สันติเสวนา…(3)

โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 26, 2008 เวลา 11:54 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2975

เมื่อพิจารณาเหตุของปัญหาแล้วเห็นว่ามันซับซ้อน เกี่ยวเนื่อง พัวพันกันไปหมด ทั้งตรงทั้งอ้อม ทั้งมากทั้งน้อย….

แล้วทำไง?

สามารถแบ่งเป็นสองส่วนคือ ปัญหาเฉพาะหน้า และการแก้ไขป้องกันระยะยาว การแก้ไขระยะยาวนั้น มีข้อน่าพิจารณาดังนี้….

- ฟื้นฟูระบบสังคมคุณธรรม: หรือคุณค่าความเอื้อเฟื้อ อาทรแก่กัน แล้วทำอย่างไร สาธยายกันยาวเหยียด ค่อยว่ากัน

- กิจกรรมทางสังคมแบบเดิมๆที่เป็นกิจกรรมสะสมทุนทางสังคม หน่วยงานต้องฟื้นสาระนี้ขึ้นมา มิใช่เพียงสร้างรูปแบบเอาไว้

- การเสริมสร้างทัศนคติต่อการดำรงชีวิตที่มีคุณธรรม จริยธรรม: ระบบการศึกษาที่เป็นเบ้าหลอมเด็กต้องปฏิวัติใหม่หมด

- การปรับปรุงกฎหมาย: ให้เหมาะสมสอดคล้องต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบัน ..

- ทบทวนหลักการเสรีประชาธิปไตย: น่าจะมีอะไรบกพร่องในรายละเอียดของหลักการนี้…

- อีกมากมาย มากมาย มากมาย ทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ทั้งส่วนรวม ส่วนตัว ฯลฯ

สิ่งเหล่านี้ต้องกระทำกันเป็นกระบวนการ บูรณาการ เชื่อมโยงกันทุกภาคส่วน โดยเอาพื้นที่เป็นตัวตั้ง เพราะระบบคุณค่าทางสังคมนั้นแต่ละภูมิภาคมีรายละเอียดที่แตกต่างกันตามพื้นวัฒนธรรมเดิม การเสริมสร้างฟื้นฟูมิใช่ทำแค่รูปแบบเท่านั้น แต่เน้นความเข้าใจ สืบต่อทางด้านสาระเป็นหลัก..

กรณีความขัดแย้งเฉพาะหน้า หรือปัจจุบันนั้น (กรณี ปัจจุบัน)


ทัศนคติส่วนตัว

- เห็นว่าความขัดแย้งได้พัฒนาไปสู่จุดที่ไม่สามารถเจรจากันได้ ต่างฝ่ายต่างขีดเส้นแบ่งไว้แล้ว และยึดมั่นว่าจะไม่ก้าวผ่านเส้นแบ่งนั้นไป และหาทางเผด็จศึกอีกฝ่ายด้วยวิธีการทั้งทางเปิดเผยและทางลับ ทั้งที่ถูกกฎหมายและทำไปแบบข้างๆคูๆ หมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมาย

- หมดเวลาต่อการเรียกร้องเพียงวาจา ต่อให้ไพเราะแค่ไหนก็ทำไม่ได้แล้ว สถานการณ์พัฒนาขึ้นสู่ความขัดแย้งที่สูงแล้ว

- ตั้งเงื่อนไขไว้สูงที่จะบังคับให้อีกฝ่ายต้องปฏิบัติตาม แล้วหาทางกดดันต่อไปด้วยวิธีการต่างๆ จากเบาไปหาหนัก

