ขอนแก่นอบอุ่น

296 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 10 ธันวาคม 2010 เวลา 12:41 ในหมวดหมู่ เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 8476

เข้าฤดูหนาวนานพอสมควรแล้วในความรู้สึกผมก็ไม่หนาวเท่าไหร่ เรียกว่า อากาศกำลังดีมากกว่า ไม่ร้อนจนเหงื่อโซก และไม่หนาวสั่นสะท้าน ไม่ได้ออกรอบ ตีกอล์ฟมานานแล้วเพราะงานเขียนล้นมือให้ก้นติดกับเก้าอี้มากกว่า ยิ่งงานใหม่นั้นต้องปรับบรรยากาศการทำงาน การทำรายงานใหม่ด้วย


พี่น้องลานที่ขอนแก่นมีหลายคน ก็ไม่ค่อยได้พบปะกันหากไม่มีการนัดพิเศษ ต่างคนก็มีภารกิจของตัวเอง มากบ้างน้อยบ้างตามเงื่อนไข

สองสามวันก่อนทราบว่าจอมป่วนจะเดินทางไปสวนป่า เลยขอให้แวะขอนแก่นหน่อย คิดถึง จอมป่วนก็รับปากจะมาทานกาแฟที่ร้านเพื่อนออต หน้าสถานีรถไฟ

เมื่อเช้าเก้าโมงกว่าๆ นั่งเขียนรายงานตั้งแต่เช้า อยากจะเร่งให้เสร็จเร็วๆจะได้ไปทำอย่างอื่นบ้าง คนข้างกายก็ก้มหน้าทำรายงานด่วนของเธอ อยากให้เสร็จก่อนพาครอบครัวเที่ยวปีใหม่กัน พ่อแม่ลูกไม่ค่อยพบกัน มีแต่โทรศัพท์หากันจนบริษัทบริการมือถือรวยล้นฟ้าไปแล้ว (อิอิ เว่อไปหน่อย…) จอมป่วนโทรมาบอกว่าจะถึงขอนแก่นเร็วกว่าที่นัดหมาย..

ได้เลย ..รีบจัดการตัวเอง โทรนัดป้าหวาน ไปรับป้าหวานไปที่ร้านนัดหมาย อ้าวจอมป่วนมาถึงแล้ว… มีออตคอยอยู่แล้ว มีรานี และครูสุมาด้วย ดีจัง ไม่ได้พบมานานแล้ว

ถามไถ่กัน ถามถึงคนนั้นคนนี้ ครูสุถามป้าหวานว่ามาในลานได้อย่างไรนี่.. ป้าหวานยิ้มหวานตามสไตล์ แล้วก็เล่าให้ฟัง พาดพิงไปถึงใครต่อใครมากมายที่คิดถึงกัน แล้วป้าหวานก็ยกหูโทรศัพท์คุยกับหนุ่มเชียงรายผู้มีหนวดงาม แล้วก็ให้คนโน้นคนนี้ได้คุยกันให้หายคิดถึง

น้องรานีและครูสุบอกว่าอยากจัดเฮฮาเหมือนที่ดงหลวงอีก ชอบบรรยากาศแบบนั้นมาก ผมก็ว่าหากสมาชิกพร้อมใจกันก็ยินดีประสานงานได้ และเห็นด้วยที่อยากให้เกิดแค้มป์เฮฮาศาสตร์อีกหลังจากที่ห่างหายไปนาน

ที่ไหนก็ได้ที่เป็นป่าเขา แม้ในลาว ว่างั้น แต่ที่ลาวนั้นต้องปรึกษาอาวเปลี่ยน

จอมป่วนมีนัดหมายรายทางอีกก่อนถึงสวนป่า จึงร่ำลากันเมื่อถึงเวลาอันควร

ที่ไหนก็ได้ที่มีพี่น้องเฮฮาศาสตร์ มันอบอุ่น อ่ะ..


ประชุมย่อยเฮฮาศาสตร์

516 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 9 พฤษภาคม 2010 เวลา 10:26 ในหมวดหมู่ เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 9057

บ่ายวันนั้น พ่อครูกล่าวว่าสวนป่าวันนี้มากันมากหน้าหลายตาอยากจะประชุมปรึกษาหารือกัน ทุกคนก็เห็นด้วย หลังจากที่มอบหมายงานให้ทีมงานอ.โสรีย์แล้ว คอน ก็หิ้วเก้าอี้ไปก่อนเพื่อนเลย เดินสวนทางกับผมก็บอกว่าเดี๋ยวประชุมกันที่โรงปั้นอิฐ เอาเก้าอี้มาด้วยคนละตัว


สักพักใหญ่ๆ ประมาณ 5 โมงเย็น ทุกคนก็หอบหิ้วเก้าอี้ไปนั่งล้อมวงที่ลานหน้าโรงปั้นอิฐชายป่า ห่างไกลจากบ้านพักและทีม อ.โสรีย์พอสมควร ความที่ใครต่อใครก็เอาเก้าอี้มาฝากเพื่อนๆด้วยพบว่าเก้าอี้เกิน อิอิ.. ผมนับดูมี 14 คนรวมทั้งผมด้วย

นั่งมองหน้ากัน ก็ยังไม่มีใครพูดอะไร ต่างจับคู่คุยส่วนตัวกัน ผมก็เลยเอ่ยขึ้นมาว่า หากไม่มีประเด็นผมก็เสนอว่า ลองที่ประชุมนี้ให้มุมมองสถานการณ์เฮฮาศาสตร์ปัจจุบันนี้หน่อยว่า แต่ละคนคิดเห็นเช่นไรบ้าง ผมเองประสงค์ว่าต่างมุมมองอาจจะช่วยให้เราเห็นเฮฮาศาสตร์ในภาพรวมๆปัจจุบันของเรามากขึ้น และจะบ่งบอกถึงกลุ่มในหลายเรื่องในอนาคต

ยังไม่มีใครกล่าวอะไรในประเด็นนี้ พอดีพ่อครูก็เอ่ยขึ้นมาว่า กลุ่มเรามีเฮย่อยๆหลายครั้ง มีพวกเราไปกันมากบ้างน้อยบ้าง บางคนจะรู้สึกอะไรบ้างไหม ? ผมฟังแล้วรับรู้ได้ว่าพ่อครูเป็นห่วงความรู้สึกลูกหลานทุกคน..

หลายคนในที่ประชุมพิเศษแห่งนี้ต่างก็กล่าวไปในทำนองเดียวกันว่า คงไม่มีใครน้อยเนื้อต่ำใจอะไรหรอก เพราะแต่ละคนก็มีเงื่อนไขเฉพาะ ไม่สามารถลงตัวไปร่วมเฮได้ทุกแห่ง เพราะพวกเฮมีหลากหลายอาชีพ หน้าที่การงาน …

ประเด็นต่อไปพ่อครูกล่าวว่า เฮฮาศาสตร์ก่อเกิดมาก็เข้าหลายปีแล้ว แต่สมาชิกไม่ขยายเท่าไหร่ พวกเราคิดกันอย่างไรบ้างล่ะ

เพื่อนบางท่านกล่าวแสดงความเห็นว่า ไม่เห็นจำเป็นต้องมีสมาชิกมากๆ ยิ่งมีมากยิ่งมีปัญหามาก คุมกันไม่อยู่ บริหารไม่ได้ ก็มีตัวอย่างให้เห็น จำนวนน้อยๆก็ไม่เป็นไร ค่อยๆขยายไปตามธรรมชาติของมันเอง

พ่อครูและท่านอื่นแสดงความเห็นต่อว่า ดูเหมือนกลุ่มเฮจะต่อติดกับ “ร่มธรรม” ได้ดี โดยเฉพาะที่ตัวท่านอาจารย์ไร้กรอบ ก็อย่างที่รับรู้กัน สิ่งเหล่านี้มันเป็นธรรมชาติของมันเอง เฮฮาศาสตร์มีลักษณะเฉพาะของมัน ที่ต้องเป็นคนประเภทนี้เท่านั้นที่จะก้าวเข้ามาได้ ไม่ใช่วิเศษ พิเศษ เลอเลิศอะไร มันก็ธรรมดานี่แหละ แต่มันมีความเป็นธรรมดาในธรรมดา..

การพูดกันพอจะออกรสก็มืดค่ำกันทีเดียว แม่ครัวที่จะเตรียมอาหารเย็นก็นั่งอยู่ในวงนี่ จึงจำเป็นต้องยุติลงแบบไม่จบประเด็น เพราะเป็นห่วงทีมงานอาจารย์โสรีย์จะหิวข้าว

แต่เป็นวงคุยที่ออกจะเครียดๆ ดูหน้าตาแต่ละคนไม่ค่อยยิ้มเท่าไหร่เลยนะ

ผมน่ะบันทึกเสียงไว้ในเครื่อง แต่เอาเข้าจริงหาไม่พบว่าเอาไปซ่อนไว้ตรงไหน เพื่อนๆช่วยกันเติมหน่อยนะครับ ทั้งที่ได้คุยกันและความคิดเห็นเพิ่มเติม

นะคร๊าบบบบบ


พ่อครูบาฯ กับผึ้ง..

615 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 พฤษภาคม 2010 เวลา 0:07 ในหมวดหมู่ เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 31718

วันที่ไปจ่ายตลาดที่สตึกวันนั้น ผมเดินตามแม่ครัว บังเอิญผมไปเห็นคุณยายท่านนี้นั่งขายรังผึ้งอยู่ มีหลายรังครับ ผมจึงนั่งลงถามคุณยาย


บางทราย: คุณยายผึ้งรังนี้ราคาเท่าไหร่ครับ ผมชี้ไปที่รังใหญ่นั่น

คุณยาย: รังนี้ราคา 70 บาทจ้า

บางทราย: คุณยายไปเอามาจากไหนครับ

คุณยาย: ไปรับเขามา เขาเอามาจากหลายที่ตามชายแดน

บางทราย: คุณยายมานั่งขายทุกวันเลยหรือ…

คุณยาย: มาขายทุกวันแหละจ้า..

…..


ผมนึกย้อนไปถึงพ่อครูบาฯ เย็นวันนั้นพ่อครูเล่าให้ฟังว่า

คุณแม่ผมท่านอายุมากแล้ว ไม่สบายหนักมากคุณหมอไม่รับแล้ว พ่อครูบอกว่า ตัดสินใจเอามาสวนป่า พร้อมชี้มือไปที่อาคารหลังเล็กนั่น เอามาอยู่ที่นี่ ใจก็คิดว่าจะเอาอย่างไรดีกับแม่…

พ่อครูไม่รู้จะรักษาแม่อย่างไร ข้าวปลากินไม่ได้แล้ว ก็ไปเอารังผึ้งมา คัดเลือกเอาเฉพาะลูกผึ้งที่เป็นตัวอ่อนของผึ้งที่อยู่ในรัง บีบเอาน้ำลูกผึ้งมาผสมกับน้ำผึ้ง หยอดใส่ปากแม่ ค่อยๆทำไป พอดีแม่พอกลืนกินได้ พบว่าอาการแม่ดีวันดีคืน ถึงกับลุกขึ้นมาฝึกเดินใหม่ได้จากการนอนแบบกับพื้น

พ่อครู เล่าว่า คุณแม่มีอายุยืนต่อมาถึง 7 ปี…

สาธุ สาธุ สาธุ..


ไอศกรีมที่สวนป่า

103 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 7 พฤษภาคม 2010 เวลา 22:13 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป, ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 6635

ผมจำชื่ออ้ายท่านนี้ไม่ได้แล้ว

สายวันนั้น ทุกคนมายืนล้อมอ้ายท่านนี้เพื่อซื้อไอศกรีมแบบทำเองดูดแก้ร้อนกัน ช่วงเวลาหนึ่งครุปูกับผมยืนตรงนั้น ครูปูเลี้ยงไอศกรีมผมและหลายๆคน (ขอบคุณมากๆครับ) ผมถามว่าทราบได้อย่างไรว่าในสวนป่านี้มีคนมาหลายคนแล้วเข้ามาขายไอศกรีม

อ้ายตอบว่า ก็ผ่านมาที่ถนนใหญ่เห็นรถบัสเข้ามาก็เลยขับตามมาครับ ไอ้ติมนี่ไปรับเขามาอีกที

อ้าย พรุ่งนี้จะมีคนมาอีก อ้ายจะมาไหมล่ะ อ้ายตอบว่าหากมีคนก็มาซิครับ

เออ..งั้นก็จะโทรบอกเอาไหมว่ามีคนเข้ามาสวนป่าตอนไหน มีโทรศัพท์ไหมล่ะ จะได้บอกได้

อ้าย งุ่นง่านเล็กๆ เขินๆ แล้วก็บอกว่า ผมไม่มีโทรศัพท์ครับ

เราก็ถามต่อว่า อ้าว…งั้นก็ส่งข่าวบอกไม่ได้ซิว่าพรุ่งนี้ตอนไหนจะมีคนเข้ามาในสวนป่านี้..จะได้มาขายไง ขายดีนะ อากาศร้อนๆเช่นนี้ ใครๆก็อยากกินไอศกรีม

ครูปูกับผมพยายามหาทางให้ อ้าย มาขายในสวนป่าให้ได้ แต่ติดตรงที่ว่าจะบอกอย่างไร…

คุยไปมาสักพัก อ้ายบอกว่า ได้ ได้ เดี๋ยวผมทำได้

ครูปู รีบถามทันทีว่า อ้าย..จะหาเงินไปซื้อมือถือหรือ ไม่เอานะ ไม่สมควร ไม่จำเป็น..

อ้ายทำหน้า ปูเลี่ยนๆ เราก็เลยหาทางออกให้ว่า เอางี้ซี ทุกครั้งผ่านถนนใหญ่มาทางนี้ก็แวะมาดูซะหน่อยว่ามีคนจำนวนมากมาที่สวนป่านี่หรือเปล่า..

….

