อุ่นเครื่องเมืองหงสา 4
อ่าน: 3726หนึ่ง..
เมื่อต้องจัดฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ใหม่ด้านพัฒนาชนบท แม้แต่ได้รับเชิญไปฝึกอบรมวิศวกรหรือผู้ที่มีพื้นฐานวิชาชีพด้านอื่นๆก็เช่นกัน ผมมักใช้เครื่องมือทดสอบความคิดรวบยอดชิ้นหนึ่งครับ..
โดยตั้งโจทย์ว่า … ให้ทุกท่านเอากระดาษ A4 เอาปากกาหรือดินสอมา แล้วให้ลองใช้เวลาสัก 5 นาที ทบทวนเรื่องราวของชนบทที่ท่านรู้จัก แล้ววาดภาพชนบทเท่าที่ท่านรู้จักออกมาให้ละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อหมดเวลาให้ทุกคนจับกลุ่ม 5 คน เอารูปที่วาดนั้นมาดูร่วมกัน ซึ่งจะพบว่าคนนั้นมีสิ่งนั้นไม่มีสิ่งนี้ คนนี้มีสิ่งนี้ไม่มีสิ่งนั้น แล้วให้ทั้ง 5 คนวาดใหม่ โดยให้มีองค์ประกอบรวมทั้งหมด ..ให้เวลา 5 นาที เอาภาพที่ได้จากกลุ่มมาติดบนกระดาน ให้ตัวแทนมาบรรยายภาพที่มีองค์ประกอบแทนเรื่องราวชนบทมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ให้ทุกคนทราบ
สิ่งที่พบมากที่สุดคือ ภาพนั้นมักจะมีภูเขาสองลูก มีดวงอาทิตย์ มีนกบินสองสามตัว มีต้นไม้ มีกระต๊อบ มีลำธาร มีทุ่งนา มีวัว ควาย เป็ด ไก่ …. แต่ส่วนใหญ่ไม่มี วัด พระ ภาพประเพณีต่างๆ…. สรุปแล้วมักจะได้ภาพชนบทที่เป็นลักษณะทางกายภาพเสียส่วนใหญ่ ส่วนลักษณะชนบทที่เป็นตัวแทนวัฒนธรรม ประเพณี และเรื่องราวที่คนในสังคมมีต่อกันนั้น มักไม่มีรวมอยู่ในภาพเหล่านั้น
สอง..
หลายครั้งที่ต้องเดินทางไปตามเมืองใหญ่ แม้กรุงเทพฯ จะพักตามโรงแรมระดับกลางๆ บางครั้งที่มีโอกาสพักระดับ 5 ดาว สุดเริด… วุ้ย..ค่าเช่าต่อคืนนั้นมากกว่าเงินเดือนของคนในสำนักงานบางตำแหน่งอีก ???? ทุกอย่างในโรงแรมต้องเยี่ยมไปหมด ราคาทุกอย่างต่อรองไม่ได้ ต้องเป็นไปตามกฎที่ทางโรงแรมออกมา กำหนดขึ้นใช้กับผู้มาพักทุกคน.. แม้โรงแรม 4 ดาว 3 ดาวก็เถอะ น้ำขวดที่อยู่ในตู้เย็นนั้นหากเผลอไปดื่มเข้าละก็ บางทีคุณต้องจ่ายเป็นราคาแพงสองถึงสามเท่าราคาจริง.. เวลาเช็คบิลล์ แม้แต่เศษสตางค์ก็ต้องเป็นไปตามนั้น ไม่มีลดหย่อนผ่อนคลาย.. มันแพงฉิบ.. โรงแรมบางแห่งสภาพห้องก็อย่างงั้นๆ แต่ราคา 1,200-1,500 บาท จะเล่น internetซะหน่อยก็คิดเงิน จะกินกาแฟก็คิดเงิน …. พนักงานยกมือไหว้ พูดจายิ้มแย้มแจ่มใส แต่บาทเดียวก็ไม่ลดราคา เป็นเมืองสำหรับผู้มีเงินจริงๆ… นี่ถ้าพักสามวันห้าวันหมดตูดแน่ๆเลย..
