แด่น้องผู้หิวโหย..

7 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ กรกฏาคม 2, 2009 เวลา 13:20 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 3015

เมื่อเรามาถึงดงหลวง จังหวัดมุกดาหารใหม่ๆ เราตื่นเต้นที่จะพบกับชนเผ่าที่เราไม่คุ้นเคยมาก่อน ด้วยนิสัยคนทำงานชุมชนก็ตระเวนหาข้อมูลเกี่ยวกับชนเผ่ากะโซ่ ทั้งจากการบอกเล่า และเอกสารเท่าที่จะหามาได้ ชิ้นสำคัญก็เป็น เอกสารจากสำนักวัฒนธรรมของจังหวัดฯ และบันทึกสหายใหญ่ พคท. สมัยที่อยู่ป่าดงหลวง

ส่วนใหญ่คำบอกเล่าของทางข้าราชการก็จะมอง กะโซ่ ในแง่ต่ำต้อย ด้อยการศึกษา สกปรก นับถือผี พัฒนาไม่ขึ้น ล้าหลัง นิยมขึ้นภูเขา ฯลฯ ราชการจึงระดมทรัพยากรเข้าไปฟื้นฟู รวมทั้งมีโครงการพระราชดำริอยู่ที่นั่นด้วย

เมื่อเราเข้าไปครั้งแรกๆ ในหัวก็จะมีข้อมูลเหล่านั้นเต็มไปหมด จึงพยายามพิสูจน์ว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่มากน้อยแค่ไหน ฯ และคิดต่อไปว่า โครงการที่เราเข้ามารับผิดชอบนั้นจะทำให้เขาพัฒนาขึ้นได้อย่างไรบ้างภายใต้กรอบภารกิจที่ถูกกำหนดมาแล้วตามระบบ

มีสิ่งสะดุดใจหลายประเด็นที่เราพยายามควานหารอยเชื่อมการเข้าถึง เข้าใจและพัฒนาตามแนวพระราชดำริ เช่น การยกหมู่บ้านเข้าป่า ทั้งตำบล และเป็นกลุ่มสุดท้ายที่ออกมาจากป่า การนับถือผี รูปรอยของการปรับตัว มุมสะท้อนกลับของสหายนำในป่าที่ว่าเป็นพวกวีระชนเอกชน ฯ


เมื่อเราใช้กระบวนการ PRA (Participatory Rapid Appraisal)ศึกษาชุมชนอย่างละเอียด ปัญหาใหญ่ที่เราพบประการหนึ่งก็คือ การขาดแคลนข้าวสำหรับบริโภค เมื่อเจาะลึกลงไปพบว่า หลายครอบครัวขาดแคลนมากกว่า 4 เดือนโดยเฉพาะช่วงฤดูฝนที่เป็นรอยต่อของ “ข้าวเก่าหมด ข้าวใหม่ยังไม่ออก”

ปัญหานี้ในอดีต เกิดขบวนการเข้าป่าหาของป่าไปแลกข้าวตามหมู่บ้านรอบๆเทือกเขาภูพาน ตั้งแต่ อ.นาแก ไปจนถึง อ.เขาวง อ.คำชะอี เรื่องราวการหาของป่าแลกข้าวก็พิลึกกึกกือมากมาย….


แม้กระทั่งวันนี้การขาดแคลนข้าวจะลดลงแต่ก็ยังมีภาพสะเทือนใจให้ได้พบเห็นกัน
ในภาพนี้ พ่อแม่ต้องออกไปทำมาหากิน ส่วนใหญ่คือเข้าป่าไปหาพืช สัตว์ต่างๆมาประกอบอาหารไปวันวัน หรือหากโชคดีก็ได้สัตว์มีราคาก็ขายเอาเงินมาซื้อข้าวกิน พี่ต้องรับหน้าที่ดูแลน้องๆเล็ก…


ที่ผ่านมาการแก้ไขของชาวกะโซ่คือ การเข้าป่าไปหาสัตว์ ทั้งกิน ขาย การรับจ้างต่างๆในไร่นาซึ่งก็ไม่ค่อยจะมีการจ้าง การส่งลูกไปทำงานในเมืองแล้วส่งเงินมาทางบ้าน เคยมีการตั้งธนาคารข้าวแต่พบว่าชาวบ้านจะไม่นิยมบริโภคข้าวที่เก็บไว้นานๆ จะเอาข้าวไปขายแล้วเอาเงินมาให้กู้แก้ปัญหาอีกที..???


กิจกรรมการเพิ่มผลผลิตข้าวจึงถูกระดมความรู้ความสามารถเข้ามามากขึ้น และกระบวนการจัดการอื่นๆก็ตามมา แม้จะไม่ราบรื่นนักแต่ก็ได้พยายามทำกันเต็มกำลัง

เพื่อนร่วมงานจับภาพนี้ได้ พี่กำลังตำมะขามสดกับกะปิให้น้องเล็กสองคนกินเป็นมื้อกลางวัน….???

นับวันผมน้ำหนักลดลงไปเรื่อยๆแล้วครับ….


เห็ดเรืองแสง..

16 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มิถุนายน 24, 2009 เวลา 22:29 ในหมวดหมู่ ชนบท, ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม #
อ่าน: 7349

วันนี้โครงการมีการสัมมนาเกษตรกรผู้นำกิจกรรมด้านการเกษตรสาระต่างๆในดงหลวงทั้งหมด 40 คนมาคุยกันตามแผนงาน ก็เป็นกึ่งรูปแบบทางการตามระเบียบราชการที่มีกฎระเบียบกำกับ..


ผมไม่พูดสาระการประชุมนะครับ แต่มีสาระที่เกิดขึ้นระหว่างการคุยกันช่วงพัก อย่างที่ผมกล่าวถึงบ่อยๆว่าพี่น้องดงหลวงนั้นวิถีชีวิตเขานั้นพึ่งพิงป่าสูงมาก


วันนี้มีอดีตข้าราชการท่านหนึ่งมาสารภาพว่าอดีตของท่านนั้นคือนายพรานล่าสัตว์ป่ามาขาย เพราะเงินเดือนครูนั้นนิดหน่อย พอแค่ส่งลูกเรียนหนังสือเท่านั้น ต้องเข้าป่าล่าสัตว์หารายได้เพิ่ม ไม่ลงรายละเอียด

มีสิ่งหนึ่งที่อดีตนายพรานกล่าวว่า โอ กลางคืนผมก็ไป เอาไฟฉายไป หมาตัวหนึ่ง ผมได้สัตว์ทุกครั้ง เพราะผมยิงแม่น ไม่ว่าปืนแก็ป อาก้า หรือ เอ็ม16 ก็ตาม ผมยิงแม่น แม้ปัจจุบันนี้..??

บ่อยครั้งผมไปกลางคืนเห็นเห็ดเรืองแสง... ผมหูผึ่งเลย จึงถามรายละเอียดว่ามันเป็นอย่างไรเห็ดเรืองแสง… มีทั้งเห็ดที่เราฉายไฟไปแล้วเรืองแสงออกมา และที่มืดๆก็เรืองแสงออกมา พวกนี้เป็นเห็ดพิษทั้งนั้น กินไม่ได้ มันก็แปลกดีนะครับว่าเห็ดมันเรืองแสงได้


แสงของเห็ดสีอะไรครับ… สีนวลๆเหมือนไฟฉายเรานี่แหละ พบบ่อย

มีอดีตสหายป่าท่านหนึ่ง บอกว่า สมัยอยู่ป่านั้นเราจะเดินทางโยกย้ายที่พัก หรือปฏิบัติการกลางคืนกัน แม้มีไฟฉายแต่เราไม่ใช้เพราะจะเสียลับ เราจะใช้เห็ดเรืองแสงเหล่านี้แหละ เอามาติดข้างหลังเสื้อบ้าง เป้บ้าง แล้วจึงเดินทางไปมืดๆ คนเดินข้างหลังก็เห็นเราว่าเดินไปทางไหนเพราะเห็ดเรืองแสงนี่แหละ…


