สิ่งเหนือธรรมชาติกับการทำงานพัฒนาชนบท

โดย bangsai เมื่อ มิถุนายน 14, 2010 เวลา 17:03 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย #
อ่าน: 2908

เรารู้เรื่องปอบที่บ้านพังแดง และบ้านอื่นๆของดงหลวงมานานแล้ว แต่ไม่ได้ติดใจมาก เพราะเรายอมรับการมีอยู่ ยอมรับการเชื่อ ยอมรับการเกิดขึ้นของปรากฏการณ์เกี่ยวกับปอบในดงหลวง แล้วก็ผ่านไปแค่นั้น

มาวันนี้ตะลึงกับเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาติเรื่องนี้ และกลายเป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมา เมื่อวันที่ 10 ที่ผ่านมาเรามีนัดประชุมใหญ่สมาชิกกลุ่มผู้ใช้น้ำ เราทบทวนกติกากลุ่มออมทรัพย์ภายใต้กองทุนเพื่อการส่งเสริมการเกษตรในโครงการสูบน้ำเพื่อการชลประทานห้วยบางทราย ว่าหากมีการกู้ยืมกันแล้ว ผู้กู้ไม่ส่งคืนจะทำอย่างไร ส่วนใหญ่ไม่ค่อยแสดงความเห็นกัน มักจะบอกว่า “ก็แล้วแต่..” ซึ่งพยายามไล่เลียง และกระตุ้นให้แสดงความเห็นในที่ประชุม ก็ไม่ค่อยมีการแสดงความเห็น มีน้อยมาก แต่แล้วก็มีคนเสนอว่า หากกู้เงินไปแล้วไม่คืนก็เตือน เมื่อเตือนแล้วไม่คืนก็ให้ยึดทรัพย์สิน เช่นวัว ควาย มาเป็นของกลุ่ม แล้วจัดการต่อ ……………

ในที่สุดสรุปว่าหากเตือนสองครั้งแล้วไม่ส่งคืนให้ยึดทรัพย์สินดังกล่าว (ซึ่งลึกๆผมก็ไม่เห็นด้วย) เมื่อประชุมสิ้นสุด ผมจึงนั่งคุยต่อกับกรรมการกลุ่ม พบว่า ประธานไม่เห็นด้วยต่อข้อสรุปดังกล่าว และในทางปฏิบัติทำไม่ได้ ทำนองว่าเป็นเพื่อนบ้านกันจะไม่ทำอย่างนั้น แต่สีหน้ากรรมการ โดยเฉพาะประธาน ดูหนักใจมากๆ และกระสับกระส่าย เหมือนมีอะไรในใจแต่ไม่ได้พูด หรือพูดไม่ได้

ผมพยายามทุกวิถีทางเพื่อขุดเอาความในใจของทุกคนออกมาให้ได้ และทราบว่า เงื่อนไขดังกล่าวนั้น ในทางปฏิบัติทำไม่ได้ เพราะหากคนที่ไม่ส่งเงินกู้นั้นเป็นคนที่มี “มิติของปอบ” แฝงในตัวคนนั้นอยู่ ทุกคนในหมู่บ้านนี้รู้ดีว่าควรจะปฏิบัติตัวอย่างไรกับคนคนนั้นที่เป็นปอบ เช่น ไม่สร้างอะไรที่ไปขัดแย้งเขา ไม่ว่าเป็นเพราะกฎ กติกาของกลุ่ม หรือ จะกล้าหาญชาญชัยแค่ไหน ก็หายากที่จะมีคนกล้าไปขัดใจ หรือไปสร้างเงื่อนไขที่ทำให้คนนั้นโกรธ .. ปอบในหมู่บ้าน ไม่ใช่มีคนเดียว..

