ครั่ง (Laccifer Lacca Kerr)

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 21, 2012 เวลา 20:18 ในหมวดหมู่ ชนบท, ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม #
อ่าน: 3331

เมื่อผมไปสำรวจข้อมูลสนามแห่งหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องผลกระทบสิ่งแวดล้อม มีหลายเรื่องที่ผมค้างคาใจ หนึ่งในนั้นคือ ครั่ง ไม่ใช่อาการคลุ้มคลั่ง เพราะอากาศร้อนนะครับ แต่เป็น “ครั่ง” ที่เป็นสิ่งที่มีชีวิตชนิดหนึ่งที่มีประโยชน์ต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ เด็กปัจจุบันอาจจะเคยได้ยินคำว่าครั่ง แต่น้อยคนนักจะเคยเห็นตัวครั่ง หรือแม้แต่รังหรือมูลของมันที่เราเอามาใช้ประโยชน์ น้อยคนนักจะเคยเห็น หรือเห็นแล้วไม่รู้จัก..

ท่านที่ไม่รู้จักก็หาความรู้ได้ ที่นี่ สิ่งที่ผมอยากเขียนถึงครั่งก็คือ ชนบทแห่งนั้นที่ผมไปศึกษาข้อมูลสนามพบว่า เกษตรกรมีอาชีพทำนา ทำไร่ ทำสวน และทำครั่ง หรือเลี้ยงครั่งแล้วเก็บขาย ซึ่งข้อมูลราชการพบว่า ประเทศเราส่งครั่งออกเป็นอันดับต้นๆของโลก

ผมคุ้นเคยครั่ง เพราะสมัยเด็กนั้นที่บ้านผมปลูกต้นก้ามปู หรือ ฉำฉา หรือจามจุรี ด้วยหลายเหตุผล เช่นต้องการร่ม เขาโตเร็ว และแผ่กิ่งก้านกว้างขวาง ต้องการใช้ทำฟืน ผมจำได้ว่าก่อนที่ฤดูน้ำท่วมจะลดลงเข้าสู่ฤดูแล้ง และชาวนาจะเก็บเกี่ยวข้าวในนานั้น พ่อบ้านจะเตรียมฟืนเพื่อใช้ในช่วงเกี่ยวข้าว จะตัดกิ่งก้ามปูให้ได้ขนาดพอเหมาะ ผ่าให้เป็นชิ้นเล็กพอดี แล้วกอง เรียงไว้ใต้ถุนบ้าน และมีก้ามปูไว้เลี้ยงครั่งเพื่อเอาขี้ครั่งไว้ขายหรือใช้


แต่พ่อผมจะเลี้ยงครั่งเฉพาะต้นก้ามปูที่ไม่ได้ใช้ร่ม หรือห่างไกลออกไป ทั้งนี้เพราะ ต้นไหนที่เลี้ยงครั่ง เขาจะปล่อยน้ำลงมาเป็นฝอยๆ คนที่นั่งใต้ต้นก้ามปูรับรู้ได้ จึงไม่นิยมเลี้ยงต้นก้ามปูที่ต้องการใช้ร่มดังกล่าว

ในสนามที่ผมไปศึกษานั้น ชาวบ้านมีรายได้เป็นกอบเป็นกำจากครั่งมาช้านาน เป็นท้องถิ่นที่มีชื่อเสียงของจังหวัด และเป็นที่รู้จักของพ่อค้ารับซื้อครั่งว่า จะซื้อครั่งจำนวนมากได้ที่นี่ แต่วันนี้ครั่งเกือบหมดไปจากพื้นที่แห่งนี้แล้วเพราะมลภาวะที่โรงงานชนิดหนึ่งมาตั้งแล้วปล่อยออกมา ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ไม่เอื้อต่อวงจรชีวิตของครั่ง ครั่งตายไป หรือไม่เจริญเติบโต ซึ่งกระทบต่อรายได้ของเกษตรกร


