ประวัติศาสตร์ไทย Myanmar version

โดย bangsai เมื่อ เมษายน 9, 2012 เวลา 22:05 ในหมวดหมู่ สังคม บ้านเมือง ประชาธิปไตย, อาเซี่ยน, เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 4034

ผมได้รับโปรแกรมท่องเที่ยวจากบริษัททัวร์ว่าจะต้องกลับเร็วขึ้นครึ่งวัน เพราะไม่มีตั๋วเครื่องบินมากเพียงพอสำหรับกลุ่มทัวร์ของเรา ซึ่งเรามี 10 คนหากไปเฉพาะกลุ่มราคาก็จะแพงขึ้น แต่หากจะรวมกับกลุ่มอื่นราคาถูกลง เราจึงขอรวมกับกลุ่มอื่นรวมทั้งสิ้น 29 คน มีเด็กเล็ก 2 คน ผู้สูงอายุ 2 คนก็กำลังพอดี


พัก เที่ยว กิน: เขาจัดที่พักในเมืองย่างกุ้งให้ที่ Kandawgyi Hotel ซึ่งเป็นโรงแรมชั้นหนึ่ง ติดทะเลสาบ Kandawgyi กลางเมืองย่างกุ้ง มีความสะดวกสบายมากเทียบเท่าโรงแรมชั้นหนึ่งเมืองไทย เป็นไม้สักทั้งหลัง เขาเขียนโฆษณาว่า The Golden Teak Hotel on the Royal Lake สวยงามมาก มีต้นไม้ครึ้มเหมือนสวนป่าเลย เจ้าของเดิมคือคนไทย ต่อมาขายให้มหาเศรษฐีชาวพม่าลูกเขยท่านนายพลคนหนึ่ง โจเล่าว่ามหาเศรษฐีคนนี้ทักษิณอย่ามาเทียบ ไม่ค่อยเปิดเผยตัว ไม่เป็นข่าว และไม่ให้ข่าว แต่ก็มีนักข่าวรู้นิสัย ดักคอจนได้ข่าว เขาบอกว่าเงินในกระเป๋าเขานั้นจะซื้อมหานครนิวยอร์กได้ เงินบวกอำนาจอะไรจะเกิดขึ้นครับ….

ที่สำคัญตรงข้ามกับโรงแรมนี้ อีกฝั่งหนึ่งเป็นบ้านของนาง อองซาน ซู จี ที่เธอถูกกักบริเวณที่บ้านหลังนี้เป็นเวลานับสิบปี และที่มีข่าวว่านักข่าวตะวันตกกล้าหาญว่ายน้ำข้ามบึงแห่งนี้เพื่อเข้าไปพบเธอ ปกติ ทัวร์ต่างๆจะหลีกเลี่ยงผ่านหน้าบ้านเธอและห้ามเด็ดขาดที่จะถ่ายรูปบ้านพัก ไกด์โจของเราปรึกษากับคนขับรถว่า ครั้งนี้เราจะขับรถผ่านบ้านของเธอแต่ห้ามถ่ายรูป ทั้งนี้การเมืองคลี่คลายไปมากแล้ว แต่ก็ยังเกรงทหาร ยังไม่มีการประกาศเป็นทางการเรื่องการเปิดฟรีสำหรับการผ่านหน้าบ้านและถ่ายรูปบ้านของนาง ซึ่งปกติจะมีทหารเป็นยามเฝ้าหน้าบ้านตลอดเวลา ช่วงที่เราผ่านไปนั้นไม่เห็นมีด่านทหารแล้ว…



ภัตตาคารการเวกใน Kandawgyi Lake และนกวายุภักษ์ สัญลักษณ์ของธนาคารกรุงไทย

(ข้อมูลจาก อินเตอร์เนท)

