ร่องรอยบางทราย….๓

11 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 14, 2008 เวลา 14:44 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2809

ตอบท่านครูบาฯ

กระชากหน้ากากตัวเองหน่อย…

เปลี่ยนแปลง…

* ที่สุรินทร์นี่เองที่ผมกับเพื่อนๆวงการ NGO และรุ่นพี่ๆรวมตัวกันตั้ง NGO-CORD และจัดประชุมสัมมนาทุกปี ผมเป็นกรรมการอยู่พักหนึ่งก็ลาออกให้รุ่นน้องๆทำต่อ เพื่อนที่ขอนแก่นชวนมาทำงานกับโครงการ USAID ที่สำนักงานเกษตรท่าพระ ก็เปลี่ยนจาก NGO ร้อยเปอร์เซ็นต์มาเป็นที่ปรึกษา

* ทำงานกับฝรั่ง ในฐานะผู้เชี่ยวชาญสังกัดกรมวิเทศสหการ เงินเดือน 9,000 บาท เป็นครั้งแรกที่ทำงานร่วมกับฝรั่งเต็มทีม และส่วนใหญ่เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเคนตั๊กกี้ มีสิทธิพิเศษสามารถสั่งเหล้าฝรั่งทุกยี่ห้อในราคาสินค้า PX ผมก็ PX บ้างแต่ไม่รู้ว่ามันแปลว่าอะไร กินเหล้าฝรั่งยี่ห้อดังๆซะหมดทุกยี่ห้อแล้วในราคาไม่ถึงพันบาทต่อ ขวดใหญ่

* สถานที่ทำงานแห่งนี้เองที่ ผมได้เรียนรู้เครื่องมือทำงานวิจัยและสามารถนำมาใช้ในกระบวนการพัฒนาชนบทที่เรียก RAT (Rapid Assessment Technique) ซึ่งเข้ามาครั้งแรกในประเทศไทยที่สถาบันวิจัยระบบการทำฟาร์ม(FR/E) มหาวิทยาลัยขอนแก่น ฝรั่งที่โครงการก็ร่วมมือกับคณะเกษตรเอาเข้ามาใช้ แล้วพัฒนาเครื่องมือนี้เป็น RRA (Rapid Rural Appraisal) และเป็น PRA(Participatory Rapid Appraisal) ในที่สุด ก่อนที่จะดัดแปลงไปอีกมากมายขยายไปทั่วโลกจนถึงปัจจุบันนี้

* เครื่องมือที่สำคัญอีกตัวหนึ่งที่เรียนรู้ในครั้งนั้นคือ Agro-ecosystem Analysis (AEA) เป็นเครื่องมือใช้วิเคราะห์พื้นที่ เหมาะที่จะใช้ประกอบการวางแผนงานพัฒนาพื้นที่โดยเฉพาะทางกายภาพ ต่อมาได้พัฒนาให้เป็นตัวเด่นตัวหนึ่งในการวิเคราะห์ PRA ประมาณปี 2525-2530 ที่ผมทำงานที่นั่น ได้เรียนรู้เทคนิคการทำงานต่างๆมากมาย ประสบการณ์ครั้งนั้นยังเอามาใช้ในการทำงานจนทุกวันนี้ อิอิ..

* แล้วผมก็ผันไปทำงานโครงการอื่นๆในวงการพัฒนา คือ โครงการไทย-ออสเตรเลีย เรื่องน้ำดื่มน้ำใช้ทั่วภาคอีสาน โครงการ ไทย-เนเทอร์แลนด์ เรื่องการพัฒนาน้ำในระดับไร่นาที่เขื่อนลำปาว กาฬสินธุ์ โครงการ NEWMASIP กับกลุ่มประเทศประชาคมยุโรปเรื่องน้ำชลประทานทั่วภาคอีสาน แล้วก็ย้อนไปทำงาน International NGO ที่ห้วยขาแข้ง นครสวรรค์ แล้วเข้ากรุงเทพฯไปทำงานกับบริษัทที่ปรึกษา 1 ปี แล้วย้ายออกมาอยู่ชนบทอีกครั้งจนถึงปัจจุบัน

บ่าย….

