กระต๊อบ..
อ่าน: 2807ภาพวาดในตลาดสก็อต กลางเมืองย่างกุ้ง เมียนมาร์
คล้ายตลาดเซ้า(เช้า) ของลาว มีสินค้าเกือบทุกอย่าง
เสื้อผ้า ทอง ของใช้ หยก ไม้แกะสลัก ของกิน ของฝาก
ใครไปย่างกุ้ง ต้องไปเที่ยวที่นี่นะครับ
ภาพวาดในตลาดสก็อต กลางเมืองย่างกุ้ง เมียนมาร์
คล้ายตลาดเซ้า(เช้า) ของลาว มีสินค้าเกือบทุกอย่าง
เสื้อผ้า ทอง ของใช้ หยก ไม้แกะสลัก ของกิน ของฝาก
ใครไปย่างกุ้ง ต้องไปเที่ยวที่นี่นะครับ
การท่องไปในโลกกว้างทำให้อยู่ในเงื่อนไขที่เห็นอะไรต่อมิอะไรมากกว่าปกติ แต่มากกว่าร้อยละ 90 ผมว่าได้เห็น แต่ไม่รู้เรื่องรายละเอียด หรือเมื่อผ่านไปก็จบสิ้นความทรงจำนั้นๆไปแล้ว ภาพที่ท่านเห็นนี้ก็เช่นกัน ผมไปทำเรื่องอื่น บังเอิญตรงนั้น บริเวณนั้นเขาทำกิจกรรมเกี่ยวกับไม้นี้เข้า จึงได้แต่ถ่ายรูปมาไม่มีเวลาที่จะซักไซ้รายละเอียด ซึ่งสามารถทำเป็นกรณีศึกษา หรือทำเป็นงานวิจัยน้อยๆเลยก็ได้นะครับ
บางคนเดาไม่ออกว่ารูปนี้มันคืออะไร “ตะเกียบ” ครับ
บางช่วงคนที่บ้านเหนื่อยไม่อยากทำอาหารก็บอกว่าไปซื้อทานเอาบ้างก็ได้ ถือโอกาสพักผ่อนไปด้วย และไปกินอาหารที่แตกต่างไปจากปกติบ้างก็ดีเหมือนกัน ถามว่าไปกินอะไร ผมสารภาพว่าชอบสลัดผักที่ร้าน Green leaf และสลัดเต้าหู้ของร้านฟูจิ ผมว่าเขาทำน้ำสลัดถูกปากผม และใส่งา ใส่เห็ด ผัก กำลังพอดี สิ่งที่มาคู่กันกับสลัดที่ร้านฟูจิ คือ ตะเกียบที่ใส่ในซองกระดาษดูสะอาด ปลอดภัย หากจะใช้ก็เอามาฉีกแยกออกจากกัน และมันไม่มีรอยให้เห็นความไม่สวยงามเลย ผมนั่งชมนวัตกรรมการทำตะเกียบของญี่ปุ่นนี้ ออกแบบเก่ง ไม้ที่มาทำดี และทำได้อย่างไรขณะที่ยังเป็นคู่นั้นแต่ละข้างกลมเท่ากัน แสดงว่าเขามีเครื่องมือทำตะเกียบที่ดีมากๆ เราไม่มีคำถามใดๆเกี่ยวกับความสะอาด ปลอดภัย และความน่าใช้
หลายครั้งผมถามซ้ำๆพนักงานว่าตะเกียบที่ใช้แล้วนี่เอาไปไหนหมด เธอบอกว่าทิ้งหมด…? หนึ่งคนต่อหนึ่งคู่ หนึ่งวันมีการใช้กี่คู่ เฉพาะที่ร้านนี้ ทั่วประเทศไทยมีร้านฟูจิกี่ร้าน ทั่วโลกมีกี่ร้าน จำนวนตะเกียบที่ใช้แต่ละวันนั้นเท่าไหร่…? ที่ใช้แล้วทิ้งไปด้วย…???? จำนวนตะเกียบที่ใช้แล้วทิ้งนี้ 1 วันทำมาจากต้นไม้กี่ต้น เดือนละกี่ต้น ปีละกี่ต้น ค่าใช้จ่ายต่อเดือนเท่าไหร่ในกระบวนการผลิต จนพร้อมใช้ แค่มาเขี่ยอาหารเข้าปากแล้วก็ทิ้งไปนี่นะ มันเป็นการกระทำเพื่อสุขภาพที่มีต้นทุนมากมายหรือเปล่า มันเป็นค่านิยมระบบทุนที่แข่งขันกันทำสิ่งที่เหนือกว่า แต่…..
ผมนึกเล่นๆว่า เอ..หากเรามาขอตะเกียบใช้แล้ว ไปทำอะไรต่อดีไหม เช่น ล้างให้สะอาดแล้วให้เด็กต่อเป็นรูปต่างๆ สร้างบ้านเล็กๆ หรือ….. ดัดแปลงเป็นเฟอร์นิเจอร์อะไรได้ไหม หรือ เอาไปทำฟืน ..เปล่าหรอก ก็แค่คิดเท่านั้นเมื่ออิ่มผมก็เดินออกไปกลับบ้าน มื้อต่อไปก็กินข้าวกับน้ำพริกเช่นเดิม….
แต่รูปข้างบนนั้นเป็นอุตสาหกรรมในครัวเรือนหนึ่งที่ทำตะเกียบจากไม้ไผ่ กระบวนการทำก็ง่ายๆแบบบ้านเรา ไม่มี ISO ไม่มี อย. ไม่มีการประกันความสะอาดปลอดภัย เครื่องมือทำก็ง่ายๆ วางบนพื้นที่ฝุ่นเต็มไปหมด ไม่มีมาตรฐานความสะอาดใดๆเลย และตะเกียบที่ออกมาจากเครื่องก็กองลงกับพื้นที่มีถุงปุ๋ยกางรับอยู่ แม้ว่าจะรู้ว่าเขาไม่ได้เอาไปใช้ทันที น่าที่จะเอาไปต้ม ลวก ตากแดด หริอบให้แห้งกันเชื้อรา แล้วแพ๊คใส่ถุงพลาสติดส่งขาย แต่ที่บ้านนี้เป็นแหล่งผลิตขั้นต้น
ผมถามว่าไม้ไผ่เอามาจากไหน เขาตอบว่าเอามาจากหมู่บ้านแถวนี้ หรือป่าแถวนี้ หรือห่างออกไป แล้วมันไม่หมดป่าหรือ ผมถามต่อ เขาตอบว่า ต้นไผ่โตเร็ว ปีเดียวก็ขึ้นมาใหม่เต็มไปหมด ก็อาจจะจริง แต่ไม่มีการศึกษาปริมาณที่ตัดเอามาใช้กับอัตราการเกิดขึ้นนั้นพอดีกันไหม หรือเกิดมากกว่า หรือเกิดน้อยกว่า อันจะส่งผลขาดแคลนในอนาคต… ไม่มีการศึกษา
ผมไม่ได้ต่อต้านการทำตะเกียบของชาวบ้าน แต่น่าที่จะมีการพัฒนากระบวนการให้ดีกว่านี้ สะอาดและเป็นมืออาชีพมากกว่านี้ และควรจะมีสถาบันการศึกษาท้องถิ่นลงมาเก็บข้อมูลศึกษาผลกระทบต่างๆด้วย หากทางวิชาการเข้ามาก็น่าที่จะพัฒนาเป็นอุตสาหกรรมครัวเรือนที่ดีได้ ส่งเสริมการปลูกไผ่มากขึ้น ไผ่อะไรที่ทำตะเกียบดีที่สุด วิธีใช้แบบไหนที่ประหยัดไม้ไผ่ หากจะทิ้งตะเกียบ เอาไปทำต่ออะไรได้บ้าง…ฯลฯ
คนทำงานพัฒนาก็เพ้อฝันไปเรื่อยแหละครับ…
ผมไม่ได้เที่ยวสงกรานต์มานานหลายปีจนจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่จำได้ช่วงที่ทำงานพัฒนาชนบทที่ อ.สะเมิง เชียงใหม่นั้น ผมเตรียมน้ำส้มป่อย พร้อมกับทีมงานไปดำหัวพ่อแคว่น หรือกำนัน และพ่อหลวง หรือผู้ใหญ่บ้าน และผู้เฒ่าที่เคารพในหมู่บ้าน ไปกราบอวยพรท่าน และขอรับพรจากท่าน มีการดำหัว ก็แค่รดน้ำบนฝ่ามือท่านที่มีขันเงินใบใหญ่รองรับ มีดอกไม้ไปกราบท่านด้วย
หลังจากนั้นก็เล่นสาดน้ำตามประสาหนุ่ม สาว ที่มักจะมีผู้ใหญ่คอยบอกกล่าวถึงการเล่นที่ไม่เกินพอดี แต่ปกติ หนุ่มสาวก็มักจะถือโอกาสนี้ หยอกล้อกัน จีบกัน หรือส่งสัญญาณว่าชอบพอกันให้ปรากฏ ผมชอบที่ชนบทแม้จะมีการดื่มเหล้าแต่ไม่มีเรื่องร้ายแรงใดๆ มักเป็นเรื่องสนุกสนานเสียมากกว่า แต่ทั้งหมดอยู่ภายใต้สายตาผู้หลักผู้ใหญ่ หลักจากนั้นก็ขนทรายเข้าวัด และพิธีกรรมพื้นบ้านต่างๆ การสาดน้ำนั้นมีนานกว่าในเมือง โดยมากก็เป็นหนุ่มสาวและเด็กๆที่เห็นเป็นเรื่องสนุก
