การจัดการชุมชนชนบทในระบบนิเวศเกษตรเชิงเขา

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤษภาคม 27, 2012 เวลา 10:31 ในหมวดหมู่ ชนบท, สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2411

ทำไมคนอีสาน จึงเป็นมะเร็งตับมากที่สุดในโลก

ไม่ใช่สถิติที่เราควรภูมิใจ ตรงข้ามต้องเอามือมากุมขมับด้วยซ้ำไป…ทำไม..?

เป็นข่าวเมื่อไม่กี่วันมานี้เอง แต่สถิตินี้ไม่ใช่เพิ่งจะมาทราบ เราทราบมากว่า 20 ปีแล้วครับ

ท่านอาจารย์หัวหน้าภาควิชาการโภชนาการของ มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ผมสนิทสนมด้วย ท่านเสียชีวิตไปเพราะมะเร็งตับ ยาหยีผมก็ร่วมงานวิจับกับคณะแพทย์ศาสตร์ มข. มาตั้งแต่สมัยปีมะโว้ ก็เรื่องนี้แหละ ตามไปศึกษาวิถีชีวิตอีสานที่ไปเป็นแรงงานตัดอ้อยในจังหวัดสุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี และ…. เข้าไปศึกษาในชนบทอีสานหลายแห่งทั้งอีสานเหนือ กลาง ใต้

สรุปมาตั้งแต่สมัยนั้นว่า ต้นเหตุสำคัญของการเกิดมะเร็งตับของคนอีสานคือ “การกินดิบ” ก็กินอาหารดิบ ดิบๆสุกๆ ไม่ว่า ปลาดิบๆ หอยดิบๆ เนื้อหมู เนื้อวัว เนื้อสัตว์ป่า สารพัดเนื้อสัตว์เอามาทำอาหารดิบกินกับ แซบหลายเด้…. ก็เจ้าแซบหลายนี่แหละ คือต้นเหตุของการเกิดมะเร็งตับ คณะแพทย์ศาสตร์ มข.สรุปมาตั้งแต่สมัยโน้นแล้ว… และมีการแปรข้อมูลเหล่านี้ออกไปสู่สื่อสาธารณะเพื่อเตือนประชาชนอีสานให้เปลี่ยนวิธีการกินอาหารดิบ…..ทำกันมานานแล้ว

มาวันนี้ก็ยังมีการพูดถึง เรื่องนี้ และเป็นสถิติโลกไปแล้วด้วย..

มีคำที่สำคัญ หรือ Key word ที่สำคัญของเรื่องนี้ คือ “พฤติกรรมการกิน” ของคนเรานี่เอง หากจะกล่าวอีกมุม ก็คือ “วัฒนธรรมการกิน” อาจจะแยกเป็นสองส่วนใหญ่ๆคือ ตัวอาหารที่กินกับกระบวนการกิน สำหรับตัวอาหารนั้น คือวัตถุดิบและวิธีการปรุง การศึกษาครั้งนั้นเท่าที่ผมจำได้คือ กระบวนการกินที่ใช้มือ มาเป็นใช้ช้อน จากช้อนของใครของมัน ตักอาหารส่วนกลางมาเป็นช้อนกลาง ดูจะเปลี่ยนแปลงได้ แต่เรื่องอาหารที่ดิบ หรือไม่สุก ดีที่สุดคือ ดิบๆสุกๆนั้น มีการเปลี่ยนแปลงเป็นกินสุกมากขึ้นนั้นทำได้แค่ระยะหนึ่ง แต่แล้วหันไปใช้พฤติกรรมเดิมๆ คือ “กินดิบ”

นี่เองที่ปัญหาที่สลัดไม่ออก คนอีสานไปกรีดยางภาคใต้ ก็ไปแสดงพฤติกรรมการกินของพื้นบ้านอีสาน ยังมีเรื่องเล่ากันว่า คนอีสานไปทำงานต่างประเทศ ยังไปจับสัตว์ป่าเขามากินดิบซะเรียบร้อย ทั้งที่สัตว์ป่านั้นเป็นสัตว์พ่อพันธุ์ของเขา….จริงหรือไม่จริงไม่มีใครยืนยัน แต่เรื่องราวทำนองนี้ไปยืนยัน พฤติกรรมการกินดิบของชาวอีสานว่ามีติดตัวไปทุกหนทุกแห่งที่คนอีสานไปอยู่อาศัย

ผมอยากจะเพิ่มอีกคำลงไปใน พฤติกรรมการกินดิบของชาวอีสานนั้นก็คือ “การติดใจในรสชาด” ของอาหารนั่นเอง ดังนั้น “พฤติกรรมการกินดิบของชาวอีสาน” จึงมี “การติดใจในรสชาดอาหาร” ติดขนานไปด้วยกัน…ไปไหนไปกัน..แบบนั้น

ทำไมชาวจีนจึงทานอาหารร้อนๆ ดื่มชาร้อนๆ ทำไมชาวเกาหลีจึงทานผักดองที่เรียกกิมจิ ทำไมชาวอินเดียจึงใส่เครื่องเทศในอาหารมากมาย เหล่านี้คือวัฒนธรรมการกิน พฤติกรรมการกินที่ส่งต่อกันมารุ่นต่อรุ่นด้วยระบบวิถีชีวิตที่คลุกคลีมาตั้งแต่เกิด