* ทำงานพัฒนาชุมชน ยิ่งทำก็ยิ่งมีสิ่งที่ต้องทำ เห็นโน่นก็อยากทำ เห็นนี่ก็อยากทำ แต่หันมามองสังขารตัวเองก็ปลง ก็เลยสนับสนุนน้องๆก้าวเข้ามาแทนที่เรา

* ถึงช่วงที่ถ่ายทอดประสบการณ์ผิดๆถูกๆให้น้องๆเรียนรู้ต่อยอดกันไป เท่าที่จะทำได้ และทำงานต่อไปเท่าที่กำลังจะมีเหลืออยู่ ใช้ประสบการณ์บ่งชี้ให้ผู้รับผิดชอบรับฟัง ส่วนเขาจะสำเหนียกเอาไปสู่การปฏิบัตินั้นเป็นเรื่องของการเห็นตรงกันหรือเห็นต่างกัน

* มันเป็นสัจธรรมของชีวิตที่เมื่อเข้าสู่ยามบ่าย ก็ต้องคิดถึงการเดินเข้าสู่การปรับตัวตามวัยเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับชีวิตใหม่

วิธีการเรียน

* โดยส่วนตัวชอบอ่านหนังสือหนักๆ ไม่ใช่น้ำหนักของเอกสารนะครับ สาระหนักๆต่างหาก แล้วเอามาเขียนย่อให้ตัวเองเข้าใจ สรุปสาระนั้นๆไว้เป็นส่วนตัว เพราะการเขียนเป็นการกลั่นกรองความคิดออกมา เอาเฉพาะแก่นออกมา (แต่ไม่ได้ทำทุกเรื่อง)

* ส่วนตัวชอบ เทคนิค flowchart, diagram, mind map, graph, note ย่อ วิธีการเขียนก็เอาตามแบบสไตล์ตัวเองที่ชอบ ที่เข้าใจง่าย ซึ่งคนอื่นอาจจะไม่ชอบ หรือเข้าใจยากกว่า แต่เราเข้าใจ จับหลักให้ได้ แล้วขยายรายละเอียดทีหลัง การที่เราสนใจดังกล่าว รู้สึกว่าเราจะได้มุมมองเรื่องราวต่างๆได้ดี เราเห็นทั้ง Overview และเฉพาะเจาะลึก

* เทคนิคที่เราเรียนมาจากการร่วมลงมือทำ กรณี AEA นั้นทำให้เรามีมุมมอง Overview มากกว่าเพื่อนคนอื่นๆบางคน และเมื่อเราคุ้นเคยกับการใช้เครื่องมือต่างๆของ PRA ทำให้เราสามารถเจาะลึกถึงข้อมูลต่างๆได้ดี และพยายามหาข้อมูลด้านนี้มาประกอบการตัดสินใจด้วยเสมอ มุมมองของเราจึงกว้าง ลึกและรอบด้านมากกว่า อันนี้เป็นการมองตัวเอง ประเมินตัวเอง

* การที่เราผ่านการใช้เครื่องมือการหาข้อมูลต่างๆมาพอสมควร ช่วยให้เรามี จินตนาการ ได้ดีกว่า เมื่อเอ่ยถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง(Subject) เราสามารถกวาดข้อมูลมาจากแหล่งต่างๆได้ (Subject area) แม้จะไม่มีข้อมูลเราก็รู้ว่าจะไปหาที่ไหน (Information sources)

* การเรียนที่ดีที่สุดคือทำเอง ปฏิบัติเอง เพราะมันมีช่องว่างระหว่างภาษาอักษรกับภาษาความรู้สึก ตัวอักษรไม่มีรายละเอียดเท่า หรือหากจะบรรยายให้เทียบเท่าก็ไม่ใช่ความรู้สึกจริงๆ การปฏิบัติจริงมันมีความรู้สึกเข้ามาอยู่ในผลของการเรียนรู้ด้วยที่ต่างจากการเรียนจากตัวหนังสือ หรือเพียงการบอกเล่า ความรู้สึกจะช่วยให้เราชั่งน้ำหนักในขั้นตอนสุดท้ายได้ (อันนี้เป็นส่วนตัวนะครับ)