ในทางตรงข้าม การเปลี่ยนแปลงของครั่งที่เกิดขึ้นคือตายไป หรือไม่เติบโต กลายเป็นเครื่องชี้วัดมลภาวะไปแล้ว แม้ว่าเครื่องมือวัดมลภาวะจะบอกว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานสำหรับมนุษย์ แต่ครั่งอาจจะ sensitive กว่าสิ่งมีชีวิตอื่นๆ เหมือนไลเคนส์ ที่จะเปลี่ยนสีไปเมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ซึ่งตรงนี้ ยังไม่มีความรับผิดชอบจากโรงานนั้นๆ แม้ว่าเกษตรกรจะเคยกล่าวอ้างในเรื่องนี้ แต่ตัวเลขการวัดผลมลภาวะของเครื่องมือวัดนั้นกลายเป็นคำตัดสินไปว่า อยู่ในระดับมาตรฐาน

ผมว่าในอนาคตกฎหมายอาจจะต้องปรับปรุงในเรื่องเหล่านี้ เครื่องมือวัดมลภาวะอาจจะต้องปรับปรุงใหม่ สิ่งเหล่านี้ผมเพียงตั้งข้อสังเกต ไม่สามารถระบุรายละเอียดทั้งหมดได้เพราะเกี่ยวข้องกับงานที่ผมรับผิดชอบอยู่นะครับ

ด้วยความเป็นห่วงสิ่งแวดล้อมน่ะครับ

(รูปและข้อมูลส่วนหนึ่งมาจาก อินเทอร์เน็ต)


เขียนถึง หมอสวัสดิ์ ห้างฉัตร

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 21, 2012 เวลา 16:17 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 6312

คนที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกัน และใกล้เคียงร่วงไปทีละคนสองคน อีกหน่อยก็ถึงคิวเรา เป็นเรื่องธรรมชาติ ที่เขียนเรื่องนี้เพราะเมื่อเดือนก่อน พี่สาวโทรมาส่งข่าวว่า พี่เขยเดี้ยงไป เพราะเร่งงานก่อสร้างหนักไปหน่อย เลยล้มฟุบลงไป มือชาและไม่มีแรง ขาข้างซ้ายไม่มีแรง เดินไม่ได้เอาเลย ลูกๆรีบเอาส่งโรงพยาบาล หมอก็ดีเหลือแสน จัดการทางการแพทย์อย่างดี ผลออกมาไม่น่ากลัวเท่าไหร่ ให้ยามากินและทำกายภาพมากๆตามโปแกรมก็น่าจะดีขึ้นในสามสี่เดือน

ช่วงนั้นผมกำลังหาข้อมูลในหมู่บ้านที่แม่เมาะ ก็ไปพบผู้ใหญ่บ้านท่านหนึ่งเดี้ยงมาสี่เดือนเพราะเป็นอัมพฤกษ์ ก็มาอยู่บ้านแล้วทำกายภาพบำบัดบ่อยๆ ลูกหลานช่วยกัน พร้อมทั้งไปเอายาสมุนไพรของหมอสมุนไพรแห่งหนึ่งมากิน ปัจจุบันกลับมาเกือบปกติ ขับรถได้ ไปประชุมได้ ช่วยตัวเองได้ทั้งหมด เพียงปากเบี้ยวไปนิดๆ


ผมสนใจ นึกไปถึงพี่เขยจึงเปลี่ยนเรื่องคุยกับเมียผู้ใหญ่บ้านถึงเรื่องนี้ เมียผู้ใหญ่บ้านก็ดีหลายเล่าให้ฟังโหมด พร้อมทั้งชี้ไปที่สุภาพสตรีเมื่อสักครู่ที่เดินกลับไป บอกว่า เธอเป็นเพื่อนบ้านติดกันนี่แหละ เป็นมะเร็งที่มดลูก อาการหมดสภาพแล้ว ไปหาหมอท่านนี้ คนเดียวกัน เอาสมุนไพรมากิน ดีขึ้นเลยเห็นไหมเล่า นี่ถ้าเมียผู้ใหญ่ไม่บอกผมก็เดาไม่ออกว่าสตรีที่เดินไปนั้นเป็นมะเร็งที่ดีขึ้นมาแล้ว…

ผมตัดสินใจขอชื่อที่อยู่หมอเพื่อจะหาโอกาสไปเอายาไปฝากพี่เขย จังหวะพอดีที่เราเสร็จงานก็จะกลับกรุงเทพฯโดยเดินทางจากลำปางไปเชียงใหม่เพื่อขึ้นเครื่องกลับ เราจะถือโอกาสแวะไปหาหมอท่านนี้เสียก่อน