สงกรานต์ในชนบทที่ผมผ่านมาจึงเป็นเรื่องประเพณีท้องถิ่นจริงๆ ผมเห็นสิ่งดีงามที่เกิดขึ้น คือการดำหัวผู้ใหญ่และการแสดงตัวถึงการเคารพนับถือ และผู้ใหญ่ก็อวยพรด้วยความเมตตา ตลอดปีมาอาจจะมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจมาบ้างก็มาขอขมาลาโทษและเริ่มต้นกันใหม่ ต่างฝ่ายก็ให้อภัยกัน สังคมจึงสืบต่อกันมาอย่างมีความสุขตามสภาพ โดยเฉพาะความสุขทางใจที่อบอุ่น
อาจเป็นเพราะสะเมิงสมัยนั้นเป็นชุมชนค่อนข้างปิด หรือกล่าวอีกทีคือเป็นแบบกึ่งเปิดกึ่งปิด เพราะการติดต่อกับในเมืองค่อนข้างลำบาก สาระของชีวิตจึงเป็นแบบท้องถิ่นอย่างอุดมสมบูรณ์ เพราะถนนไม่ดี ระบบสื่อสารไม่มี ทีวีรับได้ แต่มีจำนวนบ้านที่มีทีวีนั้นไม่ถึงห้าครอบครัว
ชีวิตจึงไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่อยู่ที่การมีกินและพอมีใช้ เราอาจเรียกชุมชนแบบนี้ว่าค่อนข้างบริสุทธิ์ งานของเรานั้นก็ไปส่งเสริมอาชีพ ยกระดับการมีรายได้ด้วยการปลูกพืชเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วคือ กระเทียม ถั่วเหลือง ข้าวไร่ ยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนีย ซึ่งที่อีสานเป็นพันธุ์เตอร์กิส ที่ชาวบ้านมักเรียกสั้นๆว่า “ยากีส” งานที่สะเมิงที่เราภูมิใจมากคือการตั้งกลุ่มเครดิตยูเนี่ยน หรือกลุ่มออมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันมีเงินมากมายถึง 45 ล้านบาท ทั้งที่เริ่มมาจาก เงินไม่กี่ร้อยบาทในปี 2519 สมัยนั้นไม่มีคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” แต่มีคำว่า “ยืนบนขาของตัวเองได้”
อ้าวเลยเถิดไปแล้ว…
กลับมาที่งานสงกรานต์สมัยนี้ ผมเห็นแล้วก็ตั้งคำถามเยอะ ไปหมดว่า ไอ้ถนนข้าวเหนียวที่ขอนแก่นนั้นสร้างชื่อเสียงในเรื่องการไม่มีเครื่องดื่มมึนเมา ดูดีนะ แต่ที่พยายามสร้างความยิ่งใหญ่โดยการทำเวฟคลื่นมนุษย์ใหญ่ที่สุดในโลก อะไรนั่น มันเป็นประเพณีโบราณมาจากไหน มันสร้างให้คนรักกันตรงไหน มันไปเสริมวัฒนธรรมประเพณีดีงามที่ตรงไหน
(ภาพจากอินเตอร์เนต)
มันเป็นการสร้างกิจกรรมใหม่ขึ้นมาที่เน้นการท่องเที่ยว สนุกสนานมากกว่าสาระทางคุณค่าจิตใจ ด้านในของมนุษย์เรา ใช้เงินทองไปมากมายกับเรื่องเหล่านี้ คนมาเที่ยวมากก็ทำให้เงินไหลสะพัด ธุรกิจที่พัก อาหารการกิน ซุปเปอร์มาเก็ต และพวก Department store ขนาดใหญ่ที่ขายดิบขายดี หรือเพราะว่านายกเทศบาลนครขอนแก่น และนายก อบจ. เป็นพ่อค้าใหญ่ในเมืองขอนแก่น
การทำกิจกรรมใหม่ๆนอกเหนือประเพณีเดิมๆนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และ trend ของสังคมก็เป็นเช่นนั้น แต่คำถามคือ
กิจกรรมเหล่านี้ได้สร้างคุณค่าทางสังคมแห่งการอยู่ร่วมกันได้หรือไม่
ผู้คนที่มาเล่นน้ำ เล่นเวฟคลื่นมนุษย์นั้นมีสักกี่คนที่ไปรดน้ำดำหัวพ่อแม่ ตายาย ผู้มีพระคุณของเขาหรือไม่
กิจกรรมแบบนี้ได้เปลี่ยนความเข้าใจในเรื่องประเพณีสงกรานต์ของเราไปสิ้น ปีหน้าจัดให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ระดมคนมาให้มากกว่านี้เพื่อจะได้เป็นสถิติโลก..แล้วสังคมได้อะไร…..การส่งต่อคุณค่าทางวัฒนธรรมอยู่ที่ตรงไหน การผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมอยู่ตรงไหน
ก็เข้าใจกันว่าสังคมค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนตัวของระบบใหญ่ของประเทศที่ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์เช่นนี้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับชุมชนด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ผมก็แค่คำนึงถึงประเพณีดั้งเดิมดีดีของเรา…
ที่กำลังจางลงไปและจะเหลือเพียงการกล่าวถึงเท่านั้น..
ไกด์ โจ เล่าให้ฟังว่า การย้ายเมืองหลวงจากย่างกุ้งไปที่ เนปิดอ นั้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ เพราะรัฐบาลไม่เคยแพร่งพรายให้ประชาชนทราบมาก่อน ไม่มีการรับฟังความเห็นเหมือนในไทยหรืออื่นๆ เพราะเป็นรัฐบาลทหาร จู่ๆ รัฐประกาศว่าย้ายเมืองหลวงไปเนปิดอ ก็ย้ายเลย
มีการค้นหาเหตผลว่าทำไม…
โจ เล่าว่า มีผู้อธิบายว่าเพราะรัฐบาลเมียนมาเกรงอเมริกาหากเกิดความขัดแย้งหนัก ก็จะเอากองทัพเรือมาบุกปากอ่าวแล้วยึดประเทศได้โดยง่าย บางเหตุผลก็ว่าที่ เนปิดอ มีทำเลที่เหมาะสมหากมีสงครามก็สามารถต่อสู่ได้เพราะ เนปิดอ ตั้งอยู่ระหว่างหุบเขากว้างใหญ่ การเอากองกำลังไปตั้งไว้ตามยอดเขาต่างๆรอบเมืองก็สามารถต่อสู่ศัตรูได้ โดยเฉพาะการสู้รบโยเครื่องบิน แต่เหตุผลที่รัฐอธิบายต่อสาธารณะคือ ที่ย่างกุ้งนั้นรัฐบาลไม่สามารถสร้างตึกสูงได้เพราะจะไปสูงกว่าเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งประชาชนไม่ยอม
แต่โจสรุปว่า ทุกเรื่องที่กล่าวมานั้นน่าจะเป็นเหตุผลที่ใช้อธิบายแก่สาธารณะโลก แต่เบื้องหลังนั้นรัฐบาลทหารเชื่อหมอดู ที่แนะนำให้ย้ายเมืองหลวง…? (เท็จจริงอย่าไรนั้น ผู้สนใจอาจค้นคว้าต่อไป)
ในทางสังคมศาสตร์นั้น เราเรียนรู้กันถึงพฤติกรรมความสัมพันธ์ของมนุษย์ว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับ คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ จะมากจะน้อยก็แตกต่างกันไป แต่มักมีซ่อนอยู่ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ปากก็บอกว่าตัวเองเชื่อในเรื่องเหตุเรื่องผล แต่ที่บ้านยังกราบไหว้สิ่งเหนือธรรมชาติ ที่คอยังห้อยพระอยู่
ผู้ปกครองจำนวนมากจะรับคนเข้าทำงานยังดูโหงวเฮ้ง เอาวันเดือนปีเกิดไปแอบดู ก่อนตัดสินใจ มีครับมีจริงๆ ยิ่งคนที่มีเงินทองมากๆ มีตำแหน่งสูงๆ ก็ยิ่งกลัวว่าจะอยู่ไม่ได้นาน ก็พยายามทุกวิถีทางที่จะมั่งมีต่อไป อยู่ในตำแหน่งต่อไปให้ชั่วฟ้าดินสลายได้ยิ่งดี….
