สิ่งเหนือธรรมชาติ

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ ตุลาคม 12, 2010 เวลา 16:52 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 3118

สมัยที่ทำงานที่สะเมิง ผมเผชิญเรื่องเหนือธรรมชาติหลายครั้ง และเคยบันทึกใน Blog บ้างแล้ว เมื่อย้ายไปทำงานกับชนเผ่าเขมรที่ชายแดนไทยกัมพูชาที่จังหวัดสุรินทร์ ก็เผชิญเรื่องเหล่านี้ เมื่อมาดงหลวงก็สะอึกกับปรากฏการณ์สิ่งเหนือธรรมชาติกับการพัฒนาอีกจนได้

ผมบันทึกไปหลายครั้งแล้ว ก็เรื่องการพัฒนาพื้นที่โครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าที่บ้านพังแดงน่ะแหละ เมื่อการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ไม่ได้ตามแผนงาน เป้าหมาย หากเป็นบริษัททำธุรกิจก็คงโดนโยกย้ายไปทำงานในหน้าที่อื่นแล้วให้ผู้มีแววมาทำแทน หากเป็นทหารก็โดนไปล้างส้วม ขุดดิน แบกสิ่งของแทนที่จะมาเป็นหัวหน้าทีมงานปฏิบัติการสนามแล้ว หรือส่งกลับบ้านไปเลย..


ครั้งหนึ่งผมรายงานให้ระดับบริหารสูงขึ้นไปทราบ เขาก็พูดในทำนองเข้าใจได้ว่า มันต้องทำได้ซิ (คุณไม่มีฝีมือต่างหาก…) เหตุผลร้อยแปดที่พยายามอธิบายให้ท่านเหล่านั้นฟังดูเหมือนว่า เป็นเรื่องไร้สาระมากกว่าจะรับฟังแล้วนั่งลงคุยกันให้เป็นกิจจะลักษณะ ผมก็แบกรับความรู้สึกเหล่านั้นเป็นโจทย์ไปขบคิดต่อไปว่า จะมีทางออกอย่างไรบ้างหนอ

ความจริงก็มีลู่ทางอยู่ แต่การพัฒนาต้องใช้เวลา ยิ่งเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ทำการเกษตรนั้น แต่ละ crop คือ หนึ่งฤดูกาล คือหนึ่งปี และกว่าจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ต้องทำซ้ำๆก็ใช้เวลามากกว่า 1 ปี การปรับเปลี่ยนระบบคิด การกระทำจึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมที่ทำงานมาจนแก่เฒ่าแล้ว..

วันนั้นเราประชุมเครือข่ายไทบรู ถือโอกาสตั้งประเด็นเรื่องลัทธิความเชื่อของชนเผ่าโส้บ้านพังแดง ที่มีต่อสิ่งเหนือธรรมชาติคือ ปอบ ที่ประชุมยิ้มกันใหญ่

ประเด็นของผมก็คือ เป็นความจริงหรือที่ความเชื่อเรื่องปอบนั้นมาครอบระบบต่างๆของชาวบ้านที่เป็นชนเผ่าโส้ โดยเฉพาะที่บ้านพังแดง ? เท่านั้นเอง แต่ละคนก็เล่าประสบการณ์ของตนเองต่อที่ประชุม โดยเฉพาะ ผู้ใหญ่วองบ้านโพนไฮ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใกล้บ้านพังแดงมากที่สุดในบรรดาจำนวนผู้ที่เข้ามาประชุมในวันนั้น ผู้ใหญ่วองยกสองกรณี เล่าให้ฟัง ว่าพวกเรามีความเชื่อจริงๆ และดูเหมือนเป็น TABU คือไม่ใช่สิ่งที่จะต้องมาคุยออกหน้าออกตา ไม่ใช่เรื่องที่เอามาขึ้นโต๊ะคุยกัน ความเชื่อก็คือความเชื่อ พฤติกรรมที่มีต่อความเชื่อคือการเก็บ เงียบ ไม่วิภาควิจารณ์ ไม่ฟ้องร้อง ฯลฯ แต่ในทางลับ หรือใต้ดิน ซุบซิบกัน และสิ่งที่ควบคู่กับความเชื่อนั้นคือ วิถีปฏิบัติที่สืบทอดกันมายาวนานว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง

ผมตั้งประเด็นต่ออย่างคนหมดหนทางจะไปอธิบายแก่คนยุคโลกาภิวัตน์ ที่จะให้เขาหันมารับฟังและยอมรับการมีอยู่จริงต่อสิ่งนี้ ตรงๆคือ ผมไม่รู้ว่าจะไปอธิบายอย่างไร..