* ความรู้สึกเป็นอุบายหนึ่งของการฝึกสมาธิในหลักทางพุทธศาสนา หากเราคู้แขนเข้าออก เดินจงกรม นั่งพิจารณากายสัมผัสสิ่งต่างๆ การจับจ้องที่ความรู้สึกนั้นๆช่วยให้เราหยั่งรู้ หากนิ่งและสงบจริงก็จะเป็นขั้นตอนแรกๆที่จะก้าวเข้าสู่สมาธิขั้นสูงขึ้น สูงขึ้น ความรู้สึกจะเกิดได้ก็ต้องสัมผัส การจะสัมผัสได้ก็ต้องลงมือทำจริง

* ครั้งที่ตัดสินใจกินเจ (ต่อมาลดลงแค่มังสวิรัติ) ก็เพราะต้องการเปลี่ยนแปลงชีวิตไปเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เบื่อชีวิตเก่าๆ ก็ตัดสินใจคืนเดียวแล้วกระโดดเข้าวงการคนกินเจ ที่มีข้อห้ามมากมาย ทุกวันหยุดก็ไปรวมตัวกันนั่งสมาธิติดต่อกันมากกว่า 5 ปี การกระโดดลงไปปฏิบัติเองนั้นเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง เพราะได้ความคิดใหม่ ความรู้สึกใหม่ มุมมองโลกใหม่ๆ และรวมถึงสุขภาพที่ดีกว่าเดิม

* เนื่องจากเราเป็นมนุษย์สามโลก คือโลกในเมือง โลกในชนบท และโลกในจินตนาการ การคลุกคลีสองโลกเมืองกับชนบทจึงเห็นโลกที่สามว่าภาพรวมควรเป็นอย่างไร ความเข้าใจเหล่านี้ช่วยให้เรามีทัศนคติกว้างต่อสังคมโดยรวม และเฉพาะส่วนที่เราเข้าไปทำงานด้วย

คิดอะไร…..

* เป็นคนจัดอยู่ในประเภท Introvert ก็แค่คนเล็กๆคนหนึ่งในสังคมใหญ่ที่หนาแน่นไปด้วยคนที่แก่งแย่งกันไปยืนอยู่ข้างหน้า หรือสถานที่เหนือกว่า สูงกว่า…… ผมจะเลือกตรงข้าม

* เพราะเป็นคนชนบท ยากจน และบังเอิญผ่านกระบวนการ 14-16 ตุลาเต็มๆ จึงตั้งใจว่าจะทำงานเกี่ยวกับชนบท…..และได้ทำสมใจอยาก

* คิดเยอะ แต่ทำได้น้อย แต่เพียงนิดหน่อยก็ขอให้ได้ทำเถอะ….ดีกว่าคิดเฉยๆหรือพูดเฉยๆ

* ยังมีเพื่อนที่คิดคล้ายเรา ทำคล้ายเราอีกมาก ไปจับมือกับเขาสิ….

* ไม่จำเป็นต้องมาทำเหมือนกันหมด ยืนตรงไหนก็ทำดีที่ตรงนั้นได้ เพราะสังคมมิใช่มีแต่ชาวนา เกษตรกร มีอีกหลายกลุ่ม ทุกกลุ่มประกอบกันเป็นสังคม ประเทศ ที่ต่างพึ่งพาอาศัยกันและกัน แต่อย่าเอารัดเอาเปรียบกัน ขี่คอกันขึ้นไป…… ผมจะอยู่ตรงข้ามทันที

