หนึ่งขวบปี..มีอะไรที่นี่ 2

1958 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 5 กรกฏาคม 2009 เวลา 11:04 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 14515

สังคมแห่งไร้วาระสู่วาระ: ไม่ต้องทวนความเป็นมาของลาน แต่สรุปได้ว่า กลายเป็นพื้นที่ที่กลุ่มคนถูกคอมาชุมนุมกันตามสะดวก ไม่มีวาระจนมีวาระ คือ ใครว่างตอนไหน อยากเข้ามาในลานก่อนไปทำงานก็มา ใครรีบเร่ง งานเข้าก็ไปจัดการภารกิจเสีย เมื่อเสร็จคิดถึงลานก็เข้ามา นี่คือไม่มีวาระ แต่เมื่อเกิดมีท่านผู้ใดปึ๋งปั๋งอะไรขึ้นมาได้ว่าอยากทำนั่นทำนี่ก็บอกกล่าวเล่าขานกันก็กลายเป็นวาระขึ้นมา แล้วก็ทำภารกิจร่วมให้เสร็จสิ้นตามแบบฉบับไอ้หมัดเมาที่ไร้รูปแบบ ยืดหยุ่นสูง พร้อมที่จะปรับเสมอหากพร้อมใจกัน

เมื่อวาระเสร็จสิ้นก็จบสิ้นทางกายภาพ แต่จินตภาพไม่สิ้นสุด เชื่อว่าสาระของวาระนั้นๆได้กลับไปสู่จุดเริ่มต้นใหม่แห่งการไร้วาระและค่อยๆพัฒนาไปสู่การมีวาระขึ้นมาอีก

การทำวาระซ้ำๆกัน ทำให้เห็นลู่ทางการยกระดับ ตรงนี้แหละที่ผมมองเห็นว่าคือการปรับตัวของกลุ่ม หรือองค์กรทั่วๆไป แม้สังคมประเทศก็เป็นเช่นนี้

มีแต่ “การคัดหางเสือ” ที่สมาชิกต่างช่วยกัน แล้วสาระจะเป็นสาระแห่งประโยชน์แห่งตนแห่งท่านและส่วนรวมกว้าง แล้ววาระก็จะพัฒนาไปเองสู่วาระที่ไปเกิดการผลักดันสังคมทั้งทางตรงและอ้อม

การใช้เวลา: มีข้อสังเกตว่าเราใช้เวลาที่ลานมากมายแค่ไหนต่อวันโดยเฉลี่ย ก็คงแล้วแต่ละท่านคงบอกตัวเองได้ ส่วนตัวเองก็บอกว่าวิถีชีวิตเปลี่ยนไป เป็นปกติธรรมดา เวลาเท่าเดิมแต่เราเอาเวลาไปใช้กับสิ่งนี้ ก็ทำให้เวลากับสิ่งนั้นก็ย่อมขาดหายไป กรณีของผมนั้น ด็เหมือนว่า เวลาในการอ่านหนังสือลดลง เวลาการดูทีวีลดลงไปมาก เหลือเพียงรายการที่ชื่นชอบเท่านั้น เช่น ข่าว กีฬา หนังดีดีสักเรื่องในสัปดาห์ หรือเดือนด้วยซ้ำ

หนังสือที่ชอบสะสมก็ยังสะสมเหมือนเดิม แต่อ่านลดลงมาบ้าง แต่เวลากับครอบครัวมีมากขึ้น คือ นั่งให้ทุกคนเห็นว่าอยู่ไม่ได้ออกจากบ้านไปไหนเหมือนแต่ก่อนที่ออกบ่อยกว่านี้ และพร้อมที่จะทำกิจกรรมของครอบครัวเช่น ออกไปดูแลหมาที่รัก ดูแลต้นไม้รอบบ้าน ดูแลอาคารบ้านเรือนตรงไหนหัก ทรุด ต้องซ่อมแซม ตัดหญ้าลานข้างบ้าน เก็บกวาดหิ้งพระ..ฯ

เวลาจำนวนมากขึ้นได้คิดไตร่ตรอง ประเด็นต่างๆทั้งที่เกิดจากลานและในงานที่รับผิดชอบ เอาเวลาไปค้นคว้าหารายละเอียดมามากขึ้นเพราะมีประเด็นเกิดขึ้นนั่นเอง

