ขอโทษน้องนก..

1074 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 31 มีนาคม 2011 เวลา 22:42 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 15778

คุณตุ๊ ใช้ห้องนอนเป็นห้องทำงานนานมาแล้ว ทั้งที่ห้องทำงานก็มี แต่ชอบห้องนอนมาทำงานมากกว่า เพราะเราทำเป็นบานกระจกใหญ่เอาไว้มองไปข้างนอกที่อดีตเป็นบึงใหญ่ขอนแก่น ตอนนี้ต้นไม่ขึ้นเต็มไปหมด ก็กลายเป็นที่อยู่สัตว์นานาชนิด โดยเฉพาะนกกระปูด กระรอก กระจาบกระจิบ นานๆมีนกฮูก เหยี่ยว กระยางมาเยี่ยมเรา นกเอี้ยงมาทุกวัน เรานั่งทำงานเงียบๆ เพื่อนร่วมโลกเหล่านี้ก็มาหาเรา


เราปลูกมะพร้าว ไม้ดอก เช่น สารภี จันกะพ้อ ฝ้ายคำ ไม้ดอกเลื้อยก็มีหลายชนิด โชคดีที่เงียบ ไม่มีใครรบกวน นานๆก็มีชาวบ้านเอาวัวมาเลี้ยง มาหาอาหารธรรมชาติหลังบ้าน เราติดกระจกแบบกรองแสงเพื่อป้องกันความร้อนด้านนอกเข้ามา เรามองออกไปเห็นธรรมชาติสวยงาม

โดยคิดไม่ถึงว่ากระจกแบบนี้นี่คืออันตรายต่อสภาพแวดล้อม ต่อ “นกเขา” และนกอื่นๆ

ด้านนอกชานนั้นเป็นที่นั่งเล่น อ่านหนังสือ เป็นมุมโปรดของผมเลยหละ กินกาแฟสดหอมๆตรงนี้ ….

เมื่องานดงหลวงสิ้นสุดลง และผมเป็น Freelance งานที่ลาว ไปเก็บข้อมูลแล้วก็มานั่งเขียนรายงานที่บ้าน ผมก็ยึดห้องนอนนี่แหละเป็นที่ทำงานอีก คุณตุ๊ เดินทางบ่อยผมก็ยึดซะเลย เอาโต๊ะมากางเต็มห้อง กองหนังสือมากมาย printer ส่วนเครื่องส่งสัญญาณ internet เอาไว้ข้างล่าง

นิสัยผมนั้นเวลาทำงานจะไม่เปิด TV ซึ่งตรงข้ามกับคุณตุ๊ ต้องเปิดเป็นเพื่อน ผมไม่เปิดวิทยุ ทำอย่างเดียว Focus สติไปที่งานเท่านั้น เพราะผมคิดว่าเสียงธรรมชาติไพเราะที่สุด ทั้งๆที่ผมมี CD เพลงโปรดเต็มไปหมด จะเปิดตอนที่สมองล้าเท่านั้น

วันนั้นผมนั่งเขียนงาน อยู่หลังกระจกที่หันหน้าออกสู่ด้านนอกห้องนอน อากาศเย็นเลยเปิดช่องกระจกเพียงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็มีเสียงชนโครมที่กระจกด้านนอกตรงหน้าผม ผมตกใจนิดหน่อยรีบมองดูว่า เสียงนั้นคืออะไร ผมเห็นนกเขาบินกลับไปเกาะที่กิ่งก้ามปูใหญ่ แบบ งง งง


ผมรีบออกไปดูที่กระจกด้านนอก โฮ ใช่เลย เจ้านกเขาบินมาชนเต็มๆ เพราะกระจกมันสะท้อนเป็นต้นไม้เขียวขจีนี่เอง เขานึกว่าเป็นป่าเลยบินมาชนเอา


เจ้านกยืนงง งง เป็นนาน ซึ่งผิดปกติ เพราะเมื่อผมเดินออกไปที่นอกชานหากมีนกเขาก็จะบินหนีไป วันนี้เจ้าตัวนี้บินมาชนกระจก เลยงง งง ไม่บินไปทันที เขาคิดอะไรอยู่ผมไม่รู้ เพราะไม่ใช่นก..อิอิ แต่รู้สึกว่า เออ กระจกนี้เป็นอันตรายสำหรับนกซะแล้ว

ผมเล่าให้คุณตุ๊ ฟัง เธอบอกว่า โอย ชนบ่อย มีนกเอี้ยงมาชนถึงกะตายเลยก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว….

อีกสองวันต่อมาก็บินมาชนอีก….

ขอโทษนะเจ้านก…เดี๋ยวหาทางแก้ไข…



ยินดียิ่งกับพ่อครูบาฯ…

609 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 31 มีนาคม 2011 เวลา 14:42 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 10993

ขอแสดงความยินดียิ่งกับพ่อครูบาสุทธินันท์ ที่ได้รับรางวัล นี้


ดูรายละเอียดที่นี่ครับ

http://cac.kku.ac.th/index.php?option=com_content&task=view&id=341&Itemid=1

อย่างนี้ต้องปิดสวนป่าแล้วฉลอง อิอิ วันที่ 2 จะไปร่วมฉลองกับพ่อครูบา ออต ป้าหวาน มีใครอีกยกมือขึ้น.. พ่อครูฯ บอกที่งานเขาให้โต๊ะจีน 1 โต๊ะ..


หนักเพื่อเบา..

15 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 30 มีนาคม 2011 เวลา 21:56 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1727

เข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว แต่กลับหนาวมากกว่าฤดูหนาว

ดอกสารภีโรยลาไปหลายวันแล้ว ดอกจันกะพ้อเพิ่งเริ่มส่งกลิ่นหอม

พ่อแม่กำลังโรยลา แต่ลูกๆกำลังเติบโต

สึนามิที่ญี่ปุ่นกำลังค่อยๆผ่านไป น้ำท่วมภาคใต้กำลังมา

…………………ฯลฯ……………..

งานเขียนรายงานเบาบางเยอะแล้ว แต่ภาระบางอย่างกลับหนักขึ้น

หนัก…เพื่อเบา….


เมฆ มุมอดิเรกของผม

340 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 28 มีนาคม 2011 เวลา 11:13 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 7336

ได้ข่าวว่าสารคดีเล่มใหม่ออกแล้ว เพื่อนบอกว่ามีรูปผมลง 3 รูปแน่ะ

ยังไม่มีเล่มใหม่นี้เลย ไปจองที่ร้านหนังสือขอนแก่น เขาก็ไม่ให้จอง

เขาบอกว่าสายส่งเอามาจำนวนน้อยมาก


หายไปในป่าคอนกรีต

26 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 27 มีนาคม 2011 เวลา 20:52 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1725

ขับรถขอนแก่น-กรุงเทพฯมาสามรอบแล้ว

ยังไม่บอกว่าขับมาทำอะไร

หายไป เพราะงานสำคัญครับ


น..อีหนู..!!