ด้านขวาของบึงนี้จะมีภัตตาคารใหญ่มากๆ สวยงามมาก ชื่อ ภัตตาคารการเวก มีการแสดงศิลปะร่ายรำของเมียนมา และอาหารเป็นแบบบุฟเฟต์ นกการเวก นี่ก็คือสัญลักษณ์วายุภักษ์ ที่เป็นสัญลักษณ์ของธนาคารกรุงไทยของเรา เรามีวัฒนธรรม ความเชื่ออันเดียวกันหรือใกล้เคียงกันมาก

ประวัติศาสตร์ไทย เวอร์ชันเมียนมา: สถานที่ท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับศาสนา คือวัด เจดีย์ พระรูป พระในปางต่างๆ ซึ่งมีอยู่มากมาย ทางผู้จัดก็คัดสรรค์ที่มีความสวยงาม ยิ่งใหญ่มีชื่อเสียงและมีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์การสร้างชาติ และหลายแห่งก็เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ประเทศไทยเรา

ความน่าสนใจคือ ประวัติศาสตร์ของเขาจะแตกต่างจากของเราอย่างไร…???

โจ มัคคุเทสก์ของเรานั้นช่างฉลาดและความรู้เยี่ยมจริงๆ เพื่อนร่วมคณะของเรานั่งหน้าผมถือหนังสือท่องเที่ยวไปด้วย ผมถามเขาว่า สิ่งที่โจเล่าให้เราฟังตลอดเวลานั้นละเอียดแตกต่างจากที่หนังสือแนะนำแหล่งท่องเที่ยวหรือไม่ เขาบอกว่า โจเล่าละเอียดกว่ามากมายนัก… โจกล่าวว่าประวัติศาสตร์ของไทยกับของเมียนมานั้นหลายช่วงตอนแตกต่างกัน เช่น พระนางสุพรรณกัลยา ในประวัติศาสตร์เมียนมานั้นบันทึกไว้เป็นพระพี่เลี้ยงขององค์พระสมเด็จพระนเรศวรเท่านั้น มิได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าบุเรงนองแต่อย่างใด กรณีปืนข้ามแม่น้ำสโตงที่ยิงแม่ทัพเมียนมาเสียชีวิตที่ริมแม่น้ำนั้น ทางพม่าไม่มีการบันทึกไว้และไม่มีหลักฐานรองรับเรื่องนี้ ตลอดจนทองที่ปิด หุ้มองค์พระเจดีย์ชเวดากองนั้นนักท่องเที่ยวต่างกล่าวว่าเอามาจากการเผากรุงศรีอยุธยานั้น โจกล่าวว่า การกล่าวเช่นนั้นเป็นแค่การคาดเดาเท่านั้น หากเข้าใจประวัติศาสตร์การก่อสร้างเจดีย์ชเวดากองจะเข้าใจว่า ไม่มีทางที่ทองจากอยุธยาจะมาหุ้มองค์พระเจดีย์องค์ที่สำคัญที่สุดนี้…

จากการรับฟัง โจเป็นคนฉลาดมากที่รู้จักใช้คำ ใช้ภาษาที่ระมัดระวังความรู้สึกของคนไทย เขาใช้คำที่ถนอมน้ำใจมาก ตรงข้ามส่วนใดที่จะยกย่องส่งเสริมองค์พระมหากษัตริย์ไทยก็จะกล่าวอย่างจริงจัง โดยเฉพาะสมเด็จพระศรีสุริโยทัย โจกล่าวว่าการศึกครั้งนั้นที่สมเด็จพระสุริโยทัยสิ้นพระชนม์นั้น ได้เผยผมสตรีออกมา คู่ต่อกรคือพระเจ้าแปร ที่มากับพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ทำศึกอยุธยาครั้งที่หนึ่ง ทรงทราบว่าคู่ต่อสู้นั้นมิใช่ชาย แต่เป็นสตรี ถึงกับทรงประกาศวาวมือทำศึก เพราะเคยสาบาลกับพระอาจารย์ท่านไว้ว่าจะไม่ทำร้ายสตรี แต่สมเด็จพระศรีสุริโยทัยทรงปลอมตัวมาเป็นชายทรงขี่คอช้างและกล้าหาญทำศึกกับพระเจ้าตะเบงชะเวตี้เยี่ยงอย่างชาย ประวัติศาสตร์เมียนมายกย่องสตรีสูงศักดิ์ของไทยพระองค์นี้ยิ่งนัก


