ปรากฏการณ์ Tipping Point — เมื่อถึงจุดเปลี่ยน
อ่าน: 8400บันทึกนี้ งอกออกมาจากบันทึกลานเสวนาประชาธิปไตยสไตล์เฮฮาศาสตร์ครับ แยกบันทึกเพราะไม่เกี่ยวกับบันทึกหลักโดยตรง
คำว่า Tipping Point มีความหมายที่ซ่อนอยู่หลายนัย แถมดูจากรากศัพท์ก็จะงง คำว่า tip ที่เป็นคำนาม แปลว่า ยอด หรือ เงินทิป
ในความหมายกว้างทางสังคมวิทยานั้น Tipping Point หมายถึง “เวลา” ที่เหตุการณ์อันหนึ่งซึ่งเคยเป็นเรื่องพิเศษ กลายเป็นเรื่องธรรมดา เช่นความละอายเปลี่ยนเป็นความไม่อาย ความท้าทายกลายเป็นความจำเจ ฯลฯ ซึ่งในปี 2543 Malcolm Gladwell เขียนอธิบายความไว้ว่าแม้ปัจเจกบุคคลจะไม่สามารถควบคุมสังคมได้ แต่การกระทำบางอย่าง สามารถสร้างความแตกต่างได้ ในหนังสือยอดนิยมชื่อ The Tipping Point: How Little Things Can Make a Big Difference
ความหมายในแนวกว้างนั้น ทำให้ Thomas Schelling ได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี 2548
ในความหมายของสภาวะอากาศ หมายถึงจุดที่การเปลี่ยนแปลง(อุณหภูมิ)ไปจนถึงจุดที่ไม่สามารถจะย้อนกลับได้อีก ซึ่งตอนนี้ก็ใกล้ความพินาศมากแล้ว
ทฤษฎี Tipping Point ยังแตกย่อยออกไปอีกหลายแขนงเช่น
- ทฤษฎีพินาศ (Catastrophe theory) เป็นทฤษฎีทางคณิตศาสตร์ ซึ่งไม่น่ากลัวเหมือนชื่อ
- มวลวิกฤติ (Critical mass) ปริมาณที่น้อยที่สุดที่ทำให้เกิดผลที่ต้องการ เช่นปริมาณยูเรเนียม/พลูโตเนียมที่ใช้ในการผลิตระเบิดปรมาณู หรือจ่ายเงินเท่าไหร่จึงได้ควบคุมอย่างแน่นอน
- ผลต่อเนื่อง (Domino effect) เมื่อเกิดอะไรขึ้นสักอย่าง ก็อาจมีผลกระทบต่อผู้ที่อยู่รอบข้าง ล้มตามๆ กันไป
- Emergence ผลรวมเมื่อสิ่งเล็กๆ มารวมกัน เช่นจอมปลวก รังนก ซึ่งเกิดมาจากชิ้นส่วนเล็กๆ มาประกอบกัน ดูส่วนเล็กๆ จะไม่เข้าใจเลยว่าเมื่อประกอบกันออกมาแล้ว จะออกมาเป็นอย่างไร คล้ายตาบอดคลำช้าง
- ปรากฏการณ์ลิงตัวที่หนึ่งร้อย (Hundredth Monkey Effect) หมายถึงพฤติกรรมบางอย่างเกิดขึ้น และแพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อไปถึงปลายทางอาจกลายเป็นคนละเรื่องไปก็ได้ เช่น “กระแส” แฟชั่น ข่าวลือ ความลับที่บอกต่อๆ กันไปว่าห้ามบอกใคร (รวมทั้งสิ่งห่วยๆ ที่สังคมไทยชอบทำอีกหลายอย่าง ที่รับมาโดยไม่ได้พิจารณา ดัดแปลงโดยไม่เข้าใจแก่น ไม่มีราก)
« « Prev : พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร
Next : ลืมตัว » »
2 ความคิดเห็น
น่าสนใจมากครับ คอน อยากได้ศึกษาต่อ ปรากฏการณ์ทางสังคมไทยก็เกิดการเปลี่ยนแปลงตามทฤษฎีเหล่านี้มามากเหมือนกัน ในงานพัฒนาชุมชนพี่ก็เคยเขียนไว้บ้าง แต่ส่วนใหญ่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วเอาทฤษฎีนี้ไปอธิบาย แต่ยังไม่เคยได้ยินว่ามีการสร้างกิจกรรมใดๆขึ้น เพื่อตั้งวัตถุประสงค์ให้เกิดผลทางทฤษฎีนั้นๆ
น่าสนใจ จริงๆครับ
เรื่องนี้มีบทเรียนครับ เพราะสิ่งเล็กๆ ไม่ใช่ว่าจะไร้ความหมายเสมอไป ในบางกรณี อาจก่อให้เกิดสิ่งใหญ่ได้เหมือนกัน
ดังนั้นข้ออ้างที่ว่าเป็นคนตัวเล็กแล้วจึงไม่อยากเสนออะไร ไม่อยากทำอะไร ทำไปก็ไร้ค่า จึงฟังไม่ขึ้น
ประเด็นสำคัญ อยู่ที่ทำหรือไม่ทำ แล้วทำในสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่ต่างหากครับ — มันไม่ใช่เรื่องของเหตุผล เพราะเหตุผลขึ้นกับมุมมอง ขนาดคนโกงบ้านโกงเมือง ก็ยังหาเหตุผลให้กับตัวเองได้ แล้วยังโกงเลยครับ