หนึ่งขวบปี..มีอะไรที่นี่ 2
อ่าน: 14879สังคมแห่งไร้วาระสู่วาระ: ไม่ต้องทวนความเป็นมาของลาน แต่สรุปได้ว่า กลายเป็นพื้นที่ที่กลุ่มคนถูกคอมาชุมนุมกันตามสะดวก ไม่มีวาระจนมีวาระ คือ ใครว่างตอนไหน อยากเข้ามาในลานก่อนไปทำงานก็มา ใครรีบเร่ง งานเข้าก็ไปจัดการภารกิจเสีย เมื่อเสร็จคิดถึงลานก็เข้ามา นี่คือไม่มีวาระ แต่เมื่อเกิดมีท่านผู้ใดปึ๋งปั๋งอะไรขึ้นมาได้ว่าอยากทำนั่นทำนี่ก็บอกกล่าวเล่าขานกันก็กลายเป็นวาระขึ้นมา แล้วก็ทำภารกิจร่วมให้เสร็จสิ้นตามแบบฉบับไอ้หมัดเมาที่ไร้รูปแบบ ยืดหยุ่นสูง พร้อมที่จะปรับเสมอหากพร้อมใจกัน
เมื่อวาระเสร็จสิ้นก็จบสิ้นทางกายภาพ แต่จินตภาพไม่สิ้นสุด เชื่อว่าสาระของวาระนั้นๆได้กลับไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่แห่งการไร้วาระและค่อยๆพัฒนาไปสู่การมีวาระขึ้นมาอีก
การทำวาระซ้ำๆกัน ทำให้เห็นลู่ทางการยกระดับ ตรงนี้แหละที่ผมมองเห็นว่าคือการปรับตัวของกลุ่ม หรือองค์กรทั่วๆไป แม้สังคมประเทศก็เป็นเช่นนี้
มีแต่ “การคัดหางเสือ” ที่สมาชิกต่างช่วยกัน แล้วสาระจะเป็นสาระแห่งประโยชน์แห่งตนแห่งท่านและส่วนรวมกว้าง แล้ววาระก็จะพัฒนาไปเองสู่วาระที่ไปเกิดการผลักดันสังคมทั้งทางตรงและอ้อม
การใช้เวลา: มีข้อสังเกตว่าเราใช้เวลาที่ลานมากมายแค่ไหนต่อวันโดยเฉลี่ย ก็คงแล้วแต่ละท่านคงบอกตัวเองได้ ส่วนตัวเองก็บอกว่าวิถีชีวิตเปลี่ยนไป เป็นปกติธรรมดา เวลาเท่าเดิมแต่เราเอาเวลาไปใช้กับสิ่งนี้ ก็ทำให้เวลากับสิ่งนั้นก็ย่อมขาดหายไป กรณีของผมนั้น ด็เหมือนว่า เวลาในการอ่านหนังสือลดลง เวลาการดูทีวีลดลงไปมาก เหลือเพียงรายการที่ชื่นชอบเท่านั้น เช่น ข่าว กีฬา หนังดีดีสักเรื่องในสัปดาห์ หรือเดือนด้วยซ้ำ
หนังสือที่ชอบสะสมก็ยังสะสมเหมือนเดิม แต่อ่านลดลงมาบ้าง แต่เวลากับครอบครัวมีมากขึ้น คือ นั่งให้ทุกคนเห็นว่าอยู่ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเหมือนแต่ก่อนที่ออกบ่อยกว่านี้ และพร้อมที่จะทำกิจกรรมของครอบครัวเช่น ออกไปดูแลหมาที่รัก ดูแลต้นไม้รอบบ้าน ดูแลอาคารบ้านเรือนตรงไหนหัก ทรุด ต้องซ่อมแซม ตัดหญ้าลานข้างบ้าน เก็บกวาดหิ้งพระ..ฯ