ผมสนใจจึงตามไปหาครู Goo ได้ความรู้เพิ่มเติมมาว่า ที่คณะเกษตรฯ มข.มีคณาจารย์ศึกษาประโยชน์ของเห็ดเรืองแสงมาหลายปีแล้ว และพบว่าสามารถนำมาใช้เพื่อควบคุมไส้เดือนฝอยรากปม ที่มักเป็นศัตรูการปลูกมะเขือเทศ

ในต่างประเทศ เห็ดเรืองแสงในสกุลอื่นๆ มีสารบางชนิดที่สามารถบำบัดโรคมะเร็ง และยับยั้งการดื้อสารแอนตี้ไบโอติกส์ได้

เอกสารของ มข. ยังกล่าวว่า เห็ดเหล่านี้เปล่งแสงได้โดยไม่ปล่อยความร้อนออกมา ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ไบโอลูมิเนสเซนซ์

ผมอยากทำงานด้านค้นคว้าพืชป่าที่จะมีประโยชน์แก่มนุษยชาติจริงๆ เพราะยังมีอีกมากมายที่เราไม่รู้จักคุณค่าของเขา แม้เห็ดพิษเรืองแสงนี้ ก็มีอีกมากมายหลายชนิดที่เรายังไม่ได้ศึกษา…

——————–

แหล่งข้อมูลและรูป : http://www.darasart.com/webboard/Question.asp?GID=3277 ; http://ora.kku.ac.th/res_kku/Abstract/AbstractView.asp?Qid=766385826; http://board.212cafe.com/viewcomment.php?aID=7007494&user=roverden30&id=25&page=2&page_limit=50



“ผลึก” Conductor หล่นที่ มข.4

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 9, 2009 เวลา 14:37 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 2082

สังคมเราผิดพลาดที่ตรงไหน จึงทำให้เด็กมีลักษณะ คิดเองไม่เป็นคำอธิบายคงหลากหลายแต่ส่วนใหญ่คงไปลงที่ระบบการศึกษา บางคนก็ว่าเพราะครอบครัวอบรมมาไม่ดี บางคนไปไกลถึงว่าวัฒนธรรมสังคมของไทยเรามีส่วนทำให้เกิดเช่นนั้น

ผลึกของคอนอีกสำนวนหนึ่งคือ ให้อิสระทางความคิด ดีกว่าการสั่ง ภาพคร่าวๆที่ผมทราบคือ คอนต้องบริหารพนักงานในบริษัทที่มีมากถึง 200 คนเศษ โดยปกติคนเป็นนายนั้นก็ต้องใช้คำสั่งแก่พนักงานทั้งหลายเพื่อให้ปฏิบัติภารกิจตามที่ผู้บริหารสั่งเพื่อให้การเคลื่อนตัวขององค์กรเข้าสู่เป้าหมาย..

ความเข้าใจนี้ไม่ผิด แต่เป็นแบบเก่าแล้ว การบริหารสมัยใหม่นั้น ได้หยิบข้อบกพร่องจากอดีตมาแก้ไข และพบว่า การเปิดบรรยากาศแห่งความมีอิสระทางความคิดที่จะสร้างสรรค์ภารกิจออกมานั้น จะก่อให้เกิดการทำงานที่มีประสิทธิภาพ คุณภาพมากกว่าหลายเท่าตัวนัก

ปรัชญาบนพื้นฐานความคิดที่ว่า ให้อิสระทางความคิด ดีกว่าการสั่งมาจากความเชื่อว่า คนเราแต่ละนั้นมีศักยภาพภายใน เมื่อเราเชื่อเช่นนั้น เราก็เพียงให้โจทย์เขาไปแล้วเขาไปสร้างความสำเร็จเอง ซึ่งจะพบว่ามีเรื่องทึ่งเกิดขึ้นมากมาย เพราะ ศักยภาพของพนักงานที่เป็นพลังภายในของเขาถูกปลดปล่อยออกมา…. และมักพบว่ามีคุณค่าในหลายๆด้ายเหลือเกิน เช่น

  • พนักงานผู้คิดค้นและสร้างสรรค์งานชิ้นนั้นออกมานั้นมีความภูมิใจในงานชิ้นนั้น

  • ผู้บริหารได้พบเพชรงามในองค์กรมากขึ้น

  • พบว่างานที่สร้างสรรค์นั้นดีกว่าที่ผู้บริหารคิดไว้ตั้งแต่แรกอีก

  • ส่งผลสะเทือนไปถึงเพื่อนร่วมงานอื่นๆที่ต้องหันมาใช้ความคิดมากขึ้นกว่าการเพียงรอรับคำสั่ง

  • โดยรวมเกิดบรรยากาศที่ดี ที่สร้างสรรค์ เพราะพนักงานมีความผูกพันกับองค์กร เขารู้สึกว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทและมีความสำคัญ ที่เราเรียกว่าเป็นหุ้นส่วน (Partnership)

  • องค์กรใดที่มีบรรยากาศเช่นนี้ มีผลกระทบในทางที่ดีในระยะยาวต่อเนื่องไป เพราะพนักงานจะไม่หยุดคิดสร้างสรรค์เมื่องานชิ้นนั้นจบลง เขาจะคิดต่อเนื่องต่อไปอีกในอนาคต โดยที่นายไม่ต้องสั่ง เขาจะคิดต่อไปโดยอัตโนมัติว่าจะพัฒนาสิ่งนั้นสิ่งนี้ให้ดีขึ้นได้อย่างไรได้อีก ..ฯลฯ…

นี่เป็นผลของการเข้าใจความเป็นมนุษย์ ศักยภาพของคน และการรู้จักบริหารจัดการที่เหมาะสม ก็จะได้ Output, Outcome จนถึง Impact ขององค์กรที่สุดยอดได้ไม่ยาก

แน่นอนครับองค์กรของเรามิอาจมีพนักงานที่มีศักยภาพซ่อนอยู่เต็มตัวไปทุกคน บางคนก็เล็ดลอดเข้ามาจากการ Screen ที่บกพร่อง หละหลวม โดยการสอบ สัมภาษณ์ และกระบวนการอื่นๆที่คัดพนักงานเข้ามา เมื่อผู้บริหารเห็นก็ต้องค้นหากระบวนการสร้างเขาขึ้นใหม่ ให้โอกาสเขาพัฒนาขึ้นมา ซึ่งมีหนทางมากมาย ทุกท่านก็แสวงหาสิ่งนี้อยู่แล้ว น้องคนดอย.. เฮียตุ๋ย…. เข้าใจเรื่องเหล่านี้ดี

เรื่อง ให้อิสระทางความคิด ดีกว่าการสั่งและความเชื่อขั้นพื้นฐานที่ว่า ..คนเราแต่ละนั้นมีศักยภาพภายใน ผมพบความจริงนี้ตั้งแต่ชาวบ้านไปจนถึงคนในทุกระดับ เช่นที่ พ่อบัวไล หรือสหายธีระ http://gotoknow.org/blog/dongluang/86222 พ่อแสน วงษ์กะโซ่ http://gotoknow.org/blog/dongluang/174821 และที่ http://gotoknow.org/blog/dongluang/171970

ไม่เชื่อท่านลองหันกลับไปพิจารณาดูคนในองค์กรของท่านซิ

มีศักยภาพซ่อนอยู่แน่ๆเลยครับ…


“ผลึก” Conductor หล่นที่ มข.3

4 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 8, 2009 เวลา 23:20 ในหมวดหมู่ เรื่องของชีวิต, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 2520

มีอีกวลีหนึ่งที่คอนกล่าวในที่ประชุมนั้นและผมก็ชอบมากด้วย ที่ว่า ชีวิตไม่ใช่ข้อสอบปรนัย คำนี้บ่งบอกความหมายกว้างขวาง คอนได้ผ่านปัญหาอุปสรรคมามากทั้งหน้าที่การงาน การบริหารลูกน้อง และอื่นๆ แม้ว่าความรู้ในด้านต่างๆจะพัฒนามากมาย และมีวางขายในร้านหนังสือทั่วไป แต่เหล่านั้นเป็นเพียงหลักการ หลักคิด เงื่อนไขของปัญหาที่เกิดขึ้นต่อหน้านั้นมันแตกต่างไปจากหลักการนั้นๆ ที่พูดเพียงกว้างๆ