เรื่องนี้ติดค้างในใจผมไปตลอดวัน คืน เช้าวันรุ่งขึ้น เราทราบว่าสตรีนางหนึ่งมีปอบบ้านพังแดงเข้าเมื่อหลายวันก่อน จึงอยากคุยเพื่อเก็บข้อมูลต่างๆไว้ รวมทั้งหากเป็นไปได้ก็ขอทราบชื่อคนที่เป็นปอบของบ้านพังแดง บังเอิญมีผู้นำชุมชนคนหนึ่ง มาบ้านหลังนี้จึงถือโอกาสไปคุยด้วย และดูบรรยากาศจะคุยกับสตรีในเรื่องที่ตั้งใจไว้คงไม่เหมาะสม การคุยกับผู้นำคนนี้ถึงเรื่องราวของปอบบ้านพังแดง ผู้นำกล่าวว่า

  • บ้านพังแดงมีปอบหลายคน ตั้งแต่เขาย้ายบ้านมาจากบ้านติ้วใหม่ๆนั้น ภรรยาเขาก็โดยปอบเข้า ต้องรักษากันมาจนหายและพยายามทำตัวให้เข้ากับสิ่งที่ควรปฏิบัติต่อความเชื่อเรื่องนี้
  • เขากล่าวว่า อาจารย์เห็นไหมว่าผมไม่พูดอะไรเลยในที่ประชุมทั้งที่อยากจะพูดหลายเรื่อง ทั้งนี้เป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า หากใครพูดมากไปก็จะอันตรายเพราะปอบจะทำร้าย
  • อย่างที่สรุปไว้ว่า อย่าทำตัวเด่นในหมู่บ้าน อย่าทำตัวร่ำรวยแปลกแตกต่างไปจากเพื่อนบ้านอื่นๆ
  • อย่าทำอะไรให้คนเป็นปอบไม่ชอบ หรือ โกรธ
  • แต่ก่อนนี้บ้านพังแดงไม่ใช่สภาพนี้ ทุกหลังคาเรือนเป็นแบบชั่วคราว และไม่มีใครอยากปลูกบ้านแตกต่างออกไป ต่อมาค่อยๆเปลี่ยนมาเป็นแบบปัจจุบัน
  • สิ่งที่เขาเน้นคือ อย่าทำเด่น อย่าทำอวดร่ำรวย ทำตัวให้เหมือนๆกับเพื่อนบ้าน บังเอิญไปตรงกับสิ่งที่ผมทราบมาว่า พวกไทโส้นั้นยึดถือ “ลัทธิเฉลี่ยสมบูรณ์” กล่าวคือ แบ่งเท่าๆกัน อะไรก็ได้ต้องแบ่งให้เท่าๆกัน อย่าให้ใครเหนือใคร

ลองสรุปสาระเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นแผนผังดังนี้


เรื่องนี้ไม่จบ คงต้องศึกษาข้อมูล และผลกระทบต่อการทำงาน และอื่นๆต่อไป แต่ที่คิดไว้ก็คือ ปัจจุบันที่บ้านพังแดงเราได้รับผลโดยตรงจากเรื่องนี้แล้วในกรณีกลุ่มผู้ใช้น้ำ

« « Prev : จากหลักการสู่ปฏิบัติ…ไม่ง่ายเหมือนพูด..

Next : วิถีปอบดงหลวง » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

6 ความคิดเห็น

  • #1 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 มิถุนายน 2010 เวลา 17:07

    รายการทีวีชื่อ คุยกับแพะ ของไทยทีวี จะออกอากาศวันศุกร์นี้ 3 ทุ่มครับ

  • #2 น้ำฟ้าและปรายดาว ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 มิถุนายน 2010 เวลา 18:04

    พี่บู๊ทคะ เรื่องนี้เบิร์ดก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเหมือนกัน

    ตอนอยู่ยโสธรก็สงสัยมานานแต่ไม่กล้าพิสูจน์ว่าปอบคืออะไร และมีจริงหรือไม่น่ะค่ะ เพราะไม่เคยเห็นพฤติกรรมชัด ๆ เพียงแต่บางคนที่มาด้วยอาการป่วยคล้ายป่วยทางจิตบางอย่างเมื่อถึงรพ.ก็หาย แต่เมื่อกลับไปถึงบ้านก็เป็นใหม่ จับไป-มา อยู่แบบนี้จนให้พระ+ผมของหลวงตาพวง เกจิชื่อดังของยส.ไปก็หาย ! และมีบางคนญาติ ๆ พาหมอผีมาจับปอบก็หาย !

