เจ้าเป็นไผ (ฟ้ายังมีฝน)
ช่วงก่อนสอบ Entrance นั่งปรึกษาตัวเองพร้อมตัดสินใจว่า อย่าเรียนต่อเลยนะเรา สงสารแม่ น้อง ๆ ยังเล็ก ให้น้องเรียนแทนดีกว่า คิดไม่ออกหรอกว่าจะไปทำมาหากินอะไร รู้แต่ว่าถ้าเราไม่เรียนสักคน แม่คงประหยัดสตางค์ได้โขอยู่
อยู่ดี ๆ เหมือนฟ้าผ่า เช้าตี 5 วันหนึ่ง แม่ขึ้นมาปลุกที่ห้องบอก “พ่อมาหา”
ลงมาเจอหน้าแล้วก็ยังงง ๆ จำได้ว่าพ่อกอดและร้องไห้นานมาก ทุกคนที่เห็นก็มามุงดูกันใหญ่ แล้วพากันน้ำตาไหลตามพ่อไปด้วย ตอนนั้นครูปูคงช็อคนึกไม่ออกว่ารู้สึกอย่างไร หรือควรจะพูดอะไรกับพ่อบ้าง
ได้แต่นั่งอยู่ในอ้อมกอดพ่อ ฟังประสบการณ์ที่พ่อเสียผู้เสียคนตอนแม่ทิ้งมา ออกตระเวนตามหาลูกทั่วไปหมด สุราษฎร์ธานีก็มา มาหลายรอบด้วย แต่ไม่รู้ว่าอยู่ตรงนี้
แม่ขนเงินออกมาด้วยจนเกลี้ยงบัญชี พ่อไม่มีแก่ใจจะทำธุรกิจต่อ เพราะมัวแต่ออกตามหาลูก กลับไปอีกทีทางบ้านย่ำแย่ จึงต้องใช้เส้นสายของฝรั่งที่รู้จักกันไปทำงานที่ฮาวาย พอจะเก็บเงินได้บ้างแล้ว และมีคนเขียนจดหมายไปบอกว่าเจอลูกตัวเองอยู่ที่นี่กับครอบครัวนี้ พ่อจึงกลับมา
เช้านั้นพ่อขอร้องให้ไปโรงเรียนสายหน่อย แล้วพาไปซื้อทองใส่ทุกรยางค์ของร่างกายที่ครูปูมี กลับบ้านมาตัวเหลืองอ๋อยช่ะ ถอดทั้งหมดยกให้แม่ทันที เพราะแต่ละเส้นใหญ่ยังกะทับทรวงลิเกแนะค่ะ
พ่อนอนด้วยอยู่สองคืนแล้วจึงกลับไปเคลียร์ธุระที่สัตหีบเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับฮาวาย ยังไม่ลืมที่จะมอบเงินเก็บไว้ให้แม่ก้อนหนึ่ง พร้อมค่าใช้จ่ายสำรองสำหรับการเรียนต่อของครูปู
ช่วงที่สอบ Entrance ติด ไปเรียนที่สงขลา พ่อเขียนจดหมายจากฮาวายมาหาแทบทุกวัน
พ่อเป็นคนที่สอนให้เด็กบ้านนอก ที่แก่นแก้วแบบครูปูกล้าพูดแสดงความรู้สึก โดยเฉพาะคำว่า “รัก”
เพราะพ่อจะแทรกคำนี้อยู่ทุกบรรทัด
“พ่อรักลูกนะ พ่อทำเพื่อลูกนะ ลูกคือดวงใจของพ่อนะ”
เราก็ว่าเราโตมาแบบอบอุ่นพอแล้วนะ แต่พอพ่อเติมเต็มความรู้สึกนี้ให้ก็ยิ่งทำให้ค่อย ๆ เย็น ค่อย ๆ นิ่ง เหมือนอุ่นใจ เหมือนมั่นใจ เหมือนมีวงแบ็คอัพที่ไว้ใจได้บรรเลงอยู่ข้างหลังตลอดเวลา
รู้สึกดีทุกครั้งที่ได้อ่านจดหมายของพ่อ
และเฝ้ารอไปรษณีย์ทุกวัน จึงได้หัดเขียนจดหมายยาว ๆ เพราะพ่อขอร้อง เนื่องจากอยู่ที่นั่นพ่อเหงามาก จดหมายแต่ละฉบับที่ส่งไปพ่อบอกว่าเอามาอ่านวนซ้ำไปมาหลายรอบมากกว่าฉบับใหม่จะไปถึง
แต่ละปีที่พ่อกลับมาพ่อจะเดินดุ่ย ๆ เข้ามาในมหาวิทยาลัย หอบของพะรุงพะรังตามแต่ที่พ่อจะคิดได้ว่าเด็กวัยนี้คงจะชอบ