(ภาพจากอินเตอร์เนท)

การเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สองนั้น โจอธิบายว่า สาเหตุเป็นเพราะการยุแหย่ของโปรตุเกสในกรุงศรีอยุธยาที่ต้องการให้เกิดสงคราม เขาจะได้ขายปืนใหญ่ ให้กษัตริย์กรุงศรีอยุธยา ความย่อๆคือ กษัตริย์ในสมัยโบราณนั้นชอบสะสมช้างเผือกคู่บารมี เมื่อพระเจ้าบุเรงนองทราบว่าที่กรุงศรีอยุธยามีช้างเผือกหลายช้าง จึงแต่งทูตไปขอ แต่ความจริงมีช้างเผือกช้างเดียวกษัตริย์กรุงศรีอยุธยาจึงไม่ทรงมอบให้พร้อมอธิบาย แต่ระหว่างทางคณะทูตเดินทางกลับหงสาวดี โปรตุเกสไปยุแหย่ให้ราชทูตไปทูลบุเรงนองว่ามีช้างเผือกหลายตัวไม่ให้และถูกทำร้ายกลับมาด้วย โดยโปรตุเกสมอบเงินทองสินทรัพย์ให้คณะราชทูตเหล่านั้นมากมาย นี่คือต้นเหตุสงคราม เพราะกษัตริย์เมียนมาก็แต่งทัพหลายทางมาตีกรุงศรีอยุธยาจนแตก ไกด์โจ อธิบายเรื่องนี้อย่างละเอียด พระเจ้าบุเรงนองทราบความจริงภายหลังจึงจับตัวคณะทูตชุดนั้นประหารชีวิต (จริงเท็จอย่างไร เป็นเรื่องที่นักประวัติศาสตร์ต้องสะสางกันต่อไป)

จากการสังเกตของผมนั้น โจ จะ Sensitive มากๆกับชนชาติที่มาเอาเปรียบ ไม่ว่า อังกฤษ โปรตุเกส อเมริกา ญี่ปุ่น ทุกครั้งที่เขากล่าวถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ที่เมียนมาชอกช้ำจากประเทศเหล่านั้น ดูเขาจริงจัง และพูดจาหนักแน่นมากๆ

แหม..คนรักชาติ รักประชาธิปไตยนั้นยอมไม่ได้หรอกครับ แม้ชีวิตก็มอบให้ได้..

« « Prev : ไปเที่ยวพม่ามา

Next : ความรู้สึกความเป็นอาเซียน » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

5 ความคิดเห็น

  • #1 Logos ให้ความคิดเห็นเมื่อ 9 เมษายน 2012 เวลา 23:42

    เลิกกินฝอยทอง (ของหวานโปรตุเกส) ธรรมดาก็ไม่กินอยู่แล้วครับ

  • #2 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 เมษายน 2012 เวลา 10:35

    บาทีผมก็ตั้งคำถามกับตัวเองว่า เราจะเอาประวัติศาสตร์มาใช้ในรูปแบบไหน สาระไหนกันบ้าง เป็นบทเรียนเพื่อเข้าใจประเทศนั้นๆที่สมัยหนึ่งเขามาทำกับเราไว้อย่างไรบ้าง อย่าให้เกิดขึ้นอีก การใช้ประวัติศาสตร์มาเพื่อ “เอาคืน” โลกนี้คงวุ่นวาย แต่ไม่ตระหนักก็ดูจะปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นไร้ความหมายไป