* คำสอนทางศาสนาทุกศาสนาคือสิ่งที่เราพยายามดัดแปลงตนเองให้เข้าใกล้มากที่สุด เห็นว่าเส้นทางเดินตามคำสอนนั้นคือทางรอดของมวลมนุษยชาติ…เอกายิโน อะยังภิกขะเวมัคโคฯ …ดูกรภิกษุทั้งหลาย…ทางสายนี้เป็นทางสายเดียว ไปได้คนเดียว คือผู้ปฏิบัติเท่านั้น…

* ธรรมชาติคือสรรพสิ่ง เราก็เป็นเสี้ยวส่วนของธรรมชาติ เราไม่มีทางอยู่รอดได้หากไม่มีธรรมชาติ แต่ธรรมชาติอยู่ของเขาได้แม้ไม่มีเรา

* ให้อภัยเขาก่อนให้อภัยตัวเอง..

ยิ่งสูงอายุขึ้นก็เห็นสัจธรรมของธรรมชาติที่พระพุทธองค์ทรงตรัสสั่งสอนไว้นานแสนนานแล้ว ช่วงเหลือของชีวิตจึงบันทึกร่องรอย ความเห็น แลกเปลี่ยน ทำงาน และศึกษา ปฏิบัติคำสอนประเสริฐเหล่านั้น..


ร่องรอยบางทราย….๑

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤศจิกายน 13, 2008 เวลา 15:21 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 2945

ตอบท่านครูบาโดย

กระชากหน้ากากตัวเองหน่อย…

เช้ามืด….

· บ้านริมแม่น้ำน้อย วิเศษชัยชาญสมัยนั้นเป็นชนบทไปไหนมาไหนก็เดินด้วยเท้าเปล่า อย่างดีก็จักรยานหรือพายเรือ ชาวบ้านเกือบทั้งหมดคือชาวนา ชีวิตผันไปตามฤดูกาล ชนบทคือโรงเรียนที่กล่อมเกลาจิตใจให้คุ้นเคยกับทำนอง เพลงชีวิต เป็นครอบครัวใหญ่ ปู่มีย่าสองคน แต่ละย่ามีลูก 7 คน พ่อเป็นลูกย่าใหญ่และเป็นคนโตจึงต้องรับภาระเลี้ยงน้องสองแม่มาทั้งหมด กระนั้นพ่อยังกระเสือกกระสนเรียนจนจบ ม 3 และได้สิทธิเป็นครูเลย แม่เป็นชาวนาธรรมดาที่กำพร้าพ่อมาแต่เล็ก ซึ่งสัตย์และจิตใจเหมือนพุทธศาสนิกชนทั่วไป ชอบทำบุญ ไหว้พระ เข้าวัด ฟังเทศน์ เลี้ยงลูก 6 คนด้วยการทำนา พยายามให้ได้เรียนหนังสือทั้งหมด

· เนื่องจากปู่มีเชื้อจีน จึงรู้จักทำมาค้าขายแต่มาแต่งงานกับชาวนาจึงผันมาทำนา เป็นคนดุมากๆ น้องพ่อคนถัดมาจึงทนไม่ไหว เพียงขโมยปืนปู่ไปเล่นก็แจ้งตำรวจมาจับลูกเข้าคุกเลย อาคนนี้ออกจากคุกได้ก็ไม่กลับบ้านเข้าป่าเป็นเสือปล้นเขากินไปเลยแต่ก็มาถูกเสือด้วยกันฆ่าตาย พ่อมีนิสัยดุเหมือนปู่ เอะอะอะไรก็ไม้เรียวที่เหน็บข้างฝาตลอดสองอัน เกือบทุกวันที่บ้านจะต้องมีลูกคนใดคนหนึ่งถูกตี….

สาย….