    มีหนังสืออยู่เล่มหนึ่งของอาจารย์สงันแต่อยู่ที่บ้านกทม.เรื่องผีปอบ-ผีเข้า เป็นการศึกษาปรากฏการณ์นี้ทางจิตเวชศาสตร์น่ะค่ะ เป็น Case Study 50 case แต่ตอนนี้จำเรื่องไม่ชัดแล้ว นอกจากสาระสำคัญว่าคนที่มีปอบมักมีภาวะของความเชื่อเรื่องทำนองนี้อยู่ ซึ่งเรียกว่าจิตอ่อน

    อาจารย์ไม่เชื่อเรื่องผี แต่ก็ไม่ลบหลู่เพราะทำการศึกษาอย่างจริงจังทั้งสภาพจิต สิ่งแวดล้อม ครอบครัวและสังคมไว้อย่างละเอียดเลยล่่ะค่ะ อาจารย์เชื่อว่าความขัดแย้งทางจิตอย่างรุนแรง เช่นการต้องปรับตัวในสถานการณ์ที่ไม่คุ้นเคย หรือภาวะบีบคั้นบางอย่างทำให้คนที่จิตอ่อน หรือกลุ่มที่ความอ่อนไหวเปราะบางทางอารมณ์เหล่านี้แสดงอาการแปลก ๆ ออกมา เช่นหญิงพูดเสียงชาย กินเหล้าสูบบุหรี่โดยไม่มีอาการเมื่อออก หรือท่าทางแปลก ๆ ที่ไม่สมวัย

    นอกจากการอธิบายด้วยแง่ของความผิดปกติแล้ว ยังมีสิ่งที่เรียกว่าพลังทางจิตหรือ Parapsychology ที่เกิดจากความเชื่อ ศรัทธาแรงกล้า และมีพลังจากมิติที่ 4 เข้ามาเกี่ยวข้องได้ด้วยนะคะ โดยเริ่มจากสมาธิที่แน่วแน่ เพื่อดึงพลัง ซึ่งพี่บู๊ทเคยพูดถึงเต๋า ออฟ ฟิสิกส์ ของฟริจอบ คาปร้า  …จำได้เลา ๆ ว่าเค้าพูดถึง”การแสดงออกของความจริง” ว่ามีหลายแบบ เช่นมหาเทพของอินเดีย ปรัชญาแบบพุทธ เต๋า เซน ซึ่งวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้น้อยมาก แถมมีความจริงว่าแม้แต่ศาสตร์ทางจิตก็ยังสามารถอธิบายจิตมนุษย์ได้แค่ 5 เปอร์เซ็นต์เองมั้งคะ นอกนั้นยังเป็นภาวะที่เรียกว่าลึกลับและทรงพลัง

    จึงยังก้ำกึ่งว่าแท้ที่จริงคืออะไร แต่ที่สำคัญคือจะทำอย่างไรภายใต้ความเชื่อแบบนี้ หรือว่าจะใช้ศรัทธาที่แรงกล้าทางพุทธะเข้าไปดี ? (แต่พระต้องเก่งมาก ๆ เลยนะคะ)

    รายการคุยกับแพะคืออะไรเหรอคะพี่บู๊ท?

  • #3 silt ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 มิถุนายน 2010 เวลา 20:26

    ความเชื่อเรื่องปอบฝังลึกในคนโส้พังแดงมานานแบบติดลึกครับ
    ตอนผมไปนอนพังแดง ผู้ใหญ่ขานต้องคอยมาตรวจดูทุกคืน เช้าๆต้องมาดูอีกทีว่าอาจานเปลี่ยนยังอยู่ดีสบายหรือไม่
    แม้แต่คนที่มั่นคงหนักแน่นอย่างพ่อเชค ก็เคยเล่าให้ฟังว่าเมื่อวานพูดไม่เพราะกับเจ้า…ไปเมื่อคืนมันเป็นหมาดำตัวเท่าม้ามาไล่กัดในฝัน “เกือบบ่ได้เห็นหน้ากันแล้ว อาจานเอ้ย” พ่อเสร็จบอก
    คนที่ถูกเชื่อว่าเป็นปอบจึงมักจะไม่ค่อยมีคนสุงสิง คนคนนั้นจะไม่ได้รับโอกาสการเข้ารวมกลุ่ม แม้แต่จะไปขอที่ดินคนอื่นปลูกผักฤดูแล้ง เขาก็ไม่ค่อยอยากให้มาทำสวนใกล้ เพิ่นว่า “ย่านไปเว้าหยังผิดหูมันแล้วปอบมันจะมาเฮดเฮา”
    เรื่องปอบนี่ก็สำคัญเหมือนกันนะครับ 