340 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 มีนาคม 2011 เวลา 16:50 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 16879

ไม่ใช่ อีหนู คุณหนู หรอก…แต่เป็น น-หนู ขวักไขว่ ถ้าเป็นภาษาลาวเขาว่า น-นก


ผมกับหนูนั้นไม่รู้ว่าเป็นศัตรูกันมาแต่ชาติไหน มีวาระที่จะต้องเผชิญหน้ากันมาตลอด ก็บ้านผมน่ะซี มีเจ้าหนูมาวิ่งสวนสนามบนฝ้า เพดานห้องนอนบ่อยๆ… วิ่งแบบไม่เกรงใจเราเลย เหมือนเตะฟุตบอลกัน

ผมเคยเขียนที่ G2K มาบ้างแล้วว่า หลายปีก่อนผมใช้วิธีไปซื้อกาวดักหนูมาจัดการ ก็ได้ตัวจริงๆ แต่เจ้ากาวน่ะซี ทรมานเจ้าหนูมาก เห็นแล้วก็ยกเลิกวิธีนี้

และก็คิดขอยืมแมวมาจับหนู ก็แมวข้างบ้านมันมาเดินนวยนาดบ้านผมบ่อยๆ เลยทำใจดีให้อาหารเขาจนสนิทกันก็จับเอาแมวไปไว้บนฝ้าห้องนอน เพื่อขอให้ช่วยจับหนูให้หน่อย ทิ้งไว้สองวัน อิอิ แทนที่จะได้หนู แมวจะตายเอาเพราะไม่ได้กินอะไร พอเปิดฝ้าได้ มันกระโดดลงบ้านหายไปเลย และไม่มาอีกเลย…

เจ้าหนูก็ยังร่าเริง มาเต้นฮิบฮอบบนฝ้าให้ได้รำคาญบ่อยๆ คิดว่าจะเอาวิธีไหนดีหนอ ก็ลองไปซื้อที่ดักหนูแบบโบราณที่ใช้เหยื่อล่อ เมื่อเขาเข้ามากินเหยื่อ ประตูก็จะปิดอัตโนมัติ แรกๆก็เอาขนมปังมาเป็นเหยื่อ ก็โอเคได้ผล ต่อมาใช้กล้วย ก็ยิ่งได้ผล

ผมเอากล้วยไปเสียบไว้ที่สำหรับเกี่ยวเหยื่อ เมื่อ หนูมากินก็จะทำให้ลวดที่เกี่ยวขยับ ก็จะไปทำให้กลไกการปิดประตูทำงานเพราะมีสปริงเป็นตัวดึงระบบให้ปิดประตูเข้า เสียงดังทีเดียวหากมันทำงาน เราก็รู้ว่า นั่นหนูเข้าไปกินเหยื่อและกลไกกับดักทำงานแล้ว..

ผมได้มาเป็นสิบๆตัวแล้วครับ แล้วก็เอาไปปล่อยไกลๆโน้น เพดานห้องเงียบไปพักหนึ่ง ทิ้งไว้ก็มาอีกแล้ว ผมก็จัดการอีก ร้อยละ 99 ได้ผลครับ มีเพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่ไม่ทราบว่าเป็นอะไร หนูเอากล้วยที่เป็นเหยื่อไปกินทั้งลูกเลย โดยกลไกไม่ทำงาน


ถามว่าหนูมาจากไหน ก็ตอบว่า หลังบ้านติดบึงที่แห้งน้ำ มีต้นไม้ขึ้นครึ้มไปหมด หนูก็ชอบอาศัย และก็แอบขึ้นต้นมะพร้าวที่ติดบ้าน แอบเข้าบนหลังคาบ้านไปวิ่งเล่นบนเพดานห้อง ตัวหนึ่งถูกจับไปตัวใหม่ก็เข้ามาอีก ผมก็วางกับดักอีก จับได้ก็เอาไปปล่อยอีก เงียบไปพักหนึ่งแล้วก็มาใหม่ทุกครั้งไป เท่าที่ประเมินคร่าวๆ ประมาณ 2 เดือน 1 ตัว หากเขามาวิ่งเล่นเมื่อใดก็เอากับดักไปวาง ไม่เกินสองวัน ได้ตัว

แต่ผมว่ามีหนูดีกว่ามีปลวกนะ….อิอิ

แต่มีอีหนูนี่ ผมตายหยังเขียดแน่ๆ..ฮา


Welcome HUG Team

78 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 22 มีนาคม 2011 เวลา 1:02 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1617

ขอต้อนรับ
HUG Team
ที่กำลังเข้ามาในลานครับ


Super Moon

440 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 20 มีนาคม 2011 เวลา 11:34 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 8595

รูปนี้ถ่ายที่ตลาดวิเศษชัยชาญ อ่างทอง

คราวไปงานเลี้ยงรุ่นโรงเรียนมัธยมสมัยปี 2508


เรือพลังน้ำที่วิเศษชัยชาญ

677 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 20 มีนาคม 2011 เวลา 11:18 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 44685

คนเรานี่ยามยุ่งมันก็ยุ่งจริงๆนะครับ ทุกท่านคงเผชิญเรื่องราวในชีวิตแบบนี้มาบ้างแล้ว ทั้งที่งานเขียนก็ล้นมือ จ่อคอหอย แต่ก็มีเรื่องจำเป็นจริงๆมาแทรกให้เราต้องแบ่งเวลาไปทำกิจกรรมนั้นๆ


แม่ของลูก 7 คนอายุ 89 จะเข้า 90 เดือนกันยายนนี้ ร่างกายร่วงโรยเป็นธรรมชาติ ต้องเข้า รพ.สายระโยงระยางเต็มไปหมด น้องๆดูแลแทนผมช่วงที่อยู่ลาว เมื่อกลับมาขอนแก่นก็บึ่งมาเยี่ยม..

จริงๆผมมีกำหนดจะลงมาอยู่แล้วเพราะมีงานชุมนุมศิษย์เก่าเพื่อนร่วมรุ่นสมัยปี 2508 ที่ตลาดวิเศษชัยชาญ เพื่อนฝูงมากันเยอะ มรณกรรมไปแล้ว 7 คน หลายคนจำกันไม่ได้ เหมือนเขาจำผมไม่ได้ อิอิ (เดาเอาเองนะ เหตุผลเพราะอะไร ห้า ห้า ห้า)

โต้โผใหญ่คือเพื่อนผู้เป็นเสี่ยใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังการเมืองท้องถิ่นและการเมืองระดับชาติของวิเศษชัยชาญ และจังหวัดอ่างทอง เราจัดงานมาทุกปี รูปแบบก็กินๆ คุยๆ แหกปากร้องเพลงกัน เสียงทักทายคนโน้นคนนี้ ถามถึงคนที่ไม่ได้มา เป็นปกติ


ความจริงตลาดวิเศษชัยชาญนั้นเศรษฐกิจเฟื่องฟูมากกว่าตลาดสามชุก แห่งสุพรรณบุรีในอดีต เพราะตลาดวิเศษมีคลองแม่น้ำน้อยที่เชื่อมต่อแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านตัวเมืองวิเศษชัยชาญ และผ่านตัวอำเภอสำคัญๆหลายแห่ง จึงเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าและคมนาคมระหว่างต่างจังหวัดกับท่าเตียน กรุงเทพฯ สมัยที่ยังไม่มีทางรถยนต์