ทันใดนั้น ผู้ใหญ่ไพโรจน์ แกนนำสำคัญท่านหนึ่งของเครือข่ายไทบรูตำบลดงหลวงก็พูดขึ้นมาว่า

“….อาจารย์กลับไปถามเขาเหล่านั้นซิว่า คุณแขวนพระหรือเปล่า แขวนทำไม ที่บ้านคุณมีศาลพระภูมิหรือเปล่า มีไว้ทำไม ฯ นั่นเพราะคุณมีความเชื่อใช่ไหม… คุณเชื่ออะไร…คุณเชื่อทำไม… แล้วพี่น้องโส้ของผมมีความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านี้ คุณทำเป็นไม่เข้าใจหรือ…”

โห…ผมหายโง่ไปเลย….


สิ่งเหนือธรรมชาติกับการทำงานพัฒนาชนบท

6 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ มิถุนายน 14, 2010 เวลา 17:03 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2896

เรารู้เรื่องปอบที่บ้านพังแดง และบ้านอื่นๆของดงหลวงมานานแล้ว แต่ไม่ได้ติดใจมาก เพราะเรายอมรับการมีอยู่ ยอมรับการเชื่อ ยอมรับการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์เกี่ยวกับปอบในดงหลวง แล้วก็ผ่านไปแค่นั้น

มาวันนี้ตะลึงกับเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติเรื่องนี้ และกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เมื่อวันที่ 10 ที่ผ่านมาเรามีนัดประชุมใหญ่สมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำ เราทบทวนกติกากลุ่มออมทรัพย์ภายใต้กองทุนเพื่อการส่งเสริมการเกษตรในโครงการสูบน้ำเพื่อการชลประทานห้วยบางทราย ว่าหากมีการกู้ยืมกันแล้ว ผู้กู้ไม่ส่งคืนจะทำอย่างไร ส่วนใหญ่ไม่ค่อยแสดงความเห็นกัน มักจะบอกว่า “ก็แล้วแต่..” ซึ่งพยายามไล่เลียง และกระตุ้นให้แสดงความเห็นในที่ประชุม ก็ไม่ค่อยมีการแสดงความเห็น มีน้อยมาก แต่แล้วก็มีคนเสนอว่า หากกู้เงินไปแล้วไม่คืนก็เตือน เมื่อเตือนแล้วไม่คืนก็ให้ยึดทรัพย์สิน เช่นวัว ควาย มาเป็นของกลุ่ม แล้วจัดการต่อ ……………

ในที่สุดสรุปว่าหากเตือนสองครั้งแล้วไม่ส่งคืนให้ยึดทรัพย์สินดังกล่าว (ซึ่งลึกๆผมก็ไม่เห็นด้วย) เมื่อประชุมสิ้นสุด ผมจึงนั่งคุยต่อกับกรรมการกลุ่ม พบว่า ประธานไม่เห็นด้วยต่อข้อสรุปดังกล่าว และในทางปฏิบัติทำไม่ได้ ทำนองว่าเป็นเพื่อนบ้านกันจะไม่ทำอย่างนั้น แต่สีหน้ากรรมการ โดยเฉพาะประธาน ดูหนักใจมากๆ และกระสับกระส่าย เหมือนมีอะไรในใจแต่ไม่ได้พูด หรือพูดไม่ได้