ไกด์ โจ กล่าวว่า นายทหารผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งต้องการสร้างเจดีย์เสริมบารมีตน เหมือนเจ้าผู้ครองนครในอดีต แต่ชาวบ้านทักท้วงว่า หากไม่ใช่เชื้อเจ้าผู้ครองนคร ไม่ใช่ผู้มีบุญแท้จริงแล้วจะสร้างไม่สำเร็จ และเป็นเช่นนั้นจริงๆ เจดีย์ที่สร้างคาราคาซังอยุ่จนปัจจุบันนี้ และนายทหารท่านนั้นก็ถูกจับติดคุกหัวโต เพิ่งจะออกมาจากคุกได้ไม่นานนี้…
ไกด์ โจ กล่าวว่ารัฐบาลไปสร้างเนปิดอ แบบเนรมิตเมืองใหม่ทั้งเมืองขึ้นมา มีตึกใหญ่โต ทันสมัย มีถนนชั้นดี วางแลนดสเคป สวยงาม มีบ้านพักและสาธารณูปโภคที่เพียบพร้อม และสั่งการว่า หน่วยวานรัฐทั้งหมดที่สังกัดรัฐบาลต้องย้ายไปที่ เนปิดอ และข้าราชการทุกคนที่สังกัดนั้นต้องย้ายไปด้วย หากใครไม่ย้ายไปรัฐจะไล่ออกพร้อมกับติดคุก 1 ปี….(ป๊าด…..อะไรจะปานนั้น)
สร้างความโกลาหล อลม่านให้เกิดขึ้นแก่ข้าราชการมากมาย กว่าจะปรับตัวได้ก็ทุรักทุเล เพราะ เงื่อนไขข้าราชการแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนรับราชการ มีพ่อแม่ที่แก่เฒ่า ต้องดูแล พ่อแม่ก็ไม่อยากจะย้ายไป บางคนมีลูกเล็ก ครอบครัวมีธุรกิจที่ย่างกุ้งก็ไม่อยากไป บางคนเจ็บป่วยต้องการดูแลรักษาที่ย่างกุ้ง แม้ที่ เนปิดอจะมีโรงพยาบาลใหม่ แต่คุณภาพหมอยังสู้ที่ย่างกุ้งไม่ได้..ฯลฯ แต่ไม่ไปโดนไล่ออกและติดคุก
นี่คือรัฐบาทหาร เผด็จการ เด็ดขาด
น่าจับตาเมียนมาร์จริงๆ กำลังจะเป็นประธานอาเซี่ยน กำลังจะจัดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ กำลังจะมีรัฐบาลใหม่ที่มี ออง ซาน ซู จี เป็นหัวหน้า เป็นรัฐที่มีทรัพยากรพลังงานมาก ป่าไม้ ทองคำ หยก และมีชายแดนติดกับ อินเดีย จีน แค่สองประเทศก็มีตลาดมากกว่าครึ่งของอาเซียน เป็นประเทศเดียวในอาเซี่ยนที่มีพื้นที่ที่เป็นน้ำแข็ง หิมะ คือส่วนเหนือของประเทศ กำลังทุ่มสร้างสาธารณูปโภคอย่างหนัก
ไทยเรามองเวียตนามว่าเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่หลายอย่างเขาก้าวเลยไปแล้วทั้งๆที่เขาเผชิญสงครามมานานมาก ทางตะวันตก ไทยกำลังมีคู่แข่งที่สำคัญคือเมียนมาร์อีก
ไทยเรายังทะเลาะกันไม่จบ ยังควานหาการปรองดอง ไม่พบ
การไม่ก้าวไปข้างหน้า ก็เท่ากับถอยหลัง
พื้นที่ส่วนใหญ่ของเมียนมาร์นั้นมีชนเผ่ามอญครอบครองมาก่อนพุทธกาลถึง 2400 ปี เรียกอาณาจักรสุวรรณภูมิ นับถือศาสนาพุทธ เถรวาท 92.3% ระหว่างเดินทางนั่งในรถผ่านตัวเมืองย่างกุ้ง เราเห็นพระเณร ออกมาบิณฑบาต โจ รีบอธิบายว่า พระไทยฉันท์สองมื้อ บางสำนักหรือบางรูปฉันท์มื้อเดียว และบิณฑบาต ตอนเช้าเพียงครั้งเดียว แต่ที่เมียนมาร์พระฉันท์สองมื้อเหมือนกัน บางรูปบางองค์ ฉันท์มื้อเดียว แต่บิณฑบาตสองครั้งคือมื้อเช้าและมื้อก่อนเที่ยง อย่างที่เห็นพระเดินริมถนนนั้น คือออกมาบิณฑบาตมื้อก่อนเที่ยง
ผมคิดไปว่า หากผมเป็นนกบินผ่านกรุงเทพฯ นกตัวนี้ก็จะเห็นแต่ตึกรูปทรงแท่งมากมาย แล้วก็เห็นวัดบ้าง แต่หากนกตัวนี้บินไปที่ย่างกุ้ง สิ่งที่ดึงดูดตาให้มองเห็นเด่นชัดเจนคือมหาเจดีย์ชเวดากอง และเจดีย์อื่นๆ รวมทั้งวัด ตึกนั้นไม่เด่นที่จะมอง วัดและเจดีย์ เขาตกแต่งสวยงามอย่างกับพระราชวัง เจดีย์ที่ศักดิสิทธิ์บางแห่งมุมมองของผมนั้นแต่งสวยงามมากกว่าพระราชวังเสียอีกทุกกระเบียดนิ้วจะต้องมีศิลปะที่ทา หรือลงรัก ปิดทอง หรือหุ้มด้วยทองแท้
แสดงถึงความศรัทธาต่อศาสนาพุทธ ความยิ่งใหญ่ของผู้อุปถัมภ์ และการร่วมแรงร่วมใจของมหาประชาชนที่มีต่อศาสนสถานนั้นๆ ทุกคนจะไม่ใส่รองเท้าเข้าวัด หรือมหาเจดีย์ จะกองอยู่ที่ประตู หลายแห่งจะมีคนเฝ้าให้ หรือรับจ้างเฝ้า คณะทัวร์นั้น ไกด์บอกแล้วว่ามาเมียนมาร์ต้องเที่ยววัด และต้องใส่รองเท้าแตะ หรือประเภทที่ถอด ใส่ได้ง่าย ผมเองไม่ได้เตรียมรองเท้าแตะ ก็ต้องถอดถุงเท้ารองเท้าไว้ที่รถ แล้วเดินเท้าเปล่าไปชมวัด หรือเจดีย์ เป็นเช่นนี้ทุกแห่ง เจ้าของทัวร์เข้าใจคนไทยดีจึงจัดผ้าเช็ดหน้าเย็น แต่เอามาเช็ดเท้าทุกครั้งกลับขึ้นรถ
วัฒนธรรมไม่ใส่รองเท้าใดๆเข้าวัดนั้นมีมานานทั้งบ้านเราและแถบแหลมทองนี่ แต่ที่เมียนมาร์ดูจะเคร่งครัดมาก ผมสังเกตมีคนคอยยืนดูคณะทัวร์ทั้งหลายว่าปฏิบัติตามวัฒนธรรมนี้หรือไม่ โจกล่าวว่าเรื่องถอดรองเท้านี้ฝรั่งไม่เข้าใจและไม่ยอมปฏิบัติตาม สมัยที่อังกฤษเข้ามาปกครองเมียนมาร์นั้น ไม่ปฏิบัติจึงมีพระเมียนมาร์รูปหนึ่งประท้วงอังกฤษโดยการอดอาหาร และประชาชนเกิดการสนับสนุนการกระทำของพระรูปนี้มากขึ้น จนในที่สุดฝรั่งอังกฤษจึงยอมทำตามคือถอดรองเท้าทุกครั้งที่เข้าวัดและเจดีย์