เมื่อทราบคร่าวๆว่าที่อยู่ของหมออยู่ที่ใดก็บอกคนขับรถไปยังเป้าหมาย โฮ..แม่จ้าว….บ้านท่านอยู่ในป่า ติดอุทยานแห่งชาติขุนตาล เราต้องจอดรถถามชาวบ้านที่อยู่กลางนา ในบ้านหลายครั้งกว่าจะไปถึงเป้าหมาย

รถเต็มบ้านเลย มีคนบอกว่าให้ลงชื่อเข้าคิวไว้ที่สมุดหน้าบ้าน ผมมองเข้าไปข้างในบ้าน มีคนนั่งกันเต็ม ล้นออกมาข้างนอก ผมสอบถามว่ามีคิวอยู่ 5-6 คน แต่ทั้งหมดนั้นไม่ได้มาคนเดียว เพราะหมอจะบอกว่าให้เอาผู้ป่วยมาด้วยจะได้ดูอาการให้เห็นกับตา

ผมนั่งคอยคิดว่าคงยาวแน่ๆจึงเดินทางออกไปชมรอบบ้านที่ทำเป็นโรงงานผลิตสมุนไพร มีลานตากสมุนไพรที่หั่น ตัดแล้วเต็มไปหมด กลิ่นหอมของสมุนไพรโชยมาตลอดเวลา ผมเดินไปหน้าบ้าน มีร้านก๊วยเตี๋ยวอยู่จึงนั่งคุยด้วย ทราบว่าเป็นลูกสาวคนโต ออกจากงานมาขายก๋วยเตี๋ยว เล่าว่าเดิมพ่อสนใจสมุนไพร ศึกษาด้วยตัวเองมาตลอด เข้าร่วมการวิจัยกับสาธารณสุขอำเภอ จังหวัด และหน่วยงานต่างๆมากมาย แม่เขาเองหรือภรรยาหมอเคยเป็นมะเร็งมาก่อนและพ่อทำการรักษาจนคิดว่าหายดี เป็นผู้ช่วยพ่อในปัจจุบันนี้…..


ผมเข้าไปนั่งร่วมวงกับผู้มาหาหมอ เพื่อฟังหมอคุย พร้อมสังเกตการณ์ต่างๆ นี่รอมานานนับสองชั่วโมงแล้ว ผมเห็นหมอคุยตลอด เมื่อถึงคิวใครก็ถามว่าเป็นอะไร ซักไซ้ หากมีผู้ป่วยมาด้วยก็มาดูนั่นดูนี่ เหมือนหมอจริงๆ ถามอาการ ถามอะไรมากมายแล้วก็บอกจะจัดยาให้ เอากี่ชุดล่ะ แล้วก็ค่อยๆเดินไปเตรียมถาด เอาถุงพลาสติกสำหรับใส่ยามากางออกทีละใบแบบค่อยๆเป็นไป ไม่ได้รีบร้อน ปากก็คุยเรื่องโน้นเรื่องนี้ไปเรื่อย ใครตั้งประเด็นอะไรมา หมอก็ต่อความไปตามความรู้ประสบการณ์ของหมอ


ผิดคาดผมที่มักเห็นหมอเร่งทำงานเพื่อจำนวนคนไข้จะได้มากๆเพื่อรายได้ แต่หมอไม่สนใจว่าใครจะคิดว่าช้ามากๆๆๆๆ ใครไม่รอก็ไปก่อน หมอก็เดินจัดยาหยิบจากถุงโน้นบรรจงใส่ถุงพลาสติกในถาด ทีละถุง บางทีก็ขยี้ให้ยาที่หยิบมาแตกตัวไม่จับเป็นก้อน ปากก็พูดไป โฮ ช้าสุดๆ แต่ผมเข้าใจได้