ครูปู และท่านอื่นๆอุดหนุน อ้าย ไปมากพอสมควร ผมก็ว่าน่าจะมากพอที่จะกระตุ้นให้อ้ายท่านนี้ คงต้องแวะมาสวนป่าทุกครั้งที่ผ่านมา…

ไอศกรีม ของอ้าย บรรเทาความร้อนไปได้โขทีเดียวครับ คนที่เป็นแฟนประจำน่าจะเป็น คอน.. อิอิ


ค่ายเด็กของ ออต..

475 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 31 สิงหาคม 2009 เวลา 15:35 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, ทุนสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 9881

วันที่ 1-3 ก.ย. นี้จะมีการจัดค่ายเด็กที่ อ.หว้านใหญ่ ริมโขง จ.มุกดาหาร โดย ออต ของเราเป็นโต้โผใหญ่จัดงานเด็ก แต่ไม่เล็กครั้งนี้ ผมสารภาพว่าเป็นคนทื่อๆ ไม่ค่อยมีศิลปะเท่าไหร่ แม้จะชอบ แต่ก็เข้าหูซ้ายออกหูขวาประเภทนั้น เมื่อมาคบกับออต ก็ค่อยๆซึมซับ วิธีคิด วิธีมอง เมื่อผมไปร่วมการสัมมนาที่ RDI จัดเพิ่งจะเสร็จสิ้นไปนั้นก็ได้สาระเกี่ยวกับเรื่องราวเอาศิลปะเป็นสื่อการเรียนรู้ จนผมปิ๊งแว๊บมาว่า เจ้าพิพิธภัณฑ์ที่ผมรู้จักชื่อมานานนั้นมันมีประโยชน์ไม่ใช่เพียงแค่เป็นที่สะสมของเก่า แล้วเดินเข้าไปชื่นชมเท่านั้น แต่นักพิพิธภัณฑ์ยังสามารถเอาของเก่าเป็นสื่อลากไปถึงอดีต และเรียนรู้เรื่องราวของบรรพชนได้อย่างดี


ผมชอบมาก ถึงมากที่สุดเพราะว่า ผมเองก็เคยทำ Dialogue โดยใช้โบสถ์เก่าเป็นสื่อในการพาผู้คนในชุมชนย้อนรำลึกอดีตอย่างมีคุณค่าและได้สำนึกของท้องถิ่นคืนมา

มุกดาหารมีของเก่าที่ทรงคุณค่าหลายแห่ง และ ออตมาค้นพบจึงจะสร้างห้องเรียนขึ้นแล้วระดมทรัพยากรผู้รู้มาช่วยกันย้อนรำลึกอดีตให้แก่ เด็กๆมุกดาหารได้ตระหนักคุณค่าของพัฒนาการของคนในท้องถิ่น


มันเหมือนนั่ง Time Machine ย้อนไปท่องเที่ยวท้องถิ่นแถบนี้ โดยมีเด็กๆเป็นเป้าหมายที่จะให้ประสบการณ์ใหม่ๆจากของเก่าๆ โดยทีมงานของ ออต

ยิ่งผมทราบมาว่า อดีต ออต คือนักปลุกจิตสำนึกให้แก่ชาวบ้านทั้งเด็ก ผู้ใหญ่ โดยหน่วยงานนี้เห็นฝีมือฉกาจของ ออต เลยยกแผนงานนี้ให้ทั้งหมด…?? ยิ่งทำให้ออต มีชั่วโมงบินที่ไปเทียบเซียนได้เลย

วันที่ 1-3 นี้ เราได้วิทยากรเอกอย่าง อาม่า มาเขย่าแม่น้ำโขงให้เกิดละลอกคลื่นแห่งความรู้ ความสุขอีกด้วยละก็ น่าจะเป็นการพัฒนาทีมงานของ ออต ก้าวไปอีกหลายขุมทีเดียว

ท่านที่สนใจ หนุ่มน้อย ต่อยหนักคนนี้ เตรียมตารางแผนงานไว้เถอะ..


อย่าป๊ะกัน

391 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 27 สิงหาคม 2009 เวลา 0:07 ในหมวดหมู่ เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 4840

หลังการประชุมสรุปบทเรียนเรื่องการปลูกพืชเศรษฐกิจในพื้นที่งานสูบน้ำเพื่อการชลประทานแล้ว ต่างก็แยกย้ายกันไป บ้านใครบ้านมัน เจ้าหน้าที่ชวนกลุ่มอาวุโสของกลุ่มผู้ใช้น้ำ มากินก๊วยเตี๋ยวร้านริมถนน

เราถือโอกาสคุยกันต่อเรื่องทำมาหากินวันนี้ของชาวบ้าน

บางทราย: พ่อเมย พ่อดอกไม้ พ่อทองคำ ปีที่ผ่านมา งานปลูกพืชของพ่อเมยกับพ่อดอกไม้ไม่เป็นไปตามแผน เป็นเพราะพวกเราไม่คุ้นเคยกับการปลูกพืชที่ต้องมีการดูแลใกล้ชิด ซับซ้อน…

แล้ววงสนทนาก็โขมงพร้อมๆกับการกินก๊วยเตี๋ยว เมื่อกินเสร็จก็นั่งผึ่งพุงพร้อมกับคุยกันต่อ


พ่อทองคำ: ประชุมกันทีไรเห็นอาจารย์พวกเรา “ก็ดีใจ” แล้ว ขออย่างเดียวนะอาจารย์ “อย่าป๊ะกันเด้อ” (อย่าทิ้ง หรือหนีกัน ป๊ะในความหมายที่เป็นภาษาอีสาน)

บางทราย: ??????!!!!!!! มันเป็นความรู้สึกที่ปนๆกัน ชาวบ้านต้องการเรา พี่น้องรู้ตัวว่าต้องการเราเป็นพี่เลี้ยง แนะนำ บอกกล่าว… ชาวบ้านติดกับบุคคล เป็นจุดอ่อนของการพยายามสร้างการพัฒนาแบบยั่งยืน แต่ที่มั่นใจคือชาวบ้านมีความสัมพันธ์ในระดับสูงกับเรา เกิดความผูกพันกัน ก็เป็นปกติของมนุษย์ที่รู้สึกดีดีต่อกัน..

เหตุการณ์แบบนี้ไม่ใช่เพิ่งเกิดขึ้นที่ดงหลวงนี้ เกิดขึ้นเกือบทุกแห่งที่เราผ่านงานสนามมา ไม่ว่าที่สะเมิง เชียงใหม่ ชายแดนไทยสุรินทร์ ที่ชายกลุ่มป่าห้วยขาแข้ง นครสวรรค์

หากผมกลับไปที่สะเมิงวันนี้ ผมเชื่อว่าพี่น้องที่นั่นจะชวนผมกินข้าว นอนค้างที่บ้าน เอาส้มสูกลูกไม้มาให้แน่นอน เพราะช่วง 5 ปีที่นั่น แม้ว่าจะนานมากกว่า 30 ปีแต่เหมือนเพิ่งผ่านไป ความรู้สึกที่มีต่อกันนั้นยังเหมือนเดิม

ผมเองก็เชื่อว่า ในเฮฮาศาสตร์ของเรานั้น จะมีลิ้นกระทบฟัน ฟันเผลอไปกัดลิ้นบ้างก็เป็นเรื่องวิสัยมนุษย์ที่เกิดขึ้นได้ หากเราคิดยาวๆ ไกลๆ และยืนบนฐานของความรัก ความตั้งใจดีต่อกัน สิ่งที่ขัดข้องหมองใจที่มีบ้างนั้น ก็เป็นเรื่องเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ให้อภัยแก่กัน และก้าวข้ามฝุ่นละอองทางอารมณ์นั้นเถอะครับ

โถ…คนดีดีอย่างสมาชิกเฮฮาศาสตร์ หากจะรักกันแล้ว ความรักเป็นใหญ่กว่าเรื่องอื่นๆ ผมเชื่อเช่นนั้นครับ เราให้อภัยกันได้ครับ หากมีขยะทางใจ ผมอยากจะขอรับสิ่งเหล่านั้นไว้ ช่วยส่งมอบให้ผมด้วยเถอะ ผมจะเอาไปทิ้งแม่น้ำโขงครับ..

และสำนึกผมบอกว่า เพื่อนเฮที่รักทุกท่าน “อย่าป๊ะกันเด้อครับ”


อภิปรายประเด็นของเบิร์ด..

1633 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 19 สิงหาคม 2009 เวลา 20:32 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 10584

เบิร์ดตั้งประเด็นว่า ทรัพยากรและโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อให้เราดำรงอยู่ได้คืออะไร??

ต้องขออภัยที่เอา diagram ไปขึ้นใน comment ไม่เป็นเลยยกมาเปิดบันทึกใหม่ตอบครับ


พี่ลองร่างวิเคราะห์เส้นทางเดินของเฮฮาศาสตร์ โดยอาศัยประสบการณ์เฝ้ามองพัฒนาการขององค์กรชุมชนมาเป็นตัวแบบ ยืนยันว่าเป็นเพียงสมมุติฐานเท่านั้น เพราะพี่ไม่ใช่หมอฟันธง หรือหมอคอนเฟิร์ม อิอิ

(ขออนุญาตวิเคราะห์ตรงๆนะครับ อย่าคิดเป็นเรื่องทำร้าย ทำลายแต่อย่างใด)

เส้นทางเดินมักเป็นดังภาพ ช่วงแรกหลังการ “ฟอร์มตัวตน” ขึ้นมาแล้วต่างก็มีความสุขกับสิ่งใหม่ ตื่นเต้น กระปรี้กระเปร่า จ๊ะจ๋า เจี้ยวจ้าว ต่างก็ยิ้มแย้มเข้าหากัน ความรักมีมากล้นรำพัน พี่เรียกช่วงนี้ว่า “ช่วงฮันนิมูน” กำลังฟอร์มตัว ปรับตัวในเบื้องต้น ทุกคนจึงเอาใจมากองไว้ มาให้แก่กัน ทำงานกันเพลินไม่เหน็ดเหนื่อย เมื่อยล้า ช่วงนี้มีความสุขมากครับ

อาจจะบ่งชี้ช่วงนี้ได้ คือ ช่วงที่เราจัดเฮฮาศาสตร์ตั้งแต่ครั้งที่ 1 จนถึงครั้งล่าสุด เรามีความสุขมาก พี่มีความสุขมาก ทุกคนอิ่มเอม การกอดรัดฟัดเหวี่ยง ยังตราตรึงในความทรงจำ ความประทับใจที่เรามากินมานอนมาคุยแลกเปลี่ยน มาใช้ชีวิตหมู่ร่วมกัน

(ขอกราบอีกครั้งว่าที่จะกล่าวต่อไปนี้มิใช่จะหมายถึงเฮฮาศาสตร์ แต่เอาข้อเท็จจริงของการพัฒนาองค์กรชุมชนมาเทียบเคียง)

ขอหักมุมไปที่องค์กรชุมชน เมื่อช่วงฮันนิมูนผ่านไป ความมีตัวตนของคณะกรรมการ ผู้นำ และสมาชิกบางคนก็ออกลาย ผู้นำบางคนที่จะเอาองค์กรชุมชนเป็นเครื่องมือ ก็หันเหองค์กรไปรับใช้ความคิดเขามากขึ้น จนฝ่าฝืนกฎ กติกา ระเบียบ ข้อบังคับก็มีให้เห็น กรรมการบางคนก็แผลงฤทธิ์ เช่น กู้แล้วไม่คืน หรือคืนช้าไม่เป็นไปตามกำหนด เป็นต้น แล้วใช้ความเป็นกรรมการ ให้อภัยแก่ตัวเอง สมาชิกบางคนเริ่มเบี้ยว หรือวิภาควิจารณ์องค์กร ทำไมไม่เป็นอย่างนั้น ทำไมไม่เป็นอย่างนี้ หากสมาชิกคนนี้มีฟอร์ม การออกฤทธิ์ก็ส่งผลสะเทือนไม่น้อย

ทั้งหมดนี้ พี่เรียกว่า “แรงกดดัน A” ตามไดอะแกรม

หากองค์กรมีผู้นำที่ไม่เข้มแข็ง หากคณะกรรมการไม่เข้มแข็ง หากสมาชิกไม่เข้าใจถ่องแท้ องค์กรก็ซวนเซ ตั้งข้อสงสัย ระแวง ไม่มั่นใจ ฯลฯ เป็นแรงกดที่ทำให้องค์กรแกว่ง

หากว่าผู้นำมีคุณธรรม เข้มแข็ง มีทีมงาน คณะกรรมการที่เข้มแข็งอยู่บ้าง มีสมาชิกที่เข้าใจ เชื่อมั่น ยืนหยัดหลักการองค์กรดีอยู่แล้ว ต่างก็ก้าวเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหา ช่วยกันประคับประคองสถานการณ์ หาจุดอ่อน เสริมความเข้มแข็ง ฯลฯ องค์กรก็ตั้งตัวได้ใหม่ ก็ดำเนินการได้ ก้าวไปข้างหน้าได้อีก

ทั้งหมดนี้พี่เรียก “แรงปรับ a” ตามไดอะแกรม

ดำเนินไปอีก ทำกิจกรรมต่างๆขององค์กรไปอีก ก็เกิดปัญหาใหม่ๆขึ้นมาอีก สารพัดชนิด ประเภทของปัญหา พี่เรียก “แรงกดดัน B” แล้วก็มี แรงปรับ b” หากคณะกรรมการ ผู้นำเข้มแข็ง สมาชิกส่วนหนึ่งเข้มแข็งก็ประคับประคองไป

เวลาผ่านไปก็เกิด “แรงกดดัน C” และมี “แรงปรับ c” อีก

ช่วงที่เกิดแรงกดดัน แรงปรับ ครั้งแล้วครั้งเล่านี้ พี่เรียกว่า “ช่วงวิบากกรรม”