ผมเข้ามาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯเมื่อปี 2009 ต้องนั่งเรือยนต์จากวิเศษฯมาขึ้นท่าเตียน นอนค้างคืนในเรือ ตื่นเต้นซะ..ไม่หลับไม่นอนเลย ก็เด็กบ้านนอกในป่าในดงจะเข้าเมืองหลวง อ่ะ.. ขึ้นท่าเตียนก็นั่งรถเมล์หอบของพะรุงพะรังไปบ้านคุณตาที่สำเหร่ฝั่งธนบุรี เงอะงะสมเป็นบ้านนอกเข้ากรุงจริงๆ

หลังจากมีถนน การคมนาคมทางเรือก็ค่อยๆลดบทบาทลงมาจนจบสิ้นลงในเวลาไม่กี่ปี การเดินทางทางเรือล่องแม่น้ำน้อยกลายเป็นทัศนาจร การท่องเที่ยว เล่าความหลังกันไปแล้ว แต่สนุกมากนะครับ ตลอดสองฝั่งแม่น้ำเห็นวิถีชีวิตเกษตรกรมากมาย ธุรกิจข้าว โรงสี โรงเรื่อยไม้ ตลาด ฯลฯ

หลังจากที่ไฟไหม้ตลาดวิเศษชัยชาญหมดเนื้อหมดตัว หลายสิบปีก่อน ทำให้ตลาดวิเศษเกือบหมดสิ้นความเก่า ขลัง และอุดมไปด้วยสิ่งก่อสร้างประวัติศาสตร์ หมดสิ้นไป เจ้าถิ่นเห็นตลาดสามชุกขึ้นมาเป็นแหล่งท่องเที่ยว พยามยามส้รางตลาดวิเศษฯบ้างแต่ไปไม่รอด เพราะสิ่งก่อสร้างเป็นของใหม่เกือบทั้งหมด แม้พยายามสร้างแบบเก่าแต่มันไม่ได้บรรยากาศ

รูปข้างบนที่เป็นห้องแถวเขียนว่า “ประชาบาล” โดนไฟไหม้ไม่เหลือหรอ เดิม คือร้านขายหนังสือ และเป็นบ้านคนดังแห่งวิเศษชัยชาญคือ ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ท่านนักเรียนเหรียญทองเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ (A หมดทุกวิชา) และ ดุษฎีบัณฑิต จาก Princeton เรื่องการค้าข้าว..


ฝอยไปเรื่อย..อิอิ ตั้งใจจะเล่าว่ากลับไปวิเศษคราวนี้ผมเห็นสิ่งประดิษฐ์ที่น่าสนใจสิ่งหนึ่ง คือเรือข้ามฟากพลังน้ำ ดูรูป..

ระหว่าง AE และ BF คือแม่น้ำน้อย ใครเรียกว่าคลองก็ได้ เพราะมันแคบลงเยอะ ตลาดวิเศษชัยชาญอยู่ฝั่ง BF ตัวที่ว่าการอำเภอเดิมและโรงเรียนประจำอำเภอนั้นอยู่ฝั่ง AE ดังนั้นในอดีต ไม่มีสะพาน จึงต้องมีแพและเรือรับจ้างรับคนข้ามฝั่งกันทั้งวันทั้งคืน ตลาดมีท่าลงเรือ 3 ท่า คือ ตลาดเหนือ ตลาดกลาง ตลาดใต้ แต่ละท่าก็มีเรือรับจ้างประจำ

ผมและเพื่อนต้องเดินจากบ้าน 5 กิโลเมตรผ่านตลาดวิเศษฯข้ามเรือท่าตลาดเหนือไปเรียนโรงเรียนประจำอำเภอ เช้าเดินมา เย็นเดินกลับ ตลอดเช่นนี้ ไม่มีจักรยาน และยานพาหนะอื่นๆ ฤดูฝน ต้องหิ้วรองเท้า(เก่า ขาด และ เหม็นๆ) ผ่านหมู่บ้าน ผ่านตลาด เอามาใส่ที่โรงเรียน เสียค่าข้ามเรือ 1 สลึงต่อคนต่อเที่ยว

มาวันนี้ ไม่มีเรือพาย ไม่มีเรือแจว ไม่มีเรือยนต์ที่เคยพัฒนามาแต่อดีตอีกแล้ว แต่มีเรือพลังน้ำข้ามฟาก

ผมถามเสี่ยงเบิ่ง ว่าพัฒนามาหลายปีแล้ว และเจ้าของเรือคิดขึ้นมาเอง หลักการคือ ที่ A และ B คือเสาสูงขนาดใหญ่ AB คือสายสลิง สูงเชื่อมต่อกัน E คือท่าเรือ ฝั่งอำเภอ F คือท่าเรือฝั่งตลาดวิเศษ C คือตัวเรือโดยสารขนาดนั่งได้สัก 20 คน D คือ สายสลิงจากหัวเรือที่เชื่อมกับสายสลิง AB แบบอิสระเคลื่อนไหวได้ง่าย น่าจะเป็นระบบรอกด้วย (มืดแล้วมองไม่เห็นตอนที่ไปดู) ตรง X คือคนบังคับเรือ เมื่อผู้โดยสารเต็มลำ X จะบังคับหาหางเสือเรือให้หันหน้าไปฝั่งตรงข้ามที่จะไป เพราะกระแสน้ำที่ไหลจากซ้ายไปขวาจะเป็นแรงบังคับเรือให้แล่นจากฝั่งหนึ่งไปอีกฝั่งหนึ่งได้อย่างช้าๆ เพราะ สายสลิงที่เชื่อมกันระหว่าง D กับ AB นั้นอิสระจึงสามารถเลื่อนไปมาได้ตามแรงที่มากระทำ

ฉลาดจริงๆ

  • แล่นช้า ซึ่งปลอดภัย ดีมาก
  • ค่ำวันนั้นผมเห็นคนบังคับเรือที่ X เป็นผู้หญิงสูงอายุ นั่งรับเงินทั้งวันซินะ
  • ไม่ใช้น้ำมัน ไม่ใช้ไฟฟ้า ประหยัดจริงๆ
  • ฯลฯ

เสียดายที่ผมไม่มีเวลาที่จะไปสัมภาษณ์ และถ่ายรูปมาเพราะค่ำแล้ว เพื่อนๆที่รองานเลี้ยงรุ่นซึ่งจัดอยู่ใกล้ๆตรงนี้ก็เรียกให้ไปร่วมงาน

คืนนั้น ผมบึ่งรถกลับบ้านขอนแก่นเลย เพราะมาสะสางงานนี่แหละ


ความสุขของผม..