ข้อสรุปนี้ นักวิทยาศาสตร์สาขาอื่นๆอาจจะไม่เข้าใจลึกซึ้งเหมือนนักวิทยาศาสตร์สังคม เพราะ Key word ตัวนี้มีเรื่องราวที่เกี่ยวข้องอีกมากมายตามมา หรือกล่าวอีกทีคือ มีเรื่องราวอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของมนุษย์กลุ่มนี้ เช่นเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ในสังคม การใช้เวลาในแต่ละวันของชาย หญิง ในสังคมชุมชน การให้ความสำคัญกับความเชื่อกับสิ่งเหนือธรรมชาติ การจัดกลุ่มโดยธรรมชาติในชุมชน การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ในชุมชน การสร้างนวัตกรรมเครื่องมือจับสัตว์ที่หลากหลาย จากง่ายไปสู่ความซับซ้อนอย่างไม่น่าเชื่อ ตลอดเลยไปถึงการตัดสินใจเลือกสถานที่ตั้งบ้านเรือน กระบวนการตัดสินใจต่างๆในวิถีการดำรงชีวิตของเขา..ฯลฯ…

ผมได้อธิบายกับเพื่อนที่ผมไปทำงานด้วยกันเรื่องปรากฏการณ์หนึ่งคือ จะมีการสร้างเขื่อนเก็บกักน้ำเพื่อใช้เป็นน้ำต้นทุนในการผลิตกระแสไฟฟ้า จึงศึกษา สำรวจ แล้วทำการโยกย้ายชาวบ้าน สมมติ 700 ครัวเรือนออกไปจากพื้นที่โครงการ ไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ที่รัฐบาลจัดสรรให้ ไกลออกไปจากที่เดิม พร้อมกับจะจัดที่ดินทำกินให้ใหม่ และอื่นๆมากมายที่จะสนับสนุนให้คนที่ถูกโยกย้ายมานั้นมีความกินดีอยู่ดีให้ได้ แต่บังเอิญเหลือเกินที่โลกเกิดวิกฤติการเงิน ไปกระทบผู้ลงทุน โครงการนี้จึงหยุดไป ขณะที่โยกย้ายชาวบ้านไปแล้ว แต่ไม่สามารถดำเนินการตามแผนงานต่อไปได้จนจบสิ้น ค้างเติ่ง เช่นนั้น

วันดีคืนดี มีอีกกลุ่มหนึ่งมาดำเนินโครงการนี้ต่อ จึงมีการศึกษาสภาพการณ์ปัจจุบันว่าเป็นเช่นไรบ้าง การศึกษาพบว่ามีประชาชนที่โยกย้ายไปแล้วนั้น กลับไปอยู่ในที่ดินทำกินเดิมจำนวนที่มากพอสมควร

ประเด็นอื่นเราไม่ขอกล่าวถึง แต่ตั้งคำถามกันว่าทำไมจึงมีการโยกย้ายกลับไปยังที่ดินทำกินเดิม.? และเป็นจำนวนมากกว่าที่รับรู้มาก่อนจนตกอกตกใจกัน จากการประมวลข้อมูลเบื้องต้นพบว่ามีหลายเหตุผลที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์โยกย้ายกลับคืนที่ดินทำกินเดิม การสัมภาษณ์ประชาชนท่านหนึ่งเป็นผู้สูงอายุท่านกล่าวว่า หมู่บ้านที่ราชการจัดสรรให้นั้นเป็นชีวิตที่พึ่งพิงตลาด ฝากท้องไว้กับตลาด แต่การกลับไปทำมาหากินในที่เดิมนั้นเป็นการพึ่งพิงธรรมชาติ ไม่ได้ซื้อไม่ได้ขาย หาของป่ากินไปวันๆ….

เมื่อเราเดินทางไปดูสถานที่ตั้งชุมชน ซึ่งปลูกกระต๊อบเป็นกลุ่มๆ มีกลุ่มละ 5-6 หลังคาเรือน รอบๆบ้านปลูกกาแฟ ถัดออกไปเป็นพื้นที่ปลูกข้าวไร่ ถัดออกไปเป็นป่าที่ค่อนข้างสมบูรณ์มาก มีร่องรอยบุกเบิกเพิ่มเติม…คนที่เราพบส่วนใหญ่เป็นคนหนุ่มสาว หรือวัยกลางคน มีผู้เฒ่าบ้าง แต่ส่วนใหญ่ผู้เฒ่าจะอยู่ที่บ้านจัดสรรโน้น.. ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกมากนักเรียกว่าอยู่กันแบบดั้งเดิมจริงๆ แน่นอนไม่มีมือถือ ไม่มีทีวี และไม่มีไฟฟ้า และอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าทั้งหมด..

เดินขึ้นไปในบ้านมีถุงข้าวกองอยู่ นั่นคือข้าวสำรองที่เก็บไว้ให้คุ้มกินตลอดปีสำหรับจำนวนคนในครอบครัว อาจมากเกินบ้างก็เผื่อเหลือเผื่อขาดง..ฯลฯ ล้วนเป็นระบบวิถีชีวิตชุมชนแบบที่มีระบบนิเวศเชิงเขาและเป็นชนเผ่าที่มีความเชื่อเฉพาะของเขา

หากเราไม่เข้าใจเขา การแก้ปัญหาของคนนอกก็ไปใช้ระบบคิดแบบคนนอกไปกำหนดวิถีชีวิตเขาไปหมด นัยเจตนาที่ดี นโยบายของรัฐ สารพัดเหตุผลที่เอาไปอธิบายชาวบ้านที่ส่วนมากจำนนต่อกฎของรัฐ แต่สภาวะจิตใจภายในนั้น บ่งบอกออกมาในรูปของคำพูดและน้ำเสียง สีหน้า เลยเถิดไปถึงพฤติกรรมที่ตามมาอีกหลายด้าน….

