ความจริงที่ปรากฏ

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ เมษายน 11, 2012 เวลา 18:13 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1767

(ขอสลับฉากเรื่องเมียนมาหน่อย)

มีการพูดกันมากถึงเรื่องการค้นหาความจริง

ผมคิดว่าเป็นสิ่งที่ควรสนับสนุนมากๆ แต่จากประสบการณ์ของผมนั้นการเข้าถึงความจริงเพียงอย่างเดียว เป็นเพียงแค่เปิดกะลาให้เห็นว่าข้างในมีอะไรบ้างแค่นั้นเอง ยังไม่ได้แก้ปัญหาอะไรได้เลย แค่เห็น เข้าใจ ประจักษ์ เท่านั้น..
แล้วไงต่อ..

เหลืองก็ยังเหลืองเข้ม แดงก็ยังแรงฤทธิ์ ไม่ได้ลดราวาศอกอะไรเลย

ในชุมชน…ลูกน้องผมกินเหล้าเข้าไปมากเลยพูดจาตามประสาคนเมา ก้าวล่วงคนอื่นมากเข้าไอ้หนุ่มในหมู่บ้านหมั่นไส้ก็ต่อยเอาเข้าตาปูดไป ไม่มีใครยอมใคร ต่างก็ว่าตัวเองถูก คิดถูก ทำถูก การต่อยเขาก็อ้าง “เองทำก่อนบ้าง” “ป้องกันตัวเองบ้าง” พักใหญ่ๆเราซึ่งอาวุโสกว่าก็เข้าห้ามปราม เรื่องวิวาทะจึงหยุด แต่ต่างก็ขุ่นข้องหมองใจกัน อึดอัด กระฟัดกระเฟียด แสดงอาการนักเลงโตให้เห็น ได้รับคำแนะนำผู้อาวุโสในหมู่บ้านว่าให้พาไปหาเจ้าโคตรของชุมชน เจ้าโคตรซักถามว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไรกันเล่า ให้เล่าทีละคน เจ้าโคตรท่านซักถามอย่างมีเมตตา แต่ต้องการแกะเอามาให้หมดว่า ใครทำอะไรก่อนหลังอย่างไรจนเกิดการต่อยกัน

การพูดคุยต่อหน้าเจ้าโคตร ต่อหน้าคู่ปรับ ต่อหน้าพยาน เพื่อนคนอื่นๆ ผู้ใหญ่คนอื่นๆที่เห็น ก็ไม่ปิดบังความจริงต่างๆได้

แล้วความจริงก็ปรากฏ….. แม้เวลาผ่านไป อารมณ์ดุดันจะลดลงมาบ้าง แต่ต่างฝ่ายก็ยังชี้จุดผิดของฝ่ายตรงข้ามให้เจ้าโคตรเห็น นัยสนับสนุนการกระทำของตนนั้นถูกต้อง

อย่างนี้ไม่จบ….เจ้าโคตรกล่าว แล้วเจ้าโคตรก็สาธยายโคตรเหง้าเหล่ากอที่โยกย้ายจากที่อื่นมาสร้างบ้านตั้งเรือนที่นี่ด้วยกัน ต่างลงขันแรงกายแรงใจ ฝ่าฝันอุปสรรคมาด้วยกัน ปู่ทวดเองนั้นถือได้ว่าเป็นคนกล้าหาญที่แบกรับภาระเพื่อนบ้านในเรื่องความปลอดภัยของชุมชน ข้างย่าทวดเองนั้น ญาติพี่น้องเรานับถือยิ่งนักที่ช่วยดูแลอาหารการกินให้พวกเรามิได้ขาด เรามีโคตรเหง้ามาจากที่เดียวกัน ทุกข์ด้วยกัน สุขด้วยกัน เรามาที่นี่มีอะไรก็แบ่งปันกัน ใครขาดเหลืออะไรก็ออกปากขอกันได้ และรากเหง้าของเราคือหลักศาสนาพุทธ เห็นไหมเมื่อแก่เฒ่าก็ไปถือศิลกันที่วัด ลูกหลานใครเกิดมาก็ไปหาท่านเจ้าอาวาส โตมาก็ไปเล่นที่ลานวัด ถึงวันพระก็ไปร่วมทำบุญตักบาตร แลกข้าวปลาอาหาร ขนมนมเนยแก่กันที่ศาลาวัดนั่น หนักนิดเบาหน่อยก็อย่าถือโทษโกรธกัน โบราณว่า “รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ” เองเข้าใจไหมล่ะ ความหมายของประโยคนี้เป็นความหมายนามธรรม หมายถึงหากเราต้องการมิตรภาพ ความเป็นพี่เป็นน้อง ก็ให้ตัดทิ้งไปซะ อะไรที่ขาดๆเกินๆไปบ้างต่อการกระทำของเพื่อนบ้านเรา นี่แหละเราเรียกว่าตัดทิ้งไป บั่นทิ้งไป ตรงข้าม หากเองจะต่อความยาวสาวความยืด แบบไม่ลดราวาศอกกัน มึงมาหนึ่งกูต้องไปสอง แบบนี้ ความสัมพันธ์แบบพี่น้องก็ขาดสะบั้น…

