สงกรานต์ 55

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 15, 2012 เวลา 22:37 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1511

ผมไม่ได้เที่ยวสงกรานต์มานานหลายปีจนจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ แต่จำได้ช่วงที่ทำงานพัฒนาชนบทที่ อ.สะเมิง เชียงใหม่นั้น ผมเตรียมน้ำส้มป่อย พร้อมกับทีมงานไปดำหัวพ่อแคว่น หรือกำนัน และพ่อหลวง หรือผู้ใหญ่บ้าน และผู้เฒ่าที่เคารพในหมู่บ้าน ไปกราบอวยพรท่าน และขอรับพรจากท่าน มีการดำหัว ก็แค่รดน้ำบนฝ่ามือท่านที่มีขันเงินใบใหญ่รองรับ มีดอกไม้ไปกราบท่านด้วย

หลังจากนั้นก็เล่นสาดน้ำตามประสาหนุ่ม สาว ที่มักจะมีผู้ใหญ่คอยบอกกล่าวถึงการเล่นที่ไม่เกินพอดี แต่ปกติ หนุ่มสาวก็มักจะถือโอกาสนี้ หยอกล้อกัน จีบกัน หรือส่งสัญญาณว่าชอบพอกันให้ปรากฏ ผมชอบที่ชนบทแม้จะมีการดื่มเหล้าแต่ไม่มีเรื่องร้ายแรงใดๆ มักเป็นเรื่องสนุกสนานเสียมากกว่า แต่ทั้งหมดอยู่ภายใต้สายตาผู้หลักผู้ใหญ่ หลักจากนั้นก็ขนทรายเข้าวัด และพิธีกรรมพื้นบ้านต่างๆ การสาดน้ำนั้นมีนานกว่าในเมือง โดยมากก็เป็นหนุ่มสาวและเด็กๆที่เห็นเป็นเรื่องสนุก

สงกรานต์ในชนบทที่ผมผ่านมาจึงเป็นเรื่องประเพณีท้องถิ่นจริงๆ ผมเห็นสิ่งดีงามที่เกิดขึ้น คือการดำหัวผู้ใหญ่และการแสดงตัวถึงการเคารพนับถือ และผู้ใหญ่ก็อวยพรด้วยความเมตตา ตลอดปีมาอาจจะมีเรื่องขุ่นข้องหมองใจมาบ้างก็มาขอขมาลาโทษและเริ่มต้นกันใหม่ ต่างฝ่ายก็ให้อภัยกัน สังคมจึงสืบต่อกันมาอย่างมีความสุขตามสภาพ โดยเฉพาะความสุขทางใจที่อบอุ่น

อาจเป็นเพราะสะเมิงสมัยนั้นเป็นชุมชนค่อนข้างปิด หรือกล่าวอีกทีคือเป็นแบบกึ่งเปิดกึ่งปิด เพราะการติดต่อกับในเมืองค่อนข้างลำบาก สาระของชีวิตจึงเป็นแบบท้องถิ่นอย่างอุดมสมบูรณ์ เพราะถนนไม่ดี ระบบสื่อสารไม่มี ทีวีรับได้ แต่มีจำนวนบ้านที่มีทีวีนั้นไม่ถึงห้าครอบครัว

ชีวิตจึงไม่ได้อยู่ที่เงิน แต่อยู่ที่การมีกินและพอมีใช้ เราอาจเรียกชุมชนแบบนี้ว่าค่อนข้างบริสุทธิ์ งานของเรานั้นก็ไปส่งเสริมอาชีพ ยกระดับการมีรายได้ด้วยการปลูกพืชเศรษฐกิจท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงอยู่แล้วคือ กระเทียม ถั่วเหลือง ข้าวไร่ ยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนีย ซึ่งที่อีสานเป็นพันธุ์เตอร์กิส ที่ชาวบ้านมักเรียกสั้นๆว่า “ยากีส” งานที่สะเมิงที่เราภูมิใจมากคือการตั้งกลุ่มเครดิตยูเนี่ยน หรือกลุ่มออมทรัพย์ ซึ่งปัจจุบันมีเงินมากมายถึง 45 ล้านบาท ทั้งที่เริ่มมาจาก เงินไม่กี่ร้อยบาทในปี 2519 สมัยนั้นไม่มีคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” แต่มีคำว่า “ยืนบนขาของตัวเองได้”

อ้าวเลยเถิดไปแล้ว…

กลับมาที่งานสงกรานต์สมัยนี้ ผมเห็นแล้วก็ตั้งคำถามเยอะ ไปหมดว่า ไอ้ถนนข้าวเหนียวที่ขอนแก่นนั้นสร้างชื่อเสียงในเรื่องการไม่มีเครื่องดื่มมึนเมา ดูดีนะ แต่ที่พยายามสร้างความยิ่งใหญ่โดยการทำเวฟคลื่นมนุษย์ใหญ่ที่สุดในโลก อะไรนั่น มันเป็นประเพณีโบราณมาจากไหน มันสร้างให้คนรักกันตรงไหน มันไปเสริมวัฒนธรรมประเพณีดีงามที่ตรงไหน