- สถานการณ์แบบนี้ไม่สามารถแก้ได้ด้วยสันติเสวนาตามปกติเสียแล้ว

ถามว่า: ไม่มีที่นั่งที่สามารถปักป้าย สันติเจรจา หรือ สันติเสวนาเลยหรือ

ตอบว่า: พอมีอยู่บ้าง

การแก้ไขแบบสันติทำอย่างไร

ต้องใช้อำนาจที่สาม หรือที่สี่ เข้ามา เช่น ฝ่ายทำเนียบเรียกร้องทหาร ก็หวังว่าทหารจะออกมาอยู่ข้างประชาชนเหมือนในตุรกี และอื่นๆ โดยไม่ใช้กำลัง ซึ่งขึ้นกับว่ารายละเอียดของอำนาจที่สามนี้จะยืนตรงไหน อย่างไร…. (แต่ก็หมิ่นเหม่มากๆต่อความรุนแรง) การกดดันเช่นนี้เป็นการบีบบังคับให้อีกฝ่ายต้องยอมเจรจาและยอมสูญเสียบางส่วนเพื่อรักษาบางส่วน

ท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ อำนาจทางตุลาการต้องเข้มแข็ง ไม่โงนเงน อ่อนไหวไปตามกระแสทุนที่สามารถไหลบ่าเข้ามาอย่างท่วมท้น เอาหลักการตามกฎหมายมาจัดการผู้กระทำมิชอบอย่างตรงไปตรงมา

อีกหนทางหนึ่งคือ ผู้ที่มีบารมีสูงส่งก้าวมาเป็นผู้ใช้สันติเสวนา อย่างที่เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว และทุกอย่างก็สงบลงได้จริงๆ ในปัจจุบันผู้มีบารมีสูงส่งที่เป็นสามัญชนธรรมดานั้นดูจะไม่มีทางที่จะก้าวเข้ามาทำหน้าที่นี้ได้แล้ว

ทำไมปัจจุบันผู้มีบารมีในสังคมจึงไม่สามารถทำหน้าที่นี้ได้

- เพราะไม่มีใครกล้าเข้ามาท่ามกลางความวิปริตของสังคมไทย เพราะเปลืองตัว หรือหาเรื่องเปล่าๆ

- เพราะไม่มีใครไว้ใจใครอีกต่อไปแล้ว แม้แต่คนกลาง ก็ไม่แน่ใจว่ากลางจริงหรือไม่ กลางของใคร ต่างเกรงว่าตัวเองจะเสียเปรียบ และถึงแก่ความพินาจ สูญเสียประโยชน์มหาศาล

(มีผู้อยู่วงในกล่าวว่า คนสี่เหลี่ยมมีเงินจริงๆถึงสามแสนล้าน และมีธุรกิจที่มีรายได้อีกมากมาย เช่นที่ประเทศจีน สมมุติว่าจะถูกกฎหมายไทยยึดทรัพย์สินหมดตามที่มีการฟ้องร้องกัน ก็อยู่ได้อย่างราชาเพราะมีรายได้ปีละหนึ่งหมื่นหกพันล้าน…ก็ฟังหูไว้หูก็แล้วกัน) เงินเป็นปัจจัยในการต่อสู้ที่สำคัญประการหนึ่ง แบ่งเงินมาปีละ ห้าพันล้าน ก็สู้กันไปอีกนาน หากฝ่ายตุลาการเข้มแข็งตลอด ผู้รักษากฎหมายเข้มแข็ง ทหารไม่ไหวเอน ประชนเข้าถึงความจริงทุกด้าน …. แม้ลึกๆจะเชื่อมั่นว่าท้ายที่สุดประชาชนจะเป็นผู้ลุกขึ้นยืน แต่ก็เหนื่อยอ่อนเต็มที….

ท่ามกลางค่านิยมในสังคมเสรีประชาธิปไตยเช่นนี้…ท่ามกลางทัศนคติที่มุ่งมั่นและตั้งเป้าหมายไว้ที่ อำนาจ กับ ทุน เพื่อผลประโยชน์ ประชาชนอย่างเราต้องตั้งสติให้มั่นคง…

ทำให้นึกถึงเพลงหนึ่งที่ร้องกันในที่รโหฐานว่า

หยดฝนย้อย..จากฟ้า..มาสู่ดิน

ประมวลสินธุ..เป็นมหา..สาครใหญ่

แผดเสียงซัด..ปฐพี..อึ่งมี่ไป

พลังไหล..แรงรุด..สุดต้านทาน

อันประชาฯ..สามัคคี..ที่จัดตั้ง

เป็นพลัง..แกร่งกล้า..มหาศาล

แสนอาวุธ..แสนศัตรู..หมู่อันธพาล

มิอาจต้าน..แรงมหา..ประชาชน

สันติภาพจงเจริญ..

