม่พบเสียทีเนื่องจากเรายังไม่สามารถสร้างสภาพแวดล้อมที่มี พลังงานสูงพอที่อนุภาคนี้จะเกิดขึ้นได้ นักฟิสิกส์หวังว่า LHC จะสร้างพลังงานสูงพอที่อนุภาคฮิกกส์โบซอนขึ้นได้ ถ้าฮิกกส์โบซอนมีอยู่จริงตามทฤษฎีมันก็จะต้องเกิดขึ้นมาในการนำโปรตอนมาชนกันแน่ๆ หากไม่เจอฮิกกส์โบซอนก็แสดงว่าเราจะต้องมาแก้ไขทฤษฎีมาตรฐานกัน หากเจออนุภาคอื่นเกิดขึ้นมาที่ไม่ใช่ฮิกกส์โบซอนเราก็ยิ่งดี เพราะเราก็จะได้หลักฐานใหม่ที่จะช่วยให้ทฤษฎีมาตรฐานสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

นักฟิสิกส์ยังหวังด้วยว่าระดับพลังงานสูงขนาดนี้อาจจะทำให้เราค้นพบมิติใหม่ ที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน! รวมทั้งปรากฏการณ์ทางฟิสิกส์ที่อาจจะเกิดเฉพาะในสภาวะพลังงานสูงยิ่งยวดแบบ สมัยเสี้ยววินาทีแรกหลังการระเบิดบิ๊กแบงที่ให้กำเนิดของเอกภพก็อาจจะสังเกต ได้จากการชนกันของโปรตอนพลังงานสูงด้วย สรุปว่าไม่ว่าผลจะออกมาเป็นยังไงก็ดีทั้งนั้นกับวงการวิทยาศาสตร์ครับ

มาถึงเรื่องที่มีคนกลัวกันมากจนทำให้ LHC เป็นข่าวครึกโครม ก็คือแนวคิดที่ว่าการชนกันของโปรตอนใน LHC อาจจะมีพลังงานสูงพอที่จะสังเคราะห์หลุมดำจิ๋ว (Micro Black Hole) ขึ้นได้และหลุมดำจิ๋วเหล่านี้อาจจะดูดสสารรอบข้างจนขยายใหญ่ขึ้นและกลืนโลกไปทั้งใบ”

แต่ในความเป็นจริงแล้วเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ครับ เพราะแม้ LHC จะเร่งอนุภาคจนมีพลังงานสูงยิ่งยวด ในอวกาศอันไกลโพ้นก็มีแหล่งเร่งอนุภาคตามธรรมชาติเช่น แก่นดาราจักรกัมมันตะอยู่แล้วและเราไม่เห็นจะเคยเห็นหลุมดำจิ๋วที่เกิดขึ้น จากวัตถุเหล่านี้เลย รังสีคอสมิกพลังงานสูงเข้ามาในบรรยากาศชั้นบนโลกอยู่ตลอดเวลาก็ไม่เห็นจะสร้างหลุมดำจิ๋วขึ้นมาได้ และที่สำคัญที่สุดก็คือหากมีหลุมดำจิ๋วเกิดขึ้นจริงๆ (โอกาส 1 ใน 50 ล้าน) หลุมดำเหล่านี้ก็จะ “ระเหย” สลายตัวไปเป็นอนุภาคอย่างอื่นในเวลาอันสั้นเนื่องจากขนาดเล็กเกินไป ซึ่งอาจจะเป็นเรื่องที่ยิ่งน่าตื่นเต้นของวงการวิทยาศาสตร์ที่ได้สังเกต ปรากฏการณ์นี้ก็เป็นได้

กระบวนการระเหยของหลุมดำเรียกว่า ปรากฏการณ์การแผ่รังสีฮอว์กิง (Hawking Radiation) ตั้งชื่อตาม สตีเฟน ฮอว์กิง นักฟิสิกส์ชาวอังกฤษนั่งรถเข็นชื่อดังที่เขียนหนังสือเรื่อง ประวัติศาสตร์โดยย่อของกาลเวลา

ตอนนี้ LHC พังอยู่ครับ เพราะฮีเลียมที่ใช้หล่อเย็นรั่ว (เป็นเรื่องธรรมดาของการทดลองลักษณะนี้) ได้ยินว่าใช้เวลาซ่อมถึงประมาณต้นปีหน้าครับ

—————-

วันก่อนผมแวะทานอาหารมังสะวิรัติของ SMC เจ้าของร้านก็บอกว่าให้เร่งปฏิบัติธรรมไว้ โลกกำลังก้าวเข้าสู่มหาวิบัติ…

วันก่อนก็มีกลุ่มคนพูดถึงอุบัติภัยธรรมชาติครั้งใหญ่หลวงกำลังจะเกิดขึ้นในอีก ปี สองปีข้างหน้า

ผมไม่ได้ตื่นตระหนก หรือคลั่งไคล้สิ่งบอกกล่าวเหล่านี้ เท่าๆกับ นักวิทยาศาสตร์ CERN กล่าวว่า ไม่มีทางที่จะเกิดหลุมดำจากการทดลองที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ได้ แต่ผมสนใจว่ามนุษย์กลุ่มหนึ่งกำลังหาคำตอบด้วยการลงทุนมหาศาล และมีคนกลุ่มหนึ่งแสวงหาความหลุดพ้นด้วยลำพังตัวตนเท่านั้น แต่คนจำนวนมหาศาลกำลังไหลรื่นไปกับชีวิตที่ห่อหุ้มด้วยมายา

แม้แต่ตัวผมเอง…

 

แหล่งข้อมูล: วารสาร Go Genius

องค์กรเพื่อการวิจัยนิวเคลียร์แห่งยุโรป ( European Organization for Nuclear Research; CERN) เรียกโดยทั่วไปว่า “เซิร์น” เป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนาทางด้านนิวเคลียร์ ก่อตั้งเมื่อวันที่ 29 กันยายน
พ.ศ. 2497 โดยมีประเทศสมาชิกก่อตั้ง 12 ประเทศ เมื่อแรกก่อตั้ง เซิร์น มีชื่อว่า “สภาวิจัยนิวเคลียร์ยุโรป” หรือ Conseil Européen pour la Recherche Nucléaire (European Council for Nuclear Research) ซึ่งเป็นที่มาของชื่อย่อ CERN

บทบาทหลักของเซิร์นคือ การจัดเตรียมเครื่องเร่งอนุภาคและโครงสร้างอื่นๆที่จำเป็นต่อการวิจัยด้านฟิสิกส์อนุภาค เซิร์นเป็นสถานที่ทำการทดลองมากมายที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อ นำไปใช้ให้เกิดประโยชน์ และยังมีชื่อเสียงในฐานะเป็นต้นกำเนิดของเวิลด์ไวด์เว็บ สำนักงานหลักที่เขตเมแร็ง มีศูนย์คอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีอุปกรณ์ประมวลผลข้อมูลที่มีประสิทธิภาพสูง มากเพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลจากการทดลอง และเนื่องจากจำเป็นต้องทำให้นักวิจัยในสถานที่อื่นสามารถนำข้อมูลเหล่านี้ไป ใช้ได้ จึงต้องมีฮับสำหรับข่ายงานบริเวณกว้างอีกด้วย

ในฐานะที่เป็นองค์กรระหว่างประเทศ สถานที่ของเซิร์นจึงไม่อยู่ภายใต้อำนาจทางกฎหมายของทั้งสวิตเซอร์แลนด์และ ฝรั่งเศส ใน พ.ศ. 2551 เซิร์นได้รับยอดบริจาคจากประเทศสมาชิกรวมแล้ว 1 พันล้านฟรังก์สวิส[2] สำนักงานใหญ่ของเซิร์น ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเจนีวา ใกล้กับชายแดนฝรั่งเศส-สวิตเซอร์แลนด์ เป็นที่ตั้งของห้องปฏิบัติการนิวเคลียร์ฟิสิกส์ขนาดใหญ่


 


สรงน้ำพระ..