โดยภาพรวมนี้ทั้งหมดนี้พี่เรียกว่า “กระบวนการปรับตัวขององค์กร” ทั้งหมดนี้เพื่อเดินเข้าสู่เป้าหมายขององค์กร ต้องยอมรับว่าชาวบ้านนั้นไม่ได้จบ MBA ไม่มีหลักการบริการสารพัดสูตรอย่างที่เราเรียนรู้กัน ชาวบ้านใช้สามัญสำนึกที่ยืนบนวัฒนธรรมท้องถิ่น หรือ ผลประโยชน์ที่แอบแฝง ในกรณีที่เขาผู้นั้นใช้องค์กรให้เป็นประโยชน์แก่ตนเอง

การสวิงไปมานั้น บางแห่งบางองค์กร สมาชิกลาออกเกือบหมด แล้วฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ แล้วก้าวไปอย่างเข้มแข็งเพราะเขามีบทเรียนและมีประสบการณ์ที่ดี

หากการปรับตัวขององค์กรก้าวเข้ามาอยู่ใน “ภาวะนิ่ง” ก็จะเป็นการก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง บางแห่ง บางองค์กรก้าวกระโดด มีสมาชิกแห่เข้ามา มีความก้าวหน้ามากมาย ก็มีให้เห็น

ทั้งหมดนี้อาจจะไม่เป็นอย่างสมมติฐานนี้เลยก็ได้นะครับ

ดังนั้น อภิปรายประเด็นของเบิร์ด ได้ว่า ทรัพยากรที่เอื้อต่อการดำรงอยู่คืออะไร พี่เห็นก็คือ “คน” ที่มาอยู่ในองค์กรนั่นเอง หากเข้ามาแบบเข้าใจ ศรัทธา เชื่อมั่น หลักการขององค์กรแล้ว พลังในการแก้ไขปัญหาต่างๆก็มีมากมาย พลังในการผลักดันองค์กรให้ก้าวหน้าก็มีมากมาย คนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุด ทั้งผู้นำ คณะกรรมการ สมาชิก ภารกิจที่สำคัญขององค์กรคือ กระบวนการพัฒนาคนในองค์กร เพื่อร่วมกันเดินไปสู่เป้าหมาย… หากคนในองค์กรมีประสิทธิภาพ ทรัพยากรอื่นๆก็ตามมาโดยอัตโนมัติ

ส่วนประเด็นโครงสร้างพื้นฐานที่เอื้อให้เราดำรงอยู่ได้คืออะไร กรณีองค์กรชุมชนนั้นส่วนใหญ่มีโครงสร้างมาตรฐานอยู่แล้ว แต่ก็สามารถปรับให้เข้ากับบริบทของท้องถิ่นนั้นๆได้ เพื่อให้เหมาะสมต่อเงื่อนไขขององค์กรนั้นมากที่สุด

แต่สำหรับเฮฮาศาสตร์นั้น เราไม่อยู่ในรูปขององค์กรสากล เราเป็นองค์กรพิเศษ จะเรียกอะไรก็ตาม โครงสร้างก็ควรจะปล่อยให้ก่อรูปและปรับไปตามสภาวะต่างๆที่เกิดขึ้น ซึ่งปัจจุบันเราเห็นภาพลางๆขององค์กรนี้แล้ว เช่นมีพ่อครูบาเป็นเสาหลัก มีรอกอดมาเสริม มีป้าจุ๋ม มีน้องครูปู มีอ.แฮนดี้ มี พี่หลิน มี จอมป่วน มีแป๊ด มีออต มีอีกหลายๆคนที่เข้ามาช่วยเสริมอย่างใกล้ชิด ทำให้หัวขบวนเคลื่อนตัวไปได้เรื่อยๆไม่ติดขัดเท่าไหร่นัก

ก็เป็นโครงสร้างที่เป็นไปตามสถานการณ์และความพร้อมของบุคลกรที่มีเงื่อนไขที่เอื้อต่อการเคลื่อนตัว

หากจะถามว่าเฮฮาศาสตร์จำเป็นต้องมีโครงสร้างที่เป็นรูปแบบไหม ในขั้นนี้คิดว่าให้พัฒนาไปตามธรรมชาติ เมื่อถึงเวลามันจะลงตัวของมันเอง หากจะผลักดันให้เกิดขึ้นมาล่ะ คิดว่ายังไม่จำเป็น หากทุกคนพร้อมที่จะก้าวเข้ามาร่วมมือกันในทุกสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ตามเงื่อนไขที่ทำได้ แน่นอนอาจจะทำให้มีพลังไม่เต็มที่นัก ในแง่หน้าที่ความรับผิดชอบ แต่เฮฮาศาสตร์เป็นองค์กรพิเศษที่มาด้วยใจ bonding ที่มีใจเป็นสายใยนั้นอาจจะมีพลังมากกว่าคำว่าบทบาทหน้าที่และความรับผิดชอบในองค์กรปกติเสียอีก

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงความเห็นส่วนตัวนะครับ


ภาพเก่าเล่าเรื่อง 2 ยานพาหนะและการเดินทาง

54 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 กรกฏาคม 2009 เวลา 0:32 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม #
อ่าน: 4391

สถานที่: โครงการพัฒนาชนบทสมบูรณ์แบบ อ.สะเมิง

วันเดือนปี: ปี พ.ศ. 2518

โดย: Fridrich Naumann Stiftung ภายใต้ สำนักงานเกษตรภาคเหนือ


ยานพาหนะในการทำงานคือ มอเตอร์ไซด์ ไม่ว่าเจ้าหน้าที่จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง คุณสมบัติประการหนึ่งคือ ต้องขับขี่มอเตอร์ไซด์ได้ สมัยนั้นเป็น เอนดูโร 125 CC รุ่นที่เห็นเป็น ซูซูกิ 2 จังหวะ ใช้ปีเดียวพัง ต่อมาเปลี่ยนเป็น Honda รุ่น Trial 125 CC ระบบ 4 จังหวะ


ต้องใส่หมวกกันน็อค (Helmet) ใส่ถุงมือ และใส่รองเท้าหุ้มหน้าแข้ง ตามกติกาฝรั่งที่ว่า safety first เป็นครั้งแรกๆในสังคมไทยที่คนขับขี่มอเตอร์ไซด์ต้องใส่หมวกกันน็อค ชาวบ้านชอบมามองเราเป็นตัวตลก


สภาพพื้นที่ หมู่บ้านใน อ.สะเมิง อย่างที่เห็น เป็นป่าเขา ทางลำบากมาก ลำห้วยแม่ขานสมัยนั้นยังไม่มีสะพาน ต้องข้ามลำต้นไม้ที่ชาวบ้านช่วยกันทำ เมื่อฤดูน้ำหลาก ต้นไม้ใหญ่ๆที่เห็นก็หลุดลอยไปตามน้ำ ออกเขื่อนภูมิพลโน้น ฤดูแล้งก็หาต้นไม้มาทำใหม่…!!!??? ฤดูฝน เส้นทางเป็นร่องลึก ดินเหนียว ล้มแล้วล้มอีก บางปีต้องพันล้อด้วยโซ่ และมีไม้แคะดินออกจากล้อประจำรถเรา


น้ำในลำห้วยแม่ขานสะอาดใสแจ๋ว ชาวบ้านบางคนก็ดื่มกิน

มอเตอร์ไซด์เหล่านี้ทุกคนต้องเรียนวิธีการซ่อมแซมปัญหาพื้นฐานได้ และต้องทนุถนอมดุจหญิงสาว เพราะเมื่อใช้งานครบสามปี ทางโครงการโอนรถนี้ให้เป็นสมบัติส่วนตัวของเจ้าหน้าที่คนนั้นเลย…


ภาพเก่าเล่าเรื่อง 1 วิถีนักพัฒนาชุมชน

30 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 11 กรกฏาคม 2009 เวลา 23:56 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม #
อ่าน: 3093

สถานที่: บ้านแม่สาบ ต.แม่สาบ อ.สะเมิง จ.เชียงใหม่

วันเดือนปี: ประมาณปี พ.ศ. 2519

โครงการ: โครงการพัฒนาชนบทสมบูรณ์แบบ อ.สะเมิง

โดย: Fridrich Naumann Stiftung ภายใต้ สำนักงานเกษตรภาคเหนือ


งานหน้าที่หลักประการหนึ่งคือตระเวนไปตามหมู่บ้านต่างๆของพื้นที่โครงการ เพื่อประชุมชาวบ้านในเรื่องการจัดตั้งกลุ่มเครดิตยูเนี่ยน หรือกลุ่มออมทรัพย์ ที่มีสันนิบาตเครดิตยูเนี่ยนแห่งประเทศไทยเป็นผู้สนับสนุน ภายใต้การดูแลของสภาแคทอลิคแห่งประเทศไทย ต่อมาจดทะเบียนเป็นสหกรณ์ออมทรัพย์ชนิดหนึ่งภายใต้กรมส่งเสริมสหกรณ์

เราจะตระเวนไปตามหมู่บ้านแล้วพักนอนที่บ้านชาวบ้าน ซึ่งจะมีบ้านประจำที่เราสนิทสนมด้วย บ้านนี้เป็นไทยลื้อ ชายหนุ่มที่ยืนขวามือของผมเป็นลูกชายแม่อุ้ย พ่ออุ้ย เจ้าของบ้าน ที่เราเลือกให้เป็น เกษตรกรผู้นำประจำหมู่บ้านนี้ ไทยลื้อเป็นชนเผ่าที่ขยัน แข่งขันกันทำงาน รักความก้าวหน้า อัตราการเรียนหนังสือสูงๆของเด็กรุ่นใหม่สูงกว่าชนเผ่าอื่นๆ ปรับตัวต่อเทคโนโลยี่ได้เร็ว ฉลาด อิอิ สาวก็สวย..ด้วย :-


หนึ่งขวบปี..ที่นี่มีอะไร 1

290 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 5 กรกฏาคม 2009 เวลา 10:36 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, ทุนสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 3149

(ย้ายมาจากลานเจ๊าะแจ๊ะครับ)

ถามตัวเองว่าหนึ่งขวบปีของลานปัญญามีอะไรที่นี่บ้าง ก็นึกๆพอจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

จุ๊บจุ๊บ..เจ๊าะแจ๊ะ:
ผม เห็นคนคอเดียวกันมาเจ๊าะแจ๊ะกันที่นี่ในสาระพันเรื่องทั้งบ่นกะปอดกะแปด ทั้งเศร้า ทั้งดีใจ เรื่องในใจเอามาบอกกัน ให้กำลังใจกัน ชี้แนะกัน ทักท้วงกัน เสริมทักษะกัน จุดไฟปัญญาให้แก่กัน ปลอบประโลมแก่กัน ไถ่ถาม เติมเต็ม แม้กระทั่งฟ้องร้องกัน อิอิ..

โดย ธรรมชาติและเป็นที่เข้าใจกันว่าตรงนี้เป็นอะไรแบบสั้นๆ ได้ใจความที่ต้องการสื่อแก่กัน และใครต่อใครอย่างน้อยก็เข้ามาผ่านข้อความนี้ ก่อนไปลานอื่นๆ หากอยากจะเจ๊าะแจ๊ะก็หยอดลีลาลงไปตามแบบฉบับของตัวเอง หลายหลากอารมณ์

หลากหลายรสคำ:
แต่ ละคนมีเบ้าหลอมที่แตกต่างกัน ใครมีเบ้าแบบไหนไปรู้จักกันได้ที่ “เจ้าเป็นไผ๑” แต่ละคนมีรสนิยม ต่างกัน แม้กระทั่งความตั้งใจที่แตกต่างกัน แต่ละ “ลาน” จึงเป็นแบบฉบับของตนเอง ซึ่งมีทั้ง ขำกลิ้ง อมยิ้ม น่าคิด ชวนคิด แหย่ให้คิด จนกระทั่งกระแทกให้คิด บอกกล่าว เคร่งขรึม ตามจับความคิดตนเอง เตือนตัวเอง บอกกล่าวสิ่งที่พบเห็น สาระแห่งการงาน การชีวิต เทคโนโลยี ใครอยู่ในแบบไหนนึกกันเอาเองเด้อครับ..

ไม่ใช่สาระเท่านั้นที่เป็นแบบเฉพาะ การใช้ภาษา อักษร ก็หลากหลายลีลา ไปจนถึงหลุดลุ่ย(บางที)..อิอิ

เห็นคนในคน:
ใคร ก็ไม่รู้กล่าวว่าอยากรู้จักกันก็คุยกันซี อยากรู้จักกันมากกว่านี้ก็ต้องหากิจกรรมทำด้วยกัน อยากจะสัมผัสมุมลึกกันก็ต้องยามมีปัญหา แต่เพื่อนพ้องในลานพิสูจน์แล้วว่า เป็นคนคอเดียวกันจริงๆ เพราะเราชุมนุมกันหลายครั้ง และร่วมแก้ปัญหากันหลายครั้ง จากวันแรกมาถึงวันนี้ ผมว่าพวกเรากลายเป็นคนรู้ใจกันไปหมดแล้ว ยิ่งปอกเปลือกเห็นแก่นใน จปผ๑ ก็ยิ่งแดงโล่มาเลย ผมหลับตานึกถึงใครสักคน ก็เห็นอากัปกิริยาไปหมด ได้ยินน้ำเสียง หัวเราะ แหย่เย้าจนรู้นิสัยใจคอที่น่ารักแก่กัน

ที่มาแรงแซงโค้งดูจะเป็นอาม่าที่รักของพวกเรา..

ทำในสิ่งที่ไม่เคยหรือไม่ค่อย:
อัน นี้ผมเห็นก็ขำแบบดีใจที่ CEO ใหญ่ของเราลงทุนหาจอบขุดดินถมถนน ผมเดาว่าท่านผู้นี้ไม่เคยมาก่อน แต่อยู่ในชุมชนนี้ได้ทำ อิอิ..น่ารักจะตาย… บางท่านคงไม่ค่อยได้เข้าวัดเข้าวา ก็ได้มีโอกาสกราบพระงามๆ มีช่วงเวลาที่สัมผัสรากเหง้าทางจิตวิญญาณบ้าง บางคนไม่เคยและไม่ค่อยเข้าครัวก็ได้ย้อนรอยปลายจวักกัน ให้อิ่มเอมเปรมพุงกะทิไปหลายมื้อหลายคราว ยังคิดถึงผัดหมี่โคราชของท่านสะมะนึกะ …..ฯลฯ….