ต่อมาพระรูปนี้ได้ถูกสร้างเป็นอนุสาวรีย์และติดตั้งไว้ที่วงเวียนจราจรใกล้กับเจดีย์ ชเวดากอง
คณะของเราเข้าชมมหาเจดีย์นี้เราพบว่ามีทัวร์กลุ่มอื่นๆมากันหลายกลุ่ม มีทั้งฝรั่งที่มาแบบเที่ยวกันเอง แต่ที่มากที่สุดคือประชาชนเมียนมาร์เอง เขาเอาลูกหลานมาด้วย เขามากราบ ที่ผมเรียกว่ากราบแบบหมอบราบคาบแก้ว กราบด้วยความศรัทธาเป็นที่สุด ผมเห็นเช่นนั้น พวกเราเองต่างหากที่ยังเก้ๆกังๆ นัยกลัวเปื้อน ยังตะขิดตะขวนใจที่จะนั่งลงที่พื้นเจดีย์ แต่ประชาชนเมียนมาร์นั้น เขาจะนั่งลงกราบตรงไหนก็ได้ที่เขาตั้งใจจะกราบ
ผมชื่นชมพื้นเจดีย์ เขารักษาความสะอาดได้ดีมากๆ ผมเห็นประชาชนหลายท่านนั่งลงทำสมาธิตรงไหนๆก็ได้ เพียงคนเดียว สองคน หรือเป็นกลุ่มสี่ห้าคน ผมเห็นบางท่านนั่งลงแล้วกางหนังสือสวดมนต์ ท่องบ่นไปเพียงคนเดียว ที่เป็นกลุ่มก็มี แต่มักจะไปนั่งรวมกันตามศาลาที่มีรอบเจดีย์ที่จุคนได้สัก 10-20 คน เสียงสวดมนต์ดังลั่น ผมมองเข้าไปเห็นแต่คนหนุ่มคนสาว..? ผมเห็นพ่อแม่ลูกมานั่งลงล้อมวงกินข้าวกัน แปลกมากครับ แต่ดี
ไกด์ โจ ได้บรรยายไว้ก่อนแล้วว่า รอบเจดีย์นี้จะมีพระประจำวันเกิด แล้วอธิบายว่าคนเมียนมาร์นั้นชอบมาทำบุญกราบพระประจำวันเกิดแล้วทรงน้ำพระประจำวันเกิดนั้นเท่ากับอายุบวกหนึ่ง ทางคณธทัวร์เราฮือฮากันใหญ่เพราะ คุณลุงคุณป้าที่มาด้วยนั้นอายุท่าน 70 เศษเข้าไปแล้วจะทำอย่างไร มิต้องตักน้ำทรงพระนานเป็นชั่วโมงเลยหรือ โจ ก็บอกว่า ส่วนใหญ่จะใช้วิธีระลึกพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ใช้เพียงสามขันน้อยๆก็ได้
บางพื้นที่มีลานกว้าง มีการฉายวีดีทัศน์ เท่าที่ยืนดูรูปในวีดีทัศน์นั้น เข้าใจว่าเป็นการเล่าถึงการขุดค้นพบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ การเล่าถึงประวัติศาสตร์ มีชาวเมียนมาร์มานั่งฟังกันมากขึ้น มากขึ้น ผมชอบวิธีการแบบนี้จัง ใช้สถานที่ศักดิ์สิทธินี้ส่งต่อความรู้ทางประวัติศาสตร์ให้กับประชาชน
มีแต่ความอิ่มเอิบ ปลื้ม ที่ได้มากราบเจดีย์ชเวดากองศาสนสถานทางพุทธศาสนาที่ยิ่งใหญ่ ความจริงผมว่าพระธาตุนครปฐมของเรานั้นใหญ่กว่า แต่ความอลังการ์นั้นอาจจะด้อยกว่า และกิจกรรมต่างๆนั้นอาจจะน้อยกว่า ผมไม่ได้ไปกราบพระธาตุนครปฐมมานานแล้วจึงไม่ทราบว่าปัจจุบันเป็นเช่นไรบ้าง
เมื่อเราเดินทางกลับ โจเล่าให้ฟังว่า มีคณะรัฐบาลทหารบางคนพยายามผลักดันให้เจดีย์ชเวดากองนี้ขึ้นเป็นมรดกโลก กับยูเนสโก แต่แล้วเกิดการวิภาควิจารย์กันมากมายโดยท่านที่ไม่เห็นด้วย ลามลงไปถึงประชาชน ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยนั้นเพิ่มจำนวนมากขึ้น และในที่สุดรัฐบาลเมียนมาร์ต้องขอถอนชื่อออกจากการเสนอให้เป็นมรดกโลก
เหตุผลที่สำคัญคือ “คณะกรรมการมรดกโลกต้องเข้ามาดูแลเจดีย์สิ่งศักดิสิทธ์นี้ เป็นฝรั่งมังค่าที่ไม่ใช่ชาวพุทธ เขาไม่ได้มีความศรัทธาในศาสนาพุทธ เขาจะปฏิบัติก็ในนามที่เป็นวัตถุเท่านั้น แต่ปวงชนประเทศนี้ศรัทธาศาสนสถานนี้ด้วยใจ ด้วยหัวใจ ด้วยความรู้สึกภายในที่ฝรั่งไม่มี ด้วยความศรัทธาสูงสุด แล้วเช่นนี้จะยกให้เขามาดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธินี้ได้อย่างไร เราชาวเมียนมาร์ดูแลเองได้ และดูแลได้ดีด้วย”
โฮ สุดยอดจริงๆ……..สุดยอดจริงๆ
พม่า (Burma) เป็นชื่อชนเผ่าหนึ่ง และขนาดใหญ่ที่สุด สมัยก่อนเราใช้ชื่อนี้เป็นชื่อประเทศ
ชื่อ “เมียนมา” (Myanmar) เป็นชื่อประเทศที่รวมทุกชนเผ่าในพื้นที่เข้าด้วยกัน มีพื้นที่ใหญ่กว่าประเทศไทย ชื่อ Myanmar นั้น อเมริกาและอังกฤษไม่ยอมรับ ยังเรียกว่า Burma เพราะต่อต้านรัฐบาลทหาร
โจ ไกด์คนเก่งอธิบายว่า เมียนมา มีทรัพยากรมากมาย สามารถพัฒนาให้เป็นประเทศที่ร่ำรวยหรือเศรษฐกิจดีได้ เพราะมีป่า มีทองคำ มีหยก มีแก๊ส มีน้ำมัน และเป็นทรัพยากรที่มีคุณภาพด้วย
โจกล่าวต่อไปว่า รัฐบาลทหารตัดสินใจพัฒนาเขื่อนกั้นแม่น้ำอิระวดี เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า โดยให้บริษัทของประเทศจีนมาลงทุน ขณะนี้กำลังก่อสร้างอยู่ที่ส่วนเหนือของประเทศ บริษัทที่ก่อสร้างมาขอรัฐบาลเมียนมาว่าขอขนดินก่อสร้างเขื่อนเข้าไปในประเทศจีน เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป รัฐบาลเมียนมาอนุมัติ และบริษัทก่อสร้างก็ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนและขุดดินจำนวนมากขนกลับเข้าประเทศจีน ต่อมามีการทราบว่า การที่จีนทำเช่นนั้นเพราะว่า ดินทั้งหมดนั้นมีแร่ทองคำชั้นดีปนอยู่ และกว่าที่รัฐบาลเมียนมาจะทราบจีนก็สามารถแยกแร่ทองออกจากดินได้นับหลายตัน….??