ผมชอบที่ เฒ่าแก่ ส่งลูกของตัวเองที่อุตสาห์เรียนหนังสือจบเมืองนอกเมืองนา ให้ไปทำหน้าที่เสมียนระดับล่างก่อน เพราะต้องการให้รู้จักงาน รู้จักคน รู้จักรายละเอียดในงานที่เป็นกำลังสำคัญส่วนหนึ่งของกิจการ แล้วค่อยยกระดับไปบริหารกิจการในท้ายที่สุดด้วยความรอบรู้แท้จริง เพราะสัมผัสมาด้วยตัวเองแล้ว

เฒ่าแก่ ก็จะมั่นใจว่า ลูกตัวเองเป็นผู้รู้จริงก็จะสามารถไว้ใจในการดำเนินกิจการต่อไปได้ แน่นอนระหว่างนั้นอาจจะผิดพลาด บกพร่องก็เป็นเรื่องมีประโยชน์ทั้งสิ้นเพราะลูกคนนั้นจะรู้ซึ้งถึงสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำเป็นต้น

ชีวิตไม่ใช่มีตัวเลือกให้หมดแล้ว หลายครั้งชีวิตต้องเผชิญอุปสรรค ปัญหาที่ไม่มีตัวเลือก แต่ต้องเดิน ผมยังชอบตัวแบบชีวิตที่ก้าวจากดินไปสู่ดาวของน้องรักคนหนึ่ง และผมชอบที่จะยกตัวอย่างเขาเสมอๆ เพราะชีวิตเขาเป็นอัตนัยทั้งหมด ไม่มีตัวเลือกเลย แต่การตั้งมั่นในความวิริยะอุตสาหะ และค่อยๆเดินไปนั้น เขาก็สามารถประสบผลสำเร็จได้ ยากที่คนทำงานพัฒนาตัวเล็กๆคนหนึ่งจะก้าวไปถึงจุดยืนตรงนั้นได้ ขออนุญาตฉายซ้ำ

เพื่อนนักพัฒนารุ่นน้องที่ไปคว้าสาวชาวบ้านมาเป็นคู่ชีวิต เมื่อโครงการจบก็ตกงาน ไม่มีอะไรจะทำ จึงพากันลงไปกรุงเทพฯเอาลูกน้อยลงไปด้วยไปใช้ความรู้การทำน้ำเต้าหู้ขายตามริมถนน แต่ก็โดนตำรวจเทศกิจไล่จับเพราะไปกีดขวางทางเดินเท้า ต้องหิ้วหม้อน้ำเต้าหู้ร้อนๆ อุ้มลูกด้วย หนีตำรวจ เพราะหากถูกจับจะไม่มีค่าปรับ

แต่ก็อยู่ไม่ได้เพราะเทศกิจจ้องตลอด จึงขึ้นไปบ้านเชียงใหม่ ไปเช่าเครื่องทำสำเนารับจ้างตามริมถนน สามีไปทำงานโรงแรมเก่าๆ พอมีเวลาเหลือก็ไปรับจ้างทำสวนไม้ดอกตามหมู่บ้านจัดสรร และรีสอร์ทต่างๆที่กำลังก่อสร้างมากมายในเชียงใหม่สมัยนั้น

มีโชคเข้ามา เพราะคนญี่ปุ่นคู่หนึ่งเห็นเด็กหนุ่มสาวทำงานอย่างขยันขันแข็งเช่นนี้ จึงชวนไปทำงานส่งออกดอกไม้ประเภทหัวใต้ดิน เช่น ต้นแสงตะวัน โดยไปหาที่ดินและตระเวนเก็บสะสมหัวดอกทานตะวันจากที่ต่างๆทั่วประเทศ ตลอดจนต่างประเทศใกล้เคียง มาเพาะแล้วส่งออกไปญี่ปุ่น

งานหนักเอา เบาสู้ และใช้ความคิดพัฒนากิจการไปเรื่อยโดยที่ไม่มีตำราที่ไหนสอน คลำไปกันเอง หาความรู้เอง เรียนรู้เอง ลงมือทำเอง ไปแม่โจ้ ไปคณะเกษตร มช. ไปโครงการพระราชดำริ ไปทุกที่ที่จะมีความรู้มาพัฒนากิจการนี้ ตลอดจนไปเรียนรู้การทำ Tissue culture เพื่อมาขยายพันธุ์พืชที่ตระเวนสะสมไว้ในแปลงนั้น

จากไม้หัวไปสู้ไม้ใบ จากไม้ใบไปสู่ไม้ดอก จากการส่งไปญี่ปุ่นประเทศเดียวขยายไปออสเตรเลีย ยุโรป เปิดโรงงานทำน้ำสะอาดขาย และท้ายที่สุดทำน้ำสมุนไพรคาวตองขาย จากเด็กบ้านนอกในป่าสะเมิง จบเพียง ป.4 จากเด็กที่ผมขุดขึ้นมาจากหลังบ้านมาเป็นครูพี่เลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียน และเมื่อก้าวมาสังคมใหญ่ เธอก็สร้างตัวเธอเองจนเป็นแม่เลี้ยงที่จังหวัดลำพูนในปัจจุบันนี้

ชีวิตเธอไม่ใช่มีทางเลือกใดๆเลย ทุกก้าวคือการคลำไปกับความมุมานะ กับสมองที่มุ่งหาความรู้เติมเข้ามา มันเป็นชีวิตที่เด็กบ้านนอกประสบผลสำเร็จที่น้อยคนนักจะทำได้

นี่คือตัวอย่าง ชีวิตไม่ใช่ข้อสอบปรนัย ที่หลับตาจิ้มเอา แต่ต้องค้นคว้า เรียนรู้ อดทน มุมานะ พยายาม ก่ออิฐชีวิตไปทีละแผ่น….

จากเด็กกะโปโล บ้านนอก มาเป็นผู้บรรยายให้แก่นักศึกษาคณะเกษตรศาสตร์หลายสถาบันที่เข้ามาเรียนรู้..!!

จากเด็กครูพี่เลี้ยงเด็กก่อนวัยเรียนมาเป็นนักธุรกิจส่งออก….!!!!

จากเด็ก ป. 4 กลายมาเป็นผู้บรรยายในมหาวิทยาลัยต่างประเทศ..!!!!!!????? ทั้ง ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และยุโรปบางประเทศ…!!!???

สักวันหนึ่งอยากจะพาเฮฮาศาสตร์ไปที่นั่นกัน เธอยินดีต้อนรับแม้จะไปกัน 100 คนเธอก็สู้ไหว

ผมหละแอบชื่นชมผลของการทำข้อสอบอัตนัยของเธอจริงๆ


“ผลึก” Conductor หล่นที่ มข.2

11 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มกราคม 8, 2009 เวลา 13:30 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, เฮฮาศาสตร์ #
อ่าน: 2601

น้องอึ่ง เรียกร้องให้เพิ่มเติม ผลึกของ Conductor ที่ มข. ซึ่ง Conductor ก็รับปากว่าเมื่อเดินทางถึงกรุงเทพฯแล้วจะขยับเรื่องนี้ต่อ ผมขอถือโอกาสเก็บตกมาเผยแพร่ก่อนแล้วกัน ส่วนที่เหลือให้คอนเขาเต็มที่เลย หรือในส่วนที่ผมกล่าวต่อไปนี้หรือช่วงที่ 1 ขาดตกบกพร่องอย่างไรก็กรุณาเติมเต็มด้วยครับ

