เหตุเกิดจากคนหัวใส

2 ความคิดเห็น โดย Tak (ตาก) เมื่อ 12 มีนาคม 2012 เวลา 9:56 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #

ตอนเรายังเป็นอยู่มหาลัยปี๑ ปี๒ ยังไม่มีคำว่าวิชาชีพขาดแคลน ไม่มีอาจารย์สมองไหลเข้า มีแต่ไหลออก การเข้ารับราชการต้องสอบเข้า ตำแหน่งใน กพ.มี ๓oo แต่มีคนสอบ ๒o คน ไม่มีเงินค่าวิชาชีพ พวกรุ่นพี่มักทำงานรับใช้ต่างชาติคือเป็นลูกจ้างฝร้่งบ้าง ญี่ปุ่นบ้างบางคนเจริญก้าวหน้าขนาดเป็น เอ็มดี ของบริษัทข้ามชาติ  เพราะเป็นบริษัทมหาชน

เราถามอาจารย์พิเศษที่มาสอนจาก สนง.อาหารและยา ว่า ทำไมเราต้องสอบ เข้ารับราชการด้วย ในเมื่อท่านต้องรับหมดอยู่แล้ว  แม้ว่าพวกเราจะเฮละโลกันไปสมัครทุกมหาลัย ทั่วประเทศก็ยังมีตำแหน่งเหลืออยู่ดี

ท่านตอบว่า ‘คุณรู้ไหมว่า ข้อสอบถามว่า ยา ASA  ย่อมาจากอะไร มีคนไม่สามารถเติมคำตอบในช่องว่างนั้น’

เราก็เลยมาคิดดูเล่นๆ

อนึ่ง ท่านไม่ได้ตอบคำถามเราเกี่ยวกับปัญหาการขาดแคลนของประชากรในวิชาชีพ

อสอง ท่านให้ข้อคิดว่าพวกเราฉลาดน้อยจิงๆ หรือ ตกประหม่า จึงตอบไม่ได้

อสาม พวกเราอาจจงใจตอบผิด เพราะถือว่า ท่านปรามาสภูมิปันยาแห่งเราต่ำเกินไป แฮะ แฮะ

ตำนานเรื่องนี้มีอยู่ว่า

ASA เป็นตัวย่อของ ยาแอสไพริน ชื่อเต็มๆว่า Acetyl Salicylic Acid เป็นยาแก้ปวด ลดไข้ ทีนี้เห็นหรือยังว่าพวกเราน่ะจงใจ ไม่ตอบ หรือแกล้งตอบผิด กิ้วๆ

สรรพคุณ ของแอสไพริน นั้น ในความเห็นของเราแก้ปวดและลดไข้ได้ดีกว่าพาราเซตามอล แต่ด้วยความที่แอสไพรินมีสภาพทางเคมีเป็นกรด ทำให้มีขอจำกัดในกรณีไข้เลือดออก เพราะเป็นยาสามัญประจำบ้านด้วยและบ้านเราเป็นเมืองร้อน มียุงชุมอยู่แล้ว เราอาจเอาให้เด็กกิน จนเป็นอันตราย กว่าจะถึงโรงพยาบาล มีไข้มาแล้ว ๕ วัน กลายเป็นเรื่องยากจะเยียวยา

อย่างไรก็ตามแอสไพริน สามารถละลายน้ำได้ดี จึงมักไม่ตกค้างในตัวเรา ขับออกทางฉี่ได้ง่าย ต่างจากพาราเซตามอลสะสมนานกว่ามีผลต่อเครื่องในพวกตับไตและเซ่งจี๊ของเรามากกว่า

อวสานของแอสไพริน ไม่ได้มาจาก เภสัชวิทยา pharmacology และพิษวิทยา Toxicology หรอกค่ะ แต่มาจากปัญหา pharmaco-marketology ศัพท์นี้เราบัญญัติขึ้นมาเอง อย่าได้ถือสา

พวกเราบางคนหัวใสมากๆได้นำเอาแอสไพริน ไปรวมกับ กาแฟ ทำให้กินแล้วหายปวดเมื่อย และมีแฮงทำงาน และรสชาดอร่อย มีทั้งแบบหวานและแบบเปรี้ยว คนกินเขาว่างั้น บริษัทยาฝรั่งที่ว่าเจ๋งๆยังคิดสูตรนี้ไม่ได้เลย

แต่เรามองสองด้าน กาแฟ ช่วยให้คึกคักมีแรงทำงานก็จริงอยู่ แต่อย่าลืมว่ากาแฟเพิ่มการไหลเวียนโลหิต ฉะนั้นแล้วอาการปวดศรีษะไมเกรน ก็ลดลงด้วย รวมถึงฤทธิ์แก้ปวดของแอสไพรินไปด้วยก็ช่วยสงบอาการไปตั้งเยอะ