โจ เล่าว่าเพื่อนเขาที่เรียนเคมีมาด้วยกัน เขากลับไปบ้านซึ่งอยู่ส่วนเหนือของประเทศ เขาไม่ทำงานเหมือนเพื่อนๆคนอื่นๆ แต่กลับไปทำอาชีพร่อนทองตามริมแม่น้ำอิรวดี พบว่าเขาได้ทองทุกวันเฉลี่ยวันละบาท(น้ำหนัก) ปัจจุบันเขาเป็นผู้มีเงินมากมายเพราะทำอาชีพนี้มาหลายปี
หากเราทราบว่าเมียนมาคือแหล่งทรัพยากรธรรมชาติที่มีมากมายนั้นเนื้อหอม เพราะชาติอุตสาหกรรมต่างๆก็ใช้การเมืองแทรกตัวเข้ามาเพื่อหาทางทำธุรกิจในเรื่องต่างๆเหล่านี้
มิแปลกใจเลยที่เราจะรับฟังว่าเจดีย์ชเวดากองนั้นทั้งองค์หุ้มด้วยทองคำบริสุทธิ์ และเป็นทองคำที่มาจากทางภาคเหนือของประเทศ โจกล่าวว่ามิใช่ทองจากอยุธยาแน่นอน เพราะสีต่างกัน คุณภาพทองต่างกัน ช่างทองทราบเรื่องนี้ดี และพิสูจน์ได้
ความร่ำรวยของพม่าทางทรัพยากรธรรมชาตินั้นยังมีสิ่งบ่งบอกอีกประการหนึ่งคือ ที่ยอดบนสุดของเจดีย์ชเวดากองนั้นมีเพชร 74 กะหลัด ติดตั้งอยู่ โจ พาพวกเราไปพิสูจน์โดยการพากลุ่มของเราออกไปทางทิศเหนือของเจดีย์ชเวดากอง ให้มองไปที่ยอดเจดีย์ซึ่งค่ำนั้นมีแสงไฟส่องสว่าง โดยที่พื้นมี mark แบบคร่าวๆด้วยปากกา ซึ่งหากใครๆเดินผ่านมาก็จะไม่ทราบว่า Mark ไว้ทำไม อาจจะคิดเลยเถิดไปว่า เด็กมาขีดเล่นอะไรกัน Mark นี้มีสามจุดใกล้ๆกันตามเส้นทางรัศมีจากกลางองค์พระเจดีย์
พวกเราเข้าแถวกันโดยมีโจกำกับอยู่ตรง Mark แล้วให้มองเงยไปที่ส่วนสูงสุดยอดเจดีย์ ถามว่าเห็นสีวับๆอะไรไหม แรกๆก็ไม่เห็น แต่เมื่อพยายามเพ่งมอง ก็พบว่ามีประกายสีเขียวสะท้อนออกมา โจให้ขยับไปข้างหน้าตรง Mark ที่สอง พบว่ายอดเจดีย์ส่วนปลายสุดเป็นสีเหลืองวับๆ ส่วนจุดที่สามเป็นสีแดง วูบวาบอยู่ โจบอกว่านั่นคือแสงสะท้องออกจากเพชร 74 กะหลัด นั่นเอง
Mark เหล่านี้ไม่มีใครรู้ ทางรัฐบาลไม่ทราบแลทางเจ้าหน้าที่ดูแลที่นี่ก็ไม่ทราบ มีแต่พวกไกด์เท่านั้นที่ทราบ ซึ่งเป็นการค้นพบจุดเหล่านี้เอง จุดที่มองเห็นประกายของเพชรเมื่อโดยแสงไฟส่อง…
ทำไมรัฐบาลจึงย้ายเมืองหลวงจาก “ย่างกุ้ง” ไปที่เมือง “เนปิดอ” และการใช้ชื่อเมืองหลวงใหม่ว่า “เนปิดอ” นั้น ประชาชนไม่เห็นด้วย เพราะอะไร..?
มีการเสนอชื่อ เจดีย์ชเวดากองให้เป็นมรดกโลก แต่เมียนมาไม่ยอม ไม่อยากเป็น ขอถอนชื่อออกจากการพิจารณา เพราะเหตุใด…?? เป็นเหตุผลที่น่าสนใจมากที่สุด ขณะที่ใครๆก็อยากให้สถานที่สำคัญของตัวเองเป็นมรดกโลก แต่เมียนมา ไม่ใช่….
เอากะหม่องซิ…..
สงกรานต์ไปเที่ยวไหน เป็นคำถามที่ใครต่อใครถามไถ่กัน ผมเองนั้นตอบว่าอยู่บ้านครับ ให้ลูกสาวคนเดียวที่ดื้อเหมือนแม่มัน ขึ้นมาบ้านจะได้อยู่กันแบบครอบครัว ประสาพ่อแม่ลูก แม่มันอุตสาห์เก็บสะสมไมล์ของการบินไทยยกให้ลูกบินไปจะได้ไม่ต้องเสี่ยงชีวิตยามสงกรานต์บนถนน..
แต่แล้วเสียงโทรศัพท์ก็มาทำลายแผนนั้นหมดสิ้น
พี่ชายสินีเข้า รพ.หมอตรวจพบมะเร็งที่กระดูกสันหลัง กำลังจะผ่าตัดด่วนที่สุด
เท่านั้นเองเสียงร้องให้ก็ดังลั่นบ้าน
ตัดสินใจยกเลิกตั๋วเครื่องบินของลูกเลื่อนไปก่อน เตรียมตัวขับรถลงกรุงเทพฯด่วน เดินทางไปโทรศัพท์ไป
ผ่าแล้ว…พบเนื้อร้าย เอาออกแล้ว แต่หมอพยายามหาต้นตอว่ามาจากไหน ยังหาไม่พบ…หากพบจะได้รักษาได้ถูกต้อง
พี่สะไภ้ ไม่บอกลูกสาว กลัวลูกไม่เป็นอันทำงาน ไม่บอกลูกชายที่กำลังทำปริญญาเอกด้านวิศวกรรมที่ อเมริกา กลัวว่าลูกจะกังวลจะกระทบการเรียน เธอแบกทุกข์อยู่คนเดียว โดยมีญาติใกล้ชิดเท่านั้นที่รู้เรื่องเพราะเธออยากจะเก็บไว้ก่อนจนกว่าการวินิจฉัยของหมอจะถึงที่สุด…
เสียงสะอึกสะอื้นมาเป็นระยะ ที่เธอโทรศัพท์คุยกับยาหยีผม ดูเธอแบกทุกข์ที่สุดไว้ข้างในคนเดียว
ค่ำวันนั้น เธอโทรมาด้วยน้ำเสียงดีขึ้นมากๆ บอกว่าหมอพบแหล่งต้นตอแล้ว ว่ามาจากต่อมไทรอย ไม่ได้มาจากตับ ปอด ฯลฯ ทั้งนี้พี่ชายคนนี้สมัยหนุ่มๆเคยมีปัญหาเรื่องไทรอยมาแล้ว หมอบอกว่ารักษาได้… โล่งใจไปเยอะ หมอบอกให้คนไข้ทดลองเดินหลังฟื้นจากการผ่าตัด 1 วัน
ยาหยีค้นกูเกิล เรื่องนี้ พบว่านั่นคือกระบวนการของหมอที่ตรวจสอบคนไข้ว่าการผ่าตัดนั้นไปกระทบเงื่อนไขการเดินหรือเปล่า ผ่าน….
เราไปเยี่ยมที่ รพ.แห่งหนึ่งที่ พี่สะไภ้อพยพไปต่างจังหวัดใกล้กทม.เพราะ รพ.ในกทม.นั้นหมองานล้นมือหมด เธอไม่อยากคอยแม้นาทีเดียว..ตัดสินใจไป รพ.ที่พร้อม ที่คุณหมอผู้เชี่ยวชาญว่างและแนะนำ
พี่สะไภ้บอกว่า คนที่ทุกข์นั้นมิใช่คนป่วยเพราะดูทำใจได้ แต่คนที่รักนี่ซิ ทุกข์กว่าหลายเท่านัก…ดูจะจริง เธอบอกสู้ทุกอย่าง เงินทอง เวลา การดูแลรักษา เต็มที่สู้สุดๆ
เราไปถึง รพ.เห็นพี่ชายยาหยีเดินยก walker ฉลุยในห้อง รพ. เราขำ นี่หรือคนป่วย แทนที่จะเห็นเดินช้าๆด้วย walker แสดงสีหน้าเจ็บ และกังวล แต่นี่หัวเราะลั่น เห็นเรามาก็ส่งเสียงลั่น….
พี่เขาสบายใจที่รู้ว่าเหตุที่มาของเนื้องอกนั้นมาจาก ไทรอย…
แต่ก็ไม่วางใจ ทำตามหมอสั่งทุกประการ..อย่างเคร่งครัด…
เฮ่อ….ปกติของชีวิตที่ต้องเผชิญนะเนี่ยะ..
วันนี้ผมก็ขับรถกลับขอนแก่นได้แล้ว
ไปพร้อมๆกับคลื่นคนที่กลับบ้านกันนั่นแหละ…..