· หน้าฤดูทำนาก่อนไปเรียนหนังสือทุกคนต้องตื่นแต่ตี 4 แบกไถบ้าง จูงควายบ้างออกไปทำนากับพ่อ เดินทางไกลเป็นกิโล กลัวผีก็กลัวเพราะต้องเดินผ่านวัด ผ่านป่าช้า ขณะเดินตาก็หลับ จึงล้มลุกคลุกคลาน ไปกับโคลนบ้าง ขี้ควายบ้าง ถึงนาก็ฟ้าสางพอดี เอาควายเทียมไถ ไถนาพอเหนื่อย สว่างเต็มที่แม่กับพี่สาวก็หาบกระจาดข้าวมาถึง จึงหยุดพักกินข้าว แล้วก็รีบกลับบ้านไปอาบน้ำไปโรงเรียน

· หน้าแล้งก็เอาควายไปเลี้ยงกับพี่ กับน้องและเพื่อนบ้าน เอาผ้าขาวม้าปูท้องนาบ้างใต้ต้นไม้ใหญ่บ้าง ดูท้องฟ้า เห็นเครื่องบินพ่นควันสีขาวออกมาทางก้น ใจก็ฝันอยากเป็นนักบิน เห็นนักเรียนนายสิบแต่งตัวด้วยเครื่องแบบหล่อ เท่ห์กลับบ้าน ใจก็อยากแต่งชุดแบบนั้นบ้าง

· โรงเรียนวัด พ่อเป็นครูใหญ่ จึงถูกตีเป็นตัวอย่างเสมอหากทำอะไรผิด

· โรคคางทูมระบาด เป็นกันทั้งโรงเรียน อีสุกอีใสระบาด เป็นกันทั้งตำบล โรคอหิวาระบาด เป็นกันทั้งอำเภอ เจ็บตายกันมาก มีตายทั้งกลม(คลอดลูกไม่ออกเสียชีวิต) กลัวผีที่สุด ปีปีหนึ่งมีชาวบ้านถูกงูกัดตายหลายคน สถานที่อนามัยที่ดีที่สุดคือไปหาหมอมิชชันนารี ที่มาเปิดโรงพยาบาลเล็กๆที่ตลาดวิเศษชัยชาญ รักษาได้ทุกโรค…ราคาถูก แถมแจกเอกสารศาสนาด้วยเป็นการ์ตูน

· สิ่งที่ชอบที่สุดคือ งานวัด หนังกลางแปลง งานบุญกลางบ้าน งานประเพณีต่างๆ ได้กินขนมแปลกๆ ได้กินน้ำแข็งใสใส่น้ำสีแดงสีเขียวและนมข้นโรย ข้าวโพดคั่ว ตังเม … ถ้าเป็นงานศพก็ได้กิน ข้าวตัง ก้นกระทะใบบัวใหญ่ที่เขาใช้หุงข้าวเลี้ยงคนทั้งวัดที่มาในงาน คืนไหนมีหนังกลางแปลงมาฉาย ไม่เคยดูหนังจบสักเรื่องหลับก่อน พ่อต้องแบกกลับบ้านทุกที แต่ตื่นเช้ามืดกับพี่ชายจะวิ่งกันมาที่บริเวณฉายหนัง เพื่อเดินหน้ากระดานหาสตางค์ที่อาจจะมีคนมาดูหนังทำหล่นตามพื้นเมื่อคืน ก็มักจะได้บ่อยๆ…

· ชอบวิ่งเกาะท้ายรถชลประทานที่มาขุดคูน้ำขนาดใหญ่ที่เรียกระบบส่งน้ำ เป็นรถสีส้ม กับเพื่อนๆเคยวิ่งเกาะท้ายรถแล้วปีนขึ้นไปท้ายรถได้ ก็ไปกับรถเขาเรื่อยๆเพราะรถไม่หยุด เลยไม่ได้ไปโรงเรียน ข้าวปลาไม่ได้กิน กลับมาบ้านโดนพ่อตีตูดลายเลย

· วันนั้นมีงานศพคนเฒ่า เพื่อนชวนไปเล่นที่กองฟางข้างบ้านงานศพ ริสูบบุหรี่กับเพื่อน ติดไฟเสร็จไฟเกิดหล่นลงพื้นติดกองฟาง ดับเท่าไหร่ก็ไม่ได้ ต่างวิ่งหนีกันคนละทิศละทาง ชาวบ้านเขาเห็นเราคนเดียว ก็ตะโกนว่าลูกครูใหญ่จุดไฟเผากองฟาง คนที่อยู่ในงานต่างวิ่งกันมาช่วยดับไฟ เราวิ่งหนีไม่รู้ไปไหนก็ไปแอบนอนที่หน้าโบสถ์วัดข้างบ้าน พ่อตามมาเห็นลากไปตีต่อหน้าแขกที่มาในงานทุกคน อายสุดๆในชีวิต