มีเพื่อนใหม่: ไม่ไหลมาเทมาซึ่งก็เหมาะสมดีแล้ว แต่ก็เพราะสังคมลานโดยตัวของลานเองได้กรองโดยธรรมชาติมาแล้วอยู่แล้ว ดังนั้นที่มีอยู่จึงเป็นคนที่ถูกจริตกันและกัน ก็กลายมาเป็นคนคอเดียวกัน มันยากเหมือนกันนะที่จะรู้จักใครสักคนหากไม่มีตัวเชื่อมที่เหมาะสม พื้นที่ลานเหมือนกับใครก็ตามมาเดินบน cat-walk โชว์ความเป็นคน สองสามรอบเราก็รู้จักเข้าใจ เมื่อเข้าไปจ๊ะจ๋า สักพักก็กลายเป็นคนคอเดียวกัน สนิทสนม

สังคมฺ Blog ใหม่: ไม่คิดมาก่อนว่าโลกใบนี้จะมีสังคมแบบนี้ มันตรงข้ามกับโรคที่ระบาดในสังคมเมืองใหม่ที่เรียกว่า “ความเหงาหงอยท่ามกลางฝูงชน” ที่คนมากมายเห็นหน้าเห็นตา เดินชนกัน แต่ไม่รู้จักกัน แต่พื้นที่นี้ ไม่รู้จักหน้าค่าตากันเลย แต่มีใจให้แก่กันและกัน ความสัมพันธ์แห่งบุคคลก่อรูปจากตัวอักษรไปสู่ใจ มันเป็นสังคมแปลกเหมือนกันนะ ลานปัญญาได้เป็น Blog มากกว่า Blog ในขวบปีที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้ว ท่านลองนึกดูที่ สาระ กิจกรรม ปรากฏการณ์ต่างๆ ความสัมพันธ์ จริงๆไม่ทราบว่า blog อื่นๆเป็นเช่นไรเพราะไม่ได้เข้าไปท่อง แต่อนุมาณเอาเอง(ซึ่งอาจจะไม่ถูก) ว่ากลุ่มคนในลาน สาระในลาน กิจกรรมในลาน ความสัมพันธ์ในลาน เกิดไปตรงกับโครงการ ฉันรักประเทศไทย ของท่านนายกฯที่เพิ่งเปิดตัวไปนี่เอง.

ดูแต่ข้อดีดี ข้อเสีย หรือส่วนที่บกพร่อง มีไหมล่ะ น่าจะมีบ้างนะครับ เช่น

ให้เวลามากเกินไป: บางช่วงให้เวลามากเกินไปก็ทำให้งานอื่นบกพร่องไปเหมือนกัน ต้องทบทวนจัดการให้เหมาะสม จะรัก จะชอบก็เอาแต่พอหอมปากหอมคอนะ เกินพอดีก็ไม่ดี ตัวลานน่ะไม่เสีย แต่คนผู้ใช้ลานต่างหากที่เสีย อิอิ

เพื่อนที่ห่างหายไป: เชื่อว่าทุกคนก็มีวาระ ภาระ ของตัวเอง การเข้ามา ไม่เข้ามาในลานก็เป็นไปตามสิทธิส่วนบุคคล มิได้มีกฎเกณฑ์แต่อย่างใด แต่ที่มีเพื่อนบางท่านห่างหายไป ไม่ทราบเหตุผล คิดถึง ไม่ทราบเงื่อนไข หากทุกข์ร้อนอย่างใดก็อยากมาบอกกล่าวกันได้ไหม หากบอกได้ก็อยากให้บอก หากเป็นส่วนตัวจริงๆ ก็เคารพสิทธิส่วนนั้น แต่คิดถึง ลานจะมีกลวิธีอย่างไรที่จะเยี่ยมเยือนเพื่อนท่านนั้นๆที่ห่างหาย คิดไม่ออก

อือ…จบ.