คอนพูดถึงโปรแกรม “OpenCARE” ผมไม่ทราบรายละเอียดมากนัก แต่เดาว่าเกี่ยวข้องกับกรณี Tsunami ที่ฝั่งอันดามัน ซึ่งคอนมีส่วนร่วมในกระบวนการช่วยเหลือด้วย และมีผลกระทบทางความคิดเห็นมากมาย โดยเฉพาะการหาทางสร้างเครื่องเตือน หรือชุดสำเร็จในการแก้ปัญหาหากเกิดกรณี Disaster ใหญ่ๆเช่นนั้นขึ้นมาอีกในอนาคต หากเข้าใจผิดขออภัยด้วยนะครับ แต่เกี่ยวกับสิ่งที่ คอน กล่าวถึงระบบการเตือนภัย และการสร้างความพร้อมในการแก้ปัญหา นี่คือประเด็นที่น่าสนใจมาก ผมเองก็มีบทเรียนเรื่องนี้และเตือนตัวเองบ่อยครั้งเหมือนกัน

ผมจำได้ว่านานมาแล้วที่เครื่องบินการบินไทยตกที่ภูเก็ตมีผู้โดยสารเสียชีวิตมากมาย หนึ่งในนั้นเป็นเพื่อนรักของคนข้างกายผมด้วย เมื่อเกิดกรณีร้ายแรงเช่นนั้น การบินไทยผู้รับผิดชอบโดยตรง ทำการแก้ปัญหานี้อย่างไร…..น่าสนใจมากครับ

หากถามผมผู้ไม่รู้เรื่องผมก็คงตอบไปตามประสา ว่า ผู้บริหารการบินไทยต้องประชุมด่วนและ สร้างมาตรการต่างๆออกมาเป็นระยะแล้วมอบหมายพนักงานไปรับผิดชอบตามลำดับขั้น……สั่งจ่ายงบประมาณไปใช้จ่ายในกรณีนี้ และ ฯลฯ…..

ผิดถนัดเลยครับ…..

วิสาหกิจที่มีงบประมาณหมุนเวียนนับหมื่นล้าน แสนล้าน มีพนักงานมากมาย มีการแข่งขันในสากล มีผู้เกี่ยวข้องมากมายโดยเฉพาะผู้เสียหาย …ฯลฯ.. จะมานั่งประชุมทำเช่นนั้นไม่ทันกิน..

แล้วการบินไทยทำอย่างไร…

เท่าที่ผมทราบนะครับ(ข้อมูลนี้เมื่อหลายสิบปีที่แล้ว ปัจจุบันคงพัฒนาไปไกลมากแล้ว) การบินไทย หรือการบินไหนๆก็ตามจะมาคอยให้เครื่องบินตกแล้วมาประชุมแก้ปัญหาแบบที่ผมกล่าวนั้นไม่ได้ ต้องทำล่วงหน้าครับ….

ต้องมีการสร้างสมมติฐานว่าเครื่องบินตก แล้วบริษัทการบินไทยจะทำอย่างไร

  • มาตรการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ระยะกลาง ระยะยาวถูกกำหนดออกมาก่อนแล้ว

  • บุคลากรที่จะต้องรับผิดชอบถูกกำหนดแล้ว

  • เครื่องไม้เครื่องมือที่ต้องใช้เตรียมพร้อมแล้ว

  • มีการฝึกอบรมทุกฝ่ายทุกคนให้พร้อมใช้มาตรการนั้นแล้ว

  • งบประมาณที่ต้องใช้เตรียมพร้อมแล้ว

  • หากมีคนเสียชีวิต ที่เป็นทั้ง พุทธ คริสต์ อิสลาม จะต้องมีขั้นตอนทำกับร่างผู้เสียชีวิตอย่างไรนั้นถูกเตรียมพร้อมหมดแล้ว…

  • ทุกอย่างพร้อมตลอด 24 ชั่วโมง ทันทีที่ทราบว่าเครื่องบินตกที่ไหน ผู้รับผิดชอบตามแผนงานถูกปฏิบัติทันทีในวินาทีนั้นโดยไม่ต้องมาประชุมรับฟังคำสั่งก่อน ทั้งนี้เพื่อรักษาชีวิตผู้โดยสารให้ทันท่วงทีและดีที่สุด

  • …..ฯลฯ…..

มี Package การปฏิบัติกรณีเครื่องบินตกออกมา นี่คือการเตรียมการเชิงรุก…จัดทำล่วงหน้า ผมหลับตาฟัง คอนบรรยายเรื่อง OpenCARE แล้วผมนึกถึงกรณีการบินไทยนี้ และโปรแกรมนี้เห็นว่ากำลังดำเนินการต่อ…

จากกรณีนี้ผมคิดเลยเถิดไปถึงเรื่องต่างๆในชีวิตประจำวัน วิถีชีวิตประจำวันทั้งผมและท่านทั้งหลาย มีกี่เรื่องที่เราคิดเตรียมการไว้ล่วงหน้าบ้าง เช่น

  • หากรถที่ขับอยู่เกิดยางแบน จะต้องทำอย่างไรบ้าง ขั้นที่หนึ่ง ขั้นที่สอง ขั้นที่สาม สี่ห้า มีการเตรียมพร้อมเรื่องนี้ไหม.

  • หากเรามีปัญหาสุขภาพและเกิดเป็นอะไรปัจจุบันทันด่วน จะต้องทำอะไรบ้าง ขั้นที่หนึ่ง ขั้นที่สอง ขั้นที่สาม สี่ห้า มีการเตรียมพร้อมเรื่องนี้ไหม.

  • หากลูกสาวเราโดนถูกรังแก ลูกสาวจะมีขั้นตอนป้องกันตัวหรือเรียกร้องความช่วยเหลืออย่างไรบ้าง ขั้นที่หนึ่ง ขั้นที่สอง ขั้นที่สาม สี่ห้า มีการเตรียมพร้อมเรื่องนี้ไหม.

  • หากเกิดไฟไหม้บ้านเรา….

  • หากคุณพ่อคุณแม่เกิดป่วยปัจจุบันทันด่วน…

  • หากขโมยเข้าบ้าน…

  • หาก…..หาก…หาก…

เท่าที่สังเกตทางการแพทย์จะมีชุดการเตรียมความพร้อมต่างๆที่เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพไว้ค่อนข้างสมบูรณ์มากว่าสาขาอื่นๆ กล่าวอีกทีทำงานเชิงรุกมากกว่าสาขาอื่นๆ

นี่เป็นการสร้างหลักประกันให้แก่ชีวิตและทรัพย์สิน

นี่คือหลักการลดความเสี่ยงในการดำรงชีวิต

นี่คือหลักความไม่ประมาทในการดำรงชีวิต ซึ่งพระพุทธองค์ตรัสมานานกว่า สองพันปีแล้ว

มนุษย์ที่อ้างว่าอยู่ในยุคที่เจริญแล้วยังไม่ตระหนักในความจริงข้อนี้เลย ปล่อยให้ชีวิตล่องลอยอยู่บนความเสี่ยง..อยู่ได้..โส น้า น่า ..อิอิ..


พระจันทร์ร้องไห้…ที่ปาย..

