น่าเสียดาย
อ่าน: 1973น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ
น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง
น่าเสียดาย ที่เรามีพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ
แต่เรากลับศรัทธาไสยศาสตร์หัวปักหัวปำ
น่าเสียดาย ที่เรามีพระมหากษัตริย์ที่แสนดี
แต่เรากลับมีคนโกงกินเต็มบ้านเต็มเมือง
เพิ่งมีเวลาอ่านเมล์ที่เพื่อนส่งมาให้ แล้วเกิดไม่อยากขำก๊ากๆ อยู่คนเดียว
เลยนำมาแบ่งกันขำค่ะ (^_^)
เข้าใจว่าคงเป็นกระทู้แหย่กันเล่นมังคะ
จาก Fwd ใน board pantip …
ก่อนอื่นดิฉันขอสาบานว่าสิ่งที่ดิฉันพูดเป็นความจริงค่ะ
ดิฉันอายุ 25 ปีค่ะ ความสูง 170 ซม. น้ำหนัก 50 กิโล สัดส่วน 34-24-36
ผมยาว หน้าตาจัดว่าสวยมาก เซ็กซี่ มีรสนิยม
ดิฉันอยากจะแต่งงานกับผู้ชายรายได้สักสองแสนบาทอัพต่อเดือนสักคน
หลังจากขอบคุณคุณรอกอดตอนกระโดดลงจากรถ และกอดกันกลมกับป๋าจุ๋มจนฉ่ำใจแล้ว ก็บึ่งรถไปเคลียร์งานที่ทำงานเพื่อจะได้กลับสุราษฎร์ธานีอย่างโล่งใจเกือบ 1 เดือน (น่าจะกลับมา กทม. ทันงานรพีเสวนา่ 3 พ.ค.)
ฝนตกฟ้าร้องอย่างหนักอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ถนนน้ำท่วมขังตลอดทาง เปียกปอนเพราะเอารถไปเติมน้ำมันและแก๊สให้พร้อมกับการเดินทางไกลพรุ่งนี้ และเปียกอย่างสมบูรณ์แบบอีกทีตอนวิ่งไปเปิดประตูรั้วบ้าน
แต่ทำไมแอบสะใจเล็ก ๆ กับสายฝนที่กระหน่ำลงมาคราวนี้ ก็ไม่รู้ค่ะ อิอิ
หลากหลายความรู้สึกปะปนกันอย่างบอกไม่ถูก เมื่อต้องเข้าไปในสถานที่คุมขัง ที่ชัดสุดคือความหดหู่ใจ
ทั้ง ๆ ที่พยายามทำความเข้าใจทั้งเหตุและ ความจำเป็นเรื่องกติกาที่สังคมต้องมีไว้กำกับและควบคุมพฤติกรรมของสมาชิกในสังคมแล้วก็ตาม ก็ยังอดไม่ได้ที่จะฟุ้งไปกับความสงสาร ไม่อยากให้มีคนทำสังคมวุ่นวาย จะได้ไม่ต้องมีสถานที่แบบนี้ไว้คุมขังคนด้วยกัน
เพราะถูกท่านประธานกรรมการบริหารขอร้องแกมบังคับมาตามสายโทรศัพท์จากอเมริกา จึงต้องไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน 7 วัน 6 คืน หลักสูตรการพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดปัญญาและสันติสุข ณ วัดผาณิตาราม จังหวัดฉะเชิงเทรา ในวันที่ 18 - 24 มีนาคม 2546 แทนท่าน
การเดินจงกรม ด้วยการกำหนดทุกอริยาบถที่ร่างกายทำ แล้วให้ระลึกรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แรก ๆ ให้ส่งเสียงเลยว่านี่กำลังก้าวนะ นี่กำลังยกนะ หลัง ๆ ก็ห้ามพูด ให้กำหนดเงียบ ๆ อยู่ในใจ
ครูปูทำไม่ได้ค่ะ
ตรวจงานคนงานก่อสร้าง เดินเคาะพื้นกระเบื้องเพื่อรับงาน จนได้ฉายาว่าเป็น VBAC รุ่นเคาะกระเบื้อง
ช่วงก่อนสอบ Entrance นั่งปรึกษาตัวเองพร้อมตัดสินใจว่า อย่าเรียนต่อเลยนะเรา สงสารแม่ น้อง ๆ ยังเล็ก ให้น้องเรียนแทนดีกว่า คิดไม่ออกหรอกว่าจะไปทำมาหากินอะไร รู้แต่ว่าถ้าเราไม่เรียนสักคน แม่คงประหยัดสตางค์ได้โขอยู่
อยู่ดี ๆ เหมือนฟ้าผ่า เช้าตี 5 วันหนึ่ง แม่ขึ้นมาปลุกที่ห้องบอก “พ่อมาหา”
แม่ผู้หญิงเรียนน้อยแต่มักมีความคิดทันสมัยอยู่เสมอ ไม่ใช้วิธีเลี้ยงลูกแบบรุนแรงแบบที่คนแถวนั้นมักใช้กัน ไม่ตี ไม่บ่น ไม่เคยด่าว่า ไม่มีการตวาดออกอารมณ์ เมื่อมีคนถามว่า ทำไมไม่ตีลูกบ้าง แม่กับยายจะตอบว่า
“ไม่อยากตีมันหรอก ไอ้เรามันคนโมโหร้าย ตีแล้วก็จะตายเปล่า ๆ”
ครูปูได้ยินทีไร แอบหัวเราะคิก ๆ อยู่ในใจทุกที รู้แล้วว่าเราได้เชื้อโม้มาจากใคร
เขาเล่ากันว่า… พ่อเป็นเจ้าของธุรกิจเย็บผ้าที่ใหญ่ที่สุดในสัตหีบ รับเย็บเครื่องแบบทหารส่งฐานทัพเรือ รวมทั้งเย็บส่งเรือรบอเมริกันที่มาเทียบท่าที่ฐานทัพเรือสัตหีบด้วย ใคร ๆ มักบอกว่า พ่อเป็นคนดี ขยันทำมาหากิน ซื่อสัตย์ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ จิตใจดี พูดเพราะ ใจคอกว้างขวาง และเป็นช่างตัดเย็บที่มีฝีมือ พ่อทำงานหนัก หามาได้เท่าไหร่เลี้ยงพ่อแม่ดูแลญาติ ๆ ทุกคน เพื่อนฝูงตกทุกข์ได้ยากมาจากไหนพ่อรับไว้หมด
การเดินทางไปสวนป่ามหาชีวาลัยอีสานครั้งแรกของชีวิต ได้ “สัมผัส” ทั้งเกลียวความรู้ และเกลียวความรู้สึกตลอดเวลา จนต้องตัดสินใจวางกล้องและปากกาลง แล้วใช้ใจสัมผัสแทน (ขอบคุณรูปบางส่วนจาก คุณ Logos และน้อง อ.ขจิต ค่ะ)
ได้คลุกวงในกับคนที่ “กอดกับความคัน” อยู่ตลอดเวลา
จนพลอยทำให้ใครต่อใคร
ต้องปีนป่ายตะกายยอดความรู้ตามกันมาเป็นทิวแถว
แถมชี้ให้อีกแนะ ว่าตัวเองน่ะ
ระดับนางสาวไทย อย่าเอามาใช้ไม่ถูกเรื่อง
^_^