สาม…
เมื่อผมเดินทางถึงเมืองหงสา น้องพาไปพักที่ วิลลา สีสุพัน ของเอื้อย สีสุพัน (ศรีสุพรรณ) สาวใหญ่ หน้าตายิ้มแย้ม พูดจาไพเราะ บอกให้ไปพักห้องเบอร์ 01 และ 02 ซึ่งเป็นห้องที่มีทีวี พัดลม แอร์ฯ โต๊ะแต่งตัว ห้องน้ำในตัว โต๊ะทำงานเล็กๆ..เตียงนอนเดี่ยวใหญ่โตเพียงพอสำหรับสองคนนอน สองห้องนี้ ดีที่สุด ห้องอื่นๆเป็นพัดลม ไม่มีทีวี ไม่มีแอร์ฯ
ทุกเช้า เอื้อยจะถามว่าจะทานอะไร ก็จะจัดให้ ยกเว้นไม่มีจริงๆก็บอก และทุกครั้งที่ทานอาหารไม่ว่ามื้อไหนๆ ก็จะมีกล้วยหวีงามมาวางไว้ให้หยิบกินได้โดยไม่คิดเงิน อาหารมื้อเย็นซึ่งเป็นมื้อใหญ่ เอื้อยจะจัดรายการให้เรียบร้อย ยกเว้นว่าจะอยากกินอะไรก็สั่งเป็นพิเศษ
วันหนึ่งเรานั่งทานมื้อเช้า ผมสั่งกาแฟลาวผสมโสม กลิ่นแปลกๆ รสก็ไม่เข้มข้นตามที่ผมชอบ แต่ก็คิดว่ามาเมืองลาวก็ต้องลองชิมของเขาดู…
เอื้อยมีลูกกี่คน อยู่ที่ไหน ทำไมไม่เห็นมาช่วยเอื้อยเลย…ผมยิงคำถาม..
มีลูก สามคน..คนโตมีครอบครัวอยู่เวียงจัน คนรองเรียนหนังสือที่เมืองหลวงพระบาง คนสุดท้องทำกิจการอยู่โน่นไง เอื้อยชี้มือไปที่ร้านไกลๆโน้น.. เลิกกะสามีนานแล้วตั้งแต่ลูกยังเล็กๆ หาเงินเลี้ยงลูกมาแสนยาก หาบของขายก็เอา…เอื้อยพูดไปน้ำตาผู้เป็นภรรยาของสามีที่เลิกกันไปก็หลั่งออกมา… เรารักเขาอยู่ แต่เขาไปมีคนใหม่ ก็อยู่หมู่บ้านใกล้ๆนี่แหละ กว่าจะมาถึงวันนี้ ตรงนี้ ยากลำบากแสนเข็ญ แต่ก็กัดฟันสู้มา ผู้หญิงอย่างฉันทำทุกอย่างได้… บ้านที่เวียงจันก็มี เวลาอดีตสามีไปเวียงจันฉันให้เขาไปพัก หากฉันอยู่ฉันก็หลบไปพักบ้านเพื่อน ให้เขาพักกับภรรยาใหม่ของเขา เขาเจ็บไข้ได้ป่วย ฉันก็ยังดูแลเขา เพราะเขาไม่มีเงินทองรักษาตัวเองในบางครั้ง..