7 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ธันวาคม 2, 2008 เวลา 8:09 ในหมวดหมู่ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม #
อ่าน: 3335

เราตระเวนปายตามแผนที่ที่เราได้มาจากขอนแก่น หลายที่ เช่นไปไหว้พระที่วัดน้ำฮู หมู่บ้านคนจีน น้ำตก หมอแปง โป่งน้ำร้อนท่าปาย สะพานประวัติศาสตร์ กองแลน วัดเย็น แล้วมาค่ำที่วัดหลวงกลางเมืองปาย

เรากะว่าเอารถไปจอดไว้หน้าโรงพยาบาลปายที่คุณหมอสุพัฒน์ kmsabai อยู่ที่นี่ แล้วเราก็เดินไปชมวัดหลวงแล้วเลยกินข้าวกลางเมืองปายแล้วเที่ยวอีกรอบถนนคนเดิน

ค่ำสลัวๆแล้วแต่เราก็ยังเดินเข้าวัดหลวง จึงรู้ว่าที่นี่เป็นลานจอดรถ เพื่อให้คนเอามาจอดใกล้ถนนคนเดิน เราเห็นพระเจดีย์สวยงาม จึงเดินเข้าไปถ่ายรูป แม่ลูกก็เดินชมรอบๆพระเจดีย์ แล้วลูกสาวก็เห็นพระจันทร์ยิ้ม โอยสวยจัง…..เราก็กดซะหลายรูป ทั้งๆที่ไม่มีขาตั้งกล้อง ก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่มีก็เสียหายไปแล้ว ต้องใช้มือนี่แหละ

ถ่ายรูปเสร็จก็เดินออกไปหาข้าวพื้นเมืองกินสมใจอยาก ระหว่างนั้นคนในตลาดเริ่มพูดกันถึงพระจันทร์ยิ้มแล้ว

เราอิ่มข้าวก็เดินชมสินค้าอีก ทีนี้เสียงโทรศัพท์มากันลั่นปายเลย ชักชวนให้ดูพระจันทร์ คนข้างกายก็โทรบ้าง มีญาติพี่น้องที่ไหน กี่คน บอกโม้ดดดด

แต่เป็นปรากฏการณ์ที่น่าชมมากครับ

รูปนี้เป็นพระจันทร์ร้องไห้ เพราะ พธม.ตายอีกแล้ว..

เด็กน้อยแก้มยุ้ย  อิอิ


สันติเสวนา…(3)

7 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 26, 2008 เวลา 11:54 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2958

เมื่อพิจารณาเหตุของปัญหาแล้วเห็นว่ามันซับซ้อน เกี่ยวเนื่อง พัวพันกันไปหมด ทั้งตรงทั้งอ้อม ทั้งมากทั้งน้อย….

แล้วทำไง?

สามารถแบ่งเป็นสองส่วนคือ ปัญหาเฉพาะหน้า และการแก้ไขป้องกันระยะยาว การแก้ไขระยะยาวนั้น มีข้อน่าพิจารณาดังนี้….

- ฟื้นฟูระบบสังคมคุณธรรม: หรือคุณค่าความเอื้อเฟื้อ อาทรแก่กัน แล้วทำอย่างไร สาธยายกันยาวเหยียด ค่อยว่ากัน

- กิจกรรมทางสังคมแบบเดิมๆที่เป็นกิจกรรมสะสมทุนทางสังคม หน่วยงานต้องฟื้นสาระนี้ขึ้นมา มิใช่เพียงสร้างรูปแบบเอาไว้

- การเสริมสร้างทัศนคติต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณธรรม จริยธรรม: ระบบการศึกษาที่เป็นเบ้าหลอมเด็กต้องปฏิวัติใหม่หมด

- การปรับปรุงกฎหมาย: ให้เหมาะสมสอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบัน ..

- ทบทวนหลักการเสรีประชาธิปไตย: น่าจะมีอะไรบกพร่องในรายละเอียดของหลักการนี้…

- อีกมากมาย มากมาย มากมาย ทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ทั้งส่วนรวม ส่วนตัว ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ต้องกระทำกันเป็นกระบวนการ บูรณาการ เชื่อมโยงกันทุกภาคส่วน โดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง เพราะระบบคุณค่าทางสังคมนั้นแต่ละภูมิภาคมีรายละเอียดที่แตกต่างกันตามพื้นวัฒนธรรมเดิม การเสริมสร้างฟื้นฟูมิใช่ทำแค่รูปแบบเท่านั้น แต่เน้นความเข้าใจ สืบต่อทางด้านสาระเป็นหลัก..

กรณีความขัดแย้งเฉพาะหน้า หรือปัจจุบันนั้น (กรณี ปัจจุบัน)


ทัศนคติส่วนตัว

- เห็นว่าความขัดแย้งได้พัฒนาไปสู่จุดที่ไม่สามารถเจรจากันได้ ต่างฝ่ายต่างขีดเส้นแบ่งไว้แล้ว และยึดมั่นว่าจะไม่ก้าวผ่านเส้นแบ่งนั้นไป และหาทางเผด็จศึกอีกฝ่ายด้วยวิธีการทั้งทางเปิดเผยและทางลับ ทั้งที่ถูกกฎหมายและทำไปแบบข้างๆคูๆ หมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมาย

- หมดเวลาต่อการเรียกร้องเพียงวาจา ต่อให้ไพเราะแค่ไหนก็ทำไม่ได้แล้ว สถานการณ์พัฒนาขึ้นสู่ความขัดแย้งที่สูงแล้ว

- ตั้งเงื่อนไขไว้สูงที่จะบังคับให้อีกฝ่ายต้องปฏิบัติตาม แล้วหาทางกดดันต่อไปด้วยวิธีการต่างๆ จากเบาไปหาหนัก

- สถานการณ์แบบนี้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยสันติเสวนาตามปกติเสียแล้ว

ถามว่า: ไม่มีที่นั่งที่สามารถปักป้าย สันติเจรจา หรือ สันติเสวนาเลยหรือ

ตอบว่า: พอมีอยู่บ้าง

การแก้ไขแบบสันติทำอย่างไร

ต้องใช้อำนาจที่สาม หรือที่สี่ เข้ามา เช่น ฝ่ายทำเนียบเรียกร้องทหาร ก็หวังว่าทหารจะออกมาอยู่ข้างประชาชนเหมือนในตุรกี และอื่นๆ โดยไม่ใช้กำลัง ซึ่งขึ้นกับว่ารายละเอียดของอำนาจที่สามนี้จะยืนตรงไหน อย่างไร…. (แต่ก็หมิ่นเหม่มากๆต่อความรุนแรง) การกดดันเช่นนี้เป็นการบีบบังคับให้อีกฝ่ายต้องยอมเจรจาและยอมสูญเสียบางส่วนเพื่อรักษาบางส่วน

ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ อำนาจทางตุลาการต้องเข้มแข็ง ไม่โงนเงน อ่อนไหวไปตามกระแสทุนที่สามารถไหลบ่าเข้ามาอย่างท่วมท้น เอาหลักการตามกฎหมายมาจัดการผู้กระทำมิชอบอย่างตรงไปตรงมา

อีกหนทางหนึ่งคือ ผู้ที่มีบารมีสูงส่งก้าวมาเป็นผู้ใช้สันติเสวนา อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว และทุกอย่างก็สงบลงได้จริงๆ ในปัจจุบันผู้มีบารมีสูงส่งที่เป็นสามัญชนธรรมดานั้นดูจะไม่มีทางที่จะก้าวเข้ามาทำหน้าที่นี้ได้แล้ว

ทำไมปัจจุบันผู้มีบารมีในสังคมจึงไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้

- เพราะไม่มีใครกล้าเข้ามาท่ามกลางความวิปริตของสังคมไทย เพราะเปลืองตัว หรือหาเรื่องเปล่าๆ

- เพราะไม่มีใครไว้ใจใครอีกต่อไปแล้ว แม้แต่คนกลาง ก็ไม่แน่ใจว่ากลางจริงหรือไม่ กลางของใคร ต่างเกรงว่าตัวเองจะเสียเปรียบ และถึงแก่ความพินาจ สูญเสียประโยชน์มหาศาล

(มีผู้อยู่วงในกล่าวว่า คนสี่เหลี่ยมมีเงินจริงๆถึงสามแสนล้าน และมีธุรกิจที่มีรายได้อีกมากมาย เช่นที่ประเทศจีน สมมุติว่าจะถูกกฎหมายไทยยึดทรัพย์สินหมดตามที่มีการฟ้องร้องกัน ก็อยู่ได้อย่างราชาเพราะมีรายได้ปีละหนึ่งหมื่นหกพันล้าน…ก็ฟังหูไว้หูก็แล้วกัน) เงินเป็นปัจจัยในการต่อสู้ที่สำคัญประการหนึ่ง แบ่งเงินมาปีละ ห้าพันล้าน ก็สู้กันไปอีกนาน หากฝ่ายตุลาการเข้มแข็งตลอด ผู้รักษากฎหมายเข้มแข็ง ทหารไม่ไหวเอน ประชนเข้าถึงความจริงทุกด้าน …. แม้ลึกๆจะเชื่อมั่นว่าท้ายที่สุดประชาชนจะเป็นผู้ลุกขึ้นยืน แต่ก็เหนื่อยอ่อนเต็มที….