« « Prev : สันติเสวนา… (2)

Next : รุ่นโตโจ… » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

7 ความคิดเห็น

  • #1 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 เวลา 13:51

    เรื่องจริยธรรมนั้น น่าจะอบรมกันมาตั้งแต่เด็กครับ พ่อแม่เป็นจำนวนมาก มัวแต่ทำมาหากิน ละเลยสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตไป กว่าจะเข้าใจว่าตนสร้างอะไรออกมา ก็สายเกินไปซะแล้ว

    พอเด็กเหล่านี้โตขึ้นเป็นพ่อเป็นแม่ จะสอนสิ่งที่ตนไม่เข้าใจให้กับลูกหลานได้อย่างไร เชิญชมโรงเรียนพ่อแม่ ภาค 1 ตอน 1+2 ครับ

  • #2 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 เวลา 18:29

    เพลงพี่บางทรายเพราะกว่าเพลงที่กระหึ่มในใจเบิร์ดในช่วงที่ผ่านมาเยอะเลยค่ะ เพราะเพลงที่ดังในใจคือเพลงถามคนไทยที่คุณลุง สันติ ลุนเผ่เป็นผู้ขับร้องเพลงนี้ค่ะ

    ถามคนไทย
    สุรพล โทณวณิก(คำร้อง-ทำนอง) สันติ ลุนเผ่ ขับร้อง..

    หัวใจถูกแทงกี่ขั้ว ตามตัวถูกฟันกี่แผล
    ปู่ไทยตายไปกี่คนแน่ ไทยจึงได้แผ่มาถึงแหลมทอง

    กระดูกไทยกระเด็นไปกี่ท่อน เชิงตะกอนเผาไปกี่หน
    คอขาดกันไปกี่คน ไทยทุกคนจึงได้ไทยครอบครอง

    เสียเลือดกันไปเท่าไหร่ เสียใจกันไปกี่ครั้ง
    น้ำตาของไทยไหลหลั่ง ทุกๆครั้งที่ถูกเฉือนขวานทอง

    เข่นฆ่ากันทำไม เราเป็นคนไทยด้วยกันทั้งผอง
    ไทยฆ่าไทย ให้ชาติอื่นครอง
    วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร

    ไทยฆ่าไทยให้ชาติอื่นครอง
    วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร
    วิญญาณปู่จะร้องไอ้ลูกหลานจัญไร!!

  • #3 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 เวลา 18:43

    แหงะ สงสัยสมาธิสั้น เพราะกะว่าจะเขียนต่อไหงกดบันทึกไปได้ ^ ^

    แนวทางที่พี่บางทรายเขียนมาสามตอนชัดและน่าสนใจมากค่ะ เห็นด้วยว่าจากท่าทางที่แสดงออกมาของทุกฝ่ายทำให้คาดกันว่าน่าจะเกินการเจรจา แต่ส่วนตัวก็ยังเห็นว่ามีทางที่จะทำให้กระตุกความคิดของสังคมได้แบบที่พี่บางทรายกล่าวมา เพราะดีกว่าจะปล่อยไปตามยถากรรมเนาะคะพี่บางทราย

    มีพลังจากสองกลุ่มใหญ่ที่เห็นในตอนนี้คือ พระปกเกล้า+องค์กรสื่อสารมวลชน ( สององค์กรหลัก )+สภาพัฒนาการเมืองที่เปิดเวทีไปในวันนี้และได้ตัวแทนกลุ่ม ๘ คนเป็นคณะทำงานในการประสานกับสี่ฝ่ายที่ขัดแย้งกันอยู่ในขณะนี้ และลุงเอกของเราก็เป็นหนึ่งในแปดคนด้วยสิคะ