258 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 19 มีนาคม 2011 เวลา 1:08 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม #
อ่าน: 4376

ข้าราชการมีความสุขตรงไหน..? คงต่างคนต่างความรู้สึกนะครับ

พ่อค้า แม่ค้า มีความสุขที่ขายสินค้าได้กำไรมากๆ

ต่างคนต่างก็มีจุดที่มีความสุขที่ต่างกัน

Email ฉบับที่ 1

สวัสดีค่ะคุณลุงบางทราย (ขออนุญาตเรียกคุณลุงนะคะ)

หนูเพิ่งมาเห็นบล็อกที่เขียนไว้เกี่ยวกับสะเมิงได้น่าสนใจมาก

แล้วภาพในอดีตมันมันก็วนอยู่ในความทรงจำ

แต่ว่ารูปภาพที่ลงในบล็อกมันเปิดไม่ได้ เสียดายไม่ได้เห็นรูปจริงค่ะ

หนูขอแนะนำตัวนิดนึงค่ะ หนูเกิด พ.ศ.2521 คุณแม่เป็นสาวชาวหมู่บ้านหาดส้มป่อย

คุณพ่อเป็นคุณครูที่นั่น ก็เลยเติบโต เรียนหนังสือที่หมู่บ้านหาดส้มป่อยจนถึงปี 2529

แม้ว่าตอนนี้จะมาอยู่ในเมืองเชียงใหม่กันหมดแล้ว แต่ก็ยังไปเยี่ยมญาติพี่น้องบ่อย ๆ

แม้ว่าตอนนี้ถนน ทางรถยนต์เข้าถึงหมดแล้ว

แต่เวลาขับรถไปทีไรก็ยังนึกถึงตอนซ้อนมอเตอร์ไซค์ลุยดินแดงอยู่ค่ะ

ในฐานะตัวแทนของคนรุ่นหลังหนูขอขอบคุณผู้ที่ได้ทำประโยชน์ และนักพัฒนาที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจจนทำให้เด็ก ๆ เยาวชนรุ่นหลังที่หมู่บ้านห่างไกลได้มีโอกาสในการพัฒนาตนเอง ได้เรียนหนังสือจนได้รับโอกาสดี ๆ ในชีวิตมากมายอย่างที่ท่านอาจไม่เคยคาดคิดมาก่อน


Email ฉบับที่ 2

คุณพ่อคือครูดวงฤทธิ์ค่ะ ตอนเด็ก ๆ น่าจะรู้จักลุงเงาะค่ะ
ยังได้ยินคุณพ่อเล่าให้ฟังบ่อย ๆ เช่น เรื่องถูกหวยลุงเงาะ (คือลุงเงาะจะมาในเมือง เลยมีชาวบ้านฝากลุงเงาะซื้อหวย แต่ลุงเงาะกลับเอาเงินนั้นซื้อปลาทูไปให้ แทนที่จะเป็นหวย)และมีคนที่เข้าไปเป็นลูกน้องลุงเงาะในช่วงนั้น ชื่ออ้ายรส จากพะเยา แต่งงานกับหลานของคุณแม่ของหนู ปักหลักอยู่ที่หมู่บ้านหากส้มป่อยและมีลูกสาวสองคน
ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อค่ะว่าตอนนี้ลูกสาวคนโตของอ้ายรสจบเป็นดอกเตอร์ ทำงานที่มหาวิทยาลัยซูริค สวิสเซอร์แลนด์ โน่นค่ะ แถมเรียนต่อ Post doc.อีกต่างหาก ถือว่าน้องสาวคนนี้ของเราไปไกลมากที่สุดในเรื่องการศึกษา (จากการเริ่มต้นด้วยชั้นประถมที่หาดส้มป่อย แต่ตอนนั้นต้องไปเรียนที่อมลองบ้าน แม่ขานบ้าง)

แต่ไม่ทราบว่าคุณพ่อจะรู้จักคุณลุงรึเปล่า (อาจจะรู้จักในชื่ออื่น)

Email ฉบับที่ 3

หนูจะบอกคุณพ่อกับคุณปู่ให้นะคะ ส่วนคุณย่าวันดีท่านเสียชีวิตไปหลายปีแล้วค่ะ

คนทำงานพัฒนาอย่างผมก็มีความสุข

สุขที่เห็นชาวบ้านเติบโต…..คงเหมือนครูคนที่เห็นลูกศิษย์เติบโต..และเป็นคนดี


ไอ้หมาวัด

566 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 17 มีนาคม 2011 เวลา 20:11 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 7894

 

 

วุ้ย หนาวจริงวุ้ย….

ใครมีเสื้อเก่าๆหนาๆ แบ่งมั่งฮี…

มันหนาววววววว กองไฟก็ไม่มี

หากเป็นหมาผู้ดี คงอยู่ในบ้านอุ่นๆ มีเสื้อสวยๆใส่หล่ะซี

ตูเป็นหมาชนบท เลยหนาวมากหน่อย..

โฮ้ง โฮ้ง..

อภิปรายในสภานั่นมีใครหนาวเหมือนตูบ้างหนอ

หรือแค่ปาหี่ สามสี่วัน พอเป็นพิธี…

โฮ้ง โฮ้ง..

——–

จากหมาวัดบ้านนอก เมืองปากซัน


ศาลาวัด

13 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 17 มีนาคม 2011 เวลา 0:38 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 779

วันที่ 13 เดินทางไปเวียงจัน เหงื่อโซกเลย แค่ผ่านไปวันเดียว ฝนประปราย เมฆครึ้มท้องฟ้า วันนี้หนาวมากมีลมด้วย ทุกคนที่มาประชุมร่วมกับชาวบ้านต่างเอาเสื้อกันหนาวมาใส่ แต่หลายคนคาดไม่ถึงว่าจะเย็นลงมากมาย จนสั่น


เพื่อนร่วมงานและผมทนไม่ไหวไปแกะกระเป๋าเอาเสื้อมาใส่ซ้อนทับแม้จะเป็นแขนสั้นก็ตาม เพราะไม่ได้เตรียมมา


เราใช้ศาลาวัดเป็นสถานที่ประชุม ซึ่งเป็นปกติของงานชนบท การใช้ศาลาวัดมีผลดีหลายประการ เช่น ได้ใกล้ชิดศาสนา ได้มีโอกาสกราบพระสงฆ์ พระพุทธรูป ได้ทำบุญ สถานที่ทำให้เราสงบปากสงบใจมากกว่าปกติ และไม่จำเป็นต้องไปสร้างศาลากลางบ้านสิ้นเปลืองงบประมาณ ใช้ศาลาวัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด นั่นดีแล้ว สถานที่กว้างขวาง สถานที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น เสื่อ น้ำดื่ม โต๊ะ เก้าอี้ กระแสไฟฟ้า ห้องน้ำห้องส้วมหากมีคนไปประชุมมาก วัดก็พร้อม วัดร่มรื่น เป็นบรรยากาศที่เอื้ออำนวยการพูดจากัน

 

 

หลวงปู่อายุท่านเลย 90 ไปแน่ๆ ยังเดินไหวแม้หลังโก่ง หลังจากท่านฉันท์มื้อเช้าแล้วก็เดินกลับกุฏิท่าน เราประชุมจนถึงเวลาที่ท่านต้องฉันท์เพล มีข้าราชการท่านหนึ่งยกโตกอาหารไปถวายท่าน ท่านไม่รับ บอกให้เอากลับไปให้คนที่มาประชุมกินกัน ท่านฉันท์มื้อเดียว

หลังจากประชุมเสร็จ ทุกคนก็กินอาหารกลางวันที่ศาลาวัด สถานที่ประชุมนั่น ซึ่งพร้อมที่จะดัดแปลงเป็นห้องอาหารใหญ่ได้ทันที…

วัดเป็น Multipurpose place มีความหมายทางทุนทางสังคมยิ่งนักอีกด้วย

 