และคนหัวใสเหล่านี้ได้เล็งเห็นว่า ตลาดยาแก้ปวดลดไข้สูตรนี้ควรตั้งราคาไว้ถูกมากๆ  เพื่อเจาะตลาดคนจนที่ทำงานหนักจนปวดเมื่อยเนื้อตัว ต้องขายราคาถูกๆ กินเองสะดวกหาซื้อได้ใกล้บ้าน  บางคนทำงานกลางแดดนานๆ มีไข้แบบ sun-stroke หรือที่ผู้เฒ่าผู้แก่เรียกว่าไข้แดด คือไม่ติดเชื้อโรคอะไรหรอก กินยาแอสไพรินสูตรผสมกาแฟนี่ก็หาย

หลังจากใช้กันในกลุ่มชนขนาดใหญ่มากๆไปนานเข้า โดยไม่มีอาหารรองท้อง ขาดสุขศึกษานั่นเอง ผลก็คือโรคแผลในกระเพาะมีอุบัติการณ์มาก รายงานผล ADR (adverse drug reaction) มีมากๆเข้า อย.ก็..ทิพอาสน์เคยอ่อนแต่ก่อนมา กลับกระด้างดังศิลาประหลาดใจ…ต้องมาทบทวน เพิกถอนทะเบียนยาสูตรนี้กัน

บทสรุปของพวกหัวใสก็ต้องไสหัวไปทำตลาด เครื่องดื่มชูกำลังจนรวยไปตามๆกัน .. เชอะ

ปัจจุบัน ยาเม็ดจิ๋ว ที่เคยเรียกกันว่าเบบี้แอสไพรินนั้น (แอสไพรินเปล่าๆขนาดต่ำๆ) ใช้รักษาโรคหัวใจในผู้ใหญ่ แต่ต้องเป็นโรคหัวใจที่ไม่เกิดจากสาเหตุอกหัก อยากรู้ใช่ม้า…เราจะอุบไว้ก่อน  ให้ไปถามหมอเจ๊เอาเอง


ยากล้วยๆ

61 ความคิดเห็น โดย Tak (ตาก) เมื่อ 10 มีนาคม 2012 เวลา 10:43 (เย็น) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #

ได้รับของฝากจากอียิปต์เป็นรูปพระนางนาเฟอร์ติติ พิมพ์บนกระดาษปาปิรุส คล้ายๆกระดาสาบ้านเรานั่นแหละ คนนำมาฝากบอกว่าราคาไม่ถึง 20 บาท ตอนซื้อคนขายกระซิบว่าเนี้ยะเป็นของที่ทำจากต้นปอปาปิรุสแท้ๆนะ ของปลอมน่ะมีเยอะทำจากต้นกล้วย ที่กระซิบก็เพื่อจะโก่งราคาเล็กน้อยว่าเทคนิคทำกระดาษนี้ สี่พันปีมาแล้วนั่นเอง http://th.wikipedia.org/wiki/Papyrus

เราก็ขอบคุณคนนำมาฝากแล้วก็อดคิดในใจออกมาดังๆว่า ของแท้แน่นอน เพราะถ้าปลอมมาจากต้นกล้วยน่าจะแพงกว่านี้เพราะว่ากว่าที่อียิปต์จะอิมพอร์ตต้นกล้วยจากไทย อินโดนีเซีย หรืออเมริกาใต้ไปเพื่อปลอมเจ้าของที่ระลึกชิ้นคงจะใช้ต้นทุนที่สูงกว่าแน่นอน

ว่าเรื่องกล้วยดีกว่า

กล้วยเป็นญาติกับพืชพวกต้นหญ้าและต้นข้าวเพราะเป็นพวกใบเลี้ยงเดี่ยวเหมือนกัน แต่ว่า ๑ ผลของต้นข้าวนั้นเล็กมาก ส่วน ๑ ผลต้นกล้วยนั้นใหญ่พอเกือบอิ่ม ผลกล้วยดิบรักษาแผลในกระเพาะอาหารได้ดี ทำง่ายๆด้วยการ นำมาฝาน(แปลว่าหั่นบางๆ)แล้วตากแห้ง จากนั้นก็บดให้ละเอียด ตักกินเลยก็ได้ แต่ไม่ค่อยอร่อย เราไม่แนะนำหรอกเดี๋ยวจะเข็ดกันหมด บางคนก็เอาไปปรุงรสซะหน่อยแล้วมาชงดื่มก็ดีนะ จะให้ดูทันสมัยต้องนำมาบรรจุแคปซูลสีสวยๆ จะทำให้ดูพื้นบ้านเก๋ๆก็ใส่น้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอนเอาไว้กินเองก็ไม่เลว