ท่ามกลางค่านิยมในสังคมเสรีประชาธิปไตยเช่นนี้…ท่ามกลางทัศนคติที่มุ่งมั่นและตั้งเป้าหมายไว้ที่ อำนาจ กับ ทุน เพื่อผลประโยชน์ ประชาชนอย่างเราต้องตั้งสติให้มั่นคง…

ทำให้นึกถึงเพลงหนึ่งที่ร้องกันในที่รโหฐานว่า

หยดฝนย้อย..จากฟ้า..มาสู่ดิน

ประมวลสินธุ..เป็นมหา..สาครใหญ่

แผดเสียงซัด..ปฐพี..อึ่งมี่ไป

พลังไหล..แรงรุด..สุดต้านทาน

อันประชาฯ..สามัคคี..ที่จัดตั้ง

เป็นพลัง..แกร่งกล้า..มหาศาล

แสนอาวุธ..แสนศัตรู..หมู่อันธพาล

มิอาจต้าน..แรงมหา..ประชาชน

สันติภาพจงเจริญ..


สันติเสวนา… (2)

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 26, 2008 เวลา 0:35 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2776

สรุปจากตอนที่ 1


วิเคราะห์ : สังคมเราซับซ้อนมากขึ้น จนระบุสาเหตุเพียงส่วนใดส่วนหนึ่ง กลุ่มสาระใดสาระหนึ่งเด็ดขาดไม่ได้ ต่างมีส่วนเนื่องกันทั้งตรงและอ้อม ทั้งมีส่วนมากและน้อย

แต่ละสาระมีรายละเอียดมากมาย และทั้งหมดผันแปรไปตามการเปลี่ยนทางสังคม การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง กลุ่มผลประโยชน์ ระบบการพัฒนาประเทศชาติทั้งหมด ภายใต้กรอบระบบเสรีประชาธิปไตย..

ประชาชนฐานรากก็มีสาระในวงล้อมเขาแบบหนึ่ง นักการเมืองฉลาดแกมโกง อ่านสังคมออกก็ใช้จุดอ่อนต่างๆเหล่านี้เป็นเส้นทางการเข้าสู่อำนาจ แล้ว อำนาจก็เป็นที่มาของทุน (ย้ำว่านักการเมืองน้ำดีมีอยู่)

นักธุรกิจอุดมการณ์ทุนสามาลย์ก็อ่านออกว่าสังคม โครงสร้างสังคม และส่วนต่างๆนั้นมีจุดอ่อน ที่เขาสามารถใช้เป็นช่องทางการก้าวเข้าสู่อำนาจ จึงใช้ทุน หรือเงิน ซึ่งนักการเมืองบางคนก็ใช้เงินจำนวนมากที่มิใช่เงินจากกระเป๋าเขาเองด้วย นี่คือความฉลาดแกมโกง และด้วย ทุนมหาศาล เขาก็ก้าวสู่อำนาจ (ทุนดีดีก็มีอยู่ครับ)

ลองย้อนดูความขัดแย้งในสังคมหมู่บ้านเดิม ที่จบลงที่ ผู้เฒ่า เจ้าโคตร ซึ่งเป็นระบบคุณค่าเดิม ลูกหลานในหมู่บ้านมีเรื่อง มีปัญหา พ่อแม่เขาก็มาพบ ผู้เฒ่าเจ้าโคตรให้เป็นคนกลางที่มีคุณธรรมมีจริยธรรมไม่เข้าใครออกใคร เกลี้ยกล่อม การที่ท่านผู้เฒ่ามีคุณสมบัติต่างเป็นที่เคารพของชุมชนนั้น เมื่อท่านพูดอะไรถือเป็นมงคล แล้วก็ไกล่เกลี่ยจนความขัดแย้งนั้นสลายไป กลับมาคืนดีกัน วิธีการของพ่อเฒ่าในสมัยนี้อาจจะเรียกว่า สันติเสวนา ก็ย่อมไม่ผิดเพี้ยนแต่อย่างใด

หากบางสังคมไม่มีผู้เฒ่าที่มีคุณสมบัติดังกล่าว หรือสังคมใหม่เข้าไปครอบเสียคุณค่าเดิมสลายไปหมดสิ้นแล้ว ปัญหาต่างจึงมุ่งตรงไปสู่ที่โรงพัก หนักมากขึ้นก็ถึงโรงศาล ซึ่งเป็นระบบการแก้ปัญหาในระบบสังคมใหม่

ความขัดแย้งในหน่วยงาน จบลงที่ระเบียบ ข้อบังคับในสำนักงานนั้นๆ หรือหัวหน้างาน นายจ้าง หรือตามกฎหมายส่วนที่เกี่ยวข้อง

ความขัดแย้งทางสังคมใหญ่ มีแต่ระบบกฎหมาย และจบลงที่ศาลสถิตยุติธรรม

มีข้อสังเกตว่า: ความขัดแย้งที่จบลงที่ระบบผู้เฒ่า เจ้าโคตรแบบดั้งเดิมนั้น จบลงแล้ว อยู่ด้วยกันต่อไปได้

แต่ความขัดแย้งที่จบลงที่กระบวนยุติธรรม โรงศาลนั้น จบลงด้วยกฎหมาย ข้อบังคับที่สังคมสร้างขึ้นมาเพื่อการปกครองร่วมกัน แต่สองฝ่ายของความขัดแย้งกันนั้นไม่จบลงที่คำพิพากษา คำตัดสินเป็นเพียงการยอมรับเพราะจำนนต่อหลักฐาน

แต่ความสลดหดหู่ กลับเนื้อกลับตัวนั้นดูเหมือนจะไม่มี และกระบวนการยุติธรรมก็ไม่ได้ทำหน้าที่นั้น จึงมีจำนวนมากที่เมื่อออกจากการถูกลงโทษทางกฎหมายแล้ว ก็ปฏิบัติความชั่วนั้นต่อเนื่องอีก…..?? (มีต่อตอนสาม)

หมายเหตุ: การเขียนที่ผิดพลาดเรื่องสกด การันต์ ต้องขออภัยด้วยครับ


ตอบครูบา…สันติเสวนา (1)

5 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 24, 2008 เวลา 15:22 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2401

ขออนุญาตท่านครูบาหยิบโจทย์มาเขียนที่นี่ครับ..

โจทย์ใหญ่คับฟ้าเช่นนี้.. ผู้ร่วมแสดงความคิดเห็นต้องตีวงกันหน่อย

การเสวนาเพื่อสันติต่อกรณีไหน. เพราะแต่ละกรณีมีที่มาที่ไปต่างกัน มีต้นขั้วที่แตกต่างหลากหลาย ซับซ้อน ซ่อนเงื่อน ยากง่ายแตกต่างกัน หากเราไม่รู้แจ้งแทงตลอดทั้งหมดก็ยากที่จะเสวนาเพื่อสันติ…..