ชาวบ้านที่โยกย้ายกลับมาในที่ดินทำกินเดิมนี้ ส่วนหนึ่งที่เป็นเหตุผลหลักคือ วัฒนธรรมการทำมาหากิน ความถนัด ความเคยชิน รวมไปถึงวัฒนธรรมการบริโภค และพฤติกรรมการบริโภคนั่นเอง มีข้าวจากข้าวไร่ พอมีรายได้จากกาแฟ แต่อาหารนั้นหามาจากป่ามากกว่า ร้อยละ 90

สรุปแบบห้วนๆว่า พฤติกรรมของวิถีชีวิต วัฒนธรรมการบริโภคอาจจะไม่เกี่ยวกับการเกิดมะเร็งตับของชุมชนที่นี่ แต่มีส่วนสำคัญต่อการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ คือป่าไม้

ประเด็นของนักพัฒนาคือ เราจะหาความลงตัวใหม่ได้ที่ตรงไหน…

แต่น่าเสียดายที่ระบบงานมักให้แก้โจทย์สำคัญเหล่านี้ด้วยเงื่อนไขกระบวนวิธีของคนภายนอก นโยบายรัฐ และเวลาที่จำกัด

ทำได้ครับ แต่ต้องอาศัยกระบวนการปรับตัว ในด้านต่างๆมากพร้อมๆกับระบบพี่เลี้ยงที่เข้าใจและยืดหยุ่นพอสมควร…

ไม่มีอะไรที่ติดแน่นคงที่ มีแต่เปลี่ยนแปลงไป แต่การเปลี่ยนแปลงต้องอยู่บนฐานของความสมดุลและการลงตัวด้วย…


ทุ่งมะขามหย่อง

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤษภาคม 25, 2012 เวลา 16:43 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1562

ขอพระองค์ทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนานเทอญ


เอารุ้งมาฝาก

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤษภาคม 24, 2012 เวลา 23:33 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 2019

เอารุ้งใหญ่บนท้องฟ้า มาฝากพี่น้องทุกท่าน

ด้วยความรักและคิดถึง


เอาไง..

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤษภาคม 21, 2012 เวลา 17:27 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1306

 

เพ่…เอาไงว่ามา..เล้ย..

เบื่อฟังถ่มถุยในสภาจังว่ะ

ตีสำนวนโวหารกัน อยู่ นั่นแหละ..


จดหมายน้อยถึงคุณป้า

ไม่มีความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤษภาคม 21, 2012 เวลา 0:04 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1332

คุณป้ายิ่งลักษณ์ครับ

ขอแท๊ปเล็ต เครื่องหนึ่งซีครับ


85 บาท..

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤษภาคม 14, 2012 เวลา 22:15 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1591

เราไม่ใช่เกิดมาบนกองเงินกองทอง เราจึงต้องทำงานหนัก

เราพอใจที่จะทำงานในสิ่งที่เราชอบ หลายครั้งลืมหันกลับมาดูแลสุขภาพตัวเอง แม้ว่าเขาจะส่งสัญญาณมาบ้างเป็นครั้งคราว

งานมาก.. งานล้นมือ… ถึงกำหนดส่งรายงานเรื่องนั้นเนื่องนี้…. หมดเขตส่งรายงานแล้ว… ดูจะเป็นเรื่องประจำที่ผมได้ยินออกมาจากปากยาหยี..

ที่นั่งโต๊ะทำงานที่ห้องนอน ซึ่งแต่ก่อนก็เป็นห้องนอนจริงๆ ห้องทำงานอยู่ข้างล่าง แต่ทำไปทำมาห้องนอนทำเป็นห้องทำงานไปด้วย ส่วนห้องทำงานจริงๆนั้นเป็นห้องเก็บเอกสารไป ล้นจากห้องทำงานที่เป็นห้องนอนก็ถูกขยับลงไปห้องทำงานจริงข้างล่าง อิอิ..

โต๊ะนั่งเล่น กลางห้องนอน+ห้องทำงาน กลายเป็นโต๊ะกินกาแฟมื้อกลางคืน หรือของว่างช่วงที่หิว (ตามใจปากซะมากกว่า อิอิ) เปิดแอร์เย็นๆ หลังดูทีวีรายการโปรดแล้ว ก็ลุยงานบนโต๊ะนั่น คืนแล้วคืนเล่า จากวันเป็นสัปดาห์ จากสัปดาห์เป็นเดือน เป็นปี …เก้าอี้ตัวโปรดไม่เคยเปลี่ยน เป็นเก้าอี้ไม้ ทรงคลาสสิกที่ซื้อมานานมากกว่า 25 ปี แต่ก่อนเห็นมีในโรงน้ำชาคนจีน หรือโต๊ะกาแฟของร้านคนจีน เธอก็ชอบนั่งตัวนั้นแหละ ตรงข้ามกับที่ทำงาน ที่น้องๆแอบไปสั่งชุดหรูมาให้นั่ง ราคาต่างกันลิบลับ