รุมสอน:
นี่ เป็นกรณีพิเศษจริงๆ ไม่มี blog ที่ไหนที่มีเหตุการณ์นี้ ไม่มีชุมชนเสมือนที่ไหนที่เป็นเช่นนี้ ไม่มี KM ที่ไหนที่มีภาพนี้ ที่นี่มีเจ้า “จิ” เหน่อเสน่ห์ เป็นกรณีเด่นที่สุดประการหนึ่งของลานเรา เพราะเราอยากเห็นภาพเหล่านี้ คล้ายๆๆแบบนี้ในกลุ่มคนทำงานแต่ไม่เกิด ไม่ค่อยเกิด แต่กลับมาเกิดกับลูกหลานน่าหยิกคนนี้ เธอมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจก็มาวางไว้ที่ลาน ลุง ป้า น้า อา ปู่ ทวด ต่างทยอยกันมาเยี่ยมเยือนลูกลิง เอ้ยลูกหลานคนนี้.. คำแนะนำออกมา มันช่างวิเศษแท้ๆ พ่อครูว่าเหมือนกดปุ่ม..

ผมชอบสังคมนี้ตรงนี้มาก นึก ถึงสมัยเด็กๆ ในหมู่บ้านนอกที่วิเศษชัยชาญ เย็นๆเด็กในหมู่บ้านจะรวมตัวกันที่ลานกลางบ้านแล้วนัดเล่นสนุกๆกัน และเป็นที่รู้กันว่า เด็กที่เล่นนั้นไม่ว่าจะลูกครูใหญ่ หรือลูกคนไม่มีที่ดินชายบ้าน ผู้ใหญ่ทุกคนมีสิทธิ์สั่งสอน ตักเตือน แนะนำทุกอย่างหากเด็กคนใดเล่นพิเลนเกินไป หรือเกเร หรือทำให้ข้าวของเสียหาย แม้กระทั่งลงโทษตีเด็กคนนั้น พ่อแม่ทุกครอบครัวก็อนุญาต  ผมมองย้อนหลัง มันเป็นสังคมที่สวยงาม ที่ต่างช่วยกันประคับประคองความดีงาม ถูกต้อง ถูกทำนองครองธรรม กรณีจิคนสวย ก็เช่นกัน ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย มาช่วยกันชี้แนะสิ่งที่ถูกที่ควรเมื่อเด็กมีปัญหา และเธอกล้าเอามาบอกกล่าว… งามจริงๆสังคมแห่งนี้

แปลกใหม่:
ปัจจุบัน มีบางคนเรียกเราว่า ป๋า..เรายังต๊กกะใจ ว่า เฮ้อ ตูข้านี่เป็น สว.ไปแล้วหรือนี่.. ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนลืมนับไปแล้ว มีหลายเรื่องก็ไม่รู้ก็ได้รู้ในที่นี่ ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ไม่เคยสัมผัสก็ได้รับรู้ อยากกอดสาวๆก็ได้กอด อิอิ.. ต้นอะไร เอกมหาชัย ชื่อก็พิสดาร แถมยังสารพัดประโยชน์ ทึ่งกระบี่ สุดยอดมุมลับของภูเก็ต อลังการเชียงราย ศรัทธายิ่งใหญ่ที่ลี้ลำพูน โดยเฉพาะท่านเทพ เอาอะไรก็ไม่รู้ไม่เคยพบเคยเห็นมาให้ศึกษา น่าดูน่าเรียนทั้งนั้น ท่านแฮนดี้ ก็คนอะไรช่างคิดช่างทำช่างสร้างสรรค์ ผมละอยากให้ถ้วยรางวัล “นักประดิษฐ์พอเพียง” แก่ท่านจริงๆ ผมว่าหลายคนก็เพิ่งได้ยินคำว่า dialogue ในมุมการเอามาใช้ประโยชน์เชิงพัฒนาคน.. ฯลฯ.. เห็นไหมล่ะ มากมายสาระที่แปลกใหม่สำหรับผม

น่าจะมีอีกมาก เท่าที่ด่วนๆคิดเอาก็เห็นดังกล่าวนี้แหละครับ



ไก่ฟ้าพญาลอ..

60 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 28 มิถุนายน 2009 เวลา 19:46 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 4562

วันก่อนเอารูปนี้มาลง

ไปค้นข้อมูลมา เขาชื่อไก้ฟ้าพญาลอ ไม้อยู่ในวงศ์ ARISTOLOCHIACEAE ชื่อพฤกษศาสตร์ Aristolochia ringens ดอกมีกลิ่นเหม็น ไม่ใช่ไม้กินแมลง ไม้เถาเลื้อยนำเข้าจากต่างประเทศ วิธีการเลี้ยงดูต้องหาหลักให้เลื้อย ชอบแดด รดน้ำวันละครั้งไม่ชอบน้ำ อายุสั้น ออกดอกเถาก็มักจะตายหรือแตกโคนใหม่ (ข้อมูลชื่อจาก หนังสือพันธุ์ไม้อาจารย์ เต็ม สมิตินันท์ ฉบับแก้ไข พ. ศ. 2544)


ลำต้นมีขนสั้นปกคลุม ใบ ใบเดี่ยวรูปหัวใจ ปลายมนถึงแหลม โค้นเว้าลึก สีเขียวสด ขนาดใบกว้าง 7-12 เซนติเมตร ก้านใบสั้น ดอก ออก ดอกเดี่ยว รูปร่างคล้ายนก โคนดอกเชื่อมกันเป็นกระเปาะกลมคล้ายนก ส่วนปลายแยกเป็น 2ส่วนคล้ายหาง สีเขียวอ่อนและมีเส้นสีม่วงแดงสานกันเป็นลายตาข่าย ผล รูป ทรงกระบอก มีเหลี่ยม 6เหลี่ยม ผลอ่อนสีเขียว เมื่อแก่มีสีน้ำตาล เมล็ดมีปีกนิยมปลูกเป็นไม้ประดับ รูปทรงของดอกแปลกตาสวยงามดี ชอบแสงแดดจัด ออกดอกช่วงเดือน พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์ ขยายพันธ์โดยเมล็ด ปักชำ

แถมข้อมูลรูปนี้เป็นไก่ฟ้าพญาลอตัวจริง

ไก่ฟ้าพญาลอมีชื่ออยู่ในวรรณคดีไทยเรื่องต่างๆ แล้วยังมีชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ของชาติไทย ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยของ รัชกาลที่ 4 พระองค์ได้ทรงจัดส่งไก่ฟ้าพญาลอ 1 คู่ ไปพร้อมกับสัตว์ป่า 4 เท้า ไปยังประเทศฝรั่งเศส เพื่อส่งไปให้พิพิธภัณฑ์สัตว์ศาสตร์ (Imperial Zoological Museum) ซึ่งทำให้พระจักรพรรดิแห่งประเทศฝรั่งเศสทรงพอพระราชหฤทัยมาก
นับได้ว่าไก่ฟ้าพญาลอคู่นั้นได้ช่วยกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

เป็นไก่ฟ้าพญาลอคู่แรกที่ชาวฝรั่งเศส และยุโรปได้รู้จัก จึงเรียกไก่ฟ้าชนิดนี้เพื่อเป็นเกียรติแก่ประเทศไทยว่า Siamese Fire-backed Pheasant ซึ่งแปลว่า ไก่ฟ้าหลังสีเพลิงแห่งประเทศสยาม มาตั้งแต่บัดนั้น และในปี พ.ศ. 2409 ไก่ฟ้าพญาลอคู่นั้นได้ออกไข่และฟักออกมาเป็นลูกไก่ฟ้า ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส

ในปัจจุบันชื่อที่ใช้เรียกไก่ฟ้าพญาลอได้ถูกย่อให้สั้นลง เหลือเพียง Siamese Fireback เท่านั้น เพื่อความกระชับ
ซึ่งเป็นชื่อที่นักเลี้ยงไก่ฟ้าทั่วโลกนิยมใช้เรียก

ประเด็นสำหรับวันนี้คือ ผมมีเมล็ดอยู่จำนวนหนึ่งเหลือจากการเพาะ จึงอยากให้เพื่อนๆเอาไปเพาะ ปลูกกัน น่าจะแบ่งได้สัก 3 ท่านครับ ใครต้องการบอกด่วนส่งที่อยู่มาให้ผมทางอีเมล์นะครับ

ขอบคุณข้อมูลและรูปจาก:-

http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=pinnjung&month=04-2009&date=12&group=16&gblog=2

http://www.thailantern.com/main/boards/index.php?showtopic=1253

http://www.panyathai.or.th/wiki/index.php/%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%9F%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%9E%E0%B8%8D%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AD

http://gotoknow.org/blog/naree122/238767?page=1

http://rirs3.royin.go.th/dictionary.asp


ปรุงทฤษฎีให้ร้อน..

2041 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 มิถุนายน 2009 เวลา 14:03 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 80709

ครอบครัวผมเป็นพวกบริโภคนิยม คือ นิยมหาอาหารอร่อยทานกัน ถึงได้อ้วนไง.. คนข้างกายผมก็ทำอาหารอร่อย ถูกปาก เพียงแต่เธอไม่ค่อยมีเวลาทำเท่านั้น เดินทางร่อนไปทั่วประเทศ เหนือ ใต้ ออก ตก ไปหมด สิ้นสุดงบประมาณปีนี้เธอก็ออกจากราชการแน่นอนแล้ว ไปเป็นอิสระ Freelance ดีกว่า อิอิ

พูดถึงอาหาร แกงเหลืองภาคใต้ก็มีสูตรเฉพาะ มีทั้งคนชอบเผ็ดมากเผ็ดน้อย ใส่หน่อไม้ดองต้องคัดสรรมา น้ำต้องข้น ปลาต้องเป็นเฉพาะชนิดนี้เท่านั้นถึงจะเข้ากันดี และจะกินแกงเหลืองต้องมีผักท้องถิ่นมากๆ หากมีไข่เจียวมาคู่กัน…อูย…หิวหละซี… ในขอนแก่นเองมีร้านอาหารภาคใต้มากกว่า สามร้าน ล้วนแต่คนแน่นตลอด คืออร่อยทุกร้าน แม้ว่ารสชาติและส่วนประกอบจะแตกต่างไปบ้างก็ตาม

แรกๆผมไม่คิดว่าจะมาตกล่องปล่องชิ้นกับสาวใต้ ผมว่าสาวเหนืองาม กิริยามารยาทเรียบร้อย..ซะไม่เมี๊ยะ มาทำงานอีสานผมก็ว่าสาวเขมรแถบสุรินทร์ดำขำก็งามไปอีกแบบ ยิ่งสาวผู้ไท กะเลิง..งามก็มีมากมายชวนให้มองไปหมด ไปเที่ยวทางใต้ ทางตะวันออก ก็มีสาวงามถูกตาต้องใจไม่แพ้กัน

เป็นว่า ไม่ว่าอาหารชนิดเดียวกัน ก็ยังมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน องค์ประกอบแตกต่างกันไปบ้างตามเงื่อนไข และกระบวนการปรุงอาหารก็คงจะมีเคล็ดลับเฉพาะที่เป็นแบบฉบับของใครของมัน เป็นของเก่าต้นตระกูลก็เคยได้ยินบ่อยๆ ปัจจุบันสูตรอาหารเหล่านี้เมื่อเป็นธุรกิจไปแล้วราคาค่างวดซื้อขายกันแพงๆเชียวหละ

สาวที่ไหนก็สวยทั้งนั้น แม้สาวดอยบนที่สูงเมื่อจับมาแต่งตัวแล้วเธอก็เช้งวับไปหมด ที่เรามักเรียกกันว่า สวยไปคนละแบบ.. ไม่เชื่อไปถามอาเหลียง เฮียตึ๋งดูซี พูดทีไรเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดปากทุกที..อิอิ..

อาหารอร่อย สาวสวยนั้น มันขึ้นอยู่กับการปรุงแต่ง การปรับปรุง พัฒนา การทดลองปรุงแบบนั้นแบบนี้ นานเข้า ก็ลงตัวว่ารสชาดแบบนี้ ใช้ได้ ผู้คนชม ติดใจ เราก็ได้สูตรอาหารที่เป็นที่ยอมรับกัน

สาวท้องทุ่ง..ตัวดำเหนี่ยง สาวดวงตาไม่มีเล่าเต้ง หรือสาวไหนๆ ลองมาแต่งใส่เสื้อผ้า ทำผมทำเผ้า ผัดหน้าทาปาก ใส่น้ำปรุงน้ำหอม โอย..ขี้คร้านหนุ่มๆ แก่ๆ จะช๊อคตาย..

