สิ่งเหนือธรรมชาติ
สมัยที่ทำงานที่สะเมิง ผมเผชิญเรื่องเหนือธรรมชาติหลายครั้ง และเคยบันทึกใน Blog บ้างแล้ว เมื่อย้ายไปทำงานกับชนเผ่าเขมรที่ชายแดนไทยกัมพูชาที่จังหวัดสุรินทร์ ก็เผชิญเรื่องเหล่านี้ เมื่อมาดงหลวงก็สะอึกกับปรากฏการณ์สิ่งเหนือธรรมชาติกับการพัฒนาอีกจนได้
ผมบันทึกไปหลายครั้งแล้ว ก็เรื่องการพัฒนาพื้นที่โครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าที่บ้านพังแดงน่ะแหละ เมื่อการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ไม่ได้ตามแผนงาน เป้าหมาย หากเป็นบริษัททำธุรกิจก็คงโดนโยกย้ายไปทำงานในหน้าที่อื่นแล้วให้ผู้มีแววมาทำแทน หากเป็นทหารก็โดนไปล้างส้วม ขุดดิน แบกสิ่งของแทนที่จะมาเป็นหัวหน้าทีมงานปฏิบัติการสนามแล้ว หรือส่งกลับบ้านไปเลย..
ครั้งหนึ่งผมรายงานให้ระดับบริหารสูงขึ้นไปทราบ เขาก็พูดในทำนองเข้าใจได้ว่า มันต้องทำได้ซิ (คุณไม่มีฝีมือต่างหาก…) เหตุผลร้อยแปดที่พยายามอธิบายให้ท่านเหล่านั้นฟังดูเหมือนว่า เป็นเรื่องไร้สาระมากกว่าจะรับฟังแล้วนั่งลงคุยกันให้เป็นกิจจะลักษณะ ผมก็แบกรับความรู้สึกเหล่านั้นเป็นโจทย์ไปขบคิดต่อไปว่า จะมีทางออกอย่างไรบ้างหนอ
ความจริงก็มีลู่ทางอยู่ แต่การพัฒนาต้องใช้เวลา ยิ่งเกี่ยวกับการใช้ประโยชน์ในพื้นที่ทำการเกษตรนั้น แต่ละ crop คือ หนึ่งฤดูกาล คือหนึ่งปี และกว่าจะให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ต้องทำซ้ำๆก็ใช้เวลามากกว่า 1 ปี การปรับเปลี่ยนระบบคิด การกระทำจึงเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่สำหรับผมที่ทำงานมาจนแก่เฒ่าแล้ว..
วันนั้นเราประชุมเครือข่ายไทบรู ถือโอกาสตั้งประเด็นเรื่องลัทธิความเชื่อของชนเผ่าโส้บ้านพังแดง ที่มีต่อสิ่งเหนือธรรมชาติคือ ปอบ ที่ประชุมยิ้มกันใหญ่
ประเด็นของผมก็คือ เป็นความจริงหรือที่ความเชื่อเรื่องปอบนั้นมาครอบระบบต่างๆของชาวบ้านที่เป็นชนเผ่าโส้ โดยเฉพาะที่บ้านพังแดง ? เท่านั้นเอง แต่ละคนก็เล่าประสบการณ์ของตนเองต่อที่ประชุม โดยเฉพาะ ผู้ใหญ่วองบ้านโพนไฮ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใกล้บ้านพังแดงมากที่สุดในบรรดาจำนวนผู้ที่เข้ามาประชุมในวันนั้น ผู้ใหญ่วองยกสองกรณี เล่าให้ฟัง ว่าพวกเรามีความเชื่อจริงๆ และดูเหมือนเป็น TABU คือไม่ใช่สิ่งที่จะต้องมาคุยออกหน้าออกตา ไม่ใช่เรื่องที่เอามาขึ้นโต๊ะคุยกัน ความเชื่อก็คือความเชื่อ พฤติกรรมที่มีต่อความเชื่อคือการเก็บ เงียบ ไม่วิภาควิจารณ์ ไม่ฟ้องร้อง ฯลฯ แต่ในทางลับ หรือใต้ดิน ซุบซิบกัน และสิ่งที่ควบคู่กับความเชื่อนั้นคือ วิถีปฏิบัติที่สืบทอดกันมายาวนานว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง
ผมตั้งประเด็นต่ออย่างคนหมดหนทางจะไปอธิบายแก่คนยุคโลกาภิวัตน์ ที่จะให้เขาหันมารับฟังและยอมรับการมีอยู่จริงต่อสิ่งนี้ ตรงๆคือ ผมไม่รู้ว่าจะไปอธิบายอย่างไร..
ทันใดนั้น ผู้ใหญ่ไพโรจน์ แกนนำสำคัญท่านหนึ่งของเครือข่ายไทบรูตำบลดงหลวงก็พูดขึ้นมาว่า
“….อาจารย์กลับไปถามเขาเหล่านั้นซิว่า คุณแขวนพระหรือเปล่า แขวนทำไม ที่บ้านคุณมีศาลพระภูมิหรือเปล่า มีไว้ทำไม ฯ นั่นเพราะคุณมีความเชื่อใช่ไหม… คุณเชื่ออะไร…คุณเชื่อทำไม… แล้วพี่น้องโส้ของผมมีความเชื่อเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติเหล่านี้ คุณทำเป็นไม่เข้าใจหรือ…”
โห…ผมหายโง่ไปเลย….