268 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 เมษายน 2011 เวลา 23:14 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 3272


ผมไม่ได้มาใช้ชีวิตในกรุงเทพฯมานานแล้ว มาบ้างก็จริงแต่ประชุมเสร็จก็กลับไม่เคยออกไปสัมผัสกรุงเทพฯว่าเขาใช้ชีวิตระหว่างวันอย่างไรบ้าง บ้านเมืองตึกรามเป็นอย่างไรบ้าง อาศัยช่วงกรุงเทพฯปลอดฝูงคน ลูกสาวเลยพานั่งรถผ่านป่าคอนกรีตสองสามแห่ง ผมตะลึงสังคมในเมืองหลวงจริงๆ

ทุกช่องว่างของถนนเป็นธุรกิจไปหมดสิ้น ออกจากบ้านก็ต้องใช้เงิน จะหากินข้างถนนก็ยาก จะเข้าร้านก็ข้าวจานละ 150 บาทขึ้นไป มิน่าเงินเดือนลูกสาวหมดเกลี้ยง อิอิ

ผู้พักอาศัยห้องพักตามอพารต์เม้นท์ก็ก้มหน้าหาเงินมาจ่ายค่าเช่าห้อง ซึ่งแน่นอนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 5 พันบาท น้ำไฟเสียต่างหาก เจ้าของอพาร์ตเม้นท์มีรถป้ายแดงจอดเรียงกัน 5 คัน มีตั้งแต่ minicooper ที่วัยรุ่นผู้มีเงินนิยมกัน มีแลมโบกินี่ ที่วิ่งเร็วเหมือนจรวด มี พอร์ช มี BMW มีมาเซลลาติ ทั้งหมดป้ายแดง ผมดูแล้วเหมือนตุ๊กตาของเล่นของกลุ่มคนรวยในเมือง.. ช่างเขาเถอะ แม้เขาจะมีจรวดไปกลับดวงจันทร์ภายในวันเดียวก็ช่างเขาเถอะ


ผมไปกราบพระวัดอรุณ โฮ คนแน่น เพราะใครๆก็คิดเหมือนเรา จึงหลบมาหาของกิน เดินไปเดินมาในซอยข้างกองทัพเรือมีบ้านทรงเก่าเขาดัดแปลงมาเป็นร้านอาหารชื่อ อิ่มอุ่นอรุณสวัสดิ์ เราเข้าไปนั่งสั่งอาหารมาทาน มุมสวยงามเป็นห้องกระจก เป็นครอบครัวช่วยกันทำอาหาร ดูวุ่นวายเพราะมีแค่สามสี่คน แม้แขกจะไม่มากเท่าไหร่ แต่การประกอบอาหารไทยนั้นต้องปรุงสดๆถึงจะอร่อย และมีส่วนประกอบเยอะ ช่วงสงกรานต์คงจะหาส่วนประกอบยากสักหน่อยหากไม่ตุนไว้ก่อน


เพิ่งเปิดได้ไม่ถึงปี ยังใหม่อยู่จึงขาดๆเกินๆไปบ้างแต่ก็ใช้ได้ครับอาหารอร่อย หากคุณตุ๊ชมละเป็นใช้ได้ เพราะเธอทำอาหารอร่อยถูกปากผม นี่แหละถึงได้อ้วนเอาๆ อิอิ


ผมชอบมากๆประการหนึ่งคือ เขาตั้งโต๊ะให้ใครก็ได้ที่ผ่านไปมาสรงน้ำพระพุทธรูปหน้าร้านเขา ดีจังเลย ผมได้สรงน้ำพระตรงนี้ด้วย นี่คือการสืบต่อวัฒนธรรมไทย นี่คือแรงเกาะเกี่ยวคนกับความเชื่อที่เกี่ยวข้องกับศาสนา การสรงน้ำพระพุทธรูปว่าจะช่วยให้เราได้รับการปกปักรักษาจากคุณพระคุณเจ้า แม้จะเป็นความเชื่อ แต่ก็เป็นพลังบวกประการหนึ่ง เชื่อในสิ่งที่ดี ไม่ได้ไปทำร้ายใคร คิดดี ทำดี ก็มีแต่เรื่องดีดี

สาธุ สาธุ สาธุ


					


แผนสอง

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 เมษายน 2011 เวลา 22:31 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 766

ผมจำได้ว่านานมาแล้วที่เครื่องบินการบินไทยตกที่ภูเก็ต เพื่อนผมเป็นคนใต้และทำงานกรมป่าไม้เสียชีวิตไปด้วยพร้อมกับท่านอื่นๆนับร้อยคน ครั้งนั้นการบินไทยมีการทบทวนแผนอุบัติภัยขององค์กรครั้งใหญ่ มีการประชุมเตรียมงานวางแผนละเอียดยิบพร้อมระบุผู้รับผิดชอบและระบบการติดต่อและอื่นๆไว้หมด หากเกิดอุบัติภัยขึ้นทันทีที่ผู้บริหารทราบและประมวลข้อมูลได้มากเพียงพอแล้วก็จะกดปุ่มสั่งการให้ทุกคนที่มีชื่อในแผนงานดำเนินการทันทีโดยไม่ต้องรีรออะไร ซึ่งเรียกแผน A หรือแผนหนึ่ง

ไม่ว่าบุคคลที่มีชื่อในแผนจะอยู่ที่ไหน ทำอะไร ต้องละงานและมาดำเนินการตามบทบาทหน้าที่ที่กำหนดไว้แล้วในแผนหนึ่งนั้นทันที ท่านที่อยู่ในแวดวงนี้คงอธิบายได้ดีกว่าผมนะครับ

องค์กรที่เป็นระบบธุรกิจที่มีความเสี่ยงเช่นนี้ต้องดำเนินการจัดทำแผนรับมืออุบัติภัยอย่างละเอียดรอบคอบ และปรับปรุง ซ้อมแผนเป็นประจำเพื่อให้เกิดความรื่นไหล คล่องตัว และหาข้อบกพร่องเพื่อปรับปรุงให้ดีที่สุด เพราะชีวิตผู้โดยสารนั้นเป็นที่สุดที่ต้องช่วยเหลือทันที ไม่มีเวลามาถามหรือประชุม หรือโอ้เอ้แต่อย่างใด…

จำได้ว่าคราวเกิดสึนามิที่ภาคใต้นั้นมีเด็กฝรั่งเห็นปรากฏการณ์น้ำทะเลลดลงกะทันหัน เด็กคนนั้นตะโกนว่ากำลังจะเกิดสึนามิ แล้ววิ่งหนีขึ้นที่สูง ทั้งที่คนพื้นที่ไม่รู้เรื่องเลย และเสียชีวิตมากมาย เด็กคนนั้นถูกฝึกมาในระบบโรงเรียนของเขา..?!!

นึกเลยไปถึงว่าในสังคมเมืองปัจจุบันมีความเสี่ยงมากมาย จากเล็กน้อยเช่น ไฟฟ้าดับ ไปจนถึง ไฟไหม้ เกิดพายุรุนแรงรอบพันปี..ฯลฯ…. สังคมเรายังขาดระบบเตือนภัยอย่างที่คุณตฤณได้ทำอยู่

ในหมู่บ้านจัดสรรนั้น แค่ไฟดับ ก็เห็นสตาร์ทรถไปซื้อเทียนกันเป็นแถว ไม่ได้เตรียมตัวเลย ยังมีภัยอีกมากมายที่มีความเสี่ยงในการใช้ชีวิตประจำวัน คู่มือแบบนี้มีบ้างไหม ผมว่าอาจจะมีบ้าง แต่ไม่แพร่หลาย

เพื่อนรักผมเป็นกรรมการผู้จัดการ โรงงานผลิตกระดาษที่น้ำพอง ขอนแก่น วันนั้นผมพบที่สนามบินขอนแก่น เดินงุ่นง่านใหญ่ ถามว่าเกิดอะไรหรือ เขาบอกว่าลืมมือถือไว้ในรถที่มาส่งขึ้นเครื่อง “ตายเลย ทุกอย่างอยู่ในมือถือนั่น ไม่มีมือถือทำอะไรไม่ถูกเลย”….