แม้ว่าปัจจุบันจะมีสูตรที่บอกกล่าวกันทั่วไปว่า แกงเหลืองนั้นต้องมีส่วนประกอบอะไรบ้าง การแต่งตัวควรพิจารณาอะไรบ้าง หากไม่มีศิลปะการทำอาหารก็เทให้สุนัขรับประทานเถอะ.. แต่หากพัฒนาจนสุดยอดแล้ว น้ำแกงหยดสุดท้ายก็อร่อย..ไม่ยอมทิ้งเด็ดขาด สาวๆบางคนหน้าตาไปวัดไปวาได้ แต่แต่งตัวไม่เป็น โทษที คุณดำเหนี่ยงข้างวัดสวยกว่าเยอะเลย

การปรุงแต่งเป็นศิลปะ เป็นเรื่องฝีมือ เป็นทักษะ เป็นความชำนาญ เป็นศาสตร์เฉพาะตัวของใครของมัน เลียนแบบได้แต่อาจดีไม่เท่า

ผมเรียนรู้ทฤษฎีการพัฒนามากก็มาก หลักการต่างๆก็เยอะ แต่เมื่อเอาลงสู่ชุมชนจริงๆ บางทีมันไปไม่เป็นก็เกิดขึ้นบ่อยๆ ล้มกลางเวทีก็เคยหน้าแตกมาแล้ว ผมจึงมักแลกเปลี่ยนกับน้องๆว่า เราเป็นคนทำงานพัฒนาชุมชนนั้น คือคนที่ต้องเรียนรู้หลักการ หรือทฤษฎี แล้วเอามาปฏิบัติให้เกิดมรรคเกิดผล ซึ่งเป็นเรื่องยาก ไม่ง่ายอย่างที่พูดกันปาวๆในชั้นเรียน

หลักการเดียวกัน ทฤษฎีเดียวกัน ไปใช้ที่ภาคเหนือ ก็มีรายละเอียดที่แตกต่างไปจากภาคใต้ ในภาคอีสานเดียวกัน เอาหลักการ หรือทฤษฎีไปปฏิบัติที่อีสานใต้ กับชุมชนเทือกเขาภูพานก็แตกต่างกัน ในภูมินิเวศวัฒนธรรม ภูมินิเวศเกษตร ภูมินิเวศสังคมที่แตกต่างกัน ก็มีรายละเอียดการปรุงแต่งที่แตกต่างกัน

ผู้บริหารมักมองไม่เห็น แม้นักปฏิบัติเองก็ไม่เข้าใจว่าหลักการเหมือนกัน แต่การนำไปใช้ต้องรู้จักดัดแปลง ปรับปรุงขั้นตอน รายละเอียดให้สอดคล้องกับท้องถิ่นนั้นๆ

ครูบาอาจารย์ หรือนักวิชาการ จำนวนมาก ก็มักสร้างทฤษฎี สร้างหลักการใหม่ๆขึ้นมา เป็นตัวย่อบ้าง เป็นคำคล้องจองกันบ้าง เป็นโค้ดต่างๆบ้าง แต่เมื่ออธิบายลงไปไม่เคยได้ยินการกล่าวถึงรายละเอียดการปรุงแต่งในระดับปฏิบัติการเลย หากจะบอกว่าเป็นเรื่องของนักปฏิบัติที่ต้องไปหาเอาเอง ผมก็ว่า เป็นการกล่าวที่ไม่สมบูรณ์

ผมสนับสนุนชาวบ้านจัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์แบบเครดิตยูเนี่ยน ขึ้นในระดับหมู่บ้านและชุมชนใหญ่ กว้างขึ้นไป หลักการของเครดิตยูเนี่นยนั้น มีเป็นต้นฉบับที่ใช้กันทั่วโลกคือ จิตตารมณ์ 5 ประการ คือ ซื่อสัตย์ เสียสละ รับผิดชอบ เห็นอกเห็นใจ และไว้วางใจกัน แต่ที่สุรินทร์ ชาวบ้านซึ่งเป็นชนชาวเขมรนั้นบอกว่า “อาจารย์ พวกเราแค่ดื่มน้ำสาบานแบบท้องถิ่นเท่านั้น เจ้าจิตตารมณ์ ตาแรม อะไรนี่ผมไม่เข้าใจ ไม่ต้องพูดถึงเลย ดื่มน้ำสาบานเท่านั้นพอ…”…!!

เมื่อรายละเอียดในความเป็นจริงเป็นเช่นนี้ จะไปกำหนด KPI แบบเดียวกันใช้ทั่วประเทศ ผมว่านักประเมินผลท่านนั้นก็ล้าหลังไปแล้ว

หากนักปฏิบัติบ้าแต่ทฤษฎี ปรุงไม่เป็น ท่านผู้นั้นก็เป็นเพียงผู้หวังดีคนหนึ่งเท่านั้น

หากนักบริหาร นักวิชาการ นักพูด กล่าวแต่หลักการ ทฤษฎี แต่ไม่บ่งชี้ถึงการปรุงแต่งในภาคปฏิบัติ ศาสตร์นั้นก็แห้งแล้งเกินไป จืดชืด ใช้อะไรแทบไม่ได้..


เฮฮาศาสตร์.. เจ้าเป็นไผ

378 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 พฤษภาคม 2009 เวลา 16:58 ในหมวดหมู่ เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 8815

อาสายกร่าง สรุปตัวตนเฮฮาศาสตร์ เจ้าเป็นไผ ให้ทุกท่านช่วยต่อเติมเสริมแต่ง เพื่อใส่ใน เจ้าเป็นไผ๑ ครับ

เฮฮาศาสตร์รวมตัวกันอย่างไร

นับตั้งแต่ “การจัดการความรู้” (KM) เป็นหลักการที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางในสังคมแล้ว นั้น รูปแบบการจัดการก็พัฒนาอย่างหลากหลายมากขึ้น รูปแบบหนึ่งที่เป็นที่นิยมกันคือ บล็อก สมาชิกที่ใช้บล็อกบันทึกเรื่องราว แลกเปลี่ยนเรียนรู้ แวะอ่าน ทักทาย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็น จนถูกคอกัน จึงขยับจากโลกเสมือนอันเชื่อมโยงสมาชิกข้ามระยะทาง และข้อจำกัดของเวลา สู่โลกความเป็นจริงของกิจกรรมกลุ่ม เสริมสร้างความผูกพันระหว่างกัน

เป็นการรวมตัวกันแบบธรรมชาติ ต่างมีอิสรเสรีภาพ เป็นตัวของตัวเอง เอาความเป็นคนคนหนึ่งเข้ามาหากันมิได้มาด้วยยศฐาบรรดาศักดิ ตำแหน่งหน้าที่การงาน ฐานะ หัวโต ตัวเล็ก ขี้เหร่ ความหล่อ ความสวย เพศ คุณวุฒิ วัยวุฒิ ฯลฯ เหล่านี้ไม่ใช่เงื่อนไขของการมารวมกลุ่ม หรือกล่าวโดยสรุปรวมก็คือ รวมกันด้วยใจนั่นเอง

ทำไมต้องเฮฮาศาสตร์

ทุกคนจำเจกับระบบ ไม่ว่าราชการหรือธุรกิจ หรือองค์กรอื่นๆ อยากสัมผัสอะไรที่ง่ายๆ กันเอง ไร้รูปแบบแต่ไม่ไร้สาระ เอาใจว่ากัน สนุกสนานก็มีสาระได้ ไม่เครียดไม่ผูกมัดแต่รับผิดชอบ ยืดหยุ่น สัมพันธ์กันด้วยลักษณะทางวัฒนธรรมพื้นๆของสังคมแต่ไม่ใช่ระเบียบ ข้อบังคับ หรือการขึ้นต่อ หากกลุ่มตกลงทำร่วมกันก็ทำ ก็ขอเรียกว่าเฮฮาศาสตร์

เฮฮาศาสตร์คือองค์กรแบบไหน

เฮฮาศาสตร์ไม่ใช่องค์กรแบบปกติทั่วไป (Formal Organization) ที่มีโครงสร้างบุคลากรเป็นชั้นของตำแหน่งความรับผิดชอบ เรียกกันว่า Organization chart เช่น มีผู้มีตำแหน่งสูงสุด แล้วลดหลั่นกันลงมา มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบกันอย่างชัดเจน เช่น องค์กรในระบบราชการ องค์กรบริษัท ระบบธุรกิจต่างๆ แต่เฮฮาศาสตร์เป็นองค์กรที่ไม่มีโครงสร้าง เป็น Un-Structural Organization หรือ Non-Formal Organization ไม่มีชั้นของตำแหน่งความรับผิดชอบ ไม่มี Organization chart ไม่มีการแบ่งบทบาทหน้าที่กันอย่างชัดเจน

แต่เฮฮาศาสตร์ “มีโครงสร้างแบบไม่มีโครงสร้าง” ความหมายคือ กลุ่มจัดรูปของกลุ่มตามฐานความรู้ ความสามารถ ความถนัด จัดเจน เฉพาะที่ปรากฏออกมาในระหว่างสมาชิกในกลุ่ม และเป็นที่ยอมรับกันโดยปริยาย ตามการแสดงออก ตามการนำ ตามการศรัทธา นี่แหละเป็นโครงสร้างแบบดั้งเดิมของสังคมเรา

อธิบายขยายความได้ดังนี้ ย้อยหลังไปรัชการที่ 5 ก่อนที่ระบบราชการจะเข้าไปสู่สังคมชนบทนั้น สังคมชนบทอยู่ร่วมกันแบบดั้งเดิมตามธรรมชาติ ไม่มีกำนัน ไม่มีผู้ใหญ่บ้าน ไม่มีอนามัยตำบล ไม่มีผู้ช่วยฯ ไม่มีสารวัตร ไม่มีตำรวจ ฯลฯ แต่สังคมชนบทมีหมอพื้นบ้าน มีช่างไม้ ช่างหล่อ มีผู้ทำพิธีกรรมพื้นบ้าน ผู้ทำพิธีกรรมทางศาสนา ทางอีสานก็มี เจ้าโคตร เฒ่าจ้ำ หมอธรรม หมอเป่า หมอนวด นางเทียม ฯลฯ ทุกภูมิภาคไม่ว่าเหนือ ใต้ กลาง อีสาน ทุกชุมชนจะมีบุคลากรเหล่านี้อยู่ ซึ่งต่างก็มีบทบาทในสังคมนั้น ๆ และระหว่างชุมชนที่เราเรียกท้องถิ่น ต่างอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน มิได้ใช้เงินทองมาเป็นสื่อกลางในการพึ่งพาว่าจ้าง มีน้ำใจแก่กันและกัน เคารพ ยอมรับและมีมารยาทระหว่างกันที่เราเรียกว่ารวม ๆ ว่าวัฒนธรรมชุมชน หรือวิถีชุมชน

ภาพชนบทดั้งเดิมดังกล่าวเราเรียกว่าเป็น Local structure หรือ Traditional structure และซ่อนตัวอยู่ในสังคมปัจจุบันที่เอาโครงสร้างระบบราชการที่เรียกว่า การปกครองท้องถิ่นเข้าไป โครงสร้างดั้งเดิมเหล่านั้นก็ถูกลดบทบาทลง และเลือนจางหายไปกับกาลเวลา มากน้อย แล้วแต่ปัจจัย เช่น ความเข้มแข็งของระบบดั้งเดิมของบางชุมชนยังหนาแน่นเพราะมีบุคลากรของชุมชนเป็นผู้มีบารมี ทั้งชุมชนยอมรับนับถือ เคารพ หรือปัจจัยที่นักสังคมศาสตร์มักเรียกว่า ความเข้มข้นของระบบดั้งเดิม อาจดูจากระยะห่างของที่ตั้งหมู่บ้านนั้นกับศูนย์กลางอำนาจ (Periphery theory) แต่หลักการนี้ด้อยลงไปมากเมื่อระยะทางในสมัยก่อนถูกลดลงด้วยระบบการสื่อสารยุคดิจิตอลในปัจจุบัน ในป่าในเขาก็สามารถรับรู้เรื่องไข้หวัด H1N1 ได้พร้อมๆกับในเมืองและทั่วโลก

เวลาเราเข้าไปทำงานในชุมชนเราจะวิเคราะห์โครงสร้างชุมชนด้วยสองมิติ คือ มิติสมัยใหม่ หมายถึงระบบกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. ซึ่งเปิดเผยชัดเจน เห็นชัดจับต้องได้ มีสถิติ มีการจดบันทึก มีรายงาน ฯ อีกมิติคือ ระบบโครงสร้างเดิมของชุมชน ใครคือเจ้าโคตร ใครคือเฒ่าจ้ำ ใครคือหมอธรรม ใครคือหมอนวด ใครคือช่าง ใครคือผู้นำจิตวิญญาณ เราหาตัวได้อย่างไรมีหลายวิธี นักวิชาการก็ใช้ Sociogram

บทบาทของโครงสร้างนี้ในสังคมชุมชนมีบทบาทไม่แพ้โครงสร้างทางระบบการปกครองท้องถิ่น ใครทำงานกับชุมชนแล้วไม่เข้าใจมิตินี้ก็ทำงานยากสักหน่อย

เฮฮาศาสตร์จำลองภาพโครงสร้างสังคมเดิมนี้มา หรือมีลักษณะที่ใกล้เคียงมาก และหากเราจะทำ Sociogram ในกลุ่มเฮฮาศาสตร์ เราก็จะพบว่า ใครมีปัญหาเรื่อง บล็อก คอมพิวเตอร์ ก็ต้องวิ่งไปหา คอน เม้ง โสทร ใครมีคำถามเรื่องสมุนไพรก็ต้องแวะไปจีบป้าจุ๋ม ใครอยากสนทนาเรื่องการส่งเสริมการเกษตรก็ต้องน้องสิงห์ป่าสัก และหากจะถามว่าทั้งกลุ่มยอมรับใคร ศรัทธาใครในลักษณะนำก็ต้องพ่อครูบาฯ ลุงเอก เป็นต้น การยอมรับเป็นไปโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องแต่งตั้ง แต่ไม่มีโครงสร้าง แต่มีการยอมรับในความรู้ความสามารถ ซึ่งคล้ายๆบทบาทหน้าที่โดยธรรมชาติต่อกลุ่ม