กลไกการทำงานของยา (machanism of action) ก็คือ tannin ของกล้วยดิบยังไม่สลายตัวจึงช่วยเกาะผนังกระเพาะอาหารไว้ กระเพาะก็จะหลั่งสาร mucin มาเคลือบแผลของตัวเอง แล้วคนเป็นแผลก็จะไม่แสบท้อง แผลก็จะค่อยๆ heal ไปเอง

ต่างจากยาอื่นๆคือ

พวกแรก ยาลดกรด ก็คือด่างนั่นเอง ทฤษฎีที่ว่าเป็นโรคกระเพาะ เพราะว่ามีกรดเกินก็เลยกินด่างเข้าไป อันนี้ก็ถูก เช่นยาน้ำลดกรดในกระเพาะอาหารทั้งหลายรวมทั้งยาเม็ดเคี้ยวลดกรดและลดกรดในกระเพาะที่พัฒนาตัวให้เม็ดเล็กลงและกลืนได้เลยก็มี ผลข้างเคียงก็คือ ร่างกายเราเกิดฉลาดเกินไป พอรู้ว่ามีด่างลงไปในท้องบ่อยๆเข้า ก็เลยผลิตกรดมาเพิ่มอีกเรื่อยอันนี้เรียกว่า acid rebound คือแสบท้องมากขึ้นเรื่อย  อันที่จริงแล้ว ถ้าเรากินยาพวกนี้ตามอาการไปเรื่อยก้ไม่น่าจะเสียหาย

ยาอีกพวกก็คือ ยาห้ามต่อมผลิตกรด คือออกฤทธิ์ล้ำลึกกว่าเดิมอีก ได้ผลดีราคาก็ไม่แพงมากแล้ว แต่แก้ปวดแสบแผลในกระเพาะแบบฉับพลันไม่เท่าพวกลดกรดที่ทำจากด่าง เพราะเรารู้ว่า ร่างกายเราเกิดฉลาดเกินไปจะผลิตกรดเพิ่มเรื่อยๆ สู้เราทำให้ต่อมผลิตกรดนี้พิการไปชั่วขณะจะดีกว่า ผลระยาวจิงจิงน่ะ ค่อยมาว่ากันใหม่ ผลข้างเคียงที่พบง่ายๆเช่น ท้องเสีย ท้องผูก คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ปวดศีรษะ วิงเวียน อ่อนเพลีย ผื่นขึ้น ถือว่าธรรมดาไม่ค่อยเกิดหรอก เราลองกินมาแล้วไม่เห็นมีอาการข้างเคียงเท่าไรเลย แต่ที่น่าเป็นห่วงคือ ยาพวกนี้บางตัวชักนำเนื้องอกแบบธรรมดาที่ไม่ใช่มะเร็ง สรุปอย่าใช้ระยะยาวเกินไปนะเอง ที่กล่าวมานี้ เพราะบ้านเรา คนไทยสั่งยาให้ตัวเอง จึงไม่มีประวัติการใช้ยาที่แท้จริง

ส่วนการออกฤทธิ์ของกล้วยดิบนั้นเปรียบเสมือนผ้าพันแผล แล้วให้ร่างกายสมานแผลเอง เจ้าของแผลก็ต้องดูแลแผลด้วย อย่ากินเผ็ดร้อนมาก และรักษาอารมณ์อย่าให้เผ็ดร้อนบ่อยนักอันนี้มีคอร์รีเลชั่นกันแน่นอน เค้ามีเปเปอร์ยืนยันกันนะ อีกสักพักนอกจากหมอจะสั่งยาโรคกระเพาะแล้วต้องสั่งยาระงับประสาทคู๋ให้ด้วย….คนไข้ต้องดูแลตัวเองจ้า…..

เราไม่ได้แนะนำให้เลิกใช้ยาที่มีอยู่แต่เล่าสู่กันฟังเป็นทางเลือกในการรักษาสุขภาพ อาจกินกล้วยดิบในอาหารอยู่แล้วเช่นในชุดแหนมเนืองเป็นต้น


แนะนำตัวค่ะ

3 ความคิดเห็น โดย Tak (ตาก) เมื่อ 10 มีนาคม 2012 เวลา 10:48 (เช้า) ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 82

สวัสดีค่ะ

เป็นคน ปราจิน,กรุงเทพ,เชียงใหม่,พิษโลก,สระแก้ว,เชียงราย,นนท์ และ กรุงเทพ (ตามทะเบียนบ้าน)

อ่านลานปัญญามานานวันนี้ขอเป็นสมาชิกด้วยคนนะคะ



Main: 0.03039288520813 sec
Sidebar: 0.049736022949219 sec