ผมว่าเราและท่านก็อาจจะเคยเกิดเหตุการณ์ทำนองนี้มาบ้างเหมือนกัน ย้อนไปที่ แผนรับมืออุบัติภัยของสายการบินแห่งชาตินั้น นอกจากเขามีแผน A หรือแผนหนึ่งแล้ว ยังมีแผนสอง แผนสาม อีก เพราะทุกอย่างต้องเดินต่อไปได้ หากแผนหนึ่งติดขัดใดๆก็ตามซึ่งเกิดขึ้นได้ แผนสองต้องทำงานต่อไปได้…

ในวิถีชีวิตของเราภัยความเสี่ยงมีมากมาย เราเองควรมาทบทวนเรื่องนี้อย่างจริงจังมากขึ้น เพราะความเสี่ยงมีมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งมีข่าวการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติมากมายและทั้งหมดกระทบต่อวิถีเราทุกคน

“แผนหนึ่ง” ไม่พอด้วยซ้ำไป ต้องมี “แผนสอง” สำรองในกระเป๋าด้วย


อุบัติเหตุ..

7 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 10 เมษายน 2011 เวลา 12:52 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 663

ผมและครอบครัวรีบเดินทางไปเชียงใหม่และรีบกลับนอกจากงานของคนข้างกายล้นท่วมหัวแล้ว ผมก็ต้องการหลีกความหนาแน่นของจราจรบนถนนในช่วงสงกรานต์ ซึ่งเสี่ยงต่ออุบัติเหตุมากมาย

เราอาจจะระมัดระวัง แต่ยามที่ใครต่อใครรีบเร่งและจราจรหนาแน่นนั้น คนใจร้อนก็จะทำอะไรต่อมิอะไรให้สุ่มเสี่ยงมากมาย ถนนสายพิษณุโลกอุตรดิตถ์จนถึงเด่นชัยนั้นมีบางส่วนที่กำลังปรับปรุงทำให้ผิวจราจรแคบและขรุขระ หลายจุดอันตราย

มีสิ่งที่เราคาดไม่ถึงเสมอเรื่องอันตรายเกี่ยวกับรถและถนน อย่างเรื่องนี้

หลายปีก่อนคุณเกรียงศักดิ์ ญาติสนิทคุณตุ๊ ขับรถ Jeep Cherokee พาภรรยาและครอบครัวเที่ยว มีการเตรียมตัวพอสมควรจะไปเที่ยวหลายวันก็มีกระเป๋าและกล่องใส่เครื่องมือรถพิเศษพกไปด้วยเผื่อจำเป็นต้องใช้ก็จะหยิบใช้ได้สะดวก

รถทรงนี้เหมือนกับรถ Fortuner ที่ผมใช้คือ เป็นรถ Multi-purpose คือใช้ในเมืองได้ลุยป่าเขาได้ นั่งสบายเพราะขนาดค่อนข้างใหญ่ อาจจะกินน้ำมันสักหน่อยก็ต้องเรียนรู้วิธีประหยัดเอา รถประเภทนี้ห้องโดยสารจะดูกว้างเพราะไม่ได้แบ่งห้องเก็บของแยกออกจากห้องโดยสาร เปิดกว้างถึงกัน ข้อเสียคือ หากเอาสิ่งของที่มีกลิ่นเข้ามาเก็บ เช่นอาหาร กลิ่นก็จะฟุ้งไปทั้งห้องโดยสาร ต้องจัดเก็บดีดี ข้อดีคือ หากต้องการอะไรก็เอื้อมไปหยิบจับได้ไม่ต้องจอดรถลงไปเปิดประตูท้ายให้เสียเวลา

วันนั้นคุณเกรียงศักดิ์พาภรรยาเที่ยวอีสานจะขึ้นเหนือ ตามเส้นทางที่ผมใช้ปกติ เมื่อมาถึงเขาค้อเกิดมีรถใหญ่เบียดแซงมาเขาต้องหักหลบลงข้างทางอย่างกะทันหัน เพื่อมิให้เกิดการเสี่ยงต่อการเฉี่ยวชน การตัดสินใจในเสี้ยววินาทีนั้นทำให้รถต้องเผชิญต่อไหล่ทางที่ไม่เรียบมีหลุมมีลอนคลื่น ทำให้รถกระดอนขึ้นลงหลายครั้ง

และแล้วก็มีวัตถุสิ่งหนึ่งกระเด็นจากหลังรถข้ามศีรษะคนนั่งกลางมาตกที่หัวคุณเกรียงศักดิ์ในที่นั่งคนขับรถพอดี มันเป็นช่วงที่คุณเกรียงศักดิ์เบรกรถให้หยุดด้วย รถเบาลงและหยุดโดยรถไม่มีอะไรเสียหายแม่แต่น้อย แต่คนขับรถ แน่นิ่งไปทันที เพราะสิ่งของที่กระเด็นมาจากข้างหลังนั้นเองที่มาโดนหัวพอดี

เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ คุณเกรียงศักดิ์เสียชีวิตในเวลาต่อมาไม่นาน เพราะน้ำหนักของสิ่งนั้นกระเด็นกระดอนมาอย่างแรง พบว่าสิ่งนั้นก็คือ “กล่องเครื่องมือรถ” นั่นเอง เป็นกล่องเครื่องมือพิเศษที่ซื้อมาเพิ่มเติม มันไม่น่าที่จะเกิดขึ้น แต่มันก็เกิดขึ้น

ชีวิตเขากำลังก้าวหน้า ครอบครัวกำลังมีความสุข ภรรยาและลูกเสียใจมาก

การเตรียมกล่องเครื่องมือเป็นความรอบคอบ แต่การวางเฉยๆโดยไม่ได้มัดให้ติดแน่น นั้น กลายเป็นความเสียหายถึงชีวิตทีเดียว

เมื่อต้นเหตุเป็นเช่นนี้จึงเตือนเราว่า ไม่ว่ากล่องเครื่องมือก็ตามหรือสิ่งอื่นๆก็ตามที่อาจก่อให้เกิดอันตรายได้นั้น พึงเก็บ มัดให้แน่นหนา รถหรูราคาแพงนั้นอาจช่วยในเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับการเฉี่ยวชนได้ในบางกรณี

แต่อาจมาเสียชีวิตกับเรื่องเล็กน้อยแค่นี้ก็ได้

ชีวิตที่แข่งกับความเร็วและยุ่งเหยิงนั้น ต้องการสติมากขึ้นหลายเท่าตัวนัก…


ทัวร์เวียงพิงค์สั้นๆ

462 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 10 เมษายน 2011 เวลา 9:26 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 9924


วัดดอยสุเทพฯวันนี้ พัฒนาไปไกลมากเมื่อเทียบกับสมัยที่ผมยังใช้ชีวิตสมัยเรียนหนังสือหรือทำงานที่นี่ ไปเชียงใหม่คราวนี้ ไม่ได้บอกพี่น้องทางเหนือหรอกเพราะไปส่วนตัวทำภารกิจครอบครัวแล้วรีบกลับ เพราะคนข้างกายงานล้นไม้ล้นมือ

ผมพาลูกสาวและหลานสาวไปด้วย เมื่อธุระเบาบางลงก็หาเวลาแวบพาเขาขึ้นไปกราบพระธาตุดอยสุเทพ ผมชื่นชมทางวัดที่มีการบริหารจัดการที่เป็นระบบและสะอาดมากๆๆ แม้จะมีธุรกิจรับจ้างถ่ายรูป แต่เขาก็ได้มีส่วนช่วยให้ผู้มาจาดทางไกลเข้าใจว่าควรจะต้องทำอะไรบ้างตามที่ถูกที่เหมาะสมที่ประเพณีปฏิบัติต่อกันมา เช่น ซื้อดอกไม้ ธูปเทียนแล้วก็ไปเดินพนมมือวนขวารอบด้านในขององค์พระธาตุก่อนจึงออกมา จุดธูปเทียน บูชา.. ฝรั่งมังค่า ก็ทำตาม ฝรั่งที่แต่งตัวไม่เรียบร้อยทางวัดก็มีผ้าคลุมให้ ผมไม่รู้ว่าต้องเช่าหรือเปล่าเอารายได้เข้าวัดเหมือนสตรีที่จะเข้าไปกราบพระธาตุอิงฮังสะหวันนะเขต ลาวโน่น ที่สาวๆนุ่งสั้น หรือนุ่งกางเกง ห้ามเด็ดขาด ต้องเช่าผ้าถุงสรวมแล้วจึงอนุญาตให้เข้าไปได้ กฎระเบียบเหล้านี้ดีครับ คนต้องเคารพสถานที่ว่าอะไรควรไม่ควร ในชุมชนลาวหลายแห่งห้ามเด็กวัยรุ่นสาวๆนุ่งกางเกงขาสั้นในหมู่บ้านเลย เขากำหนดเป็น “ระเบียบบ้าน” ใครละเมิดโดยเรียกไปตักเตือน จนถึงปรับไหม….