· ขึ้นชั้นมัธยมก็ไปโรงเรียนประจำอำเภอ ต้องเดินวันละ 10 กิโลไป-กลับ ผ่านตลาดวิเศษชัยชาญ บ้านอาจารย์เจิมศักดิ์เป็นร้านขายหนังสือในตลาด พ่ออาจารย์กับพ่อเราเป็นเพื่อนกัน แต่เด็กตลาดเรียนเก่ง เด็กบ้านนอกอย่างเราเข็นแล้วเข็นอีก กำลังจำดีดี พ่อตะคอกหน่อยเดียวความรู้วิ่งหนีไปหมด กลัวจนลาน แอบร้องให้ น้อยใจที่เห็นพ่อลูกคนอื่นเขาเล่นกัน กอดกัน แต่บ้านเราไม่มีเลย

· กระแสการสร้างชีวิตคือการเรียนหนังสือและเข้ารับราชการอย่างใดอย่างหนึ่ง เก้าสิบเปอร์เซ็นต์จะส่งลูกเรียนให้จบ ม 3 แล้ว ไปเรียนต่อครู ปกศ. ที่ อยุธยา ใครเก่งก็เข้าสวนสุนันทา บ้านสมเด็จ ที่กรุงเทพฯ สมัยนั้นมีครูคนเดียวที่จบปริญญาตรีมาจากประสานมิตร

ยามสายแก่ๆ….

· โชคดีที่คุณตาเดินทางไปเยี่ยมญาติพี่น้องที่วิเศษชัยชาญมานอนค้างที่บ้าน เพราะเป็นบ้านหลังเดียวที่มีส้วมซึม (เพราะพ่อเป็นครูใหญ่) เห็นเราทำงานบ้าน ตักน้ำใส่ตุ่ม กวาดบ้านถูบ้าน ตัดไม้ รดน้ำต้นไม้ ก็ออกปากให้ไปเรียนต่อ มศ. 4-5 ที่ธนบุรีที่คุณตาเป็นอาจารย์ใหญ่ที่นั่น บุญหล่นทับแล้วเรา ดีใจสุดจะควบคุมได้ เที่ยวเดินแหกปากบอกเพื่อนๆว่า กูจะเข้ากรุงเทพฯแล้ว ไปเรียนที่นั่น ไปอยู่กับคุณตา….

· คืนแรกที่ธนบุรี คลองสำเหร่ บ้านสวน ก็น้ำตาตก เมื่อมาอยู่สภาพเมืองที่เราไม่เคย อึดอัดไปหมด จะทำอะไรก็ย่องๆ ไม่กล้าคุยกับใคร อยู่บ้านนอกกินข้าวทีเป็นจานพูนเต็มๆ ตักเพิ่มเอาเต็มที่ ก็บ้านเราทำนา ข้าวปลาเหลือเฟือ คนเมืองกรุงเขากินข้าวนึ่งเป็นก๊อกเล็กๆ มันจะไปอิ่มอย่างไง จะกินหลายก๊อกก็ไม่ได้ อายเขา คนอื่นเขากินอย่างมากก็ก๊อกครึ่ง เราหรือ 3-4 ก็ไม่อิ่ม ก็เด็กกำลังโต กลางคืนท้องร้อง หิว นอนร้องให้ คิดถึงแม่ที่บ้านนอก คิดถึงน้อง คิดถึงพี่ แต่ก็ต้องทนเพราะมาเรียนหนังสือ…