บางครั้งนั่งสัปหงกที่เก้าอี้ไม้นั่น ผมก็แกล้งเคาะโคมไฟดังๆ เธอก็ตกใจตื่นขึ้นมา แล้วก็หัวเราะกันใหญ่ หลังจากตาสว่างสักพัก ก็เหมือนเดิมอีก ผมก็ลากเธอไปนอนซะ แต่ส่วนมากผมจะลงไปนอนที่เตียงก่อน ปล่อยให้เธอลุยงานต่อไป

สายวันนั้น เธอตะโกนเรียกผมว่า พลิกตัวไม่ได้ และเวียนหัวมาก โลกหมุน จะอาเจียน เอาหละซี ผมทำอะไรไม่ถูก อุ้มเธอให้ขยับก็ไม่ได้ บอกเวียนหัวจะอาเจียน ขอนอนนิ่งๆ แต่เหงื่อออกเต็มตัวไปหมด ในที่สุดเราตัดสินใจเรียกรถพยาบาลมา เอาเปลมาแบกเธอส่งโรงพยาบาลประจำที่เคยรักษาพยาบาลคุณแม่ หมอฉีดยาให้เข็มเดียว พักอีกหน่อย ก็หัวเราลั่นห้องได้แล้ว เดินปลิวไปเลย

เรื่องนี้เกิดมาหลายปีก่อนโน้นที่บ้านขอนแก่น

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมาเธอไปกระบี่ สตูลเพื่อประชุมงานที่รับผิดชอบกับทีมงานภาคใต้ สายวันที่ 9 ผมปิดมือถือ ซึ่งมักทำบ่อยๆ เพราะรำคาญพวกบริษัทอะไรต่อมิอะไรที่โทรมาชักชวนทำประกันภัย แบบนั้นแบบนี้ สายมากแล้วผมก็เปิดเครื่องเผื่อมีทีมงานที่บริษัทติดต่อมา แต่เห็นเบอร์ยาหยี พยายามโทรมา 4-5 ครั้ง ผมก็รีบโทรกลับไปทันที

เสียงอ่อยๆดังมาทางมือถือ …ไม่สบาย เป็นเวียนหัวโลกหมุนอีกแล้ว ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลสตูล เพื่ออาจารย์และโรงแรมที่พักจัดการเรียกรถพยาบาลมาให้ หมอฉีดยาให้แล้ว กำลังนอนพัก…..

เพื่อนอาจารย์รีบติดต่อกลับมาที่ขอนแก่นถึงที่ทำงานจัดการเรื่องเงินทองที่อาจจะต้องใช้จ่ายค่ารักษาพยาบาล และอื่นๆ ผมนั้นนั่งอยู่กรุงเทพฯ แค่คอยติดตามข่าวว่าเป็นไงบ้าง คืบหน้าไปอย่างไรบ้าง.. อีกสองชั่วโมง เธอเสียงแจ๋วๆมาว่า ดีแล้ว กำลังจะเดินทางไปหาดใหญ่ขึ้นเครื่องกลับกรุงเทพฯ และต่อไปขอนแก่น

เธอเล่าว่า กังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ทางโรงพยาบาลจังหวัดสตูล ว่ามันมากน้อยแค่ไหน เงินในกระเป๋าเธอมีไม่มาก บัตรเครดิตเธอก็ไม่มีสักใบ เพราะเป็นคนไม่ชอบบัตรเครดิตใดๆทั้งสิ้น แม้ธนาคารร้อยแปดไปยื่นเงื่อนไขให้ถึงห้องทำงานก็ถูกปฏิเสธทุกรายหมด

เธอเล่าว่า เมื่อลูกน้องจัดการโอนเงินไปให้แล้ว เพื่ออาจารย์ที่เป็นทีมงานในภาคใต้ก็กรุณาช่วยเป็นภาระให้ เอาบัตรประจำตัวประชาชนของยาหยีไปยื่นให้ที่โรงพยาบาลจังหวัดสตูลเพื่อต้องการทราบว่ามีค่าใช้จ่ายเท่าใด…

ระบบออนไลน์ เนื่องจากเป็นข้าราชการ มีระบบการรักษาพยาบาลตามระเบียบของมหาวิทยาลัยและของรัฐ ตรวจสอบให้โดยเร็วเพียงไม่นานเท่าไหร่ พนักงานพยาบาลมาแจ้งว่า ค่าใช้จ่ายทั้งหมด รวมค่ารถพยาบาลที่ไปรับ ค่ายา ค่าห้อง ค่าคุณหมอ และอื่นๆ เป็นเงิน 85 บาท..!!!!!!!

ขอบคุณโรงพยาบาลจังหวัดสตูล โดยเฉพาะแพทย์และนางพยาบาลทุกท่าน เธอชื่นชอบว่า พูดจาดีมากๆ ดูแลดีมากๆ ขอบคุณมากๆครับ

ขอบคุณเพื่อนอาจารย์ทีมงานภาคใต้ของเธอที่ดูแลเป็นอย่างดียิ่ง

ขอบคุณระบบรักษาสุขภาพของรัฐ ที่มีประสิทธิภาพมากๆ

ขอบคุณการบินไทย

ขอบคุณทุกท่านที่มีส่วนดูแลในครั้งนี้


เกิดระเบิดที่มาบตาพุดนั้นดีแล้ว..?