หนึ่งขวบปี..ที่นี่มีอะไร 1

290 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 5 กรกฏาคม 2009 เวลา 10:36 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, ทุนสังคม, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 3169

(ย้ายมาจากลานเจ๊าะแจ๊ะครับ)

ถามตัวเองว่าหนึ่งขวบปีของลานปัญญามีอะไรที่นี่บ้าง ก็นึกๆพอจะเห็นสิ่งต่อไปนี้

จุ๊บจุ๊บ..เจ๊าะแจ๊ะ:
ผม เห็นคนคอเดียวกันมาเจ๊าะแจ๊ะกันที่นี่ในสาระพันเรื่องทั้งบ่นกะปอดกะแปด ทั้งเศร้า ทั้งดีใจ เรื่องในใจเอามาบอกกัน ให้กำลังใจกัน ชี้แนะกัน ทักท้วงกัน เสริมทักษะกัน จุดไฟปัญญาให้แก่กัน ปลอบประโลมแก่กัน ไถ่ถาม เติมเต็ม แม้กระทั่งฟ้องร้องกัน อิอิ..

โดย ธรรมชาติและเป็นที่เข้าใจกันว่าตรงนี้เป็นอะไรแบบสั้นๆ ได้ใจความที่ต้องการสื่อแก่กัน และใครต่อใครอย่างน้อยก็เข้ามาผ่านข้อความนี้ ก่อนไปลานอื่นๆ หากอยากจะเจ๊าะแจ๊ะก็หยอดลีลาลงไปตามแบบฉบับของตัวเอง หลายหลากอารมณ์

หลากหลายรสคำ:
แต่ ละคนมีเบ้าหลอมที่แตกต่างกัน ใครมีเบ้าแบบไหนไปรู้จักกันได้ที่ “เจ้าเป็นไผ๑” แต่ละคนมีรสนิยม ต่างกัน แม้กระทั่งความตั้งใจที่แตกต่างกัน แต่ละ “ลาน” จึงเป็นแบบฉบับของตนเอง ซึ่งมีทั้ง ขำกลิ้ง อมยิ้ม น่าคิด ชวนคิด แหย่ให้คิด จนกระทั่งกระแทกให้คิด บอกกล่าว เคร่งขรึม ตามจับความคิดตนเอง เตือนตัวเอง บอกกล่าวสิ่งที่พบเห็น สาระแห่งการงาน การชีวิต เทคโนโลยี ใครอยู่ในแบบไหนนึกกันเอาเองเด้อครับ..

ไม่ใช่สาระเท่านั้นที่เป็นแบบเฉพาะ การใช้ภาษา อักษร ก็หลากหลายลีลา ไปจนถึงหลุดลุ่ย(บางที)..อิอิ

เห็นคนในคน:
ใคร ก็ไม่รู้กล่าวว่าอยากรู้จักกันก็คุยกันซี อยากรู้จักกันมากกว่านี้ก็ต้องหากิจกรรมทำด้วยกัน อยากจะสัมผัสมุมลึกกันก็ต้องยามมีปัญหา แต่เพื่อนพ้องในลานพิสูจน์แล้วว่า เป็นคนคอเดียวกันจริงๆ เพราะเราชุมนุมกันหลายครั้ง และร่วมแก้ปัญหากันหลายครั้ง จากวันแรกมาถึงวันนี้ ผมว่าพวกเรากลายเป็นคนรู้ใจกันไปหมดแล้ว ยิ่งปอกเปลือกเห็นแก่นใน จปผ๑ ก็ยิ่งแดงโล่มาเลย ผมหลับตานึกถึงใครสักคน ก็เห็นอากัปกิริยาไปหมด ได้ยินน้ำเสียง หัวเราะ แหย่เย้าจนรู้นิสัยใจคอที่น่ารักแก่กัน

ที่มาแรงแซงโค้งดูจะเป็นอาม่าที่รักของพวกเรา..

ทำในสิ่งที่ไม่เคยหรือไม่ค่อย:
อัน นี้ผมเห็นก็ขำแบบดีใจที่ CEO ใหญ่ของเราลงทุนหาจอบขุดดินถมถนน ผมเดาว่าท่านผู้นี้ไม่เคยมาก่อน แต่อยู่ในชุมชนนี้ได้ทำ อิอิ..น่ารักจะตาย… บางท่านคงไม่ค่อยได้เข้าวัดเข้าวา ก็ได้มีโอกาสกราบพระงามๆ มีช่วงเวลาที่สัมผัสรากเหง้าทางจิตวิญญาณบ้าง บางคนไม่เคยและไม่ค่อยเข้าครัวก็ได้ย้อนรอยปลายจวักกัน ให้อิ่มเอมเปรมพุงกะทิไปหลายมื้อหลายคราว ยังคิดถึงผัดหมี่โคราชของท่านสะมะนึกะ …..ฯลฯ….