· เช้าตื่นขึ้นมาคุณน้ามีลูกสาวสองคนเรียนชั้นประถมโรงเรียนเดียวกันก็ต้องจูงมือไปโรงเรียนด้วยกัน แหกปากร้องทุกวันเดินไปด้วยร้องไปด้วย เราก็ถือกระเป๋ามือหนึ่ง อีกมือก็จูงน้องไปด้วย

· บางคืนนั่งดูหนังสือเรียนทนไม่ไหว หิวข้าว ค้นกระเป๋ากางเกงมีเหรียญสิบบาทติดก้นกระเป๋า แอบออกจากบ้านลงใต้ถุนไปปากซอยซื้อราดหน้ากินห่อหนึ่งแล้วแอบเข้าบ้าน หมาเสือกเห่าเสียงดังลั่น เลยความแตกว่าเราหนีออกจากบ้านไปปากซอย พ่อรู้เรื่องจึงขึ้นมาจากวิเศษชัยชาญมาสั่งสอนเสียยกใหญ่……โอย..ไม่อยากอยู่แล้วเมืองหลวงเมืองหลอน อยากกลับบ้านนอกดีกว่า…อิอิ..

ใกล้เที่ยง….

· โชคดีอะไรที่สอบผ่าน ม.ศ. 5 แล้วติด มช. ทั้งๆที่ไปสอบครูพิเศษที่อยุธยาก็ได้ แต่สละสิทธิเพราะเลือกเอามหาวิทยาลัย ทราบข่าวว่าพ่อดีใจเป็นที่สุดที่ลูกคนแรกได้เรียนมหาวิทยาลัย เที่ยวเดินอวดคนโน้นคนนี้ว่าลูกสอบได้ แต่แม่เล่าว่า ตกกลางคืนพ่อก็นอนเอามือก่ายหน้าผาก แล้วบ่นกันว่า ..แล้วจะเอาเงินที่ไหนส่งลูกเรียนกันเนี่ย… พี่สาวก็เรียน ผมก็กำลังเข้ามหาวิทยาลัย น้องอีก 4 คนก็กำลังเรียนไล่ๆขึ้นมา ครูประชาบาลกับแม่บ้านที่เป็นชาวนาจะเอาเงินที่ไหนส่งลูกเรียน

· จำได้ว่าแม่ไปขอยืมเงินพระที่วัด พ่อต้องกู้เงินครู และทำนามากขึ้น ที่จำแม่นที่สุด ครั้งหนึ่งปิดเทอมกลับมาบ้าน ตอนถึงเวลาต้องกลับไปเรียน มช. ทางบ้านไม่มีเงินเลย แม้ค่ารถจะเดินทางไปเชียงใหม่ แม่บอกให้ผมลงไปใต้ถุนบ้านหาเก็บเศษขวดที่หลงเหลืออยู่รวบรวมไว้พรุ่งนี้เอาไปขาย ได้เท่าไหร่ก็เอา แล้วจะไปขอยืมเงินหลวงพ่อที่วัดอีก…..

· ……..

· ที่เชียงใหม่ ผมมีโลกกว้างมีเพื่อนใหม่ทุกภูมิภาค เพื่อนปักษ์ใต้สนิทกันที่สุดเพราะบ้านมันส่งของกินมาให้เรื่อยๆ อย่างปลาแห้งงี้ เอามาทอดกินกับข้าวต้มกลางคืนดึกๆที่ดูหนังสือกัน ไอ้ศักดิ์ มันบ้าจะสอบใหม่เอาวิศวะให้ได้ จึงไม่เรียนเอาแต่ดูหนังสือจะเอ็นใหม่ เราก็เป็นคนชงโอวัลตินกระป๋องบักเอ็บให้มัน เวลาเราเดินออกไปหน้ามอ ก็ซื้อข้าวผัดมาให้มัน ยังไม่ขึ้นไปให้ ก็เรียกมันจากชั้นสามให้ส่งปลายเชือกลงมา เราผูกห่อข้าวมันก็ชักขึ้นไป กินข้าวแล้วดุหนังสือต่อ เราก็เดินเล่นกับเพื่อนคนอื่นๆหรือไปทำกิจกรรมอื่นๆ กลับมาห้อง ไอ้ศักดิ์ยังนั่งดูหนังสือ เราก็ชงกาแฟให้มันอีก …วันสุดท้ายที่มันสอบเอนใหม่เสร็จวิ่งมาบอกพวกเราว่า กูติดวิศวะแน่ๆ ผลประกาศ ไม่มีชื่อมัน…. มันเลยลาออกไปเรียนที่ฟิลิปปินส์เสียเลย ปัจจุบันเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัทฟีนิกส์ พัลพ์ แอนเปเปอร์ ที่ขอนแก่น แต่ไม่ค่อยเจอะกัน.อิอิ..