ที่ด้านนอกขององค์พระธาตุดอยสุเทพฯที่เป็นสถานที่จุดธูปเทียนบูชานั้น ผมเห็นเด็กหนุ่มเอาแผ่นเหล็กที่ทำไว้เฉพาะวัตถุประสงค์ มาขูดเอาน้ำตาเทียนที่หยดลงพื้นออกไป ผมชื่นชมจริงๆ เข้าใจได้ว่านี่คือการจัดการที่ดี ผมเห็นเด็กหนุ่มคอยกวาดพื้นตลอดเวลา แม้ว่าทุกคนที่ขึ้นไปข้างบนนั้นจะต้องถอดรองเท้าไว้ข้างล่าง แต่ก็ย่อมมีเศษผงเศษธุลีต่างๆตกหล่นลงไป

ผมยิ่งเข้าใจเมื่อพบภาพนี้ว่าทำไมต้องมีการกวาดพื้นตลอดเวลา นี่คือการแสดงการคารวะสูงสุด เพื่อพระผู้อุทิศตนเพื่อศาสนา เพื่อการปฏิบัติธรรมก้มกราบแทบพื้นต่อองค์พระธาตุ อันเป็นตัวแทนพระผู้มีพระภาคเจ้า เราทุกคนนั่งลงและยกมือแสดงคารวะ แม้ฝรั่งมังค่า เขาก็เข้าใจได้ นั่งลงยกมือเช่นกัน….


ระหว่างทางขึ้นและลงดอยสุเทพฯ ผมได้เล่าให้ลูกสาว หลานสาวฟังว่า สมัยที่มาเป็นนักศึกษาใหม่ของ มช.นั้นเรามีประเพณีพาน้องใหม่เดินขึ้นดอยไปกราบองค์พระธาตุแห่งนี้ น้องใหม่ทุกคนต้องเดินขึ้น เป็นมหกรรมที่ยิ่งใหญ่และสมควรสืบต่อยิ่งนัก มาอยู่เชียงใหม่ก็ต้องมากราบไหว้สิ่งสูงสุดที่คนเมืองเหนือเคารพบูชา ลูกสาวและหลายสาวถามว่าเดินมาตั้งแต่ข้างล่างเลยหรือ…ใช่สิ ผมตอบ แถมสาธยายบรรยากาศและเรื่องราวอีกยาว…..มีการแข่งกันเดินขึ้นด้วยใครถึงก่อนก็มีรางวัลให้… เป็นประเพณีที่ทำให้เราแนบสนิทกับท้องถิ่น และรักกัน

สภาพองค์พระธาตุสุกอร่ามด้วยแผ่นทองคำสวยงามเหลือเกิน บริเวณสะอาด มากๆๆๆๆ ขอเน้นหน่อย


ผมพาครอบครัวเลยขึ้นไปบนตำหนักภูพิงค์เพื่อให้เธอรู้จักพร้อมเล่าประวัติศาสตร์ว่าทุกปีในหลวง สมเด็จและพระบรมวงศานุวงศ์จะเสด็จมาพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้จบหลักสูตรปริญญาที่ มช.ในช่วงฤดูหนาว และขณะเดียวกันพระองค์ก็ทรงปฏิบัติหน้าที่ต่างๆแก่ชาวเขา ชาวเรามากมายล้วนเป็นกลุ่มคนยากจน สมัยก่อนนั้นทุกครั้งที่เสด็จมาก็ทรงพระราชทานเลี้ยงคณะนายกสโมสรนักศึกษาทุกคณะที่ตำหนักข้างบนนี้…. ทรงใกล้ชิดกับนักศึกษามาก….ฯลฯ


 

ค่ำแล้วผมก็พาครอบครัวตระเวนภายใน มช. เล่าให้ฟังสารพัดเรื่อง กลายเป็นทัวร์เรื่องเก่า ความหลังไปด้วยในตัว มีการแซวกันเป็นที่ครึกครื้น วัตถุประสงค์ผมนั้นอยากจะให้ลูกหลานได้มารับรู้ว่า ท้องถิ่นแห่งนี้เราได้มาอิงอาศัย เล่าเรียนหาความรู้และมาทำกิจกรรมต่างๆอันเป็นรากฐานชีวิตมาจนถึงปัจจุบัน สถาบันการศึกษาเป็นที่บ่มเพาะเรามา เป็นสถานที่เปิดโอกาสให้กับการสร้างเสริมความรู้และประสบการณ์ชีวิต รายละเอียดมากมายเล่าไม่จบ ไม่หมดไม่สิ้น จนหิวข้าว เลยพาไปกินข้าวในสถานที่สวยที่สุดที่ไม่มีร้านค้าไหนๆจะสวยเท่านี้ เพราะที่นั่นคือ ร้าน “กาแล” บนแห่งนี้อดีตคือสำนักงานเกษตรภาคเหนือที่ทำงานผมสมัยอยู่สะเมิงต้องเข้ามาที่สำนักงานนี้ทุกเดือนเพื่อมาประชุม

ผมก็ทราบประวัติความเป็นมาดีว่าสถานแห่งนี้ ดร.ครุย บุญญสิงห์ สามีของท่านอาจารย์เต็มศิริ บุญญสิงห์ เด็กสมัยนี้ไม่รู้จักท่านแล้ว ดร.ครุยเป็น Staff ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยคอลเนลที่ได้รับรางวัลโนเบลไพรซ์ ผมจำไม่ได้ว่าสาขาไหน เรื่องอะไร ท่านมาเป็นผู้ก่อตั้ง สำนักงานแห่งนี้ ต่อมามีการปรับโครงสร้างกระทรวงเกษตร สำนักงานเกษตรภาคถูกยุบลงไป แปลงเป็น สำนักงานโครงการหลวง สำนักงานเกษตรสหกรณ์จังหวัด และอื่นๆตามความเหมาะสม..และร้านค้ากาแลก็มีมาตั้งแต่แรกๆสมัยก่อนไม่สวยอย่างนี้ สมัยนี้มีดอกไม้มากประดับเต็มพื้นที่ที่เป็น slop สวยงามมาก มีอ่างเก็บน้ำ มองเห็นตัวเมืองเชียงใหม่..