2 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤษภาคม 11, 2012 เวลา 1:11 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, เรื่องของชีวิต #
อ่าน: 1689

ข่าวเกิดเหตุระเบิดที่มาบตาพุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั้น ผมรู้สึกว่ามันใกล้ชิดตัวเอง เพราะเป็นพื้นที่หนึ่งที่ผมลงไปทำงานอยู่ในปัจจุบัน บุคคล ชื่อชุมชน และสถานการณ์ในชุมชนเป็นเรื่องที่ใกล้ตัว ก็เพราะเพิ่งลงสนามสัมภาษณ์ชาวบ้านรอบๆนิคมมาบตาพุดมา และมีแผนที่จะลงไปอีกในสัปดาห์นี้ แต่ต้องเลื่อนออกไปเพราะชาวบ้านไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมาพูดคุยกับเรา

มาบตาพุดเป็นนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ซึ่งมีกลุ่มหนึ่งที่เขาติดต่อมาว่า เขาต้องการสนับสนุนชุมชนก้าวเข้ามาประมูลสินค้าและบริการที่กลุ่มปิโตรเคมีจัดซื้อปีละนับพันล้านบาท เงินจำนวนนี้เขาอยากให้ส่วนหนึ่งตกอยู่ในชุมชนรอบๆนิคม

หากจะกล่าวว่านี่เป็นนโยบายหนึ่งของ CSR ก็ใช่ เราเลยจับมือกับ NGO ใหญ่ลงสนามไปเก็บข้อมูลเพื่อนำมาเข้ากระบวนการ แล้วมองดูลู่ทางว่ามีแนวทางใดบ้างที่จะตอบโจทย์นั้นได้ ทีมงานและผมลงสนามมาบตาพุดมาแล้ว ตระเวนไปพบผู้นำชุมชน ผู้นำหน่วยงาน ชาวบ้าน ฯลฯ สัมภาษณ์ เก็บข้อมูลต่างๆตามแผนงานที่เรากำหนดขึ้นมา

ผมนั้นเป็นตัวประกอบในการเก็บข้อมูล แต่ผมมีประเด็นในใจและนิสัยที่อยากรู้เรื่องราวต่างๆที่มากไปกว่าแบบสัมภาษณ์ ทั้งเป็นแบบ Traditional และที่เป็น Key Question ตามหลักการแล้ว ผมก็ปล่อยให้ทีมงานทำไป ผมเองเห็นใครอยู่นอกเป้าหมายของ Key Informants ก็จะเข้าไปจับเข่าคุยด้วยตามสไตล์ของผมที่นิยม Dialogue มากกว่า

ที่ชุมชนหนึ่งเป็นกลุ่มประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลาม ผมพบ “ป๊ะ” ท่านอายุ 80 เศษแล้ว แต่แข็งแรงผมเข้าไปคุยด้วย คุยไปคุยมาผมทึ่งกับท่านมากเพราะท่านเป็นผู้สูงอายุที่มีความคิดกว้างไกล และออกวิชาการมาก ทราบว่าท่านเป็นผู้นำศาสนาในจังหวัดระยองด้วย ระหว่าวที่เรานั่งคุยกัน ทีมที่สัมภาษณ์เป็นทางการนั้นออกปากเชิญ ป๊ะ ไปคุยด้วยเพื่อขอทราบข้อมูลต่างๆ ป๊ะมีท่าทีไม่อยากไป แต่ลูกเขยท่านชักชวนให้ไปร่วมด้วย ท่านก็ไป แต่เพียงไม่กี่คำถามท่านก็ผละออกมาคุยกับผมต่อ เพราะท่านไปสวนคำถามฉบับๆๆๆๆ แบบว่า ไม่อยากให้ข้อมูล ไม่มีประโยชน์ มีทีมงานต่างๆมาคุยหลายต่อหลายชุด แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงทางที่ดีขึ้นเลย

ท่านลงมาคุยกับผมต่อเฉยเลย ผมนึกเข้าข้างตัวเองว่า เพราะผมใช้ Dialoque และทักษะการคุยกับชาวบ้านนั้นเราผ่านมามากแล้ว รู้ว่าควรจะคุยแบบไหน อย่างไร … ยิ่งคุยยิ่งทึ่งกับท่าน ป๊ะ ท่านมีความคิดที่สด ทันสมัย มีหลักการ วิชาการ ผมเห็นด้วยกับท่านหลายเรื่อง…..

ผมจากท่านมาด้วยความชื่นชมเป็นการส่วนตัว…จนข่าวโรงงานในนิคมมาบตาพุดเกิดการระเมิด ผมติดตามข่าว ก็ได้ยินผู้นำบ้านนั้นบ้านนี้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวต่างๆ ล้วนเป็นผู้นำที่ผมไปสัมผัสมาแล้ว แล้วเมื่อสองวันก่อน หน่วยงานเรามีการประชุมสรุปงานเบื้องต้นกัน เพื่อนร่วมงานกล่าวกับผมว่า ..ช่วยโทรไปคุยกับป๊ะหน่อย ทราบว่า ทั้งชุมชนเขาโยกย้ายออกไปจากพื้นที่เพราะได้รับควันพิษเต็มๆ แต่ป๊ะไม่ยอมออกจากบ้าน..?? ผมรับปาก