รุมสอน:
นี่ เป็นกรณีพิเศษจริงๆ ไม่มี blog ที่ไหนที่มีเหตุการณ์นี้ ไม่มีชุมชนเสมือนที่ไหนที่เป็นเช่นนี้ ไม่มี KM ที่ไหนที่มีภาพนี้ ที่นี่มีเจ้า “จิ” เหน่อเสน่ห์ เป็นกรณีเด่นที่สุดประการหนึ่งของลานเรา เพราะเราอยากเห็นภาพเหล่านี้ คล้ายๆๆแบบนี้ในกลุ่มคนทำงานแต่ไม่เกิด ไม่ค่อยเกิด แต่กลับมาเกิดกับลูกหลานน่าหยิกคนนี้ เธอมีเรื่องเดือดเนื้อร้อนใจก็มาวางไว้ที่ลาน ลุง ป้า น้า อา ปู่ ทวด ต่างทยอยกันมาเยี่ยมเยือนลูกลิง เอ้ยลูกหลานคนนี้.. คำแนะนำออกมา มันช่างวิเศษแท้ๆ พ่อครูว่าเหมือนกดปุ่ม..

ผมชอบสังคมนี้ตรงนี้มาก นึก ถึงสมัยเด็กๆ ในหมู่บ้านนอกที่วิเศษชัยชาญ เย็นๆเด็กในหมู่บ้านจะรวมตัวกันที่ลานกลางบ้านแล้วนัดเล่นสนุกๆกัน และเป็นที่รู้กันว่า เด็กที่เล่นนั้นไม่ว่าจะลูกครูใหญ่ หรือลูกคนไม่มีที่ดินชายบ้าน ผู้ใหญ่ทุกคนมีสิทธิ์สั่งสอน ตักเตือน แนะนำทุกอย่างหากเด็กคนใดเล่นพิเลนเกินไป หรือเกเร หรือทำให้ข้าวของเสียหาย แม้กระทั่งลงโทษตีเด็กคนนั้น พ่อแม่ทุกครอบครัวก็อนุญาต  ผมมองย้อนหลัง มันเป็นสังคมที่สวยงาม ที่ต่างช่วยกันประคับประคองความดีงาม ถูกต้อง ถูกทำนองครองธรรม กรณีจิคนสวย ก็เช่นกัน ลุงป้าน้าอา ปู่ย่าตายาย มาช่วยกันชี้แนะสิ่งที่ถูกที่ควรเมื่อเด็กมีปัญหา และเธอกล้าเอามาบอกกล่าว… งามจริงๆสังคมแห่งนี้

แปลกใหม่:
ปัจจุบัน มีบางคนเรียกเราว่า ป๋า..เรายังต๊กกะใจ ว่า เฮ้อ ตูข้านี่เป็น สว.ไปแล้วหรือนี่.. ผ่านร้อนผ่านหนาวมาจนลืมนับไปแล้ว มีหลายเรื่องก็ไม่รู้ก็ได้รู้ในที่นี่ ไม่เคยเห็นก็ได้เห็น ไม่เคยสัมผัสก็ได้รับรู้ อยากกอดสาวๆก็ได้กอด อิอิ.. ต้นอะไร เอกมหาชัย ชื่อก็พิสดาร แถมยังสารพัดประโยชน์ ทึ่งกระบี่ สุดยอดมุมลับของภูเก็ต อลังการเชียงราย ศรัทธายิ่งใหญ่ที่ลี้ลำพูน โดยเฉพาะท่านเทพ เอาอะไรก็ไม่รู้ไม่เคยพบเคยเห็นมาให้ศึกษา น่าดูน่าเรียนทั้งนั้น ท่านแฮนดี้ ก็คนอะไรช่างคิดช่างทำช่างสร้างสรรค์ ผมละอยากให้ถ้วยรางวัล “นักประดิษฐ์พอเพียง” แก่ท่านจริงๆ ผมว่าหลายคนก็เพิ่งได้ยินคำว่า dialogue ในมุมการเอามาใช้ประโยชน์เชิงพัฒนาคน.. ฯลฯ.. เห็นไหมล่ะ มากมายสาระที่แปลกใหม่สำหรับผม

น่าจะมีอีกมาก เท่าที่ด่วนๆคิดเอาก็เห็นดังกล่าวนี้แหละครับ




Main: 0.55007100105286 sec
Sidebar: 0.35360980033875 sec