เมืองไทยนั้นฉันไปมาหมดทุกที่ทุกแห่ง ฉันเป็นตัวแทนของเมืองหงสาเอาผลิตภัณฑ์พื้นบ้านไปขาย ไปแสดงในนามของรัฐบาลลาว ส่วนใหญ่ก็เป็นผ้าพื้นบ้าน
บ้านหลังนี้ฉันทำเป็นเฮือนพัก ออกแบบเอง ผู้หญิงอย่างฉันออกแบบเอง ไม่ได้ฉากได้มุมหรอกเพราะฉันไม่มีความรู้.. แม้เธอจะพูดไป น้ำตาหยดไป ใบหน้าเธอก็ยิ้ม ยิ้มสู้ชีวิตจริงๆ……
เย็นวันนั้น เรากินข้าวกับน้ำพริกผักสด ผักลวก ไข่เจียวนุ่มๆจานใหญ่ ต้มยำแซบ…น้องที่ไปร่วมงานเธอเอ่ยกับเอื้อยว่า ช่วยคิดค่าใช้จ่ายทั้งหมดตั้งแต่วันที่มาด้วย..เราพบว่า ราคาค่าห้องเดิมนั้นราคา 250 บาท แต่เมื่อติดแอร์ มีทีวี ขอขยับขึ้นเป็น 350 บาท แต่ทางหน่วยงานผมมีคนมาพักบ่อยยัง advance เงินมาให้ในราคาเดิม ..เมื่อเธอทราบ เธอก็ลดราคาให้เท่าเดิม… อาหารที่กินทุกมื้อจนพุงกาง เป็นเวลา 3-4 วันนั้น ไม่ถึงพันบาท
คนงานในครัวและคนทำความสะอาดห้องทั้งหมดนั้น เป็นสาวชาวบ้านที่เรียก แม่ฮ้าง (สามีทิ้ง)ทั้งนั้น มาทำงานกับเอื้อย สีสุพัน และทุกคนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส
เช้าวันถัดมา เอื้อยเล่าให้ฟังว่า… อาจารย์ขึ้นไปนอนแล้ว ฉันได้ยินคนคุยกันที่เรือนไม้ท่ารถไปไชยบุรีนั่น ฉันสงสัยว่าใครมาทำอะไรที่นั่น ผิดปกติ กลางคืนจะไม่มีใครมานั่งคุยแบบนั้น จึงเดินไปดู พบ 2-3 คน คนป่วยผู้เป็นแม่ เอากลับมาจาก อ.เฉลิมพระเกียรติฝั่งไทย หมอบอกว่ารักษาไม่หายแล้วให้กลับบ้านเถอะ (เธอเป็นโรคร้าย) แต่รถมาถึงค่ำ บ้านอยู่บนดอยไกลโน้นกลับไม่ทันแล้ววันนี้ เลยจะพักที่เรือนไม้ท่ารถนี้ เอื้อยบอกผมต่อไปว่า 3 แม่ลูกไม่มีอะไรติดตัวมาเลย มุ้งก็ไม่มี ผ้าห่มก็ไม่มี … เธอจึงเชิญให้ขึ้นไปนอนในโรงแรมของเธอ โดยไม่คิดเงิน 3 แม่ลูกขอบใจ แต่ไม่ไปนอนหรอก รบกวน.. เอื้อยจึงมาเอาน้ำอาหารไปให้ เอามุ้ง ผ้าห่มไปให้ ….
ผมฟังเอื้อยเล่าให้ฟังแล้ว…คิดในใจว่า เอื้อยสีสุพันท่านนี้น้ำใจเธอ จิตใจเธอ เหลือล้นจริงๆ แม้ว่าในเมืองหงสานี้ เธอจะเป็นคนหนึ่งที่ปัจจุบันมีฐานะระดับนำคนหนึ่งในเมืองนี้เพราะมีกิจการที่มั่นคงและเจริญก้าวหน้า แต่เธอช่างแตกต่างจากคนในเมืองใหญ่ที่อื่นเสียจริงๆ
คิดว่าเรื่องราวทำนองนี้พบมากมายในชนบท แต่รายละเอียดเหล่านี้ไม่ได้ถูกวาดจำลองใส่ไปในภาพของ..เรื่องที่หนึ่ง และจะไม่พบสาระความงามของชีวิตแบบนี้ที่โรงแรมระดับ 5 ดาวที่โอ่โถงและแพงลิบนั่น..ในเรื่องที่สอง แต่เรื่องราวที่สามนั้นพบ
“นี่ไงชนบท”…ที่ผมรัก คุณก็ด้วยใช่ไหม..