(ภาพจากอินเตอร์เนต)

มันเป็นการสร้างกิจกรรมใหม่ขึ้นมาที่เน้นการท่องเที่ยว สนุกสนานมากกว่าสาระทางคุณค่าจิตใจ ด้านในของมนุษย์เรา ใช้เงินทองไปมากมายกับเรื่องเหล่านี้ คนมาเที่ยวมากก็ทำให้เงินไหลสะพัด ธุรกิจที่พัก อาหารการกิน ซุปเปอร์มาเก็ต และพวก Department store ขนาดใหญ่ที่ขายดิบขายดี หรือเพราะว่านายกเทศบาลนครขอนแก่น และนายก อบจ. เป็นพ่อค้าใหญ่ในเมืองขอนแก่น

การทำกิจกรรมใหม่ๆนอกเหนือประเพณีเดิมๆนั้นเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ และ trend ของสังคมก็เป็นเช่นนั้น แต่คำถามคือ

กิจกรรมเหล่านี้ได้สร้างคุณค่าทางสังคมแห่งการอยู่ร่วมกันได้หรือไม่

ผู้คนที่มาเล่นน้ำ เล่นเวฟคลื่นมนุษย์นั้นมีสักกี่คนที่ไปรดน้ำดำหัวพ่อแม่ ตายาย ผู้มีพระคุณของเขาหรือไม่

กิจกรรมแบบนี้ได้เปลี่ยนความเข้าใจในเรื่องประเพณีสงกรานต์ของเราไปสิ้น ปีหน้าจัดให้มันยิ่งใหญ่ขึ้นไปอีก ระดมคนมาให้มากกว่านี้เพื่อจะได้เป็นสถิติโลก..แล้วสังคมได้อะไร…..การส่งต่อคุณค่าทางวัฒนธรรมอยู่ที่ตรงไหน การผลิตซ้ำทางวัฒนธรรมอยู่ตรงไหน

ก็เข้าใจกันว่าสังคมค่อยๆเปลี่ยนแปลงไปตามการเคลื่อนตัวของระบบใหญ่ของประเทศที่ผู้บริหารมีวิสัยทัศน์เช่นนี้ ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับชุมชนด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ผมก็แค่คำนึงถึงประเพณีดั้งเดิมดีดีของเรา…

ที่กำลังจางลงไปและจะเหลือเพียงการกล่าวถึงเท่านั้น..


จากย่างกุ้ง ไป เนปิดอ

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 15, 2012 เวลา 9:31 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, อาเซี่ยน #
อ่าน: 2310

ไกด์ โจ เล่าให้ฟังว่า การย้ายเมืองหลวงจากย่างกุ้งไปที่ เนปิดอ นั้นเป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ เพราะรัฐบาลไม่เคยแพร่งพรายให้ประชาชนทราบมาก่อน ไม่มีการรับฟังความเห็นเหมือนในไทยหรืออื่นๆ เพราะเป็นรัฐบาลทหาร จู่ๆ รัฐประกาศว่าย้ายเมืองหลวงไปเนปิดอ ก็ย้ายเลย


มีการค้นหาเหตผลว่าทำไม…

โจ เล่าว่า มีผู้อธิบายว่าเพราะรัฐบาลเมียนมาเกรงอเมริกาหากเกิดความขัดแย้งหนัก ก็จะเอากองทัพเรือมาบุกปากอ่าวแล้วยึดประเทศได้โดยง่าย บางเหตุผลก็ว่าที่ เนปิดอ มีทำเลที่เหมาะสมหากมีสงครามก็สามารถต่อสู่ได้เพราะ เนปิดอ ตั้งอยู่ระหว่างหุบเขากว้างใหญ่ การเอากองกำลังไปตั้งไว้ตามยอดเขาต่างๆรอบเมืองก็สามารถต่อสู่ศัตรูได้ โดยเฉพาะการสู้รบโยเครื่องบิน แต่เหตุผลที่รัฐอธิบายต่อสาธารณะคือ ที่ย่างกุ้งนั้นรัฐบาลไม่สามารถสร้างตึกสูงได้เพราะจะไปสูงกว่าเจดีย์ชเวดากอง ซึ่งประชาชนไม่ยอม


แต่โจสรุปว่า ทุกเรื่องที่กล่าวมานั้นน่าจะเป็นเหตุผลที่ใช้อธิบายแก่สาธารณะโลก แต่เบื้องหลังนั้นรัฐบาลทหารเชื่อหมอดู ที่แนะนำให้ย้ายเมืองหลวง…? (เท็จจริงอย่าไรนั้น ผู้สนใจอาจค้นคว้าต่อไป)