(ขอสลับฉากเรื่องเมียนมาหน่อย)
มีการพูดกันมากถึงเรื่องการค้นหาความจริง
ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนมากๆ แต่จากประสบการณ์ของผมนั้นการเข้าถึงความจริงเพียงอย่างเดียว เป็นเพียงแค่เปิดกะลาให้เห็นว่าข้างในมีอะไรบ้างแค่นั้นเอง ยังไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้เลย แค่เห็น เข้าใจ ประจักษ์ เท่านั้น..
แล้วไงต่อ..
เหลืองก็ยังเหลืองเข้ม แดงก็ยังแรงฤทธิ์ ไม่ได้ลดราวาศอกอะไรเลย
ในชุมชน…ลูกน้องผมกินเหล้าเข้าไปมากเลยพูดจาตามประสาคนเมา ก้าวล่วงคนอื่นมากเข้าไอ้หนุ่มในหมู่บ้านหมั่นไส้ก็ต่อยเอาเข้าตาปูดไป ไม่มีใครยอมใคร ต่างก็ว่าตัวเองถูก คิดถูก ทำถูก การต่อยเขาก็อ้าง “เองทำก่อนบ้าง” “ป้องกันตัวเองบ้าง” พักใหญ่ๆเราซึ่งอาวุโสกว่าก็เข้าห้ามปราม เรื่องวิวาทะจึงหยุด แต่ต่างก็ขุ่นข้องหมองใจกัน อึดอัด กระฟัดกระเฟียด แสดงอาการนักเลงโตให้เห็น ได้รับคำแนะนำผู้อาวุโสในหมู่บ้านว่าให้พาไปหาเจ้าโคตรของชุมชน เจ้าโคตรซักถามว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันเล่า ให้เล่าทีละคน เจ้าโคตรท่านซักถามอย่างมีเมตตา แต่ต้องการแกะเอามาให้หมดว่า ใครทำอะไรก่อนหลังอย่างไรจนเกิดการต่อยกัน
การพูดคุยต่อหน้าเจ้าโคตร ต่อหน้าคู่ปรับ ต่อหน้าพยาน เพื่อนคนอื่นๆ ผู้ใหญ่คนอื่นๆที่เห็น ก็ไม่ปิดบังความจริงต่างๆได้
แล้วความจริงก็ปรากฏ….. แม้เวลาผ่านไป อารมณ์ดุดันจะลดลงมาบ้าง แต่ต่างฝ่ายก็ยังชี้จุดผิดของฝ่ายตรงข้ามให้เจ้าโคตรเห็น นัยสนับสนุนการกระทำของตนนั้นถูกต้อง
อย่างนี้ไม่จบ….เจ้าโคตรกล่าว แล้วเจ้าโคตรก็สาธยายโคตรเหง้าเหล่ากอที่โยกย้ายจากที่อื่นมาสร้างบ้านตั้งเรือนที่นี่ด้วยกัน ต่างลงขันแรงกายแรงใจ ฝ่าฝันอุปสรรคมาด้วยกัน ปู่ทวดเองนั้นถือได้ว่าเป็นคนกล้าหาญที่แบกรับภาระเพื่อนบ้านในเรื่องความปลอดภัยของชุมชน ข้างย่าทวดเองนั้น ญาติพี่น้องเรานับถือยิ่งนักที่ช่วยดูแลอาหารการกินให้พวกเรามิได้ขาด เรามีโคตรเหง้ามาจากที่เดียวกัน ทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน เรามาที่นี่มีอะไรก็แบ่งปันกัน ใครขาดเหลืออะไรก็ออกปากขอกันได้ และรากเหง้าของเราคือหลักศาสนาพุทธ เห็นไหมเมื่อแก่เฒ่าก็ไปถือศิลกันที่วัด ลูกหลานใครเกิดมาก็ไปหาท่านเจ้าอาวาส โตมาก็ไปเล่นที่ลานวัด ถึงวันพระก็ไปร่วมทำบุญตักบาตร แลกข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนยแก่กันที่ศาลาวัดนั่น หนักนิดเบาหน่อยก็อย่าถือโทษโกรธกัน โบราณว่า “รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ” เองเข้าใจไหมล่ะ ความหมายของประโยคนี้เป็นความหมายนามธรรม หมายถึงหากเราต้องการมิตรภาพ ความเป็นพี่เป็นน้อง ก็ให้ตัดทิ้งไปซะ อะไรที่ขาดๆเกินๆไปบ้างต่อการกระทำของเพื่อนบ้านเรา นี่แหละเราเรียกว่าตัดทิ้งไป บั่นทิ้งไป ตรงข้าม หากเองจะต่อความยาวสาวความยืด แบบไม่ลดราวาศอกกัน มึงมาหนึ่งกูต้องไปสอง แบบนี้ ความสัมพันธ์แบบพี่น้องก็ขาดสะบั้น…
เองสองคนเข้าใจดีไหม มานี่ปู่จะให้เจ้าจับมือถือแขนกัน คืนดีกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน รักใคร่กันอย่างเดิม อย่าทะเลาะเบาะแว้งกัน เป็นพี่คนก็ให้รู้จักเป็นพี่ เองเป็นน้องก็ให้รู้ความเป็นน้อง มานี่ปู่จะผูกแขนให้เจ้าทั้งสองนะ…. คู่ต่อสู้มองหน้ากันแล้วก็โผกอดกันต่อหน้าเจ้าโคตร
……..
นี่คือการค้นหาความจริงแล้วปัดเป่าความขัดแย้งลงด้วยบารมีของเจ้าโคตร ชุมชนจึงสงบลงและมีความสุข ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น หลังความจริงปรากฏก็คือการไกล่เกลี่ย ปรองดอง ที่ออกมาจากสำนึกเนื้อในของการอยู่ร่วมกัน การปรับความประพฤติ พฤติกรรม นิสัย อยู่ภายใต้ Norm ของชุมชน ที่มีฐานมาจากทุนทางสังคมดั้งเดิมของเรา มาจากหลักความเป็นผู้อาวุโสในชุมชน ที่ท่านใช้หลักพุทธศาสนามาผสมผสานกับศิลปะแห่งการอยู่ร่วมกัน ความศรัทธา ความมีบารมีของผู้เป็นเจ้าโคตร ความเป็นผู้มีเมตตาธรรมสูงส่ง….
ความขัดแย้งก็สงบลง สันติสุขก็บังเกิดขึ้น
แต่ชุมชนเป็นหน่วยสังคมเล็กๆ แน่นแฟ้น และรู้จักกันหมดหัวบ้านท้ายบ้าน สังคมใหญ่ ซับซ้อนมากมาย หลายเท่านัก ผู้มีบารมีกลายเป็นเป้าหมายการโจมตี Norm สังคมเป็นเพียงหลักการที่พูดกันในวงการเท่านั้น
ผลประโยชน์กลายเป็นสาระใหญ่ที่แฝงเร้นอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงที่ผู้ได้เปรียบในสังคมได้จังหวะเชิดชูขึ้นมาแบบใครก็ปฏิเสธไม่ได้
ศาสนาเป็นเพียงเครื่องมือทาทับลงไปในพิธีกรรมต่างๆให้ดูดีและสนับสนุนผู้เชิดชูประชาธิปไตยที่แท้จริง
ชุมชนที่เรียบง่ายก็ถูกม่านสีสันเหล่านั้นบดบังตาเสียสิ้น หลักการประชาสัมพันธ์ถูกเอามาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบกันในสังคม
องค์ประกอบการคลี่คลายปัญหาเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว….