540316 : วัดโพสีทองไซยาราม บ้านปากสา เมืองปากกะดิ่ง แขวงบริคัมไซ ลาว


ส้มปากซัน

481 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 16 มีนาคม 2011 เวลา 0:34 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 7378

วันนี้มีเอกอัคราชทูตอินเดียประจำลาว และผู้แทน UNDP

เข้าร่วมการทำ Public consultation ด้วย

มีรองเจ้าแขวงรองเจ้าเมือง และผู้หลักผู้ใหญ่ของเมืองปากซัน

เข้าร่วมหลายท่าน ลาวนั้นพิธีการมากมายไม่แพ้พี่ไทย

กว่าจะเข้าเรื่องโอ้โลมกันยาวเหยียด

เมื่อเสร็จสิ้นก่อนไปกินข้าวแวะหาผลไม้ลาวทานซะหน่อย

ผมนั้นวันวัน ซัดผลไม้มาก เพราะชอบ และชอบ

รถแวะมาที่ตลาดสด ปากซัน ตรงร้านแผงลอยขายผลไม้ที่เขาจัดเป็นโซนไว้

ทีมงานเลือกส้มไปหลายกิโล

ถามว่าเป็นส้มมาจากไหน แม่ค้าสาวบอกว่ามาจากไทย

งั้นถามอีก ผลไม้ทั้งหมดนี้มาจากไหน แม่ค้าตอบว่า มาจากไทยค่ะ

ยกเว้นแอปเปิลที่มาจากจีน…


Paksan

64 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 มีนาคม 2011 เวลา 20:34 ในหมวดหมู่ การบริหารจัดการประเทศ, งานพัฒนาสังคม #
อ่าน: 3596

วันนี้ที่ปากซัน แขวงบริคัมไซ

UNDP ให้มาศึกษาการพัฒนาน้ำเพื่อการเกษตร

เรามาเป็นหนึ่งในทีมงาน

ปลาแห้งที่แขวนขายข้างทาง ไม่มีโอกาสจอดรถสอบถาม

แต่แสดงถึงความอุดมสมบูรณ์

เพลงกุหลาบปากซันยังไพเราะเหมือนเดิม

เมื่อ 30 ปีก่อนเคยมาแล้วครั้งหนึ่ง

มาครั้งนี้จำไม่ได้แล้วว่าภาพเดิมอย่างไร

สังคมเปลี่ยน คนเปลี่ยน พื้นที่เปลี่ยน

คำถามของคนทำงาน คือ

เปลี่ยนอย่างไร แบบไหน ..ฯลฯ เหมาะสมที่สุด


ค่ำนี้ที่เวียงจัน

14 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 มีนาคม 2011 เวลา 21:07 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 913

เวียงจันค่ำคืนนี้ ผู้คนบางตา

แม่ค้าบอกขายของไม่ค่อยได้

ไม่รู้ว่าผู้คนไปหนใด

หรือเก็บตัวเก็บใจอยู่แต่เรือน


คนจนในเมือง

158 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 มีนาคม 2011 เวลา 9:56 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 5439

เชียงใหม่: สมัยทำงานที่สะเมิง เชียงใหม่ วันหยุดเราก็เข้ามาพักในตัวเมือง โดยเช่าบ้านหลังวัดสันติธรรม อยู่กัน 7-8 คน สมัยก่อนแถวนั้นเป็นชุมชนที่ใหญ่ เมื่อเทศบาลนครเชียงใหม่พัฒนาตัวเมืองมากขึ้น มีการเปลี่ยนแปลงการถือครองที่ดินมากมาย ตึกรามเข้ามาแทนที่บ้านไม้ ถนนหนทางลาดยางพัฒนาอย่างดี ชุมชนที่ชาวบ้านอยู่กันมาหลายชั่วคน กลายเป็นสลัมในเมืองไป เขาเรียกอย่างนั้นจริงๆ


ขอนแก่น: ตัวเมืองใหญ่ๆมีสภาพเช่นนั้น บ้านจัดสรรที่ผมอยู่เขาเรียกชุมชนหนองใหญ่ เพราะมีหนองขนาดใหญ่สามแห่งอยู่ใกล้ๆ ชาวบ้านในอดีตได้อิงอาศัยทำมาหากิน ตามวิถีชุมชน เมื่อเมืองโตขึ้นมา ตึกเกิดขึ้น นายทุนมากว้านซื้อที่ดินทำบ้านจัดสรร หนองขนาดใหญ่ถูกเทศบาลพัฒนาเป็นที่บำบัดน้ำเสียของตัวเมือง และแบ่งบางส่วนเป็นสวนสาธารณะ ให้คนเมืองมาออกกำลังกาย เดินเล่น โครงสร้างของหนอง บึงถูกจัดการใหม่ตามวัตถุประสงค์เมือง โดยที่ไม่เคยทำ Public scoping กับชาวบ้านแถบนั้นเลยว่าเขาคิดอย่างไร…?

ถนนหนทางขึ้นเต็มไปหมด วัวควายที่เคยเลี้ยงในหมู่บ้านหนองใหญ่ เช้าก็ไล่ออกไปกินหญ้าลงน้ำที่หนองใหญ่ ชักมีปัญหา เพราะต้องข้ามถนนที่รถรามากขึ้น นานเข้าอาชีพทำนาก็ต้องมีปัญหาเพราะสภาพแวดล้อมเปลี่ยนไปหมดแล้ว แล้วป้าพรรณชาวบ้านหนองใหญ่ก็มาเป็นรับจ้างซักผ้ารีดผ้า ลุงคำก็กลายมาเป็นพนักงานเดินโต๊ะในร้านอาหารใกล้บ้าน ไอ้ศักดิ์ก็เปิดร้านซ่อมมอเตอร์ไซด์ อีหล้าก็เปิดร้านทำผมตัดเล็บ อีนางก็มาเป็นแม่บ้านรับจ้าง ทำความสะอาดบ้าน แล้วก็ซื้อข้าวกิน…? ก็ความรู้สำหรับชีวิตในเมืองไม่มี..

กระนั้นก็ยังมีชาวนาตกค้าง เพราะไปทำอะไรกับใครไม่ได้ ก็ออกไปปลูกกระต๊อบนอกชุมชนเลี้ยงวัวสามสี่ตัวไปวันๆหนึ่ง นั่งนอนอยู่กับวัวด้วยสายตาที่เหงาหงอย สังคมในอดีตของบ้านหนองใหญ่สิ้นสุดไปแล้ว ทุกคนดิ้นรนเดินไปข้างหน้า ลุงก็ออกมาเลี้ยงวัวมองเขาเดินไปกัน ก็ได้แค่มองเท่านั้น อายุปานนี้แล้วจะเดินตามเขาไปไหนเล่า ไม่ไหวแล้ว เทศบาลเขาไม่เห็นหัวเราแล้ว

เราเป็นคนนอกเหมือนอีกหลายครอบครัวที่เข้ามาซื้อบ้านจัดสรรยุคแรกๆของขอนแก่น ด้วยการผ่อนกับธนาคารนานแสนนาน โธ่..ไอ้นักพัฒนากระจอกงอกง่อยอย่างเราน่ะเงินเดือนแค่เศษสตางค์เขาเท่านั้น ก็เก็บหอมรอมริบเป็นทาสธนาคารมามากกว่ายี่สิบปี อาชีพคือรับจ้าง มีประกันสังคมคุ้มกะลาหัวพอกันตายไปได้ อาศัยญาติพี่น้อง เพื่อนรักใคร่ผลักดันชีวิตไปตามชะตาและแรงขับ