ที่มีดอกไม้ประดับตลอดทั้งปีสวยงามเพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่า เจ้าของร้านกาแลนั้นเป็นคนอ่างทอง บ้านเดียวกับผม มีลูกหลานทำงานสำนักงานอัยการ และมีกิจการเพาะดอกไม้ต่างๆส่งเทศบาลนครเวียงพิงค์อยู่ที่โป่งแยง แถมยังส่งลงมาถึงกรุงเทพฯ เป็นกิจการใหญ่โตมากลงทุนมากมีคนงานมากมาย ทำตลอดปี จึงเอาดอกไม้ที่ตกเกรดมาประดับที่ร้านอาหารกาแลแห่งนี้ได้ตลอดปี…

ผมสนุกที่พาครอบครัวมาทำภารกิจแม้จะรีบเร่ง รีบมารีบกลับ ก็มีโอกาสเล่าถึงประวัติศาสตร์ เรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับสถานที่ ผู้คน ฯลฯ ให้เขาฟัง ดีกว่าดูเฉยๆ เห็นเฉยๆ การให้เขาได้สัมผัสรากเหง้าของที่มาที่ไปของสถานที่ ผู้คนนั้น จะเข้าใจและลึกซึ้ง และเกิดทักษะ มุมมองในเรื่องท้องถิ่นมากขึ้น

อิอิ เป็นความสุขของคนเล่าด้วย…


ดำหัวอุ้ย..

326 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 10 เมษายน 2011 เวลา 0:20 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4756

เรามีภารกิจจะต้องขึ้นเชียงใหม่ ที่บ้านโป่งแยง ต.โป่งแยง อ.แม่ริม เราไปพบอุ้ยตุ่น ทองเรือน ท่านอายุ 78 ปี เรารู้จักท่านมาตั้งแต่สมัยทำงานสะเมิงปี 2518 เพราะเราขับมอเตอร์ไซด์ผ่านบ้านของท่านประจำเนื่องจากเป็นทางผ่านจากเชียงใหม่เข้าสะเมิง

ผมเข้ามาทำงานวิจัยให้สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทยเรื่องการเปลี่ยนแปลงการถือครองที่ดินในพื้นที่ ต.โป่งแยงนี้ จึงต้องเข้ามาศึกษาข้อมูลเชิงลึกของพื้นที่ อุ้ยตุ่นเป็นผู้สูงอายุท่านหนึ่งของชุมชน จึงขอสัมภาษณ์ท่านถึงพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ท้องถิ่นจึงทราบเรื่องราวในอดีตมากมายของพื้นที่นี้รวมไปถึงเรื่องราวของเมืองเชียงใหม่ด้วย เช่น สนามบินเชียงใหม่นั้นเดิมเป็น “นาปง” ผู้ชายทั่วเมืองเชียงใหม่ต้องถูกเกณฑ์มาใช้แรงงาน สร้างสนามบิน เครื่องบินแรกๆที่มาลงก็เป็นปีกไม้..??

โป่งแยงสมัยก่อนเป็นชุมชนชาว “ลั๊วะ” ที่เคร่งเรื่องความเชื่อผีมากๆ เมื่อคนเมืองเริ่มเข้ามามากขึ้น มีการผิดผีมากขึ้น ชาวลั๊วะ ก็ย้ายหมู่บ้านหนีขึ้นภูสูงขึ้นไป คนเมืองก็เข้ามาแทนที่ชุมชนแถบนี้ มีทั้งชาวบ้านทั่วไปและคนที่หนีการเกณฑ์แรงงาน และการเสียภาษีที่เรียก “ฐา 4 บาท” หรือ “เงินรัชชูปการ”* ถ้าไม่มีเงินก็ต้องไปใช้แรงงาน หากไม่มีเงินและไม่อยากถูกใช้แรงงานก็ หนีเข้าป่าลึกอย่าเดียว โป่งแยงจึงเป็นที่หลบการใช้แรงงาน และส่วนหนึ่งก็หนีลึกเข้าไปอีก ก็คือถิ่นสะเมิง ที่ผมเข้าไปทำงานในสมัยปี 2518 นั้น

อุ้ยตุ่น ปัจจุบันได้รับเงินผู้สูงอายุเดือนละ 500 บาท และอบต.เพิ่มให้อีก 500 บาท อุ้ยมีตำแหน่งในชุมชนเป็น นางเทียม หรือคนทรง หรือคนทำพิธีเจ้าพ่อ… อันเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวโป่งแยงกราบไหว้

วันที่ผมและครอบครัวไปหาอุ้ยตุ่นนั้น โป่งแยงจัดงานวันผู้สูงอายุพอดี มีการรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุ เมื่อเสร็จพิธีผมก็ไปรับอุ้ยตุ่นมาที่บ้านท่าน เมื่อเราพูดคุยกันพอสมควร ผมจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้น้องขวัญ ลูกสาวผมไปกราบดำหัวอุ้ยตุ่น และขอพรจากอุ้ย

อุ้ยตุ่นให้ศีลให้พรยังกะพระสวดแน่ะ..พวกเราทุกคนประมาณ 7 คนยกมือพนมรับพรจากท่านด้วย

  • ผมต้องการให้ลูกสาวผมซึ่งเธอเป็นคนยุคสมัยใหม่ได้สัมผัสประเพณีเดิมของล้านนาและของสังคมไทยโยลงมือทำเองคุกเข่าลงและเข้าไปหาผู้ใหญ่อย่างคารวะ นอบน้อม แม้จะดูเธอแก้งก้าง แต่ก็ฝึกไว้ ลงมือทำไว้
  • ผมต้องการพาครอบครัวมาแสดงความเคารพอุ้ย ที่ท่านมีเมตตาต่อผมและครอบครัวหลายประการในอดีตที่ผ่านมาและแม้จะเป็นปัจจุบัน
  • ผมต้องการเดินตามครรลองวัฒนธรรมประเพณีของท้องถิ่นเมื่อถึงวาระใดๆก็ควรทำสิ่งนั้นๆอันเป็น “ฮีตคอง” เมื่อเรามีโอกาสต้องทำ

เมื่อทำแล้ว อิ่มใจ พึงพอใจ สบายใจ เป็นสุขอย่างหนึ่ง

*= http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%80%E0%B8%87%E0%B8%B4%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%8A%E0%B8%8A%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3


กล้วยน้ำว้าลูกละ 6 บาท

118 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 5 เมษายน 2011 เวลา 22:06 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 4848

ผมเป็นคนชอบกินกล้วยทุกชนิดตั้งแต่เด็กๆ ตั้งแต่หวีละ 3 บาท 5 บาท จนปัจจุบัน 25-45 บาทเข้าไปแล้ว ผมเองพบกล้วยน้ำว้าลูกละ 6 บาทกว่า

เช้าวันนั้นผมต้องไปจอดรถข้างๆโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ เพราะเอารถเข้าไปข้างในบริเวณที่จอดรถไม่ได้ นั่งอยู่ในรถคอยการนัดหมาย สายตาก็สาดส่องไป กลัวตำรวจจะมาจับจอดผิดที่

สายตาที่สาดไปส่วนหนึ่งก็เพื่อดูวิถีชีวิตคนเดินริมถนนในเมืองหลวง ผมพบพ่อค้าขายกล้วยปิ้งคนนี้ครับ มีกล้วยห่ามๆในกระจาด มีสาแหรกมีคานหาม มีเก้าอี้ ผมนึกถึงชนบทภาคกลาง ผมเคยหาบกระจาดในสาแหรกแบบนี้มาแล้วสมัยเด็กๆ เช่น หาบข้าวปลาอาหารไปทำบุญที่วัด หาบผลผลิตจากสวนกลับบ้าน หาบแตงโมไปขายที่ตลาดวิเศษชัยชาญ…. และร่วมกับชาวบ้านไปหาบข้าวเปลือกให้วัดยามออกไปแผ่บุญเพื่อทอดผ้าป่าเอาเงินไปซ่อมแซมโบสถ์ เด็กหนุ่มสมัยนั้นรู้สึกอายๆวัยรุ่นสาวๆเหมือนกัน อิอิ..