เป้าหมายเฮฮาศาสตร์เพื่ออะไร

ถ้าจะดูพัฒนาการของกลุ่มเฮฮาศาสตร์จะเห็นว่าเป็นกลุ่มที่ไม่ได้จัดตั้งขึ้นมาโดยใคร หน่วยงานไหน ฯ จึงไม่มีวัตถุประสงค์เฉพาะ ไม่มีเป้าหมายเฉพาะ แต่เฮฮาศาสตร์เกิดจากการค่อยพัฒนาความสัมพันธ์ จากบันทึกมาสู่รูปแบบกลุ่มก้อนของคนถูกคอกัน แบบหลวมๆ ที่ไม่ได้มีเป้าหมายหรือวัตถุประสงค์ใดๆในปัจจุบัน เป็นเพียงการเริ่มต้น และกำลังเดินทางไปสู่อนาคตที่ยังไม่ได้กำหนด แต่ทุกคนมองเห็นกว้างๆร่วมกันว่า เพื่อกันและกัน จากแคบสู่กว้าง จากปัจเจกสู่สังคม ทุกย่างก้าวในห้วงเวลาที่เคลื่อนตัวไป เฮฮาศาสตร์กำลัง Formulate ตัวเองอย่างค่อยเป็นค่อยไป แบบธรรมชาติ ไม่มีเงื่อนไขที่จะต้องเป็นนั่นเป็นนี่ ไม่มีกำหนดเวลา แต่กลุ่มคิดอ่านทำกิจกรรมร่วมกันตามจังหวะแห่งความลงตัวของตัวเอง น้อยมากไม่สำคัญ ใหญ่เล็ก ไม่ใช่สาระสำคัญ แต่การเสริมสร้าง หนุนเนื่องกำลังใจและศักยภาพแก่กันและกันนั้นเป็นสาระที่กลุ่มเลือกที่จะทำ ตามความเห็นชอบร่วม อาจกล่าวว่าเพื่อสมาชิก เพื่อกลุ่มที่หลวมๆ เพื่อสังคมนี่คือแนวทางที่เป็นไป ปล่อยให้การเคลื่อนตัวและเวลาในอนาคตเกิดการปรับตัวไปสู่สภาพที่เหมาะสมที่สุดของความเป็นเฮฮาศาสตร์

ศักยภาพของเฮฮาศาสตร์

การเป็นเฮฮาศาสตร์แบบไม่มีโครงสร้างเหมือนรูปแบบองค์กรทั่วไปนั้น เป็นทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนในตัวเอง เมื่อย้อนกลับไปพิจารณาพัฒนาการจากเริ่มต้นจนมาถึงปัจจุบันนั้น เฮฮาศาสตร์เกิดขึ้นและพัฒนามาอย่างไร ความไม่ติดยึดต่างๆนั้น เป็นลักษณะที่มีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งมองว่าน่าจะส่งผลให้มีการปรับตัวได้สูง หากต้องการการปรับตัว แต่สุมเสี่ยงต่อการทำกิจกรรมร่วมกันที่มีความซับซ้อนมาก

กรณีเมื่อกลุ่มมีภารกิจงานที่มีความซับซ้อนที่ต้องการความจัดเจนต่องานนั้นๆ ก็สุ่มเสี่ยงหากกิจกรรมนั้นๆอยู่ภายใต้เงื่อนไขที่จำกัดต่างๆ เช่นเวลาที่จำกัด ย้อนไปนึกถึงสังคมดั้งเดิมจะจัดงานใหญ่ เช่น งานศพ หรืองานโกนจุก บวชนาค ในหมู่บ้านนั้น จะมี “แม่งาน” เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ ซึ่งก็คือ เจ้าภาพนั่นเองหรือญาติสนิทของเจ้าภาพ ก็จะปรึกษาหารือกันว่างานมีอะไรบ้างที่ต้องทำ ขนาด จำนวน เวลา ฯ จะทำได้อย่างไร ก็ต้องไหว้วานญาติสนิท เพื่อนบ้านที่สนิท หรือ เพื่อนบ้านที่เป็นผู้ชำนาญการในเรื่องนั้นๆ เช่นจะทำขนมหม้อแกงต้องป้าจุ๋ม จะแกงเผ็ดเป็ดย่างต้องแม่สร้อย จะทำห่อหมกต้องแม่เบิร์ด จะจัดอาสนะสำหรับพระมาสวดมาเทศน์ ต้องพ่อเหลียง จะหุงข้าวกระทะใบบัวต้องตาจอมป่วน จะประดิษฐ์ประดอยดอกไม้ถวายพระต้องตาออต เหล่านี้เป็นต้น ก็ไปเชิญมา บอกกล่าวมา หรือบางทีไม่ต้องบอกเขาเหล่านั้นก็มาโดยอัตโนมัติ รู้งาน จิตอาสา เกิดขึ้นเองโดยอัตโนมัติ ดูซิงานที่ซับซ้อนไม่มีองค์กรโครงสร้างก็จัดได้ ทำได้ สำเร็จลงได้ด้วยความเป็นชุมชนแบบหมู่บ้าน

เฮฮาศาสตร์กำลังปรับตัวจำลองภาพชุมชนดั้งเดิม แต่น่าจะดีกว่า เพราะเราไม่ได้อยู่ในยุคสังคมโบราณ สามารถดัดแปลงความรู้ความสามารถสมัยใหม่เข้ามาปรับใช้ เฮฮาศาสตร์เป็นสังคมพิเศษของยุคสมัย เป็น Cyber community เป็นชุมชนเสมือน เราพบปะกันทุกวันบนตัวอักษร แม้ความสัมพันธ์ระหว่างกันนี้ ไม่เหมือนชุมชนดั้งเดิมจริงที่สัมพันธ์กันแบบคลุกคลีถึงตัวกันทุกวัน ความสัมพันธ์ระหว่างกันจึงแนบแน่นกว่าหลายเท่าตัว เฮฮาศาสตร์ก็น่าจะพัฒนาไปในทิศทางนั้น

ดูเพิ่มเติมได้ที่


A52S 3

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 6 พฤษภาคม 2009 เวลา 23:41 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 1289
  1. เรามาลองทบทวนความหลังจั๊กหน่อยนะขอรับคุณท่าน เมื่อตอนเฮสามที่ดงหลวง ผมได้สรุปลักษณะของเฮฮาศาสตร์ไว้สมัยนั้นว่าดังนี้นะเจ้าคุณ



ถือว่าเป็นบันทึกช่วงเวลาหนึ่งของการเคลื่อนตัวของเฮฮาศาสตร์ก็แล้วกันนะครับ สิ่งเหล่านี้สรุปจาการเฝ้ามองรถขบวนนี้ที่ชื่อเฮฮาศาสตร์ครับ

เมื่อสมัยที่ทำงานที่สะเมิง เชียงใหม่ อยู่ในหมู่บ้านคนเมือง วันหนึ่งมีงานศพในหมู่บ้าน พิธีกรรมของภาคเหนือก็คล้ายๆชนบททั่วไป แต่ที่ผมประทับใจมากๆคือ บ้านที่ผมไปพักช่วงนั้น ก็ไม่ได้เป็นญาติโกโหติกาอะไรกับครอบครัวที่มีงานศพนั้น เพียงเป็นเพื่อนบ้าน ร่วมหมู่บ้าน เขาก็ต้องลงจากบ้านหยิบเอาของติดมือไปร่วมงานศพ โดยเจ้าภาพไม่ต้องออกการ์ดเชิญ ไม่ต้องเดินมาออกปากเชิญ แต่ทุกคนต้องลงบันไดเรือนชานไปร่วมงานศพ แต่สังคมในเมือง ออกการ์ดเชิญยังไม่ไปเลย… ปรากฏการณ์นี้เราคงไม่ต้องอธิบาย

ผมเห็นหลายครั้งที่พ่อครูบาตีฆ้องงานนั่นงานนี่ ก็มีคนลงจากบ้านเดินไปร่วมงานโดยไม่ต้องออกปากเชิญ ป้าจุ๋มก็ดี รอกอดก็ดี อาจารย์แฮนดี้ ก็ดี จอมป่วน ก็ดี และใครต่อใครต่างลงบันไดเดินมาที่สวนป่า ยิ่งกรณีเจ้าเป็นใผ โน้นสุดใต้เมืองไทย(น้องแป๊ด) สุดเหนือเมืองล้านนา(น้องอึ่งอ๊อบ) ต่างก็ส่งเสียงอาสาช่วยอย่างเต็มหัวใจ ผมเห็น ผมรู้สึกได้ และทุกท่านก็เห็นและรู้สึกเหมือนผมเช่นกัน (อีกหลายท่านที่ไม่ได้กล่าวถึงนะครับ)

นี่คือความสวยงามของเฮฮาศาสตร์ หากจะมองว่านี่คือกลุ่มยุ่งเหยิงหรือ Chaos ผมก็ว่าเป็น chaos ที่สวยงาม

  1. อย่างที่ผมเฝ้ามองกลุ่ม หรือองค์กรชาวบ้านมาหลายปีและพบเห็นการปรับตัวหลายๆแบบก่อนเดินเข้าสู่เป้าหมาย และผมเคยสร้างไดอะแกรมไว้เพื่อบอกให้ทราบว่า เส้นทางเดินของกลุ่มนั้นไม่ใช่ราบรื่น ไหล วิ่งไปสู่เป้าหมายอย่างไม่มีแรงเสียดทาน ไม่ใช่ครับลองดูนี่ซิ


ลองดูไดอะแกรมนี่นะครับ คนแซ่เฮรวมกลุ่มกันที่ A และต้องการเดินทางไปสู่เป้าหมายที่ X ตามเส้นทางสีแดงนั้นคือเส้นทางเดินโดยมีการทำกิจกรรมต่างๆแล้วแต่กลุ่มจะสร้างสรรค์ขึ้นมา เช่นเฮฮาศาสตร์ครั้งต่างๆ การทอดกฐิน การปลูกป่า ทำหนังสือเจ้าเป็นใผ ระพี…ฯลฯ กิจกรรมเหล่านี้ยิ่งทำก็ยิ่งมีส่วนสำคัญที่ให้เฮฮาศาสตร์เข้าถึงกัน และปรับตัวเข้าหากันโดยอัตโนมัติด้วยปัจเจกเอง แต่ในทางตรงข้ามก็จะมีปัญหา อุปสรรค เข้ามา ทั้งเบาๆ และหนัก ถึงหนักหนา

ข้อสังเกตการปรับตัวขององค์กรชาวบ้านคือ การเดินทางจาก A ไปที่ X นั้นเมื่อพบปัญหา องค์กรก็จะปรับไปสมมุติปรับไปที b องค์กรเดินไปสักพักก็พบปัญหาอีก องค์กรก็ปรับ สมมุติปรับไปที่ c และจะเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ

ข้อสังเกตคือ การปรับตัวนั้นก็ยึดเอาเป้าหมายเป็นหลัก การแกว่งขององค์กรอาจเกิดขึ้น แต่แล้วก็ปรับเข้ามาเส้นตรง ผมอาจะเรียกเส้นตรงนี้ว่า ความมีคุณธรรม หรือ norm ขององค์กรพึงประสงค์ที่จะเดินเข้าสู่เป้าหมายที่ดีที่สุด


ข้อสังเกตของผมต่อองค์กรชาวบ้านในกรณีที่พบอุปสรรคก็คือ

สมาชิกต่างมาหาข้อเท็จจริงว่ามันคืออะไร บกพร่องตรงไหนและหาทางออกแบบชาวบ้าน ซึ่งหลายๆครั้งเราคิดไม่ถึงหรอกครับ… เพราะเขามีความเชื่อ มีวัฒนธรรม มีวิถีปฏิบัติแบบของเขา แต่กลุ่มก็เดินต่อไปได้หลังการปรับตัว แล้วก็มักจะพบปัญหาอีก หนักบ้างเบาบ้าง บางกลุ่มแก้ไม่ไหวล้มไปต่อหน้าต่อตาก็มี ที่แก้ได้ ปรับตัวได้แต่แคระแกรน ล้มก็ไม่ล้ม โตก็ไม่โต ก็มี ที่เติบโตแบบหยุดไม่อยู่ก็มี เหล่านี้ผมมีข้อสังเกตว่า

  • กลุ่มผู้นำมีบทบาทที่สำคัญในการแก้ปัญหา หากฟังเสียงสมาชิกอย่างจริงใจ แสดงความจริงใจต่อกลุ่ม แสดงให้เห็นถึงเป็นคนมีคุณธรรม ไม่ถือประโยชน์ส่วนตน เสียสละจริงๆให้สมาชิกเห็น มีประวัติที่ดี สรุปว่าเป็นคนดี
  • กลุ่มผู้นำมีภาวะผู้นำสูง เมื่อนำก็นำ แต่นำอย่างมีส่วนร่วม กล้าตัดสินใจ มีประสบการณ์ฯ
  • สมาชิกก็จริงใจต่อการแสดงออกในการมีส่วนร่วม ให้ความร่วมมือในข้อตกลงของกลุ่ม หรือไม่ผิดแผกไปจากวัฒนธรรม ข้อปฏิบัติทางวิถีของชุมชนนั้นๆ
  • หากกลุ่มนั้นมีกฎ กติกา ระเบียบ ข้อบังคับ ก็เอามาทบทวน ปรับให้เกิดความเหมาะสม
  • ข้อที่พบบ่อยมากทั้งองค์กรในชุมชน และองค์กรใหญ่ๆนอกชุมชน แม้ราชการ ธุรกิจ คือ “การสื่อสาร” ระบบการสื่อสาร เครื่องมือการสื่อสาร วิธีการสื่อสาร ช่องทางการสื่อสาร ภาษาที่ใช้ ฯ
  • อีกประการที่พบบ่อยเช่นกันกันคือ “ความคาดหวัง” พ่อจอมป่วนคาดว่าลุงบางทรายจะเข้าใจเรื่องนั้นเรื่องนี้ ลุงบางทรายคาดหวังว่าตาออตจะเข้าใจเรื่องที่คุยกัน ประธานคาดว่าสมาชิกจะเข้าใจ สมาชิดคาดว่าสิ่งที่พูดนั้นประธานจะรู้เรื่อง เข้าใจตรงที่อยากสื่อสาร…. เปล่า…ไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิด มีเรื่องตลกมากมายเกี่ยวกับ การสื่อสาร เมื่อยี่สิบปีก่อน ผมนั่งรถราชการไปกับ ดร.ท่านหนึ่งที่เป็นรอง ผอ. สำนักงานเกษตรภาคอีสาน เพื่อเข้าร่วมประชุมประจำปี เราเชคอินที่โรงแรมเอากระเป๋าไว้ แล้วก็เดินทางเข้าที่ประชุมที่จังหวัดนครพนม เมื่อเราเดินทางถึง ดร.ท่านนั้นก็คิดว่า การประชุมคงนานให้พนักงานขับรถคอยเขาคงเบื่อ ให้เขากลับไปพักที่โรงแรมก่อนด้วยความหวังดี จึงบอกพนักงานขับรถว่า “กลับไปก่อนเถอะเดี๋ยวกลับไปกับเพื่อนที่เข้าร่วมประชุมนี้ก็ได้” (ในความหมายคือเมื่อเสร็จการประชุมจะกลับที่พักโรงแรมพร้อมกับท่านอื่นๆเอง) แต่แล้วพนักงานขับรถขับรถกลับขอนแก่นเฉยเลย..เพราะคิดว่านายบอกให้กลับบ้านแล้วนายจะเดินทางกลับกับเพื่อนๆที่มาร่วมประชุมนั้น….ฮา..(ไม่ออก)