มาถึงคิวคุณยายก่อนหน้าผม หมอถามว่าเป็นอะไร ยายก็บอกว่า เป็นหลายอย่างคุณหมอ เก้าส์ก็เป็น ไตก็เป็น เบาหวานก็เป็น ความดันก็เป็น….หมอบอกว่า ไหนยายเหยียดเท้ามา เหยียดมือมา คว่ำมือดู… ไม่ได้เป็นเก้าส์แก๊วอะไรหรอกยาย หมอว่า หากเป็นข้อนิ้วต้องบวมโตผิดไปจากเดิม เดี๋ยวผมจัดยาให้ เอากี่ถุงล่ะ …

ผมนั่งดูข้างฝา มีใบประกาศนียบัตร 30 กว่าใบจากหน่วยงานราชการทั้งนั้น หมอเล่าให้ฟังว่ามีอินโดนิเซียเชิญไปสัมมนา ถามตัวยาโน่นนี่ ผมไม่บอก มีฝรั่งมังค่าจะมาทำการศึกษา ผมไม่เอาด้วย เพราะมันจะมาหลอกเอาตำราผมไปน่ะซี..

ตัวยาทั้งหมดมาจากป่านี่เอง เจ้าหน้าที่ป่าไม้เคยมาจับชาวบ้านเหมือนกันที่ขึ้นไปหาสมุนไพรเอามาขายให้หมอ…เรื่องแบบนี้มีไม่จบสิ้น..


(ภาพถุงยาสมุนไพร รางวัลแห่งชาติที่ได้รับ และเอกสารสัมมนา)

สำหรับคิวผม ก็ได้แค่เล่าอาการให้หมอฟังว่าพี่เขยเป็นอัมพฤกษ์ข้างซ้าย เท่าที่ผมมีข้อมูลที่สอบถามมาจากพี่สาวผม แล้วก็ได้ยามาสี่ชุด ให้ไปต้มกิน พร้อมทั้งทำกายภาพด้วยนะ… รวมสามชั่วโมงครึ่งที่ผมคอยหมอ ความจริงคนไข้ไม่มากเท่าไหร่ แต่ญาติพี่น้องคนไข้มากันเยอะ และหมอชอบคุยเลยทำให้ช้า แต่ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับความหวังที่จะทำให้ร่างกายป่วยไข้ดีขึ้น


พี่เขยผมกินยาสมุนไพรไปได้ สามสัปดาห์ พอใจมาก พวกเราก็ดีใจแล้วครับ….

ที่เขียนถึงก็เผื่อใครสนใจ ก็ลองสอบถามได้นะครับ


เขียนถึง ดามาพงษ์ คนหนึ่ง..

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 21, 2012 เวลา 12:32 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 3228

ช่วงหลังมานี้ผมชอบฟังวิทยุ จึงซื้อมาเครื่องหนึ่ง เอาไว้ที่กรุงเทพฯ ลงมาทีไรก็เปิดแต่วิทยุฟังข่าวเสียเป็นส่วนใหญ่ คนที่บ้านแซวว่าเหมือนชาวบ้านที่เอาวิทยุมาเปิดฟังลูกทุ่งไปทำงานไปเลย…

ผมว่ามีรายการดีดีเยอะนะครับ หูฟังไป มือและสมองทำงานไปด้วย หากดูทีวี ตาก็อยู่แต่ทีวีไม่ได้อยู่ที่งาน จริงๆก็ฟังทีวีก็ได้เน๊าะ แต่ผมเลือกฟังวิทยุ วันนี้ขับรถไปส่งลูก ขากลับเปิด FM 99.00 เวลาสัก 9 โมงถึง 10 โมงเช้า ฟังรายการเกี่ยวกับสุขภาพ มีสตรีสองท่านดำเนินรายการ และมีวิทยากรผู้ชายหนึ่งท่านคุยกันทางโทรศัพท์ เขาคุยกันถึงอากาศร้อนในสองสามวันนี้ และบอกว่าพรุ่งนี้พระอาทิตย์จะตรงหัวคนไทย แน่นอนร้อนจัดๆเลยหละ

วิทยากรผู้ชายท่านนั้นเป็นนักโภชนาการ อธิบายว่าควรดื่มน้ำมากๆ 8-10-15 แก้วต่อวัน แล้วแต่อายุ สุขภาพ แต่แนะนำให้ดื่มน้ำเปล่าที่สะอาด มากๆ หากน้ำน้อยจะมีผลต่อสุขภาพหลายอย่าง ให้ใส่แว่นกันแดด กางร่ม ผู้สูงอายุอย่าออกแดดมากนัก กินผักเยอะๆ อย่ากินทุเรียน หรือทนไม่ไหวหลังกินทุเรียนก็ให้กินน้ำมากๆ ฯลฯ