ผมพยายามทุกวิถีทางเพื่อขุดเอาความในใจของทุกคนออกมาให้ได้ และทราบว่า เงื่อนไขดังกล่าวนั้น ในทางปฏิบัติทำไม่ได้ เพราะหากคนที่ไม่ส่งเงินกู้นั้นเป็นคนที่มี “มิติของปอบ” แฝงในตัวคนนั้นอยู่ ทุกคนในหมู่บ้านนี้รู้ดีว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรกับคนคนนั้นที่เป็นปอบ เช่น ไม่สร้างอะไรที่ไปขัดแย้งเขา ไม่ว่าเป็นเพราะกฎ กติกาของกลุ่ม หรือ จะกล้าหาญชาญชัยแค่ไหน ก็หายากที่จะมีคนกล้าไปขัดใจ หรือไปสร้างเงื่อนไขที่ทำให้คนนั้นโกรธ .. ปอบในหมู่บ้าน ไม่ใช่มีคนเดียว..

เรื่องนี้ติดค้างในใจผมไปตลอดวัน คืน เช้าวันรุ่งขึ้น เราทราบว่าสตรีนางหนึ่งมีปอบบ้านพังแดงเข้าเมื่อหลายวันก่อน จึงอยากคุยเพื่อเก็บข้อมูลต่างๆไว้ รวมทั้งหากเป็นไปได้ก็ขอทราบชื่อคนที่เป็นปอบของบ้านพังแดง บังเอิญมีผู้นำชุมชนคนหนึ่ง มาบ้านหลังนี้จึงถือโอกาสไปคุยด้วย และดูบรรยากาศจะคุยกับสตรีในเรื่องที่ตั้งใจไว้คงไม่เหมาะสม การคุยกับผู้นำคนนี้ถึงเรื่องราวของปอบบ้านพังแดง ผู้นำกล่าวว่า

  • บ้านพังแดงมีปอบหลายคน ตั้งแต่เขาย้ายบ้านมาจากบ้านติ้วใหม่ๆนั้น ภรรยาเขาก็โดยปอบเข้า ต้องรักษากันมาจนหายและพยายามทำตัวให้เข้ากับสิ่งที่ควรปฏิบัติต่อความเชื่อเรื่องนี้
  • เขากล่าวว่า อาจารย์เห็นไหมว่าผมไม่พูดอะไรเลยในที่ประชุมทั้งที่อยากจะพูดหลายเรื่อง ทั้งนี้เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า หากใครพูดมากไปก็จะอันตรายเพราะปอบจะทำร้าย
  • อย่างที่สรุปไว้ว่า อย่าทำตัวเด่นในหมู่บ้าน อย่าทำตัวร่ำรวยแปลกแตกต่างไปจากเพื่อนบ้านอื่นๆ
  • อย่าทำอะไรให้คนเป็นปอบไม่ชอบ หรือ โกรธ
  • แต่ก่อนนี้บ้านพังแดงไม่ใช่สภาพนี้ ทุกหลังคาเรือนเป็นแบบชั่วคราว และไม่มีใครอยากปลูกบ้านแตกต่างออกไป ต่อมาค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นแบบปัจจุบัน
  • สิ่งที่เขาเน้นคือ อย่าทำเด่น อย่าทำอวดร่ำรวย ทำตัวให้เหมือนๆกับเพื่อนบ้าน บังเอิญไปตรงกับสิ่งที่ผมทราบมาว่า พวกไทโส้นั้นยึดถือ “ลัทธิเฉลี่ยสมบูรณ์” กล่าวคือ แบ่งเท่าๆกัน อะไรก็ได้ต้องแบ่งให้เท่าๆกัน อย่าให้ใครเหนือใคร

ลองสรุปสาระเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นแผนผังดังนี้


เรื่องนี้ไม่จบ คงต้องศึกษาข้อมูล และผลกระทบต่อการทำงาน และอื่นๆต่อไป แต่ที่คิดไว้ก็คือ ปัจจุบันที่บ้านพังแดงเราได้รับผลโดยตรงจากเรื่องนี้แล้วในกรณีกลุ่มผู้ใช้น้ำ



Main: 0.020380973815918 sec
Sidebar: 0.71487593650818 sec