งานสุมหัวแต่ก็ยินดี เพราะมันเป็นงานที่เรารัก หนักเข้าก็ออกไปยืดเส้นสายดูท้องฟ้านอกบ้านบ้าง สถานที่ชอบไปก็คือบึงบำบัดน้ำเสีย ขอนแก่น ที่เป็นอดีตสวรรค์ของคนบ้านหนองใหญ่และข้างเคียง เราก็ไปดูเมฆ ดูนก ดูคน ดูสรรพสิ่งที่วนเวียนอยู่ในวังวนของพื้นที่


ชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำก็ออกมาจับปลาในบึงนี้ โดยการยกยอเล็กๆ บางคนก็ทำร้านเล็กๆพอยืนได้ เอายอวางลงทิ้งไว้พักเล็กๆก็ยกขึ้นมา หากได้ปลาเจ้ากรรมที่ว่ายน้ำผ่านเข้ามาพอดีก็จะเป็นทั้งอาหารและเงินตรา เป็นทางออกทางหนึ่งของคนจนในเมือง จะไปนั่งกินตามร้าน อยากกินอะไรก็สั่งเอาเหมือนคนมีเงินเดือนนั้นไม่ได้ ก็หากินแบบนี้แหละ


เฝ้าดูการต่อสู่ชีวิตของชาวบ้านในเมือง หัวเราคิดไปร้อยแปด ก็บึงบำบัดน้ำเสีย มันเป็นที่สะสมของเสียจากตัวเมือง สารพิษ โลหะหนัก เชื้อโรค สารพัดสิ่งสกปรกจากเมืองลงมาที่นี่ เจ้าปูปลาที่อาศัยในนี้ มันไม่เหมือนบึงสมัยก่อนมันคงปนเปื้อนสิ่งสกปรกมากมาย โดยเฉพาะสารโลหะหนัก และพาราไซด์ต่างๆ


คุณยายท่านนี้กางยอเสร็จก็เอามาลงต่อหน้าเรา แกยกสองสามทีไม่ได้ปลาสักตัว ตรงข้ามคนที่ผู้ชายที่ยืนกลางบึงนั่นยกทีไรได้ปลาทุกที ถามยายว่าเป็นปลาอะไร ยายบอกว่า เป็นปลานิลตัวขนาดฝ่ามือลงไป ก็เอาไปขายในตลาด เหลือก็เอาไว้กิน….


ผมนั่งอยู่นานสมควร มองบนท้องฟ้ามีนกเริ่มทยอยบินกลับรัง ไกลออกไปพระจันทร์เริ่มทอแสงสว่าง ผมควรจะกลับบ้านเสียที ถามยายว่ายังไม่เลิกหรือ แกบอกว่าเดี๋ยวก็กลับแล้วค่ำแล้ว ผมบอกลายายท่านนั้น ระหว่างทางผมเห็นการดิ้นรนชีวิตของคนจนในเมืองเท่าที่ช่องทางเขาจะมี ก่อนที่เช้าวันใหม่จะมาถึง ก่อนที่บนถนนข้างบ้านหนองใหญ่ของยายจะแน่นไปด้วยรถเก๋งของคนเมืองไปทำงานเพื่อรอสิ้นเดือนจะมีเงินเข้ากระเป๋า..

ผมเปิดวิทยุ ข่าวสึนามิ ข่าวพันธมิตร ชายแดน การยุบสภา ผมผ่านขบวนคนเสื้อแดงขอนแก่นระดมกัน

น้องหมาที่บ้านออกมาต้อนรับผม ลูบหัวมันสองสามที

แล้วผมก็ไปทำงานที่ผมต้องรับผิดชอบต่อ….


น้ำตาพ่อไล..

200 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 มีนาคม 2011 เวลา 19:14 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1171

น้ำตาพ่อไลซึมออกมาแบบไม่รู้สึกตัว

 

ทำไมเขาเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าความเจริญหรือ เขาเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าความก้าวหน้าหรือ.. พ่อไลเปรยออกมาต่อหน้าเราด้วยความผิดหวัง เสียใจ ลึกๆเป็นความเจ็บปวด

บ้านนอกเรานั้นอยู่กันแบบมีระบบชุมชนเป็นบรรทัดฐานกำกับที่เราเรียกวัฒนธรรม คุณค่าของชุมชนท้องทุ่ง ที่คนในเมืองเรียกเราว่า ความล้าหลัง ต่ำต้อย ขาดแคลน และเอาเราไปตั้งงบประมาณมากมายมหาศาลต่อปี

แม่เฒ่าหิ้วตะกร้าใส่ของจุกจิกไปนอนที่วัดเมื่อวันพระมาถึง ไปนอนทุกวันศีลใหญ่ ร่วมกับผู้เฒ่าบ้านอื่นๆ พื้นฐานก็เป็นการสมาทานชีวิตช่วงสุดท้ายให้เข้าใกล้ธรรมมากที่สุด งานบุญข้าวสาก งานเข้าพรรษา ออกพรรษา เพื่อนบ้านมากันเต็มศาลาวัด งานสามค่ำเดือนสาม เราก็ทำขวัญให้วัวให้ควาย เอามูลมันไปใส่นา ผู้ข้อต่อแขนพ่อใหญ่แม่ใหญ่ตระกูลใครตระกูลมัน ยกเว้นเป็นดองกัน หรือเคารพรักกันสนิทแน่นต่างก็มากราบ อวยพรให้แก่กันและกัน มา”กินข้าวร่วมชามกินน้ำร่วมขัน” เอามื้อเอาแรงกัน.. บ้านเหนือบ้านใต้โอนอ่อนต่อกัน นานๆจะมีคนแผลงๆเป็นนักเลงโคบ้าง ผิดธรรมนองคลองธรรมบ้าง แต่เมื่อผู้เฒ่าเอ่ยปาก ต่างก็ก้มกราบเคารพยอมต่อท่าน

หลังวัดมีถนนเข้ามาแล้ว ข้างวัดเขามาเจาะบ่อบาดาล เอาน้ำมาทำระบบประปา บ้านโน้นเขามาตั้งอนามัยชุมชน มีพยาบาลมาประจำอยู่ ไฟฟ้าเข้ามา อะไรต่อมิอะไรเข้ามาในหมู่บ้านเรามากมาย ผิดไปจากเดิมๆ ต่างตื่นเต้นที่มีรถแปลกวิ่งเข้ามาขายของ เอาสินค้าแปลกๆเข้ามาด้วย

การประชุมผู้ปกครองที่โรงเรียนวัด ครูใหญ่สนับสนุนให้พ่อแม่ส่งลูกเรียนสูงๆ จะได้มีอนาคต ให้มีเงินเดือนกิน พ่อแม่จะได้ฝากผีฝากไข้ได้บ้าง บ้านเหนือบ้านใต้ต่างแข่งขันกันส่งลูกไปเรียนในอำเภอ ในเมือง….