ผมโทรไปหาป๊ะ…ทำไมไม่ออกไปจากบ้านหล่ะครับ ใครต่อใครเขาอพยพไปตามข้อเสนอของทางการ ป๊ะบอกว่า ไม่ไปหรอก อยู่ที่นี่มาชั่วชีวิตแล้ว จะตายก็ขอตายตรงนี้… เราคุยกันพักใหญ่ คำหนึ่งที่ผมทึ่งในความคิดของป๊ะคือ

..ผมว่าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ดีนะ…. อะไรนะ..ผมถามซ้ำ ป๊ะก็ย้ำว่า เกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็ดีนะ.. ผมงง งง ผมฟังผิดไปหรือเปล่า…. ผมถามต่อ มันดีอย่างไรครับ ป๊ะ.. ป๊ะตอบทันควันเลยว่า…อ้าว มันก็ทำให้ราชการ หน่วยงานได้คุยกัน ตื่นตัวหามาตรการต่างๆออกมาใช้ ชาวบ้านอย่างเราก็หันหน้ามาคุยกัน

โอโฮ….แหลมคมจริงๆป๊ะ ท่านยังวิเคราะห์เหตุการณ์ครั้งนี้ในฐานะที่ท่านเป็นคนในพื้นที่ ใกล้ชิดกับคนงานและผ่านเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับโรงงานมาตั้งแต่โรงงานต่างๆมาเริ่มตั้งใหม่ๆ

ป๊ะกล่าวว่า…มันประมาท ทั้งหมดนั่นแหละประมาท มันเป็นช่วงหยุดงาน ทำความสะอาดเครื่องเพื่อเปลี่ยนจ๊อปใหม่ เจ้านายก็ไม่อยู่ ผู้คุมก็ไม่อยู่ คนทำความสะอาดก็ประมาท เพราะทุกคนคิดว่าไม่มีอะไร นี่มันเป็นอย่างนี้ เรื่องนี้มันเกี่ยวกับสามส่วน ป๊ะ วิเคราะห์ต่อว่า หนึ่ง คนงานที่ทำความสะอาดและผู้คุมทั้งหลาย สองบริษัทผู้มาลงทุน และสามชาวบ้านอย่างเรานี่ …ป๊ะ วิเคราะห์ยาวไปเลย อย่างนักวิชาการ หรือผู้รู้ ผู้มีประสบการณ์….

เป็นโทรศัพท์ที่ผมพูดนานที่สุดครั้งหนึ่ง แต่ก็ยินดีที่ได้คุยกับป๊ะ ผู้เฒ่าที่อายุเป็นเพียงตัวเลข ฟังเสียงป๊ะแล้วผมหลับตาเห็นอากัปกิริยาป๊ะได้ ท่านเป็นคนตรง แข็ง ใครมาผิดหูผิดตาก็ฟันเละไปเลยเชียวหละ

ลูกเขยป๊ะ ก็ หนึ่งในตองอูคนหนึ่ง เราเห็นฝีปากมาแล้วในการประชุมสองครั้ง ใครๆก็สะดุ้งโหย๋งหากลูกเขยป๊ะคนนี้พูด ไม่ใครก็ใครโดดอัดแน่ๆ ทั้งนี้เพราะเขามีประสบการณ์ที่ไม่ดีกับกลุ่มปิโตรเคมีมานาน ซ้ำซาก…

ผมนึกไปถึงประสบการณ์ที่แม่เมาะ มันช่างคล้ายกันในหลายเรื่อง เห็นใจชาวบ้านครับ และงานเกี่ยวกับชาวบ้านในพื้นที่เขตอุตสาหกรรมนั้นมีงานที่แตกต่างไปจากชนบททั่วไป ยากกว่า เพราะโจทย์คนละชุดกัน

แต่สำหรับคนที่ทำงานกับคนมาขนาดผมนั้น

มันท้าทายดีครับ….


เรื่องเล่าจากดงหลวงจะตีพิมพ์

3 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ พฤษภาคม 3, 2012 เวลา 1:16 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1737

ผมจำได้ว่าผมก้าวมาเขียนบันทึกจากงานในหน้าที่รับผิดชอบอยู่ ก่อนหน้านั้นผมเป็นคนชอบอ่าน และบังเอิญผมมีโอกาสทำงานกับโครงการที่เป็นชาวต่างประเทศ ทั้งที่เด็กบ้านนอกอย่างผมนั้นสอบตกภาษาอังกฤษมาตลอด แต่ก็พยายามถูไถไปได้ มาช่วงที่ผมรับผิดชอบด้านสังคมที่โครงการพัฒนาชลประทานในระดับไร่นา ที่เขื่อนลำปาว โดยรัฐบาลเนเทอร์แลนด์ ผมมีหน้าที่ส่งเสริมกลุ่มผู้ใช้น้ำและกิจกรรมการใช้น้ำเพื่อการเกษตร โดยมีเจ้าหน้าที่สนามเป็นนักศึกษาที่เพิ่งจบมาจากมหาวิทยาลัยต่างๆ

เราจัดฝึกอบรม และจัดทำระบบเรียนรู้ระหว่างการทำงาน ตรงนี้เองที่ผมมองเห็นว่า หลังการฝึกอบรมแล้วนั้น น้องๆได้เรียนรู้ในห้องฝึกอบรมแล้วเอาหลักการไปใช้ในสนาม มันเละตุ้มเปะไปหมดในหลายคน บางคนก็พัฒนาได้เร็ว ผมคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะเติมเต็มสิ่งที่น้องๆไม่ได้ทำ หรือทำผิดพลาด หรือทำไม่เต็มที่ในสิ่งที่ควรทำ เพราะเธอเหล่านั้นขาดประสบการณ์นั่นเอง ผมนึกถึงระบบโรงเรียนแพทย์ที่มีช่วงเป็น แพทย์ฝึกหัด เพราะชีวิตคนไข้ไม่ใช่ของที่ลองผิดลองถูก อาจารย์หมอจะกำกับแพทย์ฝึกหัด