(มีต่อ)



A52S 1

18 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 5 พฤษภาคม 2009 เวลา 14:48 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 1472

ตั้งใจไว้ว่าจะบันทึกเรื่องนี้ เห็นด้วยที่น้องหมอตาบอกว่า ทำ AAR “เจ้าเป็นใผ๑” กันหน่อย เลยพยายามสำรวจมุมมองตัวเองเรื่องนี้ออกมาครับ

ต้องบอกว่าความคิดเห็นต่อไปนี้มิใช่ถูก ผิด เป็นเพียงความเห็นที่พวกเรามักถามไถ่กันเองว่า พี่คิดไงอ่ะ น้องคิดไงอ่ะ ดังนั้นการกล่าวถึงสถานการณ์นี้จึงมิได้เจตนาที่จะยกย่องใครและกล่าวร้ายท่านผู้ใดนะครับ ผมคิด วิเคราะห์ด้วยการสรวมวิญญาณนักเฝ้ามองการเคลื่อนไหวของกลุ่มคน การขยับตัวของสังคม

ผมมีฐานรากเป็นนักพัฒนาเอกชนที่อิสระ แต่ทำงานกับระบบราชการ สังกัดบริษัทที่ปรึกษาที่เป็นธุรกิจประเภทหนึ่ง คลุกคลีกับชาวบ้านมานานพอสมควร สนใจเรียนรู้เรื่องราวของระบบทุน และเรียนรู้โลกแห่งธรรมชาติ มุมมองนี้อาจจะมีประโยชน์แก่สังคมนี้บ้างก็พอใจที่ไม่เก็บเอาไว้ในถังแห่งความทรงจำ


  1. จั่วหัวไว้ว่าเป็นการวิเคราะห์เฮฮาศาสตร์ผ่าน A52S ก็คือการ หยิบเอาสถานการณ์เมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2552 มาเป็นตัวเริ่ม แล้วมองย้อนไปรอบๆเฮฮาศาสตร์จากทัศนของตัวเองดังกล่าว A52S ก็เป็นตัวย่อของ April 52 Situation เรียกให้มันแปลกๆไปซะงั้นแหละ เพราะช่วงที่มีสถานการณ์ A52S นั้นมันสะท้อนภาพกลุ่มเฮฮาศาสตร์ที่ชัดเจน ในทัศนะของผม ที่พวกเรา พี่ๆ น้องๆ มักไถ่ถามกันว่า เอ..มันคืออะไร มันเป็นอย่างไร นะเจ้าเฮฮาศาสตร์นี่น่ะ เราก็บอกอธิบายยากให้เข้ามาสัมผัสเอง A52S ก็เป็นอีกคำอธิบายหนึ่งของเฮฮาศาสตร์


  2. เฮฮาศาสตร์ไม่ใช่องค์กรแบบปกติทั่วไป (Formal Organization) ที่มีโครงสร้างขององค์กรเป็นชั้นของตำแหน่งความรับผิดชอบ ที่มักเรียนกันว่า Organization chart เช่น มีผู้มีตำแหน่งสูงสุด แล้วลดหลั่นกันลงมา มีการแบ่งบทบาทหน้าที่ ความรับผิดชอบกันอย่างชัดเจน เหมือนกับองค์กรระบบราชการ องค์กรบริษัท ระบบธุรกิจต่างๆ แต่เฮฮาศาสตร์เป็นองค์กรที่ไม่มีโครงสร้าง เป็น Un-Structural Organization หรือ Non-Formal Organization ไม่มีโครงสร้างที่เป็นชั้นของตำแหน่งความรับผิดชอบ ไม่มี Organization chart ไม่มีการแบ่งบทบาทหน้าที่กันอย่างชัดเจน

  3. แต่เฮฮาศาสตร์มีโครงสร้างแบบไม่มีโครงสร้าง….ย้ำว่าเป็นกลุ่มที่มีโครงสร้างแบบไม่มีโครงสร้าง ความหมายคือ กลุ่มจัดรูปของกลุ่ม(กลุ่มเฮฮาศาสตร์)ตามความรู้ ความสามารถที่ปรากฏออกมาในระหว่างสมาชิกในกลุ่มและเป็นที่ยอมรับกันโดยปริยาย ตามการนำ ตามการศรัทธา….นี่แหละเป็นโครงสร้างแบบดั้งเดิมของสังคมเรา

    ขออธิบายดังต่อไปนี้ ย้อยหลังไปก่อนที่ระบบราชการจะเข้าไปสู่สังคมชนบทนั้น(รัชการที่ 5) สังคมชนบทอยู่กันแบบดั้งเดิมไม่มีกำนัน ไม่มีผู้ใหญ่บ้าน ไม่มีอนามัยตำบล ไม่มีผู้ช่วยฯ ไม่มีสารวัตร…ไม่มีตำรวจ..ไม่มี.. แต่มีหมอพื้นบ้าน มีช่างไม้ ช่างหล่อ มีผู้ทำพิธีกรรมพื้นบ้าน ผู้ทำพิธีกรรมทางศาสนา ทางอีสานก็มี เจ้าโคตร เฒ่าจ้ำ หมอธรรม หมอเป่า หมอนวด นางเทียม ฯลฯ ทุกภูมิภาคไม่ว่าเหนือ ใต้ กลาง อีสาน ทุกชุมชนจะมีบุคลากรเหล่านี้อยู่ ซึ่งต่างก็มีบทบาทในสังคมนั้นๆและระหว่างชุมชนที่เราเรียกท้องถิ่น ต่างอยู่ร่วมกันแบบพึ่งพาอาศัยกัน มิได้ใช้เงินทองมาเป็นสื่อกลางในการพึ่งพาว่าจ้าง มีน้ำใจแก่กันและกัน เคารพ ยอมรับและมีมารยาทระหว่างกันที่เราเรียกว่าวัฒนธรรมชุมชน


    ภาพนี้เราเรียกว่า Local structure หรือ Traditional structure และซ่อนตัวอยู่ในสังคมปัจจุบันที่เอาโครงสร้างระบบราชการที่เรียกว่า การปกครองท้องถิ่นเข้าไป โครงสร้างเหล่านั้นก็เลือนจางหายไปกับกาลเวลา มากน้อย แล้วแต่ปัจจัย ที่นักสังคมศาสตร์มักเรียกว่า ความเข้มข้นของระบบดั้งเดิมอาจดูจากระยะห่างของที่ตั้งหมู่บ้านนั้นกับศูนย์กลางอำนาจ (Periphery theory) แต่หลักการนี้ด้อยลงไปมากเมื่อระยะทางในสมัยก่อนถูกลดลงด้วยระบบการสื่อสารยุคดิจิตอล ในป่าในเขาก็สามารถรับรู้เรื่องไข้หวัด H1N1 ได้พร้อมๆกับในเมือง

    เวลาเราเข้าไปทำงานในชุมชนเราจะวิเคราะห์ชุมชนด้วยสองมิติ คือ หนึ่งมิติสมัยใหม่ หมายถึงระบบกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน อบต. ซึ่งเปิดเผยชัดเจน เห็นชัดจับต้องได้ มีสถิติ มีการจดบันทึก มีรายงาน..ฯ อีกมิติคือ ระบบโครงสร้างเดิมของชุมชน ใครคือเจ้าโคตร ใครคือเฒ่าจ้ำ ใครคือหมอธรรม ใครคือหมอนวด ใครคือช่าง ใครคือผู้นำจิตวิญญาณ…เราหาตัวได้อย่างไร เราก็ใช้ sociogram (ไม่ขออธิบายครับ) บทบาทของโครงสร้างนี้ในสังคมชุมชนมีบทบาทไม่แพ้โครงสร้างทางระบบการปกครองท้องถิ่น ใครทำงานกับชุมชนแล้วไม่เข้าใจมิตินี้ก็ทำงานยากสักหน่อย..

    เฮฮาศาสตร์จำลองภาพโครงสร้างสังคมเดิมนี้มา และหากเราจะทำ sociogram ในกลุ่มเฮฮาศาสตร์ เราก็จะพบว่า ใครมีปัญหาเรื่อง blog คอมพิวเตอร์ ก็ต้องวิ่งไปหา คอน เม้ง โสทร เป็นต้น ใครมีคำถามเรื่องสมุนไพรก็ต้องแวะไปจีบป้าจุ๋ม ใครอยากสนทนาเรื่องการส่งเสริมการเกษตรก็ต้องน้องสิงห์ป่าสัก และหากจะถามว่าทั้งกลุ่มยอมรับใคร ศรัทธาใครในลักษณะนำก็ต้องพ่อครูบาฯ ลุงเอก เป็นต้น การยอมรับเป็นไปโดยอัตโนมัติโดยไม่ต้องแต่งตั้ง แต่ไม่มีโครงสร้าง แต่มีการยอมรับในความรู้ความสามารถ ซึ่งคล้ายๆบทบาทหน้าที่โดยธรรมชาติต่อกลุ่ม…

    นี่เองจึงเรียกว่า เฮฮาศาสตร์เป็นกลุ่มที่มีโครงสร้าง(แบบความรู้ความสามารถ ความถนัด)แบบไม่มีโครงสร้าง(ตำแหน่งหน้าที่ลำดับชั้น)

    (มีต่อ)


เฮฮาศาสตร์เพื่อวันนี้และวันข้างหน้า

843 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 30 เมษายน 2009 เวลา 0:33 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 16365

เฮฮาศาสตร์ไม่ได้ก่อตัวเพียงเพื่อวันนี้ แต่จะก้าวไปเพื่อวันข้างหน้า

เมื่อผมก้าวเข้ามาเป็น Blogger ผมก็ยังเหนียมๆ เพราะผมมาจากขุนเขาที่ล้าหลัง สกปรก มีแต่กลิ่นโคลนสาบควาย ดงหลวงที่ไม่มีใครรู้จัก แต่เมื่อผมเริ่มบันทึกเรื่องราวจากดงหลวงมากขึ้นก็มีเพื่อนมากขึ้น และผมก็ก้าวออกไปเยี่ยมเยือนบันทึกของท่านอื่นๆ โลกผมกว้างขวางอย่างที่ไม่คาดคิดมาก่อน

ผมตระหนักดีว่าเรื่องราวที่ผมบันทึกนั้นเป็นเรื่องเฉพาะชุมชนชนบท ซึ่งเป็นเพียงเสี้ยวส่วนของเรื่องราวทั้งหมดที่ปรากฏบน blog ผมทราบดีว่าเรื่องราวของบันทึกผมนั้นจำกัดผู้สนใจอยู่ในวงแคบๆเท่านั้น

แต่ความเป็นจริงไม่ใช่เพียงรอให้ใครต่อใครเข้ามาเยี่ยมเยือนเรา แต่การเข้าไปเยี่ยมเยือนท่านอื่นๆต่างหากที่ช่วยเปิดโลกกว้างมากขึ้น แล้วผมก็ใช้เวลาท่องไปในโลกกว้างนั้น ทั้งที่ปรากฏตัวตนและท่องไปแบบเงียบๆ

และในที่สุดผมก็พบปราชญ์แห่งอีสาน ที่ใครๆก็ต้องแวะเวียนเข้ามาเยี่ยมเยือน ผมก็เป็นคนหนึ่งที่ติดบันทึกของท่านผู้นี้งอมแงม โดยเฉพาะสาระที่สอดคล้องกับสิ่งที่ผมสนใจ สำบัดสำนวนที่โดนใจ ลูกเล่นลูกฮา เพียบ ทำให้สาระที่แข็งกลับกลายเป็นมีเสน่ห์อย่างที่ยากผมจะทำตามได้

ท่านคือครูบาสุทธินันท์ที่ผมแอบศรัทธาท่านจนผมทนหัวใจเรียกร้องไม่ไหวต้องก้าวเข้าไปสัมผัสกลุ่มผู้เป็นกัลยาณมิตรที่สวนป่า ที่นั่นผมรู้จักเพื่อนตัวเป็นๆมากมายมากันทั่วสารทิศ ผมซึ้งความเป็นผู้ใหญ่ของพ่อครูบาฯ ครอบครัวของท่าน ผมประทับใจเพื่อนทุกคนที่ต่างก็หอบหัวใจมากองไว้ที่นั่น …..

ที่นั่นผมรู้จักเพื่อนๆมากกว่าเพียงพบกันใน blog และการพบกันแบบเป็นๆนี่เองก็เป็นจุดเริ่มต้นของกิจกรรมต่างๆที่เราเริ่มคิดอ่านทำร่วมกัน…และจะพัฒนาต่อไป..

แล้วคำว่าเฮฮาศาสตร์ก็เป็นที่รู้จักกันมากขึ้น ในวงการ Blog โดยพ่อครูบาเป็นเสาหลักร่วมกับผู้หลักผู้ใหญ่อีกหลายท่าน รูปแบบของกลุ่ม blogger กลุ่มนี้ก็มีการตั้งคำถามจากคนนอกและแม้คนในด้วยกันเองว่าคืออะไร เพื่ออะไร จะไปทางไหน…. ซึ่งเรามักคุยกันว่าคำถามนั้นไม่มีคำตอบต้องเข้ามาสัมผัสเอง

เฮฮาศาสตร์กลายเป็นเวทีรวมตัวและหัวใจที่สร้างเรื่องทึ่งๆให้เกิดขึ้นมากมาย การเข้าร่วมที่มาจากเหนือสุด ใต้สุด ต่างหอบหัวใจมามอบให้แก่กันอย่างที่ไม่พบเห็นในสังคมนี้มากนัก การร่วมมือ การอาสา การให้ซึ่งกันและกันเกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า….