    อีกพลังหนึ่งคือจากอ.มธ.+สนนช.ออก ๓ หยุด ซึ่งถ้าสื่อทุกชนิดให้พื้นที่กับพลังที่ออกมาเหล่านี้อย่างต่อเนื่องตามที่มีข้อตกลงกันจากเวทีของพระปกเกล้าที่องค์กรสื่อสารมวลชนทุกกลุ่มฝ่ายร่วมเป็นภาคีเครือข่ายแล้ว..เรามีหวังค่ะพี่บางทราย อยู่ที่เราจะกล้าหวังและร่วมลงมือทำกันอย่างจริงจังมั้ยเนาะคะ

    นึกถึงคำถามของอิ่มที่ทิ้งไว้ในบันทึกเบิร์ดว่า ผีเสื้อกระพือปีก..ว่าแต่ กล้าที่จะกระพือปีกมั้ย? ..ขึ้นมาอีกแล้วล่ะค่ะ

  • #4 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 เวลา 19:01

    Logos ครับ เห็นด้วยว่าเด็กควรผ่านกิจกรรมในชีวิตจริงเพื่อสร้างทุนทางสังคมดังกล่าว มิใช่เพียงมุ่ง “ความเป็นเลิศทางวิชาการ” แต่จริยศาสตร์ สอบตกหมด สอบตกก็ไม่เป็นไรแต่ให้หัวใจและความคิด สำนึกของเขาปฏิบัติต่อเพื่อนมนุษย์อย่างโอบอ้อมอารี มิใช่เอารัดเอาเปรียบกัน

    ซึ่งเป็นการยากในขณะที่สังคมใหม่ มีสิ่งแวดล้อมใหม่เข้ามา กฏเกณฑ์ของหน่วยงานกับสังคมชีวิตจริงขัดแย้งกัน การรีบรุดเพียงเพื่อให้ลงชื่อก่อนเส้นแดง หรือกดหัวแม่มือก่อนที่เวลา red line จะแสดงขึ้น ขณะที่ทางบ้านต้องมีเวลาดูแลครอบครัว หรือพ่อแม่ที่แก่เฒ่า…และรีบเดินทางไปทำงาน จึงต้องอาศัยความเร็วและการชิงให้ได้ก่อน….จึงบีบให้เขาต้องละเมิดความเป็นคนแบบนุ่มนวล นี่คือความซับซ้อนรูปแบบหนึ่ง และสังคมไทยจึงเป็นแบบชนบท และแบบเมือง ตามทฤษฎีสองโลกของวิถีชีวิตของสังคมประเทศกำลังพัฒนา

    ตอนที่ร่วมมือกับ ดร.มณีมัย แห่ง มข.ประเมินผลโครงการ SIF ให้กับ WB นั้น ผลสรุปก็บอกว่า ทุนทางสังคมของเรายังเป็นเงื่อนไขที่น่าสนใจและมีคุณค่าต่อความอยู่รอดปลอดภัย WB จึงเอาแนวคิด SIF ไปขยายทำในประเทศทางอาฟริกา น่าเสียดายที่ไทยเรากล่าวถึงเล็กน้อยในแผนชาติ ของ สศช. แต่ทางปฏิบัติต่างก็มุ่งไปที่เมกกะโปรเจคเช่นเดิม…

  • #5 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 เวลา 19:17

    น้องแก้มยุ้ยครับ

    สันติ ลุนเผ่ เป็นนักร้องที่มีน้ำเสียงเยี่ยมยอดตลอดกาล และปลุกเร้าจิตใจได้ยิ่งยวด

    เนื่องจากว่าเราอยู่วงนอก รายละเอียดเชิงลึกเราไม่ทราบ จึงเป็นไปได้ว่า การตั้งโต๊ะเจรจาอย่างสันตินั้นอาจจะมีลู่ทาง หรือทางสถาบันผู้ที่รับผิดชอบด้านนี้อาจจะมีเครื่อมือดีดีที่จะเอาขึ้นมาใช้ในกรณีเช่นนี้ ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจ

    พี่เชื่อว่าคนเราไม่อยากที่จะรุนแรงเพราะมีแต่เสียกับเสีย แต่ด้วยเหตุหลายประการที่มักซ่อน ปิดลับ ทำให้ผู้มีอำนาจจำเป็นต้องใช้ แต่เราก็ภาวนาว่าไม่ให้ใช้ หากมีทางเจรจาได้ก็จะเป็นบุญของประเทศชาติ