· สมัยนั้นเข้าสู่ 14 ตุลา บรรยากาศมหาวิทยาลัยอบอวลไปด้วยการอภิปราย การทำกิจกรรมนอกหลักสูตร บังเอิญเราอยู่ในกลุ่มเด็กบ้านนอกที่สนใจเรื่องความยากจน ปัญหาชนบท บ้านเมืองจึงเข้ากลุ่ม และมีท่านอาจารย์หลายท่านมาเป็นที่ปรึกษา และรุ่นพี่พี่ที่แรงสุดๆ

· เราทำกิจกรรมในมหาวิทยาลัยมากมาย เช่น ล้มระบบเชียร์แบบเก่าๆที่เป็นระบบ ว๊ากเกอร์ จับกลุ่มศึกษาหนังสือป็อกเก็ทบุ๊คที่ออกมามากมายในช่วงนั้นที่เป็นหนังสือที่เรียนว่าก้าวหน้า เช่น หนังสือเรื่อง การพัฒนาความด้อยพัฒนา หนังสือของจิตรภูมิศักดิ์ ยูโทเปีย สรรนิพนธ์ของเหมาเจ๋อตุง สตาลิน แม่ของกอร์กี้ หนังสือโฉมหน้าศักดินา ที่เป็นหนังสือต้องห้าม เดอ แคปปิตัลลิส และมากมาย…. เราอ่านกันอย่างจะไปสอบ(ทีหนังสือเรียนหละไม่เอา) เอามาเสวนากัน คุยกัน ถกกัน แลกเปลี่ยนความเห็นกัน เชิญอาจารย์มาแสดงความเห็น เชิญรุ่นพี่พี่มาแสดงความเห็น และที่บ้าๆสุดขีดคือเราไปล้มงานบอลที่นักศึกษาอีกกลุ่มหนึ่งชอบจัดงานแบบนั้น…

· ในที่สุดเราจัดค่ายศึกษา เอาเพื่อนนักศึกษาที่สนใจทิศทางเดียวกันออกชนบท สนุกมาก ออกกันเอง จัดกันเอง ควักกระเป๋ากันเอง แล้วมาแลกเปลี่ยนชีวิตที่ไปอยู่ชนบทกัน มันสุดๆเพราะสารพัดสิ่งที่พบมา รับรองว่าทุกคนที่ผ่านค่ายศึกษาจดจำจนถึงวันนี้ ครั้งนั้นมีคนไปค่ายยี่สิบกว่าคน ล้วนเป็นนักศึกษาแพทย์ เภสัช ทันต เทคนิคการแพทย์ พยาบาล ที่เรามักเรียกกันว่าฝั่งสวนดอก มีพวกสังคมไม่กี่คน เข้าป่ากันหมดเลย…

· จัดตั้งพรรคการเมืองในมหาวิทยาลัยเสนอตัวเป็นนายกองค์การนักศึกษา มช. โดยผมเป็นเลขาธิการพรรค ฟอร์มทีมกันมีจาตุรนต์ลงเลือกตั้งเป็นนายกองค์การ ผมอยู่เบื้องหลัง และทีมเราได้รับเลือก…

· เอาแต่ทำกิจกรรมชนบท ไม่ค่อยได้เรียน……. แต่เราก็จบออกมา



Main: 0.16184496879578 sec
Sidebar: 0.10198998451233 sec