  • #4 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 มิถุนายน 2010 เวลา 20:43

    ขอบคุณน้องเบิร์ดครับ

    พี่ทำงานกับชนบทมา ที่สะเมิง เชียงใหม่ก็เจอะ  มาทำงานที่สุรินทร์ ชายแดนไทยเขมรก็เจอะ มาอยู่ดงหลวงก็เจอะ แต่คราวนี้ส่งผลกระทบต่องานโดยตรง หากเราเข้าไปในหมู่บ้านนี้และเป็นคนช่างสังเกตุก็จะพบอะไรที่น่าตั้งคำถามอยู่เยอะเหมือนกัน  แต่ก่อนพี่ไม่ได้คิดอะไร จึงไม่เอ๊ะใจ แต่เมื่อสอบถามกับหลายๆคนที่เขาพอจะพูดคุยกับเราได้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็รับทราบข้อมูลที่เราละเลยให้ความสำคัญมานาน  เราไม่ถามชาวบ้านก็ไม่พูด เพราะพูดแล้วเสี่ยงต่อการถูกกระทำ  และที่เป็นตัวปิดกั้นความรู้ของเราคือ เราไม่ให้น้ำหนักเรื่องนี้ แค่ผ่านมาผ่านไปเท่านั้น มาวันนี้จึงตระหนักว่ามันมีผลกระทบต่องานจริงๆ  

    เป็นเรื่องในชนบทที่ไม่มีสอนในตำรา ไม่มีการสัมมนาเรื่องนี้ เผชิญกันเองคิดอ่านแก้ไขกันเอง สงสัยต้องเขียนตำราเรื่องนี้ซะแล้ว อิอิ
    พี่ได้ข้อมูลมานิดหน่อยเกี่ยวกับงานของ คุณหมอสงัน อยากศึกษาเหมือนกัน เพราะชาวบ้านเป็นคนพูดเองว่า “อาจารย์บ้านเรามันเป็นสภาวะถูกครอบงำโดยปอบนะครับ” นี่เป็นคำพูดครั้งแรกที่ได้ยินและทำให้พี่ตระหนักถึงปัญหานี้

    เราคิดไม่ออกเพราะเราไม่รู้จักเท่าไหร่ แค่รับรู้ว่ามี แต่ไม่เข้าใจในมิติของชาวบ้านและทางการแพทย์จริงๆ

    แต่ก็มีบางคนที่ ผู้นำคนหนึ่งกล่าวว่า คนนี้มีของดีไม่กลัวปอบ กล้าและทำอะไรผิดไปจากชาวบ้านทั่วไป ซึ่งเราก็สนิทกับพ่อคนนี้ แต่เราไม่เคยพูดเรื่องนี้เท่านั้นเอง เลยตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องไปจับเข่าคุยกัน

    อาว์เปลี่ยนโดยจังๆที่บ้านนี้มาแล้ว..ให้อาว์เปลี่ยนเล่าให้ฟังเองเถอะ

    ตั้งเป้าว่า ศึกษาให้เข้าใจแล้วปรึกษาหาทางออกกับเขาครับ

    พอดีมันบังเอิญพอดีว่า พี่เคยเขียนเรื่องปอบใน G2K แล้วรายการ คุยกับแพะไปพบ เขาสนใจจึงเสนอมาถ่ายทำที่ดงหลวง พี่ก็แนะนำไปให้ไหพบคนนั้นคนนี้ และมาสัมภาษณ์พี่เองด้วย เขาโทรมาบอกว่าจะออกอากาศ 3 ทุ่มวันศุกร์นี้ครับ เลยบอกกล่าวไว้เผื่อใครสนใจก็ลองเปิดดู  พี่เองก็ไม่รู้ว่าเขาไปถ่ายทำคนอื่นๆเป็นอย่างไรบ้าง