ทุกคนในมหาวิทยาลัยพอเห็นตาลุงคนนี้เดินเข้ามาต่างพร้อมใจพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า
พ่อเจ้าปูแง๋ ๆ ถ้าจับลุงแกใส่วิก คงเป็นเจ้าปูดี ๆ นี่เอง อิอิ
ตอนพ่อไปอยู่ฮาวาย ก็ไว้ใจน้องสาวให้ดูแลเงินในบัญชีให้และมอบหมายให้เป็นคนโอนเงินมาให้ครูปูเป็นค่าใช้จ่ายทุกเดือน มารู้ภายหลังว่าน้องสาวไม่ซื่อ มีเทคนิคโยกโย้โกหกต่าง ๆ นานา และเห็นครูปูไม่คอยพูดก็เลยมักไม่โอนสตังค์ให้
ไม่โอนก็บอกโอน พอพ่อถามก็บอกลืม แล้วโทษเราว่าทำไมมันไม่โทรมาทวงล่ะ เป็นอย่างนี้เรื่อยมา
พ่อเคยตั้งสมมติฐานว่าอาจเป็นเพราะอากับหลานไม่สนิทกัน เลยขอร้องให้ครูปูนั่งรถไปสัตหีบ
“ไปลองพักกับอาเค้าซักคืนนึงนะลูก พี่ ๆ เค้าก็น่ารักนิสัยดีน้า” ”ได้ค่ะพ่อ”
คืนนั้นจึงได้นอนดมฝุ่นในห้องเก็บของที่ร้านของอา
ไม่มีแม้แต่หมอนสักใบผ้าห่มซักผืนให้ ปิดไฟมืดตื๋อ ปล่อยเรานั่งกลัวผีตาแป๋วอยู่จนรุ่งเช้า พออาตื่นก็ยกมือสวัสดีลากลับ
เมื่อรู้แล้วว่าอาเป็นแบบนี้ก็วางแผนทันที เลิกกินข้าวแกงหรืออาหารตามสั่งเป็นจาน ๆ หันมาซื้อบะหมี่เส้นขาว ๆ ยี่ห้อโคคา ตอนนั้นเป็นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ราคาถูกที่สุดแล้ว ซองละ 3 บาท ยิ่งถ้าซื้อยกลังก็จะเหลือแค่ 2 บาทนิด ๆ
ไม่โอนก็ไม่ว่ากัน ฉันจะเอาตัวรอดให้ได้ หนักเข้าก็กินแค่ 2 มื้อ เฉพาะเช้ากับกลางวัน ปากยังมีแรงโม้กับเพื่อนอีกนะ “มื้อเย็นงดเฟ้ย ไดเอ็ตๆ”
จริง ๆ กลัวบะหมี่หมดไม่ถึงสิ้นเดือนมากกว่าค่ะ
พ่อเพิ่งจะมารู้เรื่องเอาตอนหลังที่พบว่าอายักยอกเงินพ่อไปเกือบหมด จนพ่อเกือบหมดตัวรอบสอง
วันหนึ่งรู้สึกจิตตกแย่แล้ว หยอดตู้โทรศัพท์โทรกลับบ้าน ไม่รู้อะไรทำให้เริ่มพูดกับแม่ด้วยคำหวาน ๆ เป็นครั้งแรกในชีวิตว่า
“ปูคิดถึงแม่นะ”
แล้วรีบวางหูวิ่งกลับไปนอนร้องไห้คนเดียวที่หอพักทั้งคืน
รุ่งขึ้นแม่โอนสตังค์เข้าบัญชีทันทีทั้งที่ก็ไม่ค่อยมี พร้อมได้รับจดหมายลายมือโบราณจากยายอีก 2-3 วันต่อมาว่า
“ยายเป็นห่วงมากรักษาตัวด้วย อยู่ไม่ได้ก็ไม่ต้องไปอยู่ กลับบ้านเรา”
ความที่ได้ชื่อว่าเป็นคนใต้ แต่ดันพูดใต้ไม่ได้ เพราะยายกับแม่เป็นคนเพชรบุรีที่ย้ายมาอยู่ใต้จึงสร้างรอยแยกกับเพื่อน ๆ ได้พอสมควร เป็นทั้งนักแบดมินตันของมหาวิทยาลัย ตระเวนไปแข่งที่นู่นที่นี่ เหมือนจะเด่นดังอยู่ตลอด แล้วดันทะลึ่งเรียนดี นำโด่งเข้าไปอีก
ใครจะติวจะสอบต้องคลานมาบ้านเราบ้านเดียว ทำตัวเปิ๊ดสะก๊าด ครองตำแหน่งเจ้าแม่กิจกรรม ขลุกอยู่แต่กับพวกพี่ ๆ องค์การนักศึกษาตลอดเวลา เพื่อน ๆ ก็ยิ่งตั้งแง่เข้าไปใหญ่ว่ายายนี่เด็กเส้นพี่องค์การนี่หว่า
ด้วยความไม่เข้าใจจึงเลือกใช้นโยบาย “ช่างมันฉันไม่แคร์”