    ผมจำได้ว่าสมัยที่ผมทำงานกับโครงการ ฟื้นฟูกลุ่มป่าห้วยขาแข้ง โดยได้รับทุนจาก DANCED ซึ่งประเทศเดนมาร์คเป็นผู้ให้ Fund ครั้งหนึ่งผู้เชี่ยวชาญเขามาเยี่ยมชมโครงการก่อนที่กษัตริย์เดนมาร์คจะเสด็จ เพื่อมาเตรียมงาน ผมมีโอกาสต้อนรับและพาชมโครงการและเข้าร่วมการเตรียมงานที่ห้วยขาแข้ง ตอนหนึ่งผมกล่าวกับผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นว่า อดีตป่าไม้เราเสียหายไปมากเพราะประเทศของคุณนั่นแหละมาตัดไม้ของเราไปจนสิ้น ป่าที่เห็นเป็นป่าที่สองที่สามแล้ว ผู้เชี่ยวชาญท่านนั้นทราบเรื่องเหล่านี้ดีเพราะแต่ละคนที่จะเข้ามาต้องศึกษาประวัติศาสตร์ และการสนับสนุนโครงการ ก็เป็นส่วนหนึ่งของการ กลับมาสนับสนุนการฟื้นฟูป่า หลังจากการกล่าวของผมนั้น ผู้เชี่ยวชาญท่านนี้ยกมือไหว้พวกเราที่เป็นคนไทยและเขากล่าวคำไทยว่า “ขอโทษครับ” ผมว่าเป็นสำนึกบางอย่างที่เขาแสดงออกมา และเราเองก็รู้สึกให้อภัยเขา และชื่นชมเขาที่แสดงความรู้สึกเช่นนั้นออกมากับเรา แม้เป็นคนทำานในสนามมิใช่ผู้บริหารระดับสูง

    สำนึกแบบนี้และการกระทำแบบนี้ควรเกิดขึ้นในปัจจุบันต่อเหตุการณ์ต่างๆในอดีต ในระหว่างอาเซี่ยนด้วยกัน ผมคิดว่าน่าจะเป็นการสร้างบรรยากาศแห่ง “ก้าวใหม่อาเซียน” ด้วยซ้ำไป (เดี๋ยวจะสำเนาไปอีกบันทึกด้วยครับ)

  • #3 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 10 เมษายน 2012 เวลา 21:01

    ความรู้สึกของผมเหมือน Putarn เลยครับ ก็อาวุธมันขายยากและมีคู่แข่งเยอะ จึงมีค่านายหน้าสูงมาก อิอิ อิอิ คนที่อยู่ในวงการนี้จึงจ้าง ล๊อบบี้ยีส แอ่มแอ่มมากไปแล้วเน๊าะ….

  • #4 withwit ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 เมษายน 2012 เวลา 16:20

    พม่าไม่ทำร้ายสตรี แล้วหงัยจับอองซานซุจีขังไว้ ๑๗ ปี ธ่อ บักม่านเอ๊ย
    ฆ่า ข่มขืน หญิงไทใหญ่ก็มาก เพื่อให้มีลูกเป็นลูกครึ่งพม่า (ฟังมาจากไกด์ไทใหญ่ครับ)

  • #5 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 12 เมษายน 2012 เวลา 17:00

    ฟังหูไว้หูครับอาจารย์ ผมถึงว่า โจ เป็นคนฉลาดพูดครับ และการเล่าประวัติศาสตร์เมียนมามาทั้งหมดนั้น เราก็รับฟัง ส่วนข้อเท็จจริงนั้นต้องให้นักประวัติศาสตร์แท้จริงพูด แต่การทำธุรกิจการท่องเที่ยวที่จะดึงคนไทยเข้าประเทศมากขึ้นนั้น หากพูดเชิงลบ ก็เสียหาย พูดเชิงบวกไว้ก็ได้ทั้งสองด้าน การกล่าวเช่นนั้นเป็นข้อมูลเชิงประวัติศาสตร์ของนักรบท่านนั้น ส่วนท่านอื่นๆอาจจะตรงข้ามก็เป็นได้ ความหมายไม่ใช่พม่าทุกคนเป็นเช่นนั้นนะครับ

    แรงงานพม่ามาข่มขืนคนไทยก็เคยได้ยินครับ


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.80541896820068 sec
Sidebar: 0.37031698226929 sec