ในระบบการทำงานพัฒนาชนบทก็มีระบบการประชุมในสนาม การทำ Mini workshop ผมคิดว่าไม่พอจึงคิดอ่านเพิ่มเติมโดยการสรุปประเด็นที่น้องๆยังขาดความเข้าใจในทางปฏิบัติ แล้วเอามาเขียนเป็น Memo เป็นประเด็นๆไป แล้วทำสำเนาแจกให้ทุกคน สัปดาห์ละ 2-3 ฉบับ


ผมรู้สึกสนุกกับการทำหน้าที่นี้ และประเมินว่าน้องๆก็ชอบเพราะเราได้เติมเต็มให้น้องๆเหล่านั้น ผมจึงเดินรุกหน้าในเรื่องนี้มากขึ้นโดยการแนะนำให้น้องๆเหล่านั้นฝึกเขียน ประสบการณ์งานในสนามของเขา ในเรื่องที่เขาถนัด และหรือในเรื่องที่เราแนะนำ น้องบางคนได้รวมเล่มผลงานของเขาและสามารถนำไปใช้เป็นฐานในการศึกษาต่อระดับปริญญาโทก็หลายคน

ผมย้ายงานไปตามวาระ ตามวิถี และนำประสบการณ์นี้ไปใช้ แต่ไม่สำเร็จ ไม่ว่าที่โครงการพัฒนาระบบชลประทานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กับกลุ่ม EURO Consult หรือที่ Save the Children (USA) ที่นครสวรรค์ หรือแม้แต่ที่ บริษัทที่ปรึกษาที่ผมสังกัดในปัจจุบัน

ตรงข้ามผมต้องรับผิดชอบเขียน Report มากขึ้น ทั้งรายเดือน รายไตรมาศ ฉบับ Final หรือ รายงานพิเศษเฉพาะเรื่อง มากมาย ซึ่งผมพบว่าในรายงานเหล่านั้นมี Format เฉพาะอยู่แล้ว สาระและทิศทางการเขียนจึงถูกจำกัด ในฐานะที่ทำมากับมือ คลุกคลีกับงามปฏิบัติ พบว่ามีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกมากมายที่ไม่สามารถใส่ไปในรายงานนั้นๆได้

เมื่อผมไปรับผิดชอบสนามที่มุกดาหาร พื้นที่ดงหลวง มีเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่คนที่ร่วมงานกัน แต่มีโครงการเดียวกันที่อยู่ในอีก 3 จังหวัด เราทำงานเหมือนกันแต่คนละพื้นที่ ภายใต้ สปก.ที่ได้งบประมาณมาตั้งแต่สมัยเศรษฐกิจประเทศพังต้องไปกู้เงินจากญี่ปุ่น เรียกว่าเงิน มิยาซาวา สปก.ได้งบประมาณมาพัฒนาพื้นที่ชนบทที่เป็นพื้นที่ สปก.เพื่อฟื้นฟูสังคมส่วนนั้น

ผมเริ่มกลับมาเขียนความคิดเห็นของผมอีกครั้ง แต่เป็นแนวว่า ลงไปทำงานในพื้นที่ดงหลวง เห็นประเด็นอะไรก็เอามาเขียนผนวกความคิดเห็นของตัวเอง ในแง่มุมต่างๆ แล้วส่งเมล์ไปให้เพื่อนร่วมงานทุกคน ทุกจังหวัด ทุกระดับของโครงสร้างโครงการ แล้วชักชวนให้เพื่อนๆเขียนบ้าง ไม่มีใครเขียนครับ ยกเว้นบันทึกของเราไปกระทบอะไรเขาเข้า ท่านผู้นั้นก็จะเขียนอธิบายหรือตอบโต้ทันที

วันหนึ่ง “น้องกาเหว่า”ที่กำลังเรียนปริญญาเอกที่ มข.ในช่วงนั้นมาบอกผมว่า หนูอ่านบันทึกของพี่ทุกฉบับจากเพื่อนสนิทหนูที่ทำงานในโครงการนี้ หนูเป็นสมาชิก Go To Know (G2K) อยากแนะนำให้พี่ไปเขียนลงในนั้นด้วย… ผมไม่รู้จัก G2K ไม่รู้จัก Blog จึงเข้าไปดู เลยสนใจและเข้าไปเรียนรู้สิ่งที่เรียกว่า Blog และตระเวนไปทั่วในโลกสังคม Cyber แต่ก็มาสนใจ G2K จึงสมัคร และเขียนไปลงโดยใช้แนว ประสบการณ์งานในสนามที่ทำอยู่ ในลักษณะเรื่องเล่า จึงตั้งชื่อว่า “เรื่องเล่าจากดงหลวง”