ประชาธิปไตยที่อ้างเสียงข้างมากจะลากจูงสังคมไปตามที่เขาต้องการจะให้เป็น
“ความจริงจริง” ที่ซ่อนอยู่หลัง “ความจริงที่ปรากฏ” นั่นแหละ น่ากลัวจริงๆ
ผมมามีความรู้สึกใหม่เกิดขึ้นระหว่างนั่งรถไปยังสถานที่ที่ทัวร์จัดให้ชม ซึ่งระหว่างนั้น โจ ไกด์ของเราบรรยายรายละเอียดสถานที่จะไปให้ฟัง ซึ่งเกี่ยวข้องกับศาสนาและ/หรือประวัติศาสตร์ หลายเรื่องเป็นสิ่งที่เราไม่เคยได้รับรู้มาก่อน เพราะเป็นประวัติศาสตร์ภายในประเทศของเขา แต่ทั้งหมดทั้งมวลมีส่วนเชื่อมโยงกับประเทศไทยแบบ เหตุ ปัจจัย ของยุคสมัย ทำให้ผมเกิดความรู้สึกใหม่เกิดขึ้นระหว่างนั้น เป็นความรู้สึกที่ผมเรียกว่า “ความรู้สึกความเป็นอาเซียน”
เป็นความเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในสมัยโบราณ เป็นความเข้าใจการปฏิบัติต่อกันในสมัยโบราณ ฯลฯ มากกว่าการคลั่งต่อประวัติศาสตร์เพียงเฉพาะของประเทศของเรา ซึ่งไปสร้างความรู้สึกเชิงลบ ต่อเพื่อนบ้าน เมื่อเรากล่าวถึงการเสียกรุง และผยองพองตัวเมื่อเราไปตีเมืองนั้นเมืองนี้ได้
การเรียนรู้ประวัติศาสตร์เพียงให้เราสำเหนียกเรื่องราวความเป็นมาเป็นไป ความสัมพันธ์ในปัจจุบันเป็นเรื่องของความหวังดี เจตนาดีแก่กัน
ที่เมืองหงสาวดี โจ พาเราไปชมพระราชวังพระเจ้าบุเรงนอง ราชวงตองอู ที่สูญหายไปเพราะถูกเผาไปสิ้น ด้วยการสู้รบภายในประเทศของเขาเอง ไม่ว่า อังวะ ย่างกุ้ง เมืองแปร รัฐมอญ กะฉิ่น มันดะเล ตองยี …. เพราะต่างเป็นรัฐอิสระ และรบพุ่ง ผลัดกันแพ้ ชนะกัน จนพระเจ้าบุเรงนองหรือผู้ชนะสิบทิศเกิดขึ้น ได้รวบรวมรัฐต่างๆขึ้นมาอยู่ภายใต้เมืองหงสาวดีได้ เหมือนกับประวัติศาสตร์ไทยที่เมื่อเราไปตีเมืองเชียงใหม่ ปัตตานี เวียงจันทร์ เขมรได้แล้ว รัฐเหล่านั้นก็ต้องมาถวายบรรณาการทุกปี และเมื่อเวลาผ่านไป รัฐต่างๆอาจจะเกิดมีคนดีคนกล้าเกิดขึ้น และประเมินตนเองว่ามีกำลังแข็งแกร่งมากพอก็กล้าหาญไม่ส่งบรรณาการ และพร้อมจะทำสงครามครั้งใหม่ต่อไป..
สมัยที่พระเจ้าบุเรงนองเป็นใหญ่ ทรงสร้างวังในเมืองหงสาวดี หลังแพ้ศึกในปลายราชการ พระราชวังถูกเผาสิ้น และมีการขุดค้นพบภายหลัง มีหลักฐานยืนยันว่าตรงนี้เป็นพระราชวังเก่าคือ เสาทุกต้นจะจารึกชื่อเมืองที่เป็นเมืองขึ้นทุกเมืองอยู่ที่ใต้เสาต้นนั้นๆ หรือหน้าตัดของเสา
เสาพระราชวัง กำโพชธานี ของพระเจ้าบุเรงนองที่ระบุชื่อเมืองประเทศราชต่างๆที่หน้าตัดของเสา เป็นหลักฐานสำคัญ
การสร้างพระราชวัง กำโพชธานี ใช้แรงงานจากประเทศราช และทรงสร้างประตูเข้าเมืองโดยใช้ชื่อเมืองประเทศราชต่างๆเป็นชื่อประตูเมือง เช่น Yodayar หมายถึงกรุงศรีอยุธยา Ziemei หมายถึงนครเชียงใหม่
โจ อธิบายว่า ความเป็นยอดนักรบของพระเจ้าบุเรงนองนั้นยังมีความแตกต่างจากกษัตริย์องค์อื่นๆของเมียนมา คือ กษัตริย์องค์อื่นๆเมื่อตีเมืองได้แล้วก็จะทำลายเมืองเสียสิ้นเพื่อมิให้เติบโตขึ้นมาใหม่ภายหลัง และให้เป็นเมืองประเทศราช แต่พระเจ้าบุเรงนอง หรือจะเด็ด พระองค์นี้ เมื่อตีได้ก็ จะทำข้อตกลงให้เป็นเมืองพี่เมืองน้อง เหมือนทำ MOU ว่า หากเมืองหงสาถูกรุกราน เมืองต่างๆต้องมาช่วย ในทางตรงข้าม หากเมืองต่างๆถูกรุกราน หงสาและเมืองต่างๆจะเข้าไปช่วย นี่เองที่สมเด็จพระนเรศวรของเราอยู่ใต้เงื่อนไขนี้และเคยสำแดงความกล้าหาญเก่งกาจให้พระเจ้าบุเรงนองเห็นในการเดินทางขึ้นไปปราบเมืองอังวะ..? (กรุณาอย่าอ้างอิงเพราะไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้อง)
โจ กล่าวถึงความกล้าหาญ เก่งกล้าขององค์พระนเรศวรที่ส่อแววไว้ว่า เฉลยศึก หรือเมืองประเทศราชทั้งหลายที่ไปขึ้นต่อพระเจ้าบุเรงนองแห่งหงสาวดีนั้น การเข้าเฝ้าจะต้องก้มหน้าและห้ามมองตากษัตริย์ มีเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่ไม่ทำเช่นนั้นคือ พระนเรศวรแห่งอโยธยา บุเรงนองก็ทรงชุบเลี้ยงและทำนายว่าจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน….
ทั้งหมดนี้เป็นเพียงเสี้ยวส่วนของประวัติศาสตร์ ที่โจ บรรยายให้พวกเราฟัง ผมคิดว่าผมมีความรู้สึกใหม่ๆเกิดขึ้นดังกล่าวข้างต้น เพราะก่อนหน้านี้ ความที่ประวัติศาสตร์ไทยที่เราเล่าเรียนมา ได้สร้างความรู้สึกบางอย่างแก่เราเมื่อพูดถึงพม่า แต่เมื่อมาเรียนรู้ประวัติศาสตร์ของเขาเอง และส่วนที่เกี่ยวข้องกับไทยเรา คามรู้สึกเข้าอกเข้าใจ ความรู้สึกสากล หรือความรู้สึกยกตัวเองออกจากความเป็นคนไทย คนพม่ามาเป็นคนอาเซียนมากขึ้น เช่นเดียวกับการที่ไปทำงานลาว และอ่านประวัติศาสตร์ลาวมาก คุยกับคนลาว รับรู้เรื่องความรู้สึกของคนลาวต่อประเทศไทย รับรู้การปฏิบัติต่างๆที่มีต่อกัน ผมคิดว่า อาเซียนต้องสร้างความรู้สึกใหม่ให้เกิดขึ้น
ผมไม่ทราบว่าการตั้งอาเซียนนั้นเพียงเพื่อรวมกลุ่มกันในรูปขอองค์กรเท่านั้นหรือการพยายามร้างความเป็นหนึ่งขึ้นมาด้วย หากเป็นความหมายหลังผมคิดว่า การเอาประวัติศาสตร์มาอนุวัติใหม่เพื่อสร้างเป็นความเป็นมาของอาเซียนในด้านความรู้สึกที่เป็นสากล ก็น่าที่จะเกิดประโยชน์มากกว่าไปหนุนเนื่องอัตลักษณ์มากเกินไปจนไม่ได้สร้าง “ทุนทางสังคมแบบอาเซียน” ร่วมกัน
มันไม่ง่ายครับ แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้
ผมได้รับโปรแกรมท่องเที่ยวจากบริษัททัวร์ว่าจะต้องกลับเร็วขึ้นครึ่งวัน เพราะไม่มีตั๋วเครื่องบินมากเพียงพอสำหรับกลุ่มทัวร์ของเรา ซึ่งเรามี 10 คนหากไปเฉพาะกลุ่มราคาก็จะแพงขึ้น แต่หากจะรวมกับกลุ่มอื่นราคาถูกลง เราจึงขอรวมกับกลุ่มอื่นรวมทั้งสิ้น 29 คน มีเด็กเล็ก 2 คน ผู้สูงอายุ 2 คนก็กำลังพอดี
พัก เที่ยว กิน: เขาจัดที่พักในเมืองย่างกุ้งให้ที่ Kandawgyi Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมชั้นหนึ่ง ติดทะเลสาบ Kandawgyi กลางเมืองย่างกุ้ง มีความสะดวกสบายมากเทียบเท่าโรงแรมชั้นหนึ่งเมืองไทย เป็นไม้สักทั้งหลัง เขาเขียนโฆษณาว่า The Golden Teak Hotel on the Royal Lake สวยงามมาก มีต้นไม้ครึ้มเหมือนสวนป่าเลย เจ้าของเดิมคือคนไทย ต่อมาขายให้มหาเศรษฐีชาวพม่าลูกเขยท่านนายพลคนหนึ่ง โจเล่าว่ามหาเศรษฐีคนนี้ทักษิณอย่ามาเทียบ ไม่ค่อยเปิดเผยตัว ไม่เป็นข่าว และไม่ให้ข่าว แต่ก็มีนักข่าวรู้นิสัย ดักคอจนได้ข่าว เขาบอกว่าเงินในกระเป๋าเขานั้นจะซื้อมหานครนิวยอร์กได้ เงินบวกอำนาจอะไรจะเกิดขึ้นครับ….