ผมจำความรู้สึกบนบ่าได้ดีว่ามันเจ็บแค่ไหน จากบ้านไปที่นาระยะทาง 5 กิโลเมตร ที่หาบข้าวปลูกไปให้พ่อทำการหว่านลงนา สัมผัสที่ผ่านมายังรู้สึกแม้นานแค่ไหน มันไม่เลือนหายไป เพราะเป็นความรู้สึกด้านใน ไม่เพียงความรู้สึกทางกายเท่านั้น

ผมไม่กล้าลงไปคุยกับพ่อค้าขายกล้วยปิ้งหน้าโรงพยาบาลแห่งนั้น ผมแอบนั่งดูพฤติกรรมท่านนานนับชั่วโมงทีเดียว มีคนเดินผ่านไปมามากมาย คนแล้วคนเล่า ชาย หญิง คนเฒ่าคนหนุ่มสาว เขาเหล่านั้นเป็นคนเดินถนนที่มาขึ้นรถเมล์ใกล้ๆ หรือมาคอยแท็กซี่ หรือบางคนก็มาว่าจ้างมอเตอร์ไซด์ที่ตรงนั้นมีวินอยู่ มีรถสัก 4-5 คัน เดี๋ยวออก เดี๋ยวออก บ้างก็มาลง บ้างก็ไปที่อื่น


ก็มีคนแวะมาซื้อกล้วยปิ้งบ่อยๆ ผมถือว่าขายดี ส่วนใหญ่เป็นสตรี ผมพยายามดูว่าเขาขายอย่างไร ผมไม่ได้ยินเขาพูดกันแต่พอเดาได้ว่า พ่อค้าจะถามว่าเอากล้วยแบบไหนแบบเกรียม หรือแบบร้อนๆที่เพิ่งกลับไปมา หรือเอาทับชุบน้ำชุบกล้วยที่หั่นเป็น คำ คำ ไว้เรียบร้อยแล้ว ส่วนมากซื้อเป็นลูกๆที่ไม่ได้ทับ และเอาแบบเกรียมๆหน่อย 3 ลูก 20 บาท!!!!! ลูกละ 6 บาทกว่า !!!!!! พ่อค้าเอามือหยิบใส่ถุงพลาสติกใส แล้วเอาใส่ถุงหิ้วอีกชั้นหนึ่ง เมื่อรับแบ้งค์ 20 มาแล้วก็เอาไปแตะๆ กล้วยที่ปิ้งอยู่นั้นเหมือนแม่ค้าทั่วไปที่ทำเช่นนั้นยามเช้าๆ นัยว่าขอให้วันนี้ขายดี ขายดี หมดเร็วๆ.

ช่วงที่ผมนั่งดูนั้น 9 โมงกว่าแล้ว กล้วยที่เอามาปิ้งหมดไป 3 หวีแล้ว

ผมไม่วิเคราะห์ในมุมกล้วยปิ้งนี้ไม่สะอาด ทั้งกระบวนวิธีปิ้ง การหยิบจับ การย่างที่รบควัน.. แต่ผมขอมองในมุมอาชีพผู้ชายที่มาใช้เวลาทั้งวันทำหน้าที่ ทำอาชีพที่บริสุทธิ์ ริมถนน ท่ามกลางอากาศที่มีมลภาวะมากมาย ยามจะเข้าห้องน้ำ ยามจะกินข้าว กินน้ำ ไปทำธุระส่วนตัว รายได้ต่อวันมีความหมายมาก ไม่รู้กี่คนที่อยู่ที่บ้าน ไม่รู้ว่าภาระครอบครัวเขาอาจจะมีลูกที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่ไหนสักแห่ง.. ที่บ้านอาจจะมีคนป่วยนอนคอยรายได้ไปรักษาก็ได้

ที่ทำงานของท่านผู้นี้คือริมถนน ขายสิ่งบริโภคให้กับคนกลุ่มหนึ่งในสังคม หากฝนตกมาเขาคงไม่ได้ขาย วันไหนๆที่ร้อนจัดๆล่ะ…

ในสภาเขาพูดถึงเรื่องอะไรกัน

ท่านผู้มีตำแหน่งสูงๆ มีหน้าที่รับผิดชอบต่อสังคม ยืดคออยู่ในห้องที่หรู อาหารหนึ่งมื้อของท่านอาจจะมีราคาสูงกว่ารายได้ของชายท่านนี้ทั้งเดือน ท่านอาจจะเคยเดินผ่านชายผู้ขายกล้วยปิ้งท่านนี้…. ขณะที่สมองท่านคิดเรื่องพัฒนากรุงเทพฯ เมืองไทยให้ศิวิไลซ์..

ทุกคนก็ทำหน้าที่ของท่านไป

ชายท่านนี้ก็ขายกล้วยปิ้งไป วันแล้ววันเล่า จนกว่าจะหมดแรง…..

งานพัฒนาเพื่อใครกัน…. เขามองเห็นคนกลุ่มนี้ไหม..??

 


 


เนื่องมาจากสารคดีฉบับเดือนมีนาคม…

268 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 3 เมษายน 2011 เวลา 21:50 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4417

เนื่องจากหนังสือสารคดี ผ่านทางดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ ผู้ก่อตั้งชมรมคนรักมวลเมฆ ได้ขอรูปผมไปลงใน “สารคดีฉบับใหม่นี้เดือนมีนาคม 54″  ผมจึงอยากบันทึกเบื้องหลังไว้สักหน่อย…

ผมมีอาชีพเป็นนักพัฒนาชุมชน สมัยก่อนเรียกอาสาสมัคร ต่อมาสรุปว่าเป็นอาชีพได้ประเภทหนึ่ง พัฒนาตัวเองไปตามจังหวะชีวิตจนมาเป็น Freelance งานด้านสังคมชุมชน

ผมเป็นคนบ้ากล้องมานานแล้ว สมัยไม่มี DSLR ผมก็บ้าขนาดล้างฟิล์มเองในห้องน้ำที่พักยันสว่าง แต่เป็นภาพขาวดำ เอามาห้อยระโยงระยางเต็มห้อง สมัยนั้นผมทำงานชนบทที่เชียงใหม่ในป่าในเขา ชอบวิถีชีวิตธรรมชาติแบบชนบท จึงถ่ายรูปแล้วเอามา Develop สมัยนั้นที่เชียงใหม่มีชมรมคนบ้ากล้องอยู่กลุ่มหนึ่ง ชอบถ่ายรูป เป็นสไลด์แล้วเอามาฉายดูแล้วก็ติชมกัน จำได้ว่า ท่าน ทอม เชื้อวิวัฒน์ เคยขึ้นไปเป็นวิทยากร ผมเป็นเด็กเป็นเล็กก็นั่งแอบฟังผู้ใหญ่เขาคุยกัน แล้วก็จดจำเอาความรู้ไปใช้ การตั้ง Sutter speed ให้สัมพันธ์กับ Aperture การวาง Composition การเช็ค Dept of field การใช้ Filter สีต่างๆ การใช้ Flash การถ่ายรูป Portrait การถ่ายภาพ Silhouette จะถ่ายภาพสีก็ต้อง Over ครึ่ง stop จะถ่ายสไลด์ก็ Under หนึ่ง stop ถ่ายรูปกลางวัน กลางคืน เช้า เย็น ล้วนต้องใช้ทักษาการ set ค่าต่างๆของตัวกล้องทั้งสิ้น เพราะกล้องสมัยนั้นเป็น Manual และเป็น SLR ความรู้เหล่านี้มีเรียนในระดับปริญญาตรี แต่ผมเรียนจากเข้าร่วมฟังผู้สันทัดกรณีคุยกันและซื้อหนังสือมาอ่าน แต่ ทั้งหมดเป็นกล้องแบบ SLR ใครไม่ทราบว่าแปลว่าอะไรไปเปิด GOO เอานะครับ


รูปนี้ประทับใจมาก ระหว่างทางกลับมาขอนแก่น

โอย เงินเดือนนักพัฒนาก็น้อยกว่าเบี้ยเลี้ยงของท่านผู้ใหญ่สมัยนี้ หรือน้อยกว่าเบื้ยประชุมของท่านทั้งหลาย ผมก็อดออมเอา หากรวมๆกัน โฮ….หลายตังค์ ผมเปลี่ยนกล้องไป 4 ยี่ห้อ Minolta, Cannon, Yachica จบลงที่ Nikon F2 และ Nikon FM ความที่ต้องย้ายที่ทำงาน ทำให้ผมทิ้งกล้องไปหลายปี มาอีกทีก็ที่มุกดาหาร มาเป็น Freelance ทำงานชนบทกับเขตปลดปล่อยแห่งแรกในประเทศไทย พี่น้องชนเผ่าบรู ที่ดงหลวง มุกดาหาร หน้าที่การงานบังคับให้ต้องใช้กล้องถ่ายรูปเพื่อบันทึกกิจกรรมที่เอาไปทำรายงาน Quarterly report, Yearly report, Progress report โอยสารพัด report