    หากสองฝ่ายเอาผลประโยชน์มาเป็นฐานในการเจรจา ผลสรุปที่ลงตัวคงยาก เพราะไม่เชื่อว่าสองฝ่ายที่อาจจะมานั่งโต๊ะเจรจาต่อหน้าคนกลางนั้นจะเอาเพียงความคิดเห็นที่แตกต่างเท่านั้นมาแลกเปลี่ยนกัน แต่ที่เรารู้ๆกันว่ามีผลประโยชน์อยู่เบื้องหลังการยื้อยุดเช่นนี้ ฝ่าน พธม.ก็มีข้อเรียกร้องที่สูงส่ง ที่ไม่ลดลาวาสอก อีกฝ่ายก็มีชีวิตเป็นเดิมพัน และไม่ยอมสูญเสีย จึงมองเห็นความขัดแย้งที่ลงตัวยาก

    อย่างไรก็ตามการเจรจาอย่างสันตินั้นมิใช่แต่เห็นอุปสรรคแล้วก็ล้มเลิกไป ต้องทำก่อน อาจจะสำเร็จก็ได้ เราสนับสนุนและให้กำลังใจเป็นอย่างยิ่งครับ

  • #6 dd_l ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 เวลา 20:18

    ตามมาอ่าน แล้วก็อยากถอนหายใจเฮือกๆๆๆ และคงต้องบอกตัวเองให้ประคองใจให้มั่น พยายามทำหน้าที่ในส่วนปลูกจิตสอนใจกันต่อไปท่ามกลางความแปรเปลี่ยนของวัฒนธรรม ความคิด ที่บ่าไหลมาจากทุกทาง บอกตัวเองให้มีความหวังด้วยค่ะ

    ขอบคุณเรื่องราวที่ทำให้ได้รู้เพิ่มขึ้นนะคะพี่

  • #7 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 26 ตุลาคม 2008 เวลา 21:32

    น้องอึ่งครับ

    อาจารย์เจิมเล่าให้ฟังว่า คนเราไม่รู้ว่าเงินสามแสนล้านนั้นมันมากแค่ไหน ท่านบอกว่า ก็ประมาณว่าเกิดมาแล้วได้เงินเดือนทันทีเดือนละ 1 แสนบาท ตลอดชีวิตสมมุติว่าตายเมื่อ 70 ปี โดยไม่ใช้จ่ายเงินเลยจะมีเงิน 84 ล้าน แล้วเกิดแล้วตาน 1000 ชาติก็ยังมีเงินไม่ถึงสามแสนล้านเลย แต่ทั้งหมดที่ได้มานั้น ส่วนใหญ่เป็นการคอรับชั่นทางนโยบายแล้วไปก่อเกิดประโยชน์แก่เขา เช่นการแปลงภาษีมือถือ ยี่ห้อหนึ่งเป็นสรรพสามิต แล้ว tot ต้องจ่ายเงินเข้ารัฐแทนเขาถึง 6 พันล้าน นี่แหละที่พนักงาน tot จึงใช้มือตบไล่… อีกมากมาย….

    ดังนั้นเงินร้อยล้าน พันล้านที่จะจ่ายให้ใครต่อใครนั้นเหมือนเราจ่ายเงินสิบบาทยี่สิบบาท จะให้สังคมไม่ปั่นป่วนได้อย่างไรเล่า อุ้ยตาย…เอาซะหนักเชียว หยุดๆๆๆๆๆ แค่นี้ครับน้องอึ่ง เราได้พบได้เห็น ได้ยินได้ฟังก็ไว้หูหนึ่ง อาจจะไม่ใช่ทั้งหมดก็ได้
    เราเองก็ตั้งมั่นในความไม่ประมาทก็แล้วกัน ต่อให้โลกนี้เป็นของเขา แล้วเอาไปได้ไหมล่ะ..ก็แค่ธุลีผงกับความดีความชั่วเท่านั้น…


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.36918187141418 sec
Sidebar: 0.053228139877319 sec