เวลาจำนวนมากขึ้นได้คิดไตร่ตรอง ประเด็นต่างๆทั้งที่เกิดจากลานและในงานที่รับผิดชอบ เอาเวลาไปค้นคว้าหารายละเอียดมามากขึ้นเพราะมีประเด็นเกิดขึ้นนั่นเอง
มีเพื่อนใหม่: ไม่ไหลมาเทมาซึ่งก็เหมาะสมดีแล้ว แต่ก็เพราะสังคมลานโดยตัวของลานเองได้กรองโดยธรรมชาติมาแล้วอยู่แล้ว ดังนั้นที่มีอยู่จึงเป็นคนที่ถูกจริตกันและกัน ก็กลายมาเป็นคนคอเดียวกัน มันยากเหมือนกันนะที่จะรู้จักใครสักคนหากไม่มีตัวเชื่อมที่เหมาะสม พื้นที่ลานเหมือนกับใครก็ตามมาเดินบน cat-walk โชว์ความเป็นคน สองสามรอบเราก็รู้จักเข้าใจ เมื่อเข้าไปจ๊ะจ๋า สักพักก็กลายเป็นคนคอเดียวกัน สนิทสนม
สังคมฺ Blog ใหม่: ไม่คิดมาก่อนว่าโลกใบนี้จะมีสังคมแบบนี้ มันตรงข้ามกับโรคที่ระบาดในสังคมเมืองใหม่ที่เรียกว่า “ความเหงาหงอยท่ามกลางฝูงชน” ที่คนมากมายเห็นหน้าเห็นตา เดินชนกัน แต่ไม่รู้จักกัน แต่พื้นที่นี้ ไม่รู้จักหน้าค่าตากันเลย แต่มีใจให้แก่กันและกัน ความสัมพันธ์แห่งบุคคลก่อรูปจากตัวอักษรไปสู่ใจ มันเป็นสังคมแปลกเหมือนกันนะ ลานปัญญาได้เป็น Blog มากกว่า Blog ในขวบปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้ว ท่านลองนึกดูที่ สาระ กิจกรรม ปรากฏการณ์ต่างๆ ความสัมพันธ์ จริงๆไม่ทราบว่า blog อื่นๆเป็นเช่นไรเพราะไม่ได้เข้าไปท่อง แต่อนุมาณเอาเอง(ซึ่งอาจจะไม่ถูก) ว่ากลุ่มคนในลาน สาระในลาน กิจกรรมในลาน ความสัมพันธ์ในลาน เกิดไปตรงกับโครงการ ฉันรักประเทศไทย ของท่านนายกฯที่เพิ่งเปิดตัวไปนี่เอง.
ดูแต่ข้อดีดี ข้อเสีย หรือส่วนที่บกพร่อง มีไหมล่ะ น่าจะมีบ้างนะครับ เช่น
ให้เวลามากเกินไป: บางช่วงให้เวลามากเกินไปก็ทำให้งานอื่นบกพร่องไปเหมือนกัน ต้องทบทวนจัดการให้เหมาะสม จะรัก จะชอบก็เอาแต่พอหอมปากหอมคอนะ เกินพอดีก็ไม่ดี ตัวลานน่ะไม่เสีย แต่คนผู้ใช้ลานต่างหากที่เสีย อิอิ
เพื่อนที่ห่างหายไป: เชื่อว่าทุกคนก็มีวาระ ภาระ ของตัวเอง การเข้ามา ไม่เข้ามาในลานก็เป็นไปตามสิทธิส่วนบุคคล มิได้มีกฎเกณฑ์แต่อย่างใด แต่ที่มีเพื่อนบางท่านห่างหายไป ไม่ทราบเหตุผล คิดถึง ไม่ทราบเงื่อนไข หากทุกข์ร้อนอย่างใดก็อยากมาบอกกล่าวกันได้ไหม หากบอกได้ก็อยากให้บอก หากเป็นส่วนตัวจริงๆ ก็เคารพสิทธิส่วนนั้น แต่คิดถึง ลานจะมีกลวิธีอย่างไรที่จะเยี่ยมเยือนเพื่อนท่านนั้นๆที่ห่างหาย คิดไม่ออก
อือ…จบ.