รูปซ้ายมือถ่ายที่ภูมโนรมย์ มุกดาหาร ขวามือระหว่างทางกลับขอนแก่น

กล้อง DSLR เข้ามาเมืองไทยนานแล้ว แต่ผมไม่ได้สนใจ จนภาคบังคับนี่แหละจะต้องซื้อกล้องส่วนตัวมาใช้กับงาน แม้ว่าที่ทำงานจะมีงบซื้อกล้องก็ตาม แต่ความเป็นส่วนตัวมันสะดวกกว่ามาก ผมก็กลับมาจับกล้องอีกครั้ง ที่มุกดาหารเรามีร้านถ่ายรูปที่เราเป็นลูกค้าประจำ แรกๆก็ยังล้างอัดภาพสี แล้วเอารูปไป scan แล้วแปลงเป็น file .pdf เป็นสกุลอื่นๆ ก็เพื่อเอามาทำรายงาน โอยมันหลายขั้นตอน เอา DSLR ดีกว่าจบเลย สะดวก รวดเร็ว ยิ่งมี Program ตัวช่วยสำหรับปรับปรุงภาพ digital ก็ยิ่งสนุกใหญ่ เราถ่ายรูปกิจกรรมแบบไม่ยั้งแล้วเอามาคัดทำรายงาน ต้นฉบับก็เก็บไว้จนล้นหน่วยความจำเครื่อง


ทั้งสองรูปนี้ถ่ายที่ภูมโนรมย์ มุกดาหาร

ต้องไปซื้อ External HD มาถ่ายออกจากเครื่อง แรกๆ เจ้า External HD ก็ใหญ่โตมโหระทึก หน่วยความจำก็ไม่มาก เต็มอีก ต่อมามี ตัวเล็กๆและหน่วยความจำมากมาย พกพาสะดวก ก็ซื้อมาเก็บ อิอิ มีแต่รูปเมฆกับดอกไม้และภาพชนบทที่ตัวเองชอบ เต็มไปหมด


ทั้งสองรูปนี้ถ่ายที่ภูมโนรมย์ มุกดาหาร

มาสนใจเมฆก็อาจารย์ชิวนี่แหละ แหมมาถูกเวลาจริงๆเพราะมันเป็นธรรมชาติที่ผมชอบอยู่แล้ว และเป็นงานอดิเรกที่ปลดปล่อยตัวเองออกจากงานภารกิจซะบ้าง และมีความสุขกับกิจกรรมนี้กับธรรมชาติ เห็นเมฆเห็นสัจจะธรรม ว่าเข้าไปนั่น ก็มัน “เกิดขึ้น ตั้งอยู่ สิ้นสุดไป” เมฆ “สวยสุดใจ เดี๋ยวเดียวก็สลายไป” มี “หลังพายุร้ายก็มีความสงบนิ่ง” “ความสวยนั้นมันเป็นคุณสมบัติทางธรรมชาติ ไม่มีใครไปตกแต่งเขา” มิติของความสวยนั้นอยู่ที่ “Time and Space” “สวยมากสวยน้อยอยู่ที่ผัสสะของเรา” ฯลฯ


ทั้งสองรูปนี้ถ่ายที่ภูมโนรมย์ มุกดาหาร

“คาถาเรียกหมวกเมฆ” ผมไม่แน่ใจว่าน้องลูกเกด หรือน้องท่านใดเรียกผมเช่นนั้น อาจเป็นเพราะว่า ผมถ่ายรูปหมวกเมฆมาค่อนข้างมาก

  • เพราะผมมีโอกาสมาก คือ ผมอยู่ชนบทมีพื้นที่กว้างขวางบนท้องฟ้าที่ไม่มีตึกรามบ้านช่อง เสาไฟฟ้า มาบดบังมวลเมฆ
  • เวลาที่เกิดหมวกเมฆเป็นเวลาที่ผมเลิกจากงานเป็นส่วนใหญ่และมีโอกาสเห็น นี่คือข้อสังเกตส่วนตัวผิดถูกขออภัยนะครับ
  • สถานที่ที่ผมใช้ดูเมฆนั้นเป็นยอดภูเขาที่มุกดาหาร ยิ่งเปิดโอกาสให้ผมเห็นท้องฟ้าไปไกลแสนไกล เกือบสามร้อยหกสิบองศา ไม่มีเมฆก้อนไหนรอดพ้นสายตาผมไปได้ อิอิ


ทั้งสองรูปนี้ถ่ายที่ภูมโนรมย์ มุกดาหาร

  • ผมเดินทางบ่อย เป็นปกติอยู่แล้วที่เช้าตรู่วันจันทร์ผมก็ขับรถไปมุกดาหาร เย็นเลิกงานวันศุกร์ผมก็กลับมาขอนแก่น 250 กม. ผมขับรถคนเดียว จะจอดฉี่ข้างทางก็ไม่มีใครว่า ขอให้มิดชิดซะหน่อย จะจอดถ่ายรูปเมฆให้เวลาเท่าไหร่ ก็ไม่มีใครมาจับเวลา ชนเผ่าม้งกล่าวว่า “แม่น้ำเป็นของปลา ท้องฟ้าเป็นของนก” ผมแอบคุยเล่นกันที่บ้านว่า “ท้องฟ้าเป็นของนกและของบางทราย” อิอิ.. อิอิ…เอิ้กกกกก


ทั้งสองรูปนี้ถ่ายที่ภูมโนรมย์ มุกดาหาร

ช่วงฤดูฝนนั้นมวลเมฆมากมาย ยิ่งมีโอกาสเห็นปรากฏการณ์บนท้องฟ้าเยอะเพราะมีเงื่อนไข ปัจจัยเอื้อให้เกิด เราก็หยิ่งมากหน่อย หยิ่งคือแหงนมองท้องฟ้าบ่อยๆไง เชิดหน้า


หมวกเมฆรูปนี้ถ่ายที่ภูมโนรมย์ มุกดาหาร ผมประทับใจหมวกใบนี้มาก


รูปนี้ถ่ายที่ถนนวงแหวนขอนแก่นด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือ

ขอบคุณ ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ หรือน้องชิวของผมที่เป็นผู้ฉุดประกายการใช้เวลาส่วนตัวท่องไปในท้องฟ้าแล้วผมก็พบความสวยงามเสมอๆ

ขอบคุณภูมโนรมย์ที่ผมต้องขึ้นไปเกือบทุกเย็น หลังเลิกงานจนสนิทกับหมอดูชาวบ้านที่นั่น และสุนัขอีกฝูงหนึ่ง …. มันเป็นความสุขคนบ้านนอก ผมเชื่อว่าทุกท่านก็หาความสุขส่วนตัวแบบนี้ได้ครับ….

และท้องฟ้าจะเป็นของนกและของท่านด้วยครับ…..