ที่สำคัญตรงข้ามกับโรงแรมนี้ อีกฝั่งหนึ่งเป็นบ้านของนาง อองซาน ซู จี ที่เธอถูกกักบริเวณที่บ้านหลังนี้เป็นเวลานับสิบปี และที่มีข่าวว่านักข่าวตะวันตกกล้าหาญว่ายน้ำข้ามบึงแห่งนี้เพื่อเข้าไปพบเธอ ปกติ ทัวร์ต่างๆจะหลีกเลี่ยงผ่านหน้าบ้านเธอและห้ามเด็ดขาดที่จะถ่ายรูปบ้านพัก ไกด์โจของเราปรึกษากับคนขับรถว่า ครั้งนี้เราจะขับรถผ่านบ้านของเธอแต่ห้ามถ่ายรูป ทั้งนี้การเมืองคลี่คลายไปมากแล้ว แต่ก็ยังเกรงทหาร ยังไม่มีการประกาศเป็นทางการเรื่องการเปิดฟรีสำหรับการผ่านหน้าบ้านและถ่ายรูปบ้านของนาง ซึ่งปกติจะมีทหารเป็นยามเฝ้าหน้าบ้านตลอดเวลา ช่วงที่เราผ่านไปนั้นไม่เห็นมีด่านทหารแล้ว…
ภัตตาคารการเวกใน Kandawgyi Lake และนกวายุภักษ์ สัญลักษณ์ของธนาคารกรุงไทย
(ข้อมูลจาก อินเตอร์เนท)
ด้านขวาของบึงนี้จะมีภัตตาคารใหญ่มากๆ สวยงามมาก ชื่อ ภัตตาคารการเวก มีการแสดงศิลปะร่ายรำของเมียนมา และอาหารเป็นแบบบุฟเฟต์ นกการเวก นี่ก็คือสัญลักษณ์วายุภักษ์ ที่เป็นสัญลักษณ์ของธนาคารกรุงไทยของเรา เรามีวัฒนธรรม ความเชื่ออันเดียวกันหรือใกล้เคียงกันมาก
ประวัติศาสตร์ไทย เวอร์ชันเมียนมา: สถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา คือวัด เจดีย์ พระรูป พระในปางต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมาย ทางผู้จัดก็คัดสรรค์ที่มีความสวยงาม ยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงและมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การสร้างชาติ และหลายแห่งก็เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ประเทศไทยเรา
ความน่าสนใจคือ ประวัติศาสตร์ของเขาจะแตกต่างจากของเราอย่างไร…???
โจ มัคคุเทสก์ของเรานั้นช่างฉลาดและความรู้เยี่ยมจริงๆ เพื่อนร่วมคณะของเรานั่งหน้าผมถือหนังสือท่องเที่ยวไปด้วย ผมถามเขาว่า สิ่งที่โจเล่าให้เราฟังตลอดเวลานั้นละเอียดแตกต่างจากที่หนังสือแนะนำแหล่งท่องเที่ยวหรือไม่ เขาบอกว่า โจเล่าละเอียดกว่ามากมายนัก… โจกล่าวว่าประวัติศาสตร์ของไทยกับของเมียนมานั้นหลายช่วงตอนแตกต่างกัน เช่น พระนางสุพรรณกัลยา ในประวัติศาสตร์เมียนมานั้นบันทึกไว้เป็นพระพี่เลี้ยงขององค์พระสมเด็จพระนเรศวรเท่านั้น มิได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าบุเรงนองแต่อย่างใด กรณีปืนข้ามแม่น้ำสโตงที่ยิงแม่ทัพเมียนมาเสียชีวิตที่ริมแม่น้ำนั้น ทางพม่าไม่มีการบันทึกไว้และไม่มีหลักฐานรองรับเรื่องนี้ ตลอดจนทองที่ปิด หุ้มองค์พระเจดีย์ชเวดากองนั้นนักท่องเที่ยวต่างกล่าวว่าเอามาจากการเผากรุงศรีอยุธยานั้น โจกล่าวว่า การกล่าวเช่นนั้นเป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น หากเข้าใจประวัติศาสตร์การก่อสร้างเจดีย์ชเวดากองจะเข้าใจว่า ไม่มีทางที่ทองจากอยุธยาจะมาหุ้มองค์พระเจดีย์องค์ที่สำคัญที่สุดนี้…
จากการรับฟัง โจเป็นคนฉลาดมากที่รู้จักใช้คำ ใช้ภาษาที่ระมัดระวังความรู้สึกของคนไทย เขาใช้คำที่ถนอมน้ำใจมาก ตรงข้ามส่วนใดที่จะยกย่องส่งเสริมองค์พระมหากษัตริย์ไทยก็จะกล่าวอย่างจริงจัง โดยเฉพาะสมเด็จพระศรีสุริโยทัย โจกล่าวว่าการศึกครั้งนั้นที่สมเด็จพระสุริโยทัยสิ้นพระชนม์นั้น ได้เผยผมสตรีออกมา คู่ต่อกรคือพระเจ้าแปร ที่มากับพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ทำศึกอยุธยาครั้งที่หนึ่ง ทรงทราบว่าคู่ต่อสู้นั้นมิใช่ชาย แต่เป็นสตรี ถึงกับทรงประกาศวาวมือทำศึก เพราะเคยสาบาลกับพระอาจารย์ท่านไว้ว่าจะไม่ทำร้ายสตรี แต่สมเด็จพระศรีสุริโยทัยทรงปลอมตัวมาเป็นชายทรงขี่คอช้างและกล้าหาญทำศึกกับพระเจ้าตะเบงชะเวตี้เยี่ยงอย่างชาย ประวัติศาสตร์เมียนมายกย่องสตรีสูงศักดิ์ของไทยพระองค์นี้ยิ่งนัก
(ภาพจากอินเตอร์เนท)
การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองนั้น โจอธิบายว่า สาเหตุเป็นเพราะการยุแหย่ของโปรตุเกสในกรุงศรีอยุธยาที่ต้องการให้เกิดสงคราม เขาจะได้ขายปืนใหญ่ ให้กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ความย่อๆคือ กษัตริย์ในสมัยโบราณนั้นชอบสะสมช้างเผือกคู่บารมี เมื่อพระเจ้าบุเรงนองทราบว่าที่กรุงศรีอยุธยามีช้างเผือกหลายช้าง จึงแต่งทูตไปขอ แต่ความจริงมีช้างเผือกช้างเดียวกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาจึงไม่ทรงมอบให้พร้อมอธิบาย แต่ระหว่างทางคณะทูตเดินทางกลับหงสาวดี โปรตุเกสไปยุแหย่ให้ราชทูตไปทูลบุเรงนองว่ามีช้างเผือกหลายตัวไม่ให้และถูกทำร้ายกลับมาด้วย โดยโปรตุเกสมอบเงินทองสินทรัพย์ให้คณะราชทูตเหล่านั้นมากมาย นี่คือต้นเหตุสงคราม เพราะกษัตริย์เมียนมาก็แต่งทัพหลายทางมาตีกรุงศรีอยุธยาจนแตก ไกด์โจ อธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียด พระเจ้าบุเรงนองทราบความจริงภายหลังจึงจับตัวคณะทูตชุดนั้นประหารชีวิต (จริงเท็จอย่างไร เป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์ต้องสะสางกันต่อไป)
จากการสังเกตของผมนั้น โจ จะ Sensitive มากๆกับชนชาติที่มาเอาเปรียบ ไม่ว่า อังกฤษ โปรตุเกส อเมริกา ญี่ปุ่น ทุกครั้งที่เขากล่าวถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เมียนมาชอกช้ำจากประเทศเหล่านั้น ดูเขาจริงจัง และพูดจาหนักแน่นมากๆ
แหม..คนรักชาติ รักประชาธิปไตยนั้นยอมไม่ได้หรอกครับ แม้ชีวิตก็มอบให้ได้..