เขียนได้พักหนึ่งก็ชวน “คุณเปลี่ยน” เพื่อนร่วมงานไปเขียนด้วย ซึ่งเข้าตาเปลี่ยนทันที ผมสนุกมาก เพราะชีวิตที่ไม่ได้อยู่กับครอบครัว เพราะต้องไปทำงานที่มุกดาหาร เย็นวันศุกร์ถึงกลับบ้านขอนแก่น เช้าวันจันทร์ไปมุกดาหาร หลังเลิกงานผมไม่เที่ยว ไม่ดื่ม จึงมีเวลากับ Blog เขียนทุกวัน บางวันหลายบันทึกจนได้รับรางวัลสุดคะนึง ได้เสื้อมาตัวหนึ่ง ยังใส่หล่อจนทุกวันนี้ครับ

แนวการเขียนหลักคือ ประสบการณ์ แนวคิดในงานพัฒนาชุมชน รวมไปถึงหลักการหรือทฤษฎีในเรื่องนี้ด้วย อีกประการหนึ่งคือ ใช้บันทึกเป็นเวทีชาวบ้าน ดึงชาวบ้านที่มีผลงาน มีแนวคิดดีดี เอาออกมาให้สังคมรู้จัก… และ ฯลฯ ที่เกี่ยวกับชนบท

ช่วงสิ้นสุดโครงการระยะที่หนึ่งนั้น มีการทำประเมินผลโดยชาวญี่ปุ่น ซึ่งผู้ประเมินผลครั้งนั้นทราบว่าผมเอาประสบการณ์งานสนามไปเขียนใน G2K จึงขอตัวอย่างไปศึกษา เมื่อโครงการมีการดำเนินงานระยะที่ 2 ผมได้รับการเสนอให้รับผิดชอบ KM expert ในโครงการอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งผมก็วางแผนจัดทำ web Portal ของโครงการขึ้น โดนผมขอคำแนะนำจากดร. ธวัชชัย ปิยะวัฒน์ และทีมงานของท่านใน G2K ผมอบรมเจ้าหน้าที่โครงการ และดันเต็มที่ให้โครงการยกระดับการทำงานโดยใช้ portal.in.th เป็นอีกเวทีหนึ่งในการแลกเปลี่ยนความเห็น ติดตามงาน เรียนรู้งานของกันและกัน…ฯลฯ

ผมล้มเหลวครับ มีแต่ผมทำคนเดียว เพื่อนๆในจังหวัดอื่นๆอีกสามแห่งไม่สนใจจะทำ งานชิ้นนี้ยังจอด เกยตื้นอยู่ใน portal.in.th ครับ และโครงการจบสิ้นไปแล้ว

ผมย้ายตามหมู่มาที่ Lanpanya ก็มาเปิด “ลานดงหลวง” และมาเขียนที่นี่อีกจำนวนไม่น้อย

เมื่อใกล้ปิดโครงการท่านผู้บริหารสูงสุดของโครงการคือ ดร.วีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ เลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดิน ท่านสนใจเรื่องการสรุปบทเรียน และการจัดพิมพ์ประสบการณ์งานของโครงการ ท่านเรียกผมไปพบและสอบถามงานเขียนบันทึกของผม ว่าท่านสนใจจะพิจารณาจัดพิมพ์.. ผมจึงรวบรวมบันทึกทั้งหมดมาคัดเลือก และจัดหมวดหมู่ ตรวจสอบทั้งหมด แล้วจัดทำรูปเล่มให้ท่าน ตั้งแต่กลางปี 2554 แล้วก็ลืมไปแล้ว เพราะไม่ได้ข่าวอีกเลย ผมเดาว่าท่านงานยุ่งและหรือท่านลืมไปแล้ว..

เมื่อเช้านี้ขณะที่ผมปฏิบัติงานที่เมืองหงสา แขวงไชยบุรี ประเทศลาว ท่านโทรไปหาผมแล้วกล่าวว่าให้ส่งไฟล์เอกสารเรื่องเล่าจากดงหลวงให้ท่านด่วน ท่านจะจัดพิมพ์ให้…..

เรื่องเล่าจากดงหลวงนั้นเป็นเรื่องยาวผมแยกเป็นสองฉบับ โดยจัดระบบเรื่องและหมวดหมู่บันทึกไว้ ขณะเดียวกันท่านเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดินยังกล่าวว่า สมัยที่จะสิ้นสุดโครงการนั้นผมได้เขียนรายงายพิเศษขึ้นมาหลายฉบับ ท่านสนใจจะจัดพิมพ์ฉบับเรื่อง “ระบบนิเวศเกษตรวัฒนธรรมเชิงเขาแบบดงหลวง” ด้วยจึงให้ผมจัดส่งให้ด้วย….

ขอบคุณท่านเลขาธิการสำนักงานการปฏิรูปที่ดิน ท่าน ดร.วีระชัย นาควิบูลย์วงศ์ ที่ให้ความสำคัญต่อบันทึกประสบการณ์ เรื่องเล่าจากดงหลวง และ เรื่อง “ระบบนิเวศเกษตรวัฒนธรรมเชิงเขาแบบดงหลวง”

ขอขอบคุณทุกท่านที่ G2K ที่เปิดเวทีให้ผมได้เขียนบันทึกไว้ที่นี่ และทุกท่านที่ portal.in.th

ขอขอบคุณ Lanpanya.com ที่ทำให้ผมมีเวทีต่อเนื่อง

ขอบคุณเพื่อนฝูงทุกท่านที่มีส่วนช่วยในการแลกเปลี่ยนกันตลอดมา



Main: 0.065767049789429 sec
Sidebar: 0.049743890762329 sec