(ภาพจากอินเตอเนท)

ผมฟังอยู่พักใหญ่ระหว่างขับรถไป พอผู้ดำเนินรายการเอ่ยชื่อ อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผมก็อ๋อ ไอ้หง่า เพื่อนผมเอง ขออภัยเราสนิทกันมาก ผมก็ชื่นชมเพื่อนคนนี้มาตั้งแต่เรียนหนังสือ ม.ศ. 4-5 ด้วยกันที่สำเหร่ เราอยู่ก๊วนเดียวกัน เล่นด้วยกัน ไปไหนมาไหนด้วยกัน มี แป้น เปี๊ยก และชาตรีอีกคน แป้นเป็นลูกชายเจ้าของโรงเรียน เราเลยถือโอกาสกินข้าวเย็นบ้านแป้นบ่อยๆ หรือไปเล่นดนตรีกันที่ห้องพักที่บ้านแป้น และดูหนังสือด้วยกัน ขอยืมเสื้อใส่กัน

ไอ้หง่า หรือ เพื่อนหง่า หรืออาจารย์สง่าของสาธารณชน ไปเรียน Food science ที่ มก. แป้น ไปเทคนิคบางมด(สมัยนั้น) ชาตรีและเปี๊ยกไป มข. ผมไป มช. นานๆเราจะมาพบกันที ตามสะดวก สง่าเป็นนักโภชนาการของกรมอนามัยมานาน เติบโต มีชื่อเสียงทางด้านสุขภาพมากมาย หุ่นดี ดูสุขภาพร่างกายไม่แก่ตามอายุ อันมาจากการดูแลสุขภาพของเพื่อนนั่นเอง และที่สำคัญ สง่าเป็นคนหัวเราะเก่ง หน้าเขายิ้มตลอด พูดเก่ง จิตใจดี น่าจะเป็นองค์ประกอบอย่างหนึ่งของสุขภาพที่ดีของเพื่อนคนนี้


(ภาพจากอินเตอเนท)

ผมเห็นสง่าทางหน้าจอทีวีเป็นบางครั้ง เราไม่ค่อยได้ติดต่อกัน จะเจอะกันโดยบังเอิญบ้างเช่นที่สนามบิน เขาลงใต้ ผมไปอีสาน ทำนองนั้น ผมทราบว่าสง่าเขียนหนังสือออกมา ชื่อ “กินอยู่อย่างสง่า” ในเนทกล่าวว่า เขียนโดย อาจารย์สง่า ดามาพงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ผู้ที่ทำโครงการ “คนไทยไร้พุง” ปลุกกระแสสังคมจนประสบผลสำเร็จมาแล้วปัจจุบันเกษียณอายุราชการในวัย 61

ผมลองติดตามเพื่อนทางอาจารย์ กู.. พบว่ามีคนนับเขาเป็นตระกูลดังคนหนึ่ง คือ ดามาพงษ์ แต่ความจริงเรื่องนี้ผมเคยคุยกับเพื่อนสง่าว่า เฮ้ย..เองรวยเท่าไหร่วะ ก็คุณหญิงท่านไม่รู้จะเอาเงินไปเก็บที่ไหนแล้วว่ะ… สง่าเพื่อนผมบอกว่า ไอ้หา…กูน่ะขี้ตีนก็ไม่ติดท่านหรอก ก็ไม่ได้เกี่ยวข้องปรองดอง เอ้ย เป็นดองเป็นญาติอะไรเลย มึงดูนะ ไอ้บู๊ด.. ดามาพงษ์ กับดามาพงศ์ มันต่างกันตรง ษ์ กับ ศ์ ว่ะ กูเลยไม่รวยเหมือนท่าน..กิกิ กิกิ

ตอนสมัยเรียนอยู่นั้น เขาเป็นตัวแทนโรงเรียนไปแข่งอ่านทำนองเสนาะ แห่งชาติ และเขาได้รางวัลกลับมา