เมื่อวันที่ 22 ผมเข้าร่วม การอภิปรายโดย อ.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง ( อ.เจิมศักดิ์กับผมรู้จักกันเป็นส่วนตัว เป็นคนบ้านเดียวกัน เรียนมัธยมที่เดียวกันมา และเคยร่วมงานกันมาสมัยทำงานที่ จ.สุรินทร์ เคนเป็น reference person ตอนผมสมัครงานโครงการของ USAID ที่ขอนแก่นหลายสิบปีก่อน)

ในทัศนะผม อ.เจิมศักดิ์เป็นคนจับประเด็นเก่ง สรุปอะไรได้ชัด และมีความรู้กว้างขวางมากกว่าวิชาชีพด้านเศรษฐศาสตร์ที่จบมาจาก Princeton คนที่ได้รางวัลเหรียญทองจาก ดร.ป๋วย สมัยเรียนเศรษฐศาสตร์ ธรรมศาสตร์ แต่มายืนข้างประชาชนตลอดมา ผมชื่นชมเป็นส่วนตัว

การสัมมนาวันนั้นมีหลายประเด็นเกี่ยวเนื่องกับโจทย์ที่ท่านครูบายกมาแสวงหาความเห็น ผมเลยถือโอกาสนี้สรุปสั้นๆเอามาแลกเปลี่ยนกันครับ

สื่อสารมวลชน : การสัมมนาคืนนั้นผมทราบข้อเท็จจริงมากมายเกี่ยวกับความขัดแย้งของสังคมในปัจจุบัน ซึ่งปกติสื่อสารมวลชนต่างๆพยายามเจาะลึกอยู่บ้างแต่ก็มีข้อมูลหลายด้านที่ประชาชนสับสนอะไรแท้จริง อะไรบิดเบือน ชนชั้นกลางอย่างเรายังมีหนทางที่จะไขว่คว้าหาความจริงได้มากกว่า แต่ชาวบ้านที่ห่างไกลการเข้าถึงแหล่งข้อมูลนั้น ก็บริโภคแต่สื่อที่รัฐจัดให้เป็นหลัก และหากผู้ให้สื่อมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โตพูดอีก ชาวบ้านก็ต้องเชื่อ…???

ระบบอุปถัมภ์ : สิ่งที่ผมได้ยินอีกเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ว่าสังคมไทยนั้นระบบอุปถัมภ์มีผลสองด้าน ในที่เสวนาครั้งนี้ก็ย้ำกันอีกว่า ระบบนี้ถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมืองผลประโยชน์ที่ฉลาดแกมโกง (นักการเมืองน้ำดีก็มีอยู่นะครับ มิใช่เลวไปหมด)

ค่านิยมของทุนนิยมสามานย์ : ในบรรยากาศที่สังคมเป็นทุนนิยมสามานย์ ต่างแข่งขันในการมีเงินและทรัพย์สมบัติให้มาก ระบบอุปถัมภ์เลยสอดคล้องกับพวกทุนและนักการเมืองกลุ่มหนึ่งที่แกมโกงนั้น…เราจะสังคายนาเรื่องนี้อย่างไร หรือทำอย่างไรให้ถูกใช้ในแง่เป็นประโยชน์เท่านั้น

การได้มาของนักการเมือง : ระบบเลือกตั้งนั้นมีจุดอ่อนที่ต่างเห็นๆ แต่แก้ไม่ตก จึงมีการระดมความคิดเห็นเพื่อเสนอทางเลือกใหม่ของการได้มาของนักการเมือง ก็กำลังถกกันในปัจจุบันที่ยังไม่ฟันธง มีกรณีตัวอย่างที่เขาแก้มาแล้วในจ่างประเทศไม่ว่าจะเป็นเยอรมัน หรือออสเตรเลีย และ ฯลฯ

อำนาจทางการบริหารเข้าไปมีอิทธิพลอำนาจนิติบัญญัติ: ชัดเจนที่สุดในปัจจุบันนี้ ไม่ต้องสาธยายมาก จะต้องแบ่งแยกให้ชัดเจน โดยอำนาจบริหารจะต้องไม่สามารถมามีอิทธิพลเหนืออำนาจนิติบัญญัติ มิเช่นนั้นบ้านเมืองไปไม่ได้

ประชาชนฐานรากไม่มีส่วนร่วมแท้จริงในการปกครอง : แลกเปลี่ยนกันว่างบประมาณภาษีท้องถิ่นไม่ต้องส่งส่วนกลางให้อยู่ในท้องถิ่นนั้น แล้วบริหารกันเองในจังหวัด อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ประชาชนจะรู้สึกมากขึ้นว่าเงินภาษีที่เขาเสียไปนั้น นักการเมืองท้องถิ่นเอาไปทำประโยชน์อะไรบ้าง มิใช่คิดแต่ว่า เงินที่ส่งมาจากส่วนกลางนั้นเป็นเงินหลวง(ทั้งๆที่เป็นเงินจากภาษีของเราเอง) ความรู้สึกการเป็นเจ้าของจะมีมากขึ้น และเข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารท้องถิ่นมากขึ้น หรือมีอำนาจถ่วงดุลมากขึ้น

โครงสร้างตำรวจ: ตำรวจต้องเป็นตำรวจของประชาชนแท้จริง มิใช่ที่เห็นปัจจุบัน โดยการโอนไปอยู่ที่จังหวัด แล้วประชาชนมีส่วนร่วมในการบริหารตำรวจนั้นๆ….

ระบบคุณค่าทางสังคมเดิมจืดจางหายไป: ความสัมพันธ์ของคนในสังคมจึงมีแต่ผลประโยชน์เป็นตัวเชื่อม ยิ่งมีระบบอุปถัมภ์ในมุมลบเป็นโครงสร้างหนุน คุณค่าเดิมทางสังคมจึงบิดเบือนไปเพียงเพราะว่า เขาเป็นญาติพี่น้อง เขาเป็นเพื่อน เป็นเจ้านาย ลูกน้อง ฯลฯ ที่อุบถัมภ์ค้ำชูกันมา ความผิดจึงซ่อนอยู่ใต้ความสัมพันธ์แบบนี้ ยิ่งค่านิยมทุนนิยมเข้ามา คนที่มีทุนการเงินมหาศาลจึงซื้อคนได้ง่ายมากๆ

ระบบศีลธรรมหดหาย บุญบาป ไม่มีใครเกรงกลัวต่อไป: นายแพทย์ใหญ่ท่านหนึ่งบวชมาถึง 23 พรรษา ปัจจุบันท่านเป็นผู้อำนวยการมูลนิธิเกี่ยวกับผู้ป่วยช่วงสุดท้าย..ท่านกล่าวว่า ระบบสงฆ์ไม่มีบทบาทในการหล่อหลอมจิตใจประชาชนให้ดำรงคุณธรรมอย่างสูงได้เลย ตัวระบบสงฆ์ก็จำลองระบบราชการ เป็นระบบขึ้นต่อเหมือนระบบทางการปกครอง ตำแหน่งทางสงฆ์ก็ซื้อกัน พระต่างจังหวัดจะไปจำพรรษาที่วัดธาตุทองต้องจ่ายเงินแสนเพื่อจะเข้าสู่กุฏิได้ ??

อีกมากมาย…… (อยากรู้เรื่องต่อก็ต้อง ติดตามตอนสองอ่านเอา…)


ตอก….(2)

8 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 19, 2008 เวลา 16:37 ในหมวดหมู่ ชนบท #
อ่าน: 4324

ผมคุ้นชินกับตอกมัดข้าว เพราะในช่วงเดือนกันยายน ตุลาคม เลยไปจนถึงเดือนหน้าคือ พฤศจิกายน อีสานจะเห็นการจักตอกมัดข้าวกันทั่วไป และเห็นชาวบ้านเอาตอกกมาตากแดดกันที่ลานหน้าบ้านกัน เรามีความรู้เรื่องตอกมัดข้าวแค่ไหน… และปัจจุบันมันกลายเป็นธุรกิจชาวบ้าน หรือตัวทำเงินของชาวบ้านไปแล้ว (ผมเองก็เพิ่งทราบ) และจะเกี่ยวเนื่องกับอะไรหลายอย่างทีเดียว ลองพิจารณาดูกันนะครับ

· ท่านทราบไหมว่าตอกสั้นกับตอกยาวนั้นมีขนาดความยาวเท่าไหร่ : ตอกสั้นนั้นมีขนาด 80 เซนติเมตรครับ ส่วนตอกยาวมีขนาด 1.10 เซนติเมตร หรือ 1 เมตร 10 เซนต์

· ทำไมเป็น 80 และ 110 เซนติเมตร : ไม่จำเป็นต้องเท่านี้หรอก แล้วแต่ความต้องการของชาวนาคนนั้นๆ แต่โดยค่าเฉลี่ยทั่วไปที่นิยมกันเป็นขนาดดังกล่าวนี้