ผมไม่อาจกล่าวว่านี่คือสวรรค์ แต่ไม่ใช่นรกแน่นอน

ผมไม่อาจกล่าวว่านี่คืออุดมการณ์สูงสุด แต่นี่คือความสุขและสาระที่หาได้อย่างจริงใจ

ผมไม่อาจกล่าวว่านี่คือที่สิ้นสุด แต่นี่เป็นเพียงเริ่มต้น

ผมไม่เชื่อว่าอุปสรรคจะมาพรากเรา ตรงข้ามผมเชื่อมั่นว่านั่นคือโอกาส

ผมจึงกล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มหัวใจว่าเฮฮาศาสตร์ไม่ได้ก่อตัวเพียงเพื่อวันนี้ แต่เพื่อวันข้างหน้า และอนาคตด้วย

ผมเชื่อมั่นว่าเราจะจับมือร่วมกัน…

ปัญหา อุปสรรค เป็นเพียงก้อนกรวดที่เราต้องช่วยกันเก็บกวาดและก้าวผ่านไปบนเส้นทางที่ยาวไกลโน้น…


เขียนถึงคุณหมอจอมป่วน

261 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 18 เมษายน 2009 เวลา 1:25 ในหมวดหมู่ เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 17781

คุณหมอจอมป่วน

นายแพทย์สำเริง แหยงกะโทก มักเรียกกันว่าหมอแหยง (ไม่ใช่หมอเหวงนะครับ) ท่านเคยเติบโตในกระทรวงสาธารณะสุขแต่แล้วขอกลับบ้านเกิดที่โคราช ทราบว่าปัจจุบันเป็นนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา เรารู้จักตั้งแต่สมัยที่ท่านเป็นกำลังสำคัญของโครงการ “โคราชพัฒนา” เมื่อประมาณ 20 ปีที่แล้ว อันเป็นจุดเริ่มต้นของ ระบบ จปฐ. และอื่นๆตามมา

วันหนึ่งนานมาแล้วทราบว่า หมอแหยงอุ้มลูกไปหาหมอ เพราะลูกไม่สบาย….??? ผมเป็นงง ก็แหยงเป็นหมอแล้วอุ้มลูกไปหาหมอหมายความว่าไง….

ต่อมาก็เข้าใจดีว่า หมอแหยงก้าวเข้ามาทำงานด้านการพัฒนา การบริหารงาน มากมาย ได้สร้างความถนัดใหม่ของตนเองทางด้านการพัฒนาสังคมแล้ว….

คุณหมอจอมป่วนก็น่าอยู่ในลักษณะเดียวกัน……

จากประวัติคุณหมอเป็นคนเรียนเก่ง ตั้งใจเรียนอะไรก็ได้หมด

เป็นพวก Advantage …จอมป่วนเป็นคนลุย ตั้งใจทำอะไรแล้วลุยเลย เช่น อยากรู้จักพ่อครูบาฯ ก็ชวนแม่นุขับรถมาสตึกเลย อยากรู้เรื่อง จิตวิวัฒน์ ก็ขับรถลุยไปถึงเชียงรายทันที เพื่อพูดคุยกับวิศิษฐ์ วังวิญญู และไปมากกว่า 1 ครั้ง ผมสงสัยว่าตอนจีบแม่นุนั้น คงจะลุยเหมือนกระทิงเปลี่ยว อิอิ.. ท่านที่มีบุคลิกแบบนี้มักเป็นคนมีแรงขับภายในสูง มีสมาธิสูงในการเรียนรู้อะไรต่อมิอะไร เป็นคนที่มีความตั้งใจสูง จะไม่รีรอหากต้องการทำอะไรที่ค้างคาใจแล้วจะต้องลุยให้เห็นดำเห็นแดงไปเลย ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่ดี

ชื่นชมความตั้งใจและความพยายามของคุณหมอ เป็นนักบริหารที่เน้นความสามารถในการปฏิบัติควบคู่ไปด้วย ที่แตกต่างจากนักบริหารอื่นๆที่มักมีแต่พูด พูด พูด..แต่คุณหมอจอมป่วน พูดแล้วทำ เป็นคุณสมบัติที่หายากสำหรับคนที่มีฐานะ ตำแหน่งหน้าที่การงานสูงแบบนั้น การพยายามเรียนรู้สิ่งที่จะนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่หน้าที่การงาน การพัฒนาคน พัฒนาสังคม คุณหมอจะทำ และไม่ได้ทำเพียงตัวคนเดียว คุณหมอสร้างทีมงานให้แกร่ง ด้วยความสามารถด้วย เป็นแบบอย่างที่ดียิ่ง ต่อผู้ร่วมงานและผู้สนใจอื่นๆ

คุณสมบัติพิเศษอีกประการของคุณหมอจอมป่วนคือ การเป็นผู้ที่มีสุนทรีย์อารมณ์ ดูแค่ชื่อ “จอมป่วน” ก็บ่งบอกแล้วว่าท่านเป็นคนรื่นเริง สร้างบรรยากาศระหว่างกันให้เปิด เป็นเชิงบวก และมีทัศนะแบบ Lateral thinking การเปิดบรรยากาศระหว่างกัน หากกระทำได้แล้ว อะไรอะไรก็ตามมามากมาย กล่าวกันตรงๆก็คือ การสร้างความสนิทสนม เป็นกันเองนั้น คู่สนทนาก็ยินดีแลกเปลี่ยน ตอบสนอง ร่วมมือ ในสิ่งต่างๆได้อย่างเต็มใจ ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่หายากเช่นกัน

เป็นคนชอบ กีฬา หลายประเภท จนทำให้น้ำหนักลดลงนับสิบกิโลกรัม นี่เป็นอีกตัวอย่างของการเป็นนักปฏิบัติควบคู่ไปกับเป็นนักบริหารองค์กรที่มีความสำคัญต่อการพัฒนาบ้านเมือง ในทัศนะผมคิดว่าการเป็นนักกีฬาทำให้จอมป่วนมีสุขภาพกายและสุขภาพใจดีเยี่ยม มีเพื่อนมากมายทุกวัยทุกเพศ ทุกอาชีพ นับเป็นแบบอย่างของคนทั่วไปในการครองกายในวิถีสมัยปัจจุบัน

ผมประทับใจจอมป่วนที่มีครอบครัวที่น่ารักมาก ยิ่งประทับใจที่ทราบว่าจอบป่วนสนใจธรรมะและปฏิบัติธรรม ซึ่งคนที่เป็นนักบริหาร นักปฏิบัติ นักกีฬา และหลายๆนักนั้นให้เวลากับชีวิตทางด้านธรรมะด้วย แสดงว่าเส้นทางเดินของคุณหมอพบอะไรที่สะกิดใจในเรื่องนี้เข้า ซึ่งเป็นเรื่องที่ประเสริฐโดยแท้ที่บุคลากรที่มีคุณค่าเช่นจอบป่วนจะทำงานสารพัดให้ประโยชน์แก่สังคมโดยไม่ได้ทิ้งหลักสำคัญของแก่นกลางของการอยู่ร่วมกันของสังคม และการดำรงชีวิตของมนุษย์นั่นคือธรรมะ..


AM….

377 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 26 มกราคม 2009 เวลา 2:11 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 5654

เวลาท่านขับรถเดินทางคนเดียวท่านทำอะไร?

เปิดเทปฟังเพลงโปรดซิ บางท่านคงจะบอกเช่นนี้…

ผมก็ทำครับ อาศัยเทคโนโลยีทางเสียงฟังเพลงสารพัดประเภท ชนิด..

บางครั้งก็ซื้อเทปวิชาการต่างๆมาฟัง ที่นักธุรกิจ เอาวิชาการยัดใส่กล่อง ขาย.. ส่วนมากก็เป็นความรู้ทางการบริหารจัดการองค์กรทางธุรกิจ หรือเรื่องราวต่างๆทางการพัฒนาระบบธุรกิจ บางท่านธรรมะ ธรรมโม ก็เอาเทปพระอาจารย์ต่างๆมาฟังกัน…

ผมฟังเพลงทุกประเภทตั้งแต่ลูกทุ่งยันคลาสสิค และเพลงเพื่อชีวิต แต่ที่เพลงวัยรุ่นมักไม่ค่อยเข้าหู… ตรงข้ามออกจะหนวกหูเอาซะด้วย

มาช่วงหลังนี้ เดินทางโดยการขับรถคนเดียวนั้นผมจะหันไปเปิดวิทยุ AM ซึ่งเกือบลืมไปแล้วว่ามันมีวิทยุ AM อยู่ในโลกนี้ด้วย บางท่านอาจจะลืมไปจริงๆก็ได้ โดยเฉพาะเด็กรุ่นใหม่ที่มีแต่แสวงหาสิ่งที่ทันสมัยที่สุดเข้ามาบริโภค ซึ่งเข้าทางนักประกอบการธุรกิจ

ผมลองเปิดวิทยุ AM พบว่าที่อีสานนั้นส่วนใหญ่ก็จะเป็นวิทยุ FM ส่วน AM นั้นมีน้อยกว่ากันหลายเท่าตัว รายการก็เป็นเพลงพื้นบ้านผสมการโฆษณาสินค้าอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งนักธุรกิจเขาคงทำการศึกษาตลาดมาก่อนแล้วว่า ใครคือกลุ่มคนที่ฟัง AM

เปิดวิทยุ AM ฟังไปฟังมา ผมชอบหลายรายการทั้งในภาคกลางวันและกลางคืน

มีรายการเพลงลูกทุ่งรายการหนึ่งของสถานีวิทยุที่ขอนแก่น ผู้ดำเนินการพูดภาษาถิ่นอย่างรื่นไหลและมีลูกเล่นแพรวพราว มีแฟนรายการมากมายโทรมาไม่ขาดสาย แต่ที่แปลกที่สุด (ในโลก) ที่แฟนเพลง Phone in เข้ามานั้นเป็นสตรีและมีอายุเกือบทั้งสิ้น ผมสังเกตคำต่างๆที่ผู้ดำเนินรายการใช้ และสาระที่พูดคุยกัน มีการชัดชวนกันไปทำบุญร่วมกันตามฮีตคองของท้องถิ่น และที่ผมประทับใจคือรายการนี้จะคัดเพลงเปิดเฉพาะ ไม่ใช่ตามใจผู้โทรศัพท์มาขอฟัง อย่างนี้ละมั๊งที่ผมจึงไม่ได้ยินเสียงวัยรุ่นเลย

รายการนี้ไม่เอาเพลงที่ยั่วยุกามรมณ์เปิด หรือประเภทสองแง่สองง่าม หรือส่อไปในทางที่จะสร้างค่านิยมใหม่ให้ผิดศีลผิดธรรม….ผู้ดำเนินรายการกล่าวว่า รายการนี้ขอปฏิบัติเช่นนี้ เขาบอกว่ารับไม่ได้กับเนื้อหาเพลงที่เป็นแนวนั้น ตรงข้ามจะคัดเพลงเก่าๆ ออกจะโบราณ ที่มีสาระ คติ และแนะนำให้สร้างสิ่งดีดี โดยเฉพาะหลักการดำรงชีวิตที่ดีร่วมกัน ซึ่งสาระแบบนี้เพลงสมัยใหม่ไม่ค่อยมี มิน่าเล่าจึงมีแม่ยกติดกันจมเลย…

อีกรายการที่ผมชอบมากๆ เป็นเวลากลางคืน ดูเหมือนจะเป็นของโรงพยาบาลอภัยภูเบศที่ปราจีนบุรี ผู้ดำเนินรายการจะคุยกับคุณหมอที่มีตำแหน่งสูงทางการบริหาร และเปิด Phone in ให้แก่ผู้ฟังทั่วประเทศ ซึ่งก็มีผู้โทรเข้าไปมากมาย ต่างเล่าอาการเจ็บป่วยและต้องการคำแนะนำเบื้องต้นจากคุณหมอแบบสดๆ

ผมเรียนรู้ไปด้วย หลายเรื่องก็ตรงกับปรากฏการณ์ทางร่างกายที่ผมเผชิญอยู่ บางอย่างก็ใกล้เคียง แต่ทั้งหมดนั้นคุณหมอจะแนะนำเรื่องสมุนไพรพื้นบ้านก่อนที่จะเข้าหายาแผนตะวันตก คุณหมอพูดถึงความเสี่ยงต่างๆในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันที่แตกต่างจากสังคมโบราณ และคนโบราณดูแล รักษาสุขภาพกันอย่างไร เป็นความรู้ที่ง่าย เข้าใจง่าย ทุกคนสามารถนำไปใช้ได้..ดีจังเลย..

รายการธรรมะ โดยพระอาจารย์หลายสำนักจะออกอากาศทั้งสดทั้งเทป ท่านได้เอาข้อมูลทางธรรมะมาอธิบายง่ายๆให้ผู้ฟังได้ฟังเป็นการเตือนสติ ให้ปุถุชนอย่าได้ตั้งอยู่บนความประมาท โดยเฉพาะพระบางองค์ มีลูกเล่นยิ่งกว่าพระพยอมในสมัยแรกๆอีก ทางเหนืออาจจะเรียก ตุ๊จกที่ไปเทศน์ที่ไหน ผู้เฒ่าผู้แก่หิ้วเชี่ยนหมากไปนั่งฟังกันยังกะไปดูลำตัด หัวเราะกันฉี่แตกก็เคยพบมาแล้ว….

อีกหลายรายการครับที่ดีดี..หากท่านอยากเปลี่ยนแปลงบรรยากาศการเดินทาง ท่านลองหมุนคลื่นวิทยุ AM บ้างซิครับ

ท่านอาจจะกลายเป็นแฟนคลับไปเลยก็ได้ อิอิ.



Main: 1.9677278995514 sec
Sidebar: 0.68125295639038 sec