ชื่นชมเพื่อนคนนี้ ที่ทำประโยชน์ให้แก่สังคมในด้านให้วิทยาทานทางความรู้เรื่องสุขภาพ แก่สาธารณะ

พบกันคราวหน้า พุงข้าจะลดลงว่ะ…หง่า… กิกิ กิกิ


ฤษีในเมียนมาร์

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 21, 2012 เวลา 7:43 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2136

ฤษี ในความรู้สึกของผมนั้น เราไม่เคยเห็น หรือใกล้ชิดฤษีจริงๆในวิถีปกติของเราในปัจจุบัน มีแต่ได้ยินในเรื่องเล่า ในลิเก โขน การเล่นต่างๆ หรือนานๆ มีคนกล่าวถึง ฤษีที่นั่นที่นี่ แต่ไม่เคยสัมผัสจริงๆเลยครับ แต่หากจะพูดถึงว่า คนนั้น คนนี้ มีปกติปฏิบัติเป็นฤษี ก็เคยได้ยินบ้าง

ความที่เรามีภาพฤษีมาจาก โขน ลิเก หากจะพูดถึงฤษี ก็นึกถึงผู้สูงอายุ ผมยาว มีหนวดมีเครา มีผ้าห่มรุงรัง มีย่ามที่ใส่ของขลัง ของวิเศษ มีไม้เท้าที่มีลักษณะแปลกๆ …..

แต่ฤษีในเมียนมาร์นั้น หากไกด์โจไม่แนะนำเราก็อาจจะเข้าใจผิดว่านั่นคือพระก็ได้ เพราะห่มสีกลัก และประพฤติคล้ายๆพระ คือออกภิกขาจาร ไปตามสถานที่ต่างๆ แต่จะปลีกวิเวกโดดเดี่ยว ไม่รวมกลุ่มเป็นคณะ เป็นหมู่

ไกด์ โจกล่าวว่าในป่าบนภูเขารอบๆพระธาตุอินแขวนนั้น มีฤษีมากมาย กระจายอยู่ตามมุมป่าต่างๆ โจ บรรยายต่อว่า สมัยก่อนที่เขายังเป็นนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยย่างกุ้งนั้น เคยมาเดินขึ้นไปกราบพระธาตุอินแขวนมาแล้ว มาพร้อมๆกับเพื่อนเป็นคณะหลายคน เนื่องจากเขาเป็นคนตัวเล็ก การเดินขึ้นภูเขาสมัยนั้นไม่มีถนนจึงเดินไปตามทางเดินป่า เขาเดินไม่ทันเพื่อน จึงหลุดออกจากกลุ่มอยู่ด้านหลัง

ช่วงหนึ่งเขานั่งพักเหนื่อยอยู่ ดีดีก็มีฤษีตนหนึ่งเดินสวนทางลงมา พักเหนื่อยด้วย จึงคุยกัน โจ ถามฤษีว่า เห็นเพื่อนเขาไหมที่เดินไปข้างหน้าก่อนแล้ว ฤษีบอกว่า เห็นมีเท่านั้นเท่านี้คน จากนั้นฤษีก็สอนให้ประพฤติดีปฏิบัติดี เมื่อหายเหนื่อยก็แยกกันเดินทางต่อไปโยสวนทางกัน เมื่อโจ เดินทันเพื่อน ก็มีการสอบถามกันว่า เพื่อนสวนทางกับฤษีหรือเปล่า เพื่อนๆปฏิเสธ … เหมือนกับโจกำลังอธิบายว่า เขาเคยพบความอัศจรรย์กับฤษีผู้ประพฤติในธรรมมาแล้ว….

ฤษีในรูปนั้นนั่งอยู่ใน “มหาเจดีย์มุเตา” ที่มีความสำคัญมากๆกับประวัติศาสตร์เมียนมาร์ ท่านจะแจกบัตรคล้ายๆคำอวยพร แล้วก็รับบริจาค โดยท่านไม่ได้ร้องขอ ใครจะบริจาคหรือไม่ก็นิ่งเฉย

นี่คือเสี้ยวส่วนที่ผมสัมผัสฤษีในเมียนมาร์



Main: 0.19130778312683 sec
Sidebar: 0.15812301635742 sec