ลูกสาวคนสุดท้องอยู่กะแม่ เลี้ยงดูพ่อแม่ ให้พี่พี่เขาไปเรียนนะ เขาร่ำเรียนเผื่อจะได้มาอุ้มชูพวกเราได้บ้าง

บางเดือนพ่อแม่ต้องวิ่งขอยืมเงินเขาไปทั่วเพื่อส่งให้ลูกได้เรียนสูงขึ้น มันก็เก่งพอตัวนะ เรียนไปกะเขาได้

หลายปีผ่านไป หมู่บ้านเปลี่ยนไปมากมาย ร้านค้าเล็กๆในบ้านมีสินค้าจากข้างนอกวางขายเต็มไปหมด เป็นถุงสีสันสวยๆ พ่อแม่แก่เฒ่าลงไปมากแล้ว ได้ลูกสาวคนเล็กที่เสียสละอยู่ช่วยดูแลพ่อเฒ่าแม่เฒ่า เจ็บไข้ได้ป่วยก็ลูกหล้านี่แหละ หนักเอาเบาสู้ตามประสาชนบทเรา

นับวันก็เป็นไม้ไกล่ฝั่ง พ่อแม่ก็ใตร่ตรองแล้วจึงจัดสรรมรดกให้ลูกแต่ละคนละคน ตามความเห็นพ้องกันของพ่อและแม่ ตามธรรมเนียมปฏิบัติ ลูกหล้าอยู่ดูแลพ่อแม่ก็ได้รับที่ดินและตัวบ้านมากกว่าคนอื่นหน่อย เมื่อออกเหย้าออกเรือนมันก็ยังดูแลปฏิบัติพัดวีเหมือนเดิม

เจ้าลูกคนที่เรียนในเมืองจบแล้วมันก็ไม่ได้กลับเข้ามา มันมีงานทำในเมืองนานๆก็เข้ามา เยี่ยมซะที แต่มาคราวนี้มันทำสิ่งผิดหวังแก่พ่อแม่มาก เมื่อมันรู้ว่าพ่อแม่แบ่งมรดกให้แล้ว มันได้น้อยกว่าคนอื่น มันก็โกรธ เมื่อคุยกันกับพี่กับน้องไม่รู้เรื่อง มันก็ยิ่งโกรธหาว่าพ่อแม่แบ่งที่ดินให้มันน้อยเกินไป

พ่อไลน้ำตาไหลออกมา พูดแบบไม่เต็มคำพูด…

มันเรียนจบกฎหมาย…มันบอกมันจะฟ้องพ่อแม่พี่น้อง หาว่าแบ่งมรดกไม่เท่าเทียมกัน มันเป็นลูกคนหนึ่งมันมีสิทธิที่จะได้ที่ดินมากกว่านี้…

ลูกมีความรู้ทางกฎหมายพ่อแม่ภูมิใจที่เสียสละทั้งชีวิตส่งเสียเอง น้องๆ พี่ๆ เขาไม่ได้เรียน เขาดูแลพ่อแม่ และเขาก็มีส่วนอย่างมากที่ทำนาทำไร่ได้เงินมาก็ส่งเสียเอง..

เองมีความรู้ แต่เองไม่มีคุณธรรม ไม่มีศีลธรรม

ชีวิตเองที่หลุดออกจากบ้านไปนั้น อะไรมันหล่อหลอมจิตใจเองให้เป็นอย่างนี้…

…….

กว่าที่เราจะสงบสติอารมณ์ด้านลึกได้ มือที่เรายื่นไปจับมือพ่อไลนั้นสั่นไปหมด..


พ่อไล มองโลก..

122 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 มีนาคม 2011 เวลา 10:48 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3075

ไทยเป็นครัวโลก..? ฟังดูดี

อาชีพเกษตรกรทำนาลดลง ลูกหลานไม่ทำนา….?

ส่งลูกให้เรียนหนังสือ เพื่อให้เป็นเจ้าคน นายคน…?

ทุนทางสังคมจางหายไป ….?

เด็กรุ่นใหม่ ไม่เข้าใจ ต่อไม่ติด คุยกันไม่รู้เรื่องกับคนรุ่นเก่า..?

พ่อไล เป็นชาวบ้านธรรมดาที่มีอาชีพทำนาและเติบโตมาในยุคพัฒนา วิถีชีวิตปรับเปลี่ยนไปมากมายจากรุ่นพ่อแม่ การทำนาสมัยใหม่เอาพันธุ์ข้าวใหม่เข้ามา ใช้ปุ๋ยวิทยาศาสตร์ มีรถไถนา รถดำนา รถเก็บเกี่ยว..นี่คือการเปลี่ยนแปลงกระบวนการผลิตจากเดิมที่เลี้ยงวัวควาย เอามูลวัวควาย มีสถานที่เลี้ยงควาย มีวัฒนธรรม ประเพณีที่เกี่ยวกับกระบวนการผลิตเหล่านี้ ก็จางหายไป คนรุ่นใหม่ ไม่เข้าใจ สัมผัสไม่ได้ เข้าไม่ถึงคุณค่า ตรงข้าม ดูหมิ่นดูแคลน …ไปเลย

ทำไมลูกหลานถึงไม่เดินเข้ามาสืบต่ออาชีพเกษตร ทำนาทำสวนเหมือนพ่อแม่…?

คุณเอ้ย….พ่อแม่ส่งลูกไปเรียนวิทยาลัยเกษตร เข้าคณะเกษตรศาสตร์ของมหาวิทยาลัยต่างๆ มีสักหนึ่งเปอร์เซ็นต์ไหมที่เมื่อศึกษาจบแล้วกลับไปทำนาทำสวนโดยใช้ความรู้นั้นๆไปพัฒนาอาชีพเกษตร ทั้งหมดไปทำราชการ เข้าทำงานกับบริษัทธุรกิจ หรือไม่ก็ทำอะไรที่ไม่เกี่ยวกับวิชาชีพนั้นเลย..


ทำไม..?

คุณ..ข้าราชการนั้นแสนสบาย มีหลักประกัน มีเงินเดือนกิน สิ้นเดือนก็ได้เงิน และเงินเดือนก็ขึ้นไปเรื่อยๆ ออกสนามก็มีเบี้ยเลี้ยง ไปไหนๆก็มีค่าที่พัก มีรถรับส่ง ไม่ต้องเติมน้ำมัน ไม่ต้องควักกระเป๋าซ่อมแซมรถ เจ็บป่วยก็มีสวัสดิการดูแลดีกว่า หลักประกันแบบนี้ คุณว่ามันต่างจากอาชีพเกษตรกรอย่างไรล่ะ

มันตรงข้ามเลยใช่ไหม ทำนาทำสวน สารพัดจะเสี่ยงตั้งแต่เริ่มปลูกจนจบกระบวนการคือตลาด ราคาสินค้า เจ็บป่วยก็ได้รับการรักษาแบบยาพื้นๆ อยากได้ยาดีดีต้องจ่ายเอง ไม่มีเงินเดือน ไปไหนมาไหนก็ควักกระเป๋าเอง..มันเทียบกันไม่ได้เลย..แล้วชีวิตจะเลือกอะไรล่ะ

ไอ้ความรู้ที่ข้าราชการเอามาแนะนำน่ะ เขาเคยทำมากับมือบ้างไหม ก็เป็นข้อมูลมือสอง มือสาม มือสี่ ที่ไม่มีประสบการณ์ตรงมาเลย

การศึกษา มันสร้างหุ่นยนต์ มันไม่ได้สร้างคน

ระบบสังคมใหม่มันหล่อหลอมจิตใจที่แตกสลายให้กับลูกหลานของเราภายใต้สีสันของความทันสมัย ความก้าวหน้า ….