    ขอบคุณมากครับ พี่จะลองค้นหาหนังสือเล่มของ คุณหมอสงันดูครับ

  • #5 อัยการชาวเกาะ ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 มิถุนายน 2010 เวลา 20:57

    แถวภาคใต้ไม่มีปอบก็เลยไม่สามารถแลกเปลี่ยนกับพี่บู้ธได้ แต่มีเรื่องเกี่ยวกับที่ ส.ป.ก.ที่ภูเก็ต ที่ ส.ป.ก.ส่งเรื่องให้อัยการฟ้องคดี พื้นที่นั้นมีนายทุนเข้าไปสร้างโรงแรมหลายร้อยห้อง อยู่ๆ ส.ป.ก.ก็ทำเรื่องเสนอ ผวจ. ให้มีหนังสือถึงอัยการขอถอนฟ้อง อัยการสงสัยและ ผวจ.ไม่มีอำนาจทำเรื่องถอนฟ้องเอง จึงให้สอบถามไปเลขา ส.ป.ก. ปรากฏว่าเลขาแจ้งยืนยันว่าไม่ถอนฟ้อง  เรื่องก็ดำเนินต่อ อยู่ต่อมาป่าไม้ขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม หากอัยการยอมคดีก็จะมีปัญหาเพราะป่าไม้ยืนยันว่าเป็นที่ป่าไม้เพราะตรงนั้นเป็นป่าสมบูรณ์ ส.ป.ก.จึงต้องคืนพื้นที่ให้ป่าไม้  แต่ ส.ป.ก.ก็ยังไม่ยอม ได้ข่าวว่า ส.ป.ก.ทำเรื่องมาสอบถามอัยการขอความเห็นว่าจะทำอย่างไรดี ข่าวแว่วว่าใน ส.ป.ก.ก็มีความเห็นสองทาง
    ถ้าขืนเป็นอย่างนี้ป่าหมดแน่ครับ ตอนนี้เขารู้กันแล้วว่าผมเข้าไปจับคดีนี้ และข่าวก็รู้แล้วว่าผมมีหลักฐานพิสูจน์ได้ด้วยว่า เจ้าของโรงแรมเอา ส.ค.๑ มาสวมเพื่อขอออกโฉนด และที่ป่าไม้ทำอย่างนั้นก็เพื่อให้ที่ดินกลับมาเป็นของป่าไม้ แล้วก็จะให้เช่า นี่แหละครับประเทศไทย อัยการต้องทำหน้าที่สู้กับเจ้าหน้าที่ของรัฐด้วย แทนที่จะสู้กับคนบุกรุกฝ่ายเดียว เหนื่อยเหมือนกันครับพี่ แต่ยังไม่ท้อ….

  • #6 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 14 มิถุนายน 2010 เวลา 22:21

    ท่านอัยการสู้ๆ  ผมขออนุญาติส่งต่อบันทึกของท่านอัยการให้ท่านรองเลขาธิการ ส.ป.ก. นะครับ ท่านชื่อ ดร.วีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ เข้าใจว่าไม่ได้ดูเรื่องคดีนี้ แต่ส่งให้ท่านรับรู้รับทราบไว้ เผื่อจะเป็นประโยชน์แก่ราชการต่อไป ผมแนะนำท่านอัยการให้ท่านรองฯทราบสองครั้งแล้วครับ เห็นใจว่าทำงานแบบนี้เหนื่อยใจ ที่เราต้องมาสู้กันเอง

    การเมืองภายในสูงมากครับ โดยเฉพาะตำแหน่งที่ชี้เป็นชี้ตาย เหมือนอดีตเบอร์หนึ่งท่านหนึ่งมาถลุงเงิน ไปมหาศาล โดยไม่เกิดประโยชน์เลย ดึงเอาคนตัวเองมาจากหน่วยงานเดิม มาแซงคิวเป็นใหญ่แซงข้ามหัวลูกหม้อทั้งหลาย มีแต่เรื่องราว โดนย้ายไปก็ยังทิ้งเชื้อไว้อีก.. เห็นก็เหนื่อยแทนข้าราชการวงในครับ

    เป็นกำลังใจให้ครับ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.1157660484314 sec
Sidebar: 0.044769048690796 sec