· ทำไมต้องมีสองขนาดความยาว : ขนาดสั้นเหมาะสำหรับมืออาชีพ ชาวนาที่จัดเจนในการมัดข้าว ส่วนตอกขนาดยาวสำหรับมัดข้าวสองรอบ ซึ่งชาวนาส่วนใหญ่นิยมใช้ขนาดยาวเพราะสร้างความมั่นใจว่ามัดแล้วแน่นหนา ไม่หลุดง่ายซึ่งจะก่อให้เกิดความเสียหาย

· ไผ่อะไรที่ดีที่สุดในการทำตอกมัดข้าว : ชาวนาหลายคนบอกว่าไผ่บง เพราะมีความเหนียว แต่หลายคนก็บอกว่า ไผ่ป่า และไผ่บ้าน

· ไผ่อายุขนาดไหนที่เหมาะแก่การทำตอก : ใช้วิธีดูเนื้อไม้ไผ่ ที่ไม่แก่เกินไปและไม่อ่อนเกินไป หากแก่เกินไปความเหนียวจะลดลง หากอ่อนเกินไป ก็ขาดง่าย ชาวนาที่จัดเจนเท่านั้นจะเป็นผู้รู้ว่าไผ่ลำไหนมีความเหมาะสม

· ตอกที่ทำเป็นเส้นแล้วทำไมต้องเอาไปตากแดด : เพราะต้องการทำให้แห้ง สนิท มิเช่นนั้นจะขึ้นรา หรือเชื้อราจะมาเกาะกินทำให้เสียคุณภาพไป


· การตากแดดที่มีความเหมาะสม ควรเป็นอย่างไร : ไม่แห้งเกินไป ไม่สดเกินไป ควรตากแดดประมาณ 4 แดด ทั้งนี้ขึ้นกับปริมาณแดด และความจัดเจนของชาวนาที่ทำตอก

· ตอกที่ตากแดดครบ 4 แดดแล้วเวลาใช้ต้องทำอะไรบ้าง : เวลาเอาตอกเหล่านี้ไปใช้ต้องพรมน้ำก่อน หรือจุ่มลงน้ำพอเปียกแล้วมาสลัดให้น้ำหลุดออกไป ทั้งนี้เพื่อฟื้นเนื้อไผ่ให้มีปริมาณน้ำติดเนื้อไผ่บ้างซึ่งน้ำจะทำให้เกิดความนุ่มและเหนียวตอนมัดข้าว ซึ่งหากเอาไปใช้ก็จะแตก หัก

ผมพยายามลองสอบถามปริมาณตอกที่ใช้ว่า นา 1 ไร่ต้องใช้ตอกจำนวนเท่าไหร่ หมายถึงกี่มัด กี่เส้น ผมไม่ได้คำตอบ แต่นายอภิชาต วังคะฮาต หนุ่มรูปบนสุดนั้น เขาคำนวณให้ดูว่า นาที่ผลิตข้าวเปลือกได้จำนวน 200 ถุงปุ๋ยนั้น จะต้องใช้ ตอกเส้นจำนวน 6,000 เส้น หากต้องซื้อจะคิดเป็นเงินประมาณ 600-700 บาท

จากปรากฏการณ์ที่ผมพบเห็นผมคิดไปหลายเรื่องคือ

· เดี๋ยวนี้การจักตอกกลายเป็นธุรกิจชาวบ้านที่ทำเงินไปแล้ว

· กรณีนางบัวเรือน ผิวขำ บ้านห้วยทราย ต.คำชะอี อ.คำชะอี ต้องจ่ายเงินสดไปเป็นจำนวนเกือบแสนบาท(กู้มาจาก ธกส.ห้าหมื่นบาท) สั่งตอกมาตุนไว้ขาย และความจริงเธอขายผ้านวมและถ้วยชามด้วย ในทุกวันพฤหัสบดีจะเอาไปขายที่ตลาดนัดหน้าอำเภอคำชะอี (ผมไม่มีเวลาตามไปสังเกตการณ์)

· แหล่งผลิตตอกมัดข้าวอยู่ที่ อ.นาเหนือ จ.ลำปางและเพชรบูรณ์ และน่าที่จะมีที่อื่นอีกที่มีป่าไผ่ เช่นจังหวัดเลย นครราชสีมา ชัยภูมิ ฯลฯ ไม่แน่ใจว่าจะมีอาชีพนี้หรือไม่…

· แหล่งผลิตเหล่านั้นมีปัญหาเรื่องการตัดไผ่บงมากเกินไปหรือเปล่า เมื่อเป็นธุรกิจ ไผ่บงที่ปลูกอาจเติบโตไม่ทัน ต้องเอามาจากป่า แล้วป่าบงถูกทำลายไป วงจรชีวิตอื่นๆจะเป็นอย่างไรบ้าง ห่วงโซ่อาหารได้รับผลกระทบอย่างไรบ้างต่อระบบนิเวศท้องถิ่นที่ไผ่ลดน้อยลงและจะหมดไป คนที่ทำปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ และปุ๋ยอินทรีย์ ทราบดีว่ามักจะไปเอาเชื้ออินทรีย์ธรรมชาติมาจากขุยโคนไผ่ในป่า

· แสดงว่าไผ่บงในอีสานมีน้อยลงมาก จึงไม่เพียงพอต่อการทำตอก

· ทำไมชาวนาต้องซื้อตอก ทำไมไม่ทำเอง อาจเป็นเพราะหลายเหตุผล อะไรคือเหตุผลหลัก

· ราชการ เช่น กรมป่าไม้ อบต. อำเภอ จังหวัด เข้ามามีส่วนรับรู้และคิดอ่านเรื่องนี้อย่างไรบ้าง…..

· หากเป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ ทำไมต้องมีการสั่งซื้อข้ามภาคให้เปลืองพลังงานและราคาก็น่าจะสูงกว่าหากมีการผลิตภายในภาค หากไม่มีไผ่บง อบต.ทำแผนงานปลูกไผ่บง และไผ่อื่นๆ ในระยะยาวเพื่อทำธุรกิจนี้ได้ไหม

· คนข้างกายบอกว่า ตอก เป็นสินค้านำเข้ามาจากฝั่งลาว ราคา 1000 เส้นละ 45 บาท และทำมาจาก ไผ่พุงเข้าที่อุบลราชธานี (น่าจะหลายช่องทาง หรือน่าจะเป็นตลอดแนวไทยลาวด้วยเช่นกัน) ราคาตอกนำเข้าจากลาวถูกกว่าราคาตอกที่มาจากลำปางเกือบเท่าตัว

· ฯลฯ

นี่คือวิถีชุมชน ชาวบ้านก็ดิ้นรนไปตามจังหวะชีวิต เมื่อใครเห็นลู่ทางอะไรอย่างไร ก็ดิ้นรนกันไป

มีหน่วยงานใดบ้างที่ก้าวเข้าไปให้ความรู้ในเรื่องการจัดการ ศึกษาผลกระทบต่อป่า ต่อวิถีวงจรชีวิตที่ชาวบ้านต้องพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติในเรื่องนี้ ให้ความรู้ในสิ่งที่เหมาะที่ควรแก่ชาวบ้านผู้เกี่ยวข้องเรื่องเหล่านี้

มันอาจจะเป็นเรื่องเล็กเกินไปสำหรับรัฐบาล กระทรวงทบวงกรมต่างๆ มันอาจจะไม่น่าสนใจต่อนักวิชาการมหาวิทยาลัย ที่สนใจเรื่องใหญ่ๆ

แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนี้ อาจจะเกิดมานานแล้ว แต่ผมเพิ่มจะรู้ ในทัศนะผม ไม่ใช่เรื่องเล็ก และเป็นรูปธรรมของการพึ่งธรรมชาติของอาชีพชาวนา จึงต้องตั้งประเด็นขึ้นในโครงการแล้วหละครับ….



Main: 0.2403609752655 sec
Sidebar: 0.043145895004272 sec