อีท่าไหนไม่ทราบเกิดจะต้องไปลงทะเบียนเพราะเครดิตไม่ครบอีก 1 หน่วย ปรากฏว่าคณบดีเรียกพบแล้วพูดว่า
“คุณมันคนจองหอง ผมได้ยินเรื่องคุณมานานแล้ว ผมอยากรู้นักถ้าผมไม่ทำเรื่องให้คุณ คุณจะจบมั้ย”
มึนตึ้บเลยค่ะ เพราะยังไม่เคยเรียนหรือคุยกับท่านมาก่อน มาทราบเอาภายหลังว่าท่านเป็นสามีของอาจารย์ที่คณะ และอาจารย์ท่านนี้เองที่ครูปูทำเรื่องขอดูคะแนนสอบ เนื่องจากเห็นว่าผลการเรียนไม่ยุติธรรม ข้อสอบง่ายมากตรงกับที่เตรียมตัวมาทั้งหมด ออกจากห้องสอบครูปูร่างข้อสอบขึ้นมาเลย 1 ชุดสำหรับให้เพื่อน ๆ เฉลย
ทุกคนบอก ไอ้ปูฟัน A อีกแล้ว
ปรากฏว่าทั้งเอกได้ B หมด มีครูปูคนเดียวที่ได้ C
จำได้ว่าเดินออกมาจากห้องคณบดีท่านนั้นมาเฉย ๆ ไม่ได้พูดไม่ได้เถียง ไม่ได้ถามว่าเรื่องอะไรซักคำ เอาเป็นว่าไม่ให้ลงก็ไม่ลง(วะ) เลยเรียนจบและรับปริญญาช้ากว่าเพื่อน ๆ ไป 1 ปี
ทุกคนต่างกระหน่ำถามกันถึงสาเหตุ แต่ก็ไม่ได้บอกใคร ไม่รู้จะเล่ายังไง เพราะก็ยังไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรไว้มากมายขนาดไหน
เอาเป็นว่าขี้เกียจเล่าไปเลยดีกว่าค่ะ อิอิ
ตอนอยู่ปี 3 ก็ได้รับคัดเลือกจากบริษัท UNOCAL (ประเทศไทย) ให้ไปทำงาน แม้ค่าตอบแทนจะสูงแต่ด้วยความใจร้อนและจองหองทำให้ทะเลาะกับฝรั่งในบริษัทอีก เพราะแอบได้ยินที่เค้านินทาและรวมหัวกันว่าจะแกล้งเราตอนชงกาแฟ ด่าเค้าเสร็จก็เดินฉับ ๆ ออกมาและไม่เคยกลับไปอีกเลย
ตั้งใจจะนอนอยู่กับบ้านให้เข็ด แต่คนนู้นคนนี้ก็มาชวนไปทำนู่นนี่อยู่เรื่อย
มีรุ่นพี่ที่สนิทกันมากคนหนึ่งมาขอให้ช่วยไปสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนช่างขนาดใหญ่ในสงขลา ก็ตอบตกลงเพราะนึกว่าจะช่วยแป๊บเดียว
เงินเดือนและโอทีแทบจะมากกว่าเพื่อนพอทำให้อยู่ได้อย่างสบาย ๆ แต่พอขึ้นปีที่ 4 เกิดนึกเบื่อขึ้นมาเฉย ๆ เพราะรูปแบบของชีวิตครูที่นั่นคือ เด็กเยอะทุกคนจะห่วงแต่เรื่องโอที ไม่มีใครพัฒนาอะไรทั้งนั้น บ่ายสามครูก็ลงเวลาว่าสี่โมงกลับบ้านกันหมด
ด้วยความไฮเปอร์ตกเย็นไม่มีใครอยู่ ครูปูต้องไปหานู่นนี่ทำแก้เซ็ง เดินตระเวนไปตามโรงฝึกของแผนกวิชาต่าง ๆ เพื่อรับข้อสอบหรือใบงานมาบริการพิมพ์ให้ชาวบ้านเขาฟรี เพียงเพราะไม่มีอะไรทำ
จนทำให้เพื่อนครูหลายคนประทับใจ คงคิดว่าเรามีน้ำใจ ที่แท้ก็ไฮเปอร์ อิอิ เลยสมัครเป็นเพื่อนแท้ของครูปูตั้งแต่นั้นจนถึงทุกวันนี้เลยล่ะค่ะ ^_^
ตัดสินใจว่าไม่อยากมีชีวิตการทำงานแบบนี้ไปจนแก่เลยลาออกมาอยู่บ้านสมใจนึกบางลำพู ท่ามกลางความมึนงงของเพื่อนครู และความอาลัยของลูกