ผมแอบชื่นชม พ่อหวังและอีกหลายๆพ่อในชนบทที่เขามีวิธีการสอนคนแบบดั้งเดิม แบบบุพกาล อะไรทำนองนั้น ไม่มีหลักวิชา ที่สมัยใหม่ต้องเข้าไปเรียนวิชาสร้างคน(ครู)กันในห้องเรียน แต่ออกมาสร้างใครไม่เป็นจริงๆ ตรงข้ามบางคนกลับไปทำลายซะอีก
ครูดีดีมีเยอะนะครับ อย่าคิดว่าตีขลุมไปหมด ที่ผมกล่าวเช่นนั้นเพราะว่า ผมไปพบชาวบ้านคนหนึ่งที่เหมือนกับเด็กหนุ่มอีสานทั่วไป ที่โตขึ้นมาจากป่าเขาก็อยากเข้าเมือง ความรู้ก็แค่ ป.4 แล้วจะเลี้ยงตัวเองได้อย่างไร มีอย่างเดียวคือแรงงาน สีวร ไม่ใช่สีเหลืองสีแดง แต่เป็น “สีวร” ชื่อเด็กหนุ่มดงหลวงคนนี้ ตะลอนไปหางานทำทั่วไปหมด ที่ไหนมีการจ้างก็ทำไม่เลือกหนักเบา …
ในที่สุดพบว่า เงินที่ได้จากค่าจ้างแค่ซื้อปลาทูกินเท่านั้น หลายปีเข้า ก็เหมือนเดิม สีวรทบทวนชีวิตตัวเองแล้วก็หันหลังให้กับสังคมเมืองเดินกลับบ้านป่า กลับไปอยู่กับพ่อแม่ ทำนาทำไร่ และมีครอบครัวเหมือนหนุ่มทั่วไป แต่ลึกๆสีวรดิ้นรนจากสภาพเดิมๆ แต่ไม่รู้จะทำอะไร แล้วสีวรก็เดินชีวิตเฉียดข้าไปที่ยาเสพติด…
พ่อหวังเป็นชาวโซ่ ธรรมดาคนหนึ่งแต่ผ่านการปรุงชีวิตจากป่า จากงานพัฒนาของเครือข่ายอินแปง ที่เอาชีวิตมาปอกกันเป็นรายคน ว่าตั้งแต่เกิดมาจนถึงปัจจุบันนี้เป็นอย่างไร แล้วจะเดินไปทางไหนกัน การเข้าค่ายปอกเปลือกชีวิตครั้งนั้นทำให้ผู้นำไทบรูจำนวนมาก ตกผลึกกับชีวิต…เขาเหล่านั้นเดินกลับบ้านด้วยความหวังของการสร้างครอบครัวแบบพึ่งตัวเอง..
พ่อหวังกลับมาเห็นสีวร ซึ่งเป็นเหมือนลูกหลาน เห็นมาตั้งแต่เด็ก จนโตรู้นิสัยใจคอ รู้หัวนอนปลายตีนดี เห็นแววการดิ้นรนแต่ไม่มีทางออก ไม่มีทางไป และเดินเฉียดยาเสพติดเข้าไปทุกที พ่อหวังเห็นว่าเด็กคนนี้จะเสียคนแน่จึงชวนมาอยู่บ้านสวน มากินมานอนมาคุยกันมาทำงานทำนาทำสวนนี่แหละ แต่ทำไปด้วยคุยไปด้วย พ่อหวังที่ผ่านโลกมาก่อน ผ่านการใช้ชีวิตในป่า ต่อสู้กับรัฐบาลมาก่อน แล้วก็ออกมาสร้าวครอบครัวใหม่ด้วยแนวทางเกษตรผสมผสาน พออยู่พอกิน พอประมาณ
สองปีที่สีวรใช้ชีวิตกับพ่อหวัง ไปๆ-มาๆระหว่างบ้านตัวเองกับบ้านพ่อหวัง ความรักที่พ่อหวังให้แก่สีวร การสั่งสอนแบบไม่สอนคือทำไปด้วยกัน ใช้เวลาพูดคุยแลกเปลี่ยน และคลุกวงในของชีวิตกันและกัน สองปีนั้นสีวรอิ่มเอมกับมิติใหม่กับชีวิต เขากราบลาพ่อหวังพาครอบครัวลูกน้อยไปสร้างบ้านสวนขึ้นมาด้วยมือเขาเอง ปลูกทุกอย่างที่กินได้ แรงงานที่เคยรับจ้างเขา แต่คราวนี้ แรงงานทุกหยาดหยด มันคือสิ่งที่เขาได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย
สีวรบอกว่า ผมเรียนชีวิตจากพ่อหวังจากงานพัฒนา จาการพูดคุยแลกเปลี่ยน จาการดูพ่อๆทั้งหลายที่สร้างชีวิตมาก่อนผม ผมเข้าใจแล้วว่าผมควรจะทำอะไร ทุกวันนี้ภรรยาสีวรมีความสุขกับการเก็บผักต่างๆในสวนไปขายที่ตลาดมีรายได้ไม่ต่ำกว่าวันละ 2-3 ร้อยบาท
เมื่อผมเข้ามาสัมผัส Hug school ฟังคุณครูทั้งหลายปอกเปลือกตัวเองให้ฟังแม้ว่าจะเป็นเสี้ยวส่วนก็ตาม ทุกคนกล่าวเป็นเสียงเดียวว่า เขามีความสุขมากที่ทำงานที่นี่ เข้าใจได้ไม่ยากเลยที่ผู้บริหารโรงเรียนเป็นพี่น้องในครอบครัวเดียวกัน แต่มีความเหมือนกันที่ทุกคนรักดนตรี อาจจะเลยไปถึงรักมากที่สุดด้วย รักศิลปะ และช่างดีเสียนี่กระไรที่คุณพ่อก็เป็นคนที่รักดนตรี รักอิสระ และสร้างสรรค์
Hug school ต่างจากโรงเรียนในวิถีชีวิตพ่อหวังที่หลอมสีวรขึ้นมาเป็นผู้คนได้ มันต่างกันสุดหล้าฟ้าเขียว แต่มีสิ่งที่เหมือนกัน ที่เป็นแก่นลึกข้างในของพื้นฐานการสร้างคนคือ “ความรัก” ที่มนุษย์พึงมีต่อกันเพื่อเสริมสร้างให้แก่กัน
ความรักนี้ช่างยิ่งใหญ่จริงๆ ความรักมันสร้างโลกได้จริงๆ ในสังคมเรามีแม่พระ พ่อพระเช่นนี้มากมายที่เราผ่านพบบ่อยๆ
แต่ในระบบการเรียนในห้องของเรานั้นที่มีกระทรวงศึกษาเป็น Manager ใหญ่นั้น ความรักมันไปซ่อนซุกอยู่ตรงไหน หรือมันระเหยระเหิดไปหมดสิ้นนานแล้ว มีแต่หว่านคำพูดหรูๆ สร้างเกณฑ์ประเมินกันหน้าดำคร่ำเครียด
ถามว่าเมื่อพ่อหวังสร้างสีวรมาด้วยความรักความเป็นลูกหลานในหมู่บ้านเดียวกัน และประสพผลสำเร็จเช่นนี้ จะมีอะไรเกิดขึ้นในสายสัมพันธ์ของคนทั้งสอง ครอบครัวทั้งสอง และทัศนคติที่เขามีต่อเพื่อนร่วมหมู่บ้าน….
นี่คือทุนทางสังคมที่ดีงาม หมดจรด ทุกอย่างมันก็ตามมา ความเอื้ออาทรต่อกันและกันลามออกไปถึงผู้อื่นที่สีวรทำกับผู้อื่น มองกับผู้อื่น
หากมีความขัดแย้งเกิดขึ้นในหมู่บ้าน คนสองคนจะไล่ฆ่าแกงกันไหม มีแต่จะยื่นมือมาจับต้องและนั่งลงคุยกันฉันท์พี่น้อง และอภัยให้แก่กัน
ผมคิดว่า Hug school กำลังทำงานที่ยิ่งใหญ่ เหมือนที่มงคลวิทยากำลังสร้างอยู่ เหมือน ดร.อาจองยื่นสองมือไปโอบกอดเด็กสัตยาไส เหมือนลูกหลานที่มีแต่ความหวังดีมอบให้ เหมือนกับพ่อแม่มีต่อลูก…
Hug school ใช้ศิลปะแขนงต่างๆเป็นสื่อกลางที่กล่อมเกลาด้านในของตัวเด็ก ไม่ว่าจะเป็นเสียงเพลง สีน้ำ…..ฯลฯ ชื่นชมคนหนุ่มสาวกลุ่มนี้ครับ
ความรักสร้างคน สร้างสังคม สร้างโลก
เรามารักกันเถอะครับ…