ในทางสังคมศาสตร์นั้น เราเรียนรู้กันถึงพฤติกรรมความสัมพันธ์ของมนุษย์ว่า เป็นเรื่องเกี่ยวกับ คนกับคน คนกับธรรมชาติ และคนกับสิ่งเหนือธรรมชาติ จะมากจะน้อยก็แตกต่างกันไป แต่มักมีซ่อนอยู่ นักวิทยาศาสตร์จำนวนมาก ปากก็บอกว่าตัวเองเชื่อในเรื่องเหตุเรื่องผล แต่ที่บ้านยังกราบไหว้สิ่งเหนือธรรมชาติ ที่คอยังห้อยพระอยู่

ผู้ปกครองจำนวนมากจะรับคนเข้าทำงานยังดูโหงวเฮ้ง เอาวันเดือนปีเกิดไปแอบดู ก่อนตัดสินใจ มีครับมีจริงๆ ยิ่งคนที่มีเงินทองมากๆ มีตำแหน่งสูงๆ ก็ยิ่งกลัวว่าจะอยู่ไม่ได้นาน ก็พยายามทุกวิถีทางที่จะมั่งมีต่อไป อยู่ในตำแหน่งต่อไปให้ชั่วฟ้าดินสลายได้ยิ่งดี….

ไกด์ โจ กล่าวว่า นายทหารผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งต้องการสร้างเจดีย์เสริมบารมีตน เหมือนเจ้าผู้ครองนครในอดีต แต่ชาวบ้านทักท้วงว่า หากไม่ใช่เชื้อเจ้าผู้ครองนคร ไม่ใช่ผู้มีบุญแท้จริงแล้วจะสร้างไม่สำเร็จ และเป็นเช่นนั้นจริงๆ เจดีย์ที่สร้างคาราคาซังอยุ่จนปัจจุบันนี้ และนายทหารท่านนั้นก็ถูกจับติดคุกหัวโต เพิ่งจะออกมาจากคุกได้ไม่นานนี้…

ไกด์ โจ กล่าวว่ารัฐบาลไปสร้างเนปิดอ แบบเนรมิตเมืองใหม่ทั้งเมืองขึ้นมา มีตึกใหญ่โต ทันสมัย มีถนนชั้นดี วางแลนดสเคป สวยงาม มีบ้านพักและสาธารณูปโภคที่เพียบพร้อม และสั่งการว่า หน่วยวานรัฐทั้งหมดที่สังกัดรัฐบาลต้องย้ายไปที่ เนปิดอ และข้าราชการทุกคนที่สังกัดนั้นต้องย้ายไปด้วย หากใครไม่ย้ายไปรัฐจะไล่ออกพร้อมกับติดคุก 1 ปี….(ป๊าด…..อะไรจะปานนั้น)


สร้างความโกลาหล อลม่านให้เกิดขึ้นแก่ข้าราชการมากมาย กว่าจะปรับตัวได้ก็ทุรักทุเล เพราะ เงื่อนไขข้าราชการแต่ละคนแตกต่างกัน บางคนรับราชการ มีพ่อแม่ที่แก่เฒ่า ต้องดูแล พ่อแม่ก็ไม่อยากจะย้ายไป บางคนมีลูกเล็ก ครอบครัวมีธุรกิจที่ย่างกุ้งก็ไม่อยากไป บางคนเจ็บป่วยต้องการดูแลรักษาที่ย่างกุ้ง แม้ที่ เนปิดอจะมีโรงพยาบาลใหม่ แต่คุณภาพหมอยังสู้ที่ย่างกุ้งไม่ได้..ฯลฯ แต่ไม่ไปโดนไล่ออกและติดคุก

นี่คือรัฐบาทหาร เผด็จการ เด็ดขาด

น่าจับตาเมียนมาร์จริงๆ กำลังจะเป็นประธานอาเซี่ยน กำลังจะจัดกีฬาเอเชี่ยนเกมส์ กำลังจะมีรัฐบาลใหม่ที่มี ออง ซาน ซู จี เป็นหัวหน้า เป็นรัฐที่มีทรัพยากรพลังงานมาก ป่าไม้ ทองคำ หยก และมีชายแดนติดกับ อินเดีย จีน แค่สองประเทศก็มีตลาดมากกว่าครึ่งของอาเซียน เป็นประเทศเดียวในอาเซี่ยนที่มีพื้นที่ที่เป็นน้ำแข็ง หิมะ คือส่วนเหนือของประเทศ กำลังทุ่มสร้างสาธารณูปโภคอย่างหนัก

ไทยเรามองเวียตนามว่าเป็นคู่แข่งที่สำคัญที่หลายอย่างเขาก้าวเลยไปแล้วทั้งๆที่เขาเผชิญสงครามมานานมาก ทางตะวันตก ไทยกำลังมีคู่แข่งที่สำคัญคือเมียนมาร์อีก

ไทยเรายังทะเลาะกันไม่จบ ยังควานหาการปรองดอง ไม่พบ

การไม่ก้าวไปข้างหน้า ก็เท่ากับถอยหลัง



Main: 0.041752815246582 sec
Sidebar: 0.052489042282104 sec