ขุมทองอีสาน

80 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 3 เมษายน 2011 เวลา 12:05 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2829

เมื่อคืนหากผมไม่ได้ไปงานพิธีมอบรางวันแล้ว เสียใจตายเลย จริงๆผมไม่ค่อยเท่าไหร่กับงานพิธีรีตองเหล่านี้ แต่ที่ผมชอบมากๆเพราะประวัติผู้ได้รับรางวัลแต่ล่ะท่านนั้น ผมต้องแสดงคารวะต่อท่านด้วยความจริงใจอย่างสุดซึ้ง กว่าผลงานของท่านจะถูกคณะกรรมการแอบไปพิจารณาสรุปออกมาว่าสุดยอดสมควรมอบรางวัลให้นั้น แต่ละท่าน พ่อคุณ แม่คุณเอ๋ย เป็นไม้ใกล้ฝั่งกันแล้วทั้งนั้น บางท่านถึงกับเสียชีวิตไปแล้ว ต้องให้ทายาทมารับแทน บางท่านต้องประคองมา หลายท่านถือไม้เท้าขโยกขึ้นเวที

ขอบคุณคณะกรรมการจัดงานที่ทำให้ผมรู้จักอีสานเพิ่มขึ้น อีสานที่เป็นมุมที่เป็นรากเหง้า เป็นแก่น เป็นแกนของสังคม วัฒนธรรม และผู้คนที่สร้างสรรค์งานของท่าน และส่งต่อให้สู่ลูกหลาน เพียงแต่ว่าเรามองงานนี้ในมุมไหนเท่านั้นแหละ

อยากจะเขียนถึงทุกท่านเหลือเกิน ผมตามงานของท่านมาบ้าง เช่น สมคิด สิงสง บางท่านผมไม่รู้จักท่านแต่เห็นฝีมือท่าน เช่น ช่างแกะเทียนที่อุบล ที่ผมขออนุญาตแสดงความประทับใจส่วนตัวคือ นางผมหอม สกุลไทย แห่งดอนตาลมุกดาหาร และเจรียงนรแก้ว ของแม่แก่นจันทร์ นามวัฒน์จากสุรินทร์

ผมอยู่มุกดาหารนับสิบปีเคยได้ยินชื่อเสียงท่านบ้างแต่ไม่เข้าหู ไม่ซึมซับ มาวันนี้ผมได้เห็นท่านได้ยินท่านมา “รำผญาย่อย” พร้อมเครื่องดนตรีท้องถิ่น ผมสะดุ้งโหย่ง นึกเสียดายเวลาไปถ่ายรูปเมฆบนยอดเขาภูมโนรมณ์ซะ ไม่เคยไปสัมผัสท่านที่ดอนตาล ซึ่งเป็นอำเภอที่มีชื่อเสียงติดอันดับของเมืองไทยมานานในหลายมิติ เช่นเป็นแหล่งลือลั่นท่านอดีตรักษาการณ์ ผบ.ตร.คนตรง ท่านเสรีพิสุทธ์ เป็นอำเภอที่หมอเขียวอยู่ที่ลือลั่นในปัจจุบัน และท่านผมหอม

ผญาย่อยคืออะไร ผญาเป็นภาษาถิ่นอีสานและทางเหนือ ภาคกลางน่าจะใกล้กับคำว่า สุภาษิต ซึ่งบรรพบุรุษได้จารย์ไว้สอนลูกหลานในเรื่องต่างๆของวิถีชีวิตปกติของคนในแต่ละรุ่น รำผญาย่อย ก็เป็นการร่ายรำ ร้องคำโบราณที่สอนลูกสอนหลานในเรื่องวัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต การปฏิบัติตนในสังคม เคารพนับถือผู้ใหญ่ ไม่ควรทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ควรทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ โอ้โฮในโรงเรียนเอาผญาไปสอนกันไปเรียนบ้างไหมนี่ แล้วหยิบมาใส่ทำนอง ร่ายรำประกอบ มีเสียงดนตรีเข้ามามันเป็นการสั่งสอนที่ไม่แห้งแล้ง เสียงของเธอนั้นสุดแสนจะชัดเจน ภาษานักร้องเขาเรียกแก้วเสียงหรือเปล่าหนอ

อีกรายการที่ผมขนลุกคือการร้องรำ “กันตรึม” คนที่ไม่เคยมาใช้ชีวิตทางอีสานใต้อาจจะไม่รู้จักกันตรึม เป็นศิลปะการแสดงของราษฎรไทยเชื้อสายเขมร ก็แถบบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกศ ที่เป็นชานแดนติดประเทศกัมพูชานี่แหละ บังเอิญผมเคยมาใช้ชีวิตชนบทแถบชายแดนแห่งนี้ในประมาณปี 2523-2525 มาเรียนภาษาเขมร มาชื่นชมกันตรึม มีร้านอาหารและเครื่องดื่มอยู่ร้านหนึ่งที่มีการแสดงกันตรึมทุกคืน ร้านนี้เป็นทายาทของท่านเปรื้อง วรรณศรี ใครไม่รู้จัก เปรื้อง วรรณศรี ไปถามอาจารย์ Goo ดูนะครับ ท่ารำของผู้ชายและผู้หญิงจะออกไปคล้ายนางอับษร (เขียนผิดขออภัยด้วย) สวยงามมากๆ ผมชอบ ผมชอบ ถ้าเป็นสมัยหนุ่มๆที่ชอบดื่มกระเป๋าผมฉีกไปแล้ว ก็จะตกรางวัลให้เธอเหล่านั้นน่ะซี..อิอิ สมัยทำงานที่สุรินทร์แถว กาบเชิง สังขะ บัวเชดนั้น ล้วนเป็นชนเผ่าที่ใช้ภาษาเขมร แต่ภาษาเขมรที่นี่กับภาษาเขมรในประเทศเขมรนั้นไม่เหมือนกันเพี้ยนไปบ้าง แต่เข้าใจกัน ผมไปเรียนภาษาเขมรและสอบด้วย ที่วิทยาลัยครูสุรินทร์ เข้าไปกินนอนในหมู่บ้าน จึงเป็นวัฒนธรรม ประเพณี ศิลปะท้องถิ่น ที่นี่ และหนีไม่พ้น กันตรึม เครื่องดนตรีมีไม่กี่ชิ้น คำร้องเนื้อหาสาระก็มีความหมายคล้ายผญา ออกไปทางสั่งสอนให้คนทำในสิ่งที่ดีงาม ถูกต้อง ละเว้นสิ่งไม่ดีต่างๆ

พ่อครูบอกว่า เคยจัดกันตรึมที่บริเวณหน้าปราสาทหิน โดยไม่ใช้เครื่องเสียงเลยเอาแบบธรรมชาติๆจริงๆ ขนลุกครับ มันจะงดงามและมีความหมายแค่ไหน บรรยายไม่ถูกเชียวหละ..

ไม่ได้กล่าวถึงราตรี ศรีวิไล, บานเย็น รากแก่น ที่ใช้ท่วงทำนองเพลงถิ่นอีสานกล่าวถึงความสัมพันธ์สองฝั่งโขงของพี่น้องเหล่านี้

ผมทำงานพัฒนาชุมชนแม้จะไม่ใช่คนท้องถิ่นแต่ก็เห็นคุณค่า ประโยชน์การใช้วัฒนธรรมมาขับกล่อมหลอมชีวิตให้ดีให้งามจากท่านผู้เป็นศิลปินระดับเซียนเหล่านี้

นี่คือสาระเนื้อแท้ของศิลปะการร้องรำในวัฒนธรรมสมัยแต่ก่อนมา

มามองสมัยนี้….มีแต่อะไรก็ม่ายรุ….


เทิดทูนท่านผู้ทำดี..

9 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 3 เมษายน 2011 เวลา 1:02 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 641

ชื่นอกชื่นใจที่สังคมยกย่องคนดี คนทำดี

อย่างน้อยที่สุดเป็นกำลังใจท่านผู้สร้างสรรค์สังคมในสาขาต่างๆ

แน่นอนยังมี นาย นาง อีกมากมาย ที่รางวัลยังเอื้อมมือไปไม่ถึง

เหมือนปิดทองหลังพระ

แต่ท่านเหล่านี้ และ เหล่านั้น ก็ไม่ได้ทำดี เพื่อรางวัล

แต่ทำดีเพราะสันดานดี

ขอเทิดทูนท่านผู้ทำดี ด้วยความจริงใจยิ่ง

เนื่องในโอกาสพ่อครูบาฯรับรางวัลแก่ชีวิต


ความจริง

26 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 2 เมษายน 2011 เวลา 9:08 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 748



Main: 1.6261310577393 sec
Sidebar: 0.30787992477417 sec