ไม่ได้ปฏิเสธ สิ่งใหม่ๆหลอกนะ แต่หากไร้ราก ไร้ฐาน เองก็คือมนุษย์ที่ฟุ้งลอยไปกับ ลมเป่าของระบบทุน ระบบธุรกิจที่ฟุ้ง ฟูมฟาย กับสินค้าใหม่ๆของเขา ที่เกินความจำเป็นที่วิถีเจ้า

ลองพิจารณากล่องกระดาษสวยงามกล่องนั้นซิ ใครเห็นก็ต้องอยากได้มาเป็นเจ้าของอยากกินขนมข้างในเพราะกล่องมันสวย ทั้งสีทั้งลาย ทั้งการออกแบบ แต่เมื่อกลับเอาไปที่บ้าน เจ้ากินขนมข้างในแล้ว ก็รู้สึกว่า ก็งั้นๆ แค่รู้รสและไปเล่าให้เพื่อนๆฟังว่า ได้กินมาแล้ว กล่องกระดาษสวยๆก็ทิ้งลงถังขยะอย่างไร้ความหมาย กว่าจะมาเป็นกล่องโรงงานใช้ต้นไม้ไปกี่ต้น ใช้พลังงาน ใช้ทรัพยากรต่างไปเท่าไหร่ มันต่างจาก ขนมโบราณที่ห่อใบตองเพียงแค่สิ่งห่อหุ้มเท่านั้นเอง ใบตองที่ทิ้งไป กับกล่องกระดาษที่ทิ้งลงถังขยะไปนั้น ความหมายต่อสังคม ต่อโลกต่างกันมากมายทีเดียว

ระบบสังคมดึงเราไปทางไหนกัน…

อาชีพเกษตรกรมันจะเหลืออะไร เมื่อช่องว่างระหว่างเกษตรกรกับรัฐบาลนั้นมีพ่อค้าเข้ามาแทรกตรงกลาง และเป็นตัวจริงที่กำกับวิถีการเกษตร…

แล้วรัฐก็ผลักใสเกษตรกรด้วยคำว่า “จงพึ่งตนเอง” ป่าวประกาศทางออกของชีวิตว่า เกษตรกรทั้งหลายจงพึ่งตนเอง แต่เขาเหล่านั้นก็เดินต่อไปตามเส้นทางความทันสมัย ความก้าวหน้า การบริโภคเกินความจำเป็นแห่งชีวิต อาหารหนึ่งคำก่อนเข้าปาก ผ่านธุรกิจมาหลายประเภท ที่ลอยละล่องไปบนระบบประชาธิปไตยเสรี ที่คนกลุ่มหนึ่งเรียกร้องให้ปลดปล่อยสังคมไปยืนที่ตรงนั้น แต่ความเป็นจริงประชาธิปไตยเสรีนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะคำว่าเสรีนั้นคือเสรีบนความแตกต่างของอำนาจของทุน ทุนคือโอกาส แล้วมัน…เสรีแบบมึงได้เปรียบนี่หว่า..

พ่อไล..ส่ายหน้า พร้อมกับมองหน้าเรา

สังคมนี้สะสมความแตกต่าง ความแตกต่างคือพลังงานอย่างหนึ่ง มันเป็นพลังงานของความขัดแย้งและนำไปสู่รอบใหม่ของการเปลี่ยนแปลง มันเป็น Social cycle เพียงแต่มีใครมา organize มันเท่านั้น พลังนั้นย่อมไม่ต่างจาก Tsunami แล้วทุกอย่างราบเป็นหน้ากลอง

มนุษย์จะเกิดสติขึ้นมาอีกครั้งก่อนที่จะหลงใหลไปในวงจรใหม่ รอบใหม่ และเป็นรอบแล้วรอบเล่าท่ามกลางการป่าวประกาศธรรมของศาสนา ที่ทุกวันมนุษย์ได้ยินแต่ไม่สำนึก

พ่อไลยื่นมะละกอสุกสองสามลูกมาให้ อาจารย์เอาไปกิน หลังบ้านปลูกไว้เหลือกิน…

นึกถึงพ่อครูบาและแม่หวี ที่ช่องว่างหลังรถไม่มีที่เหลือเพราะเต็มไปด้วยผลผลิตจากสวนป่าที่ขนเอาไปฝากลูกหลานคนโน้นคนนี้…

ขณะที่ท้องผมอิ่มเพราะอาหารจากสวนป่า….

รอยหยักบนหน้าผมมีร่องลึกมากขึ้น… เพราะคำพูดของพ่อไล..ชาวบ้านธรรมดา


วันฟ้าม่วง

314 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 10 มีนาคม 2011 เวลา 0:32 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3750

เอารูปยามเช้าที่เวียงจันมาดูต่างหน้าก็แล้วกันนะครับ

อย่าตกใจว่า ฟ้าเวียงจันทำไมเป็นสีม่วง

อย่าตกใจว่าผมเป็นกลุ่มคนสีม่วง

แม้จะจบ มช. ที่ใช่สีม่วงเป็นสีของมหาวิทยาลัย

แต่ไม่เกี่ยวกันเลย

อยากย้อมสีรูปเล่นเท่านั้น อิอิ


เหงา

283 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 มีนาคม 2011 เวลา 9:24 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4816

ไปเวียงจันทีไรผมชอบตื่นแต่เช้ามืดแล้วเดินไปริมโขง

มองกลับเข้ามาบนผืนแผ่นดินแม่

ริมโขงตรงนั้นถูกพัฒนาให้เป็นสถานที่เดินเล่นนั่งเล่นยามเช้า เย็น

ทุกครั้งที่ไปเดิน ผมพบสิ่งที่ประทับใจ และให้คิดมากมาย

ยิ่งเราอ่านประวัติศาสตร์ พัฒนาการของเมืองเวียงจัน และภูมิภาคนี้

เมื่อไรที่มนุษย์ไม่มีธรรมครองใจ

ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น และส่งผลสะเทือนเลื่อนลั่นไปในอนาคตอีกนาน

ฝรั่งสูงอายุท่านนี้ อาจจะไม่ทราบเรื่องในอดีตที่ผ่านมา

ผมเฝ้าสังเกตนานพอสมควร ดูเหงามากมาย

บางจังหวะท่านหยิบเอา เม้าท์ออแกนออกมา เป่าเบาๆ

ปล่อยสายตาไปไกลสุดขอบฟ้า

ผมไม่ทราบว่าฝรั่งท่านนี้คิดอะไร

แต่สัมผัสได้ว่า นี่คือ

“ความเหงาท่ามกลางยุคสมัย”



Main: 0.084730863571167 sec
Sidebar: 0.20661211013794 sec