เองสองคนเข้าใจดีไหม มานี่ปู่จะให้เจ้าจับมือถือแขนกัน คืนดีกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน รักใคร่กันอย่างเดิม อย่าทะเลาะเบาะแว้งกัน เป็นพี่คนก็ให้รู้จักเป็นพี่ เองเป็นน้องก็ให้รู้ความเป็นน้อง มานี่ปู่จะผูกแขนให้เจ้าทั้งสองนะ…. คู่ต่อสู้มองหน้ากันแล้วก็โผกอดกันต่อหน้าเจ้าโคตร

……..

นี่คือการค้นหาความจริงแล้วปัดเป่าความขัดแย้งลงด้วยบารมีของเจ้าโคตร ชุมชนจึงสงบลงและมีความสุข ครั้งแล้วครั้งเล่าที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น หลังความจริงปรากฏก็คือการไกล่เกลี่ย ปรองดอง ที่ออกมาจากสำนึกเนื้อในของการอยู่ร่วมกัน การปรับความประพฤติ พฤติกรรม นิสัย อยู่ภายใต้ Norm ของชุมชน ที่มีฐานมาจากทุนทางสังคมดั้งเดิมของเรา มาจากหลักความเป็นผู้อาวุโสในชุมชน ที่ท่านใช้หลักพุทธศาสนามาผสมผสานกับศิลปะแห่งการอยู่ร่วมกัน ความศรัทธา ความมีบารมีของผู้เป็นเจ้าโคตร ความเป็นผู้มีเมตตาธรรมสูงส่ง….

ความขัดแย้งก็สงบลง สันติสุขก็บังเกิดขึ้น

แต่ชุมชนเป็นหน่วยสังคมเล็กๆ แน่นแฟ้น และรู้จักกันหมดหัวบ้านท้ายบ้าน สังคมใหญ่ ซับซ้อนมากมาย หลายเท่านัก ผู้มีบารมีกลายเป็นเป้าหมายการโจมตี Norm สังคมเป็นเพียงหลักการที่พูดกันในวงการเท่านั้น

ผลประโยชน์กลายเป็นสาระใหญ่ที่แฝงเร้นอยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงที่ผู้ได้เปรียบในสังคมได้จังหวะเชิดชูขึ้นมาแบบใครก็ปฏิเสธไม่ได้

ศาสนาเป็นเพียงเครื่องมือทาทับลงไปในพิธีกรรมต่างๆให้ดูดีและสนับสนุนผู้เชิดชูประชาธิปไตยที่แท้จริง

ชุมชนที่เรียบง่ายก็ถูกม่านสีสันเหล่านั้นบดบังตาเสียสิ้น หลักการประชาสัมพันธ์ถูกเอามาใช้เพื่อสร้างความได้เปรียบกันในสังคม

องค์ประกอบการคลี่คลายปัญหาเปลี่ยนไปจากเดิมแล้ว….

ประชาธิปไตยที่อ้างเสียงข้างมากจะลากจูงสังคมไปตามที่เขาต้องการจะให้เป็น

 

“ความจริงจริง” ที่ซ่อนอยู่หลัง “ความจริงที่ปรากฏ” นั่นแหละ น่ากลัวจริงๆ



Main: 0.032932996749878 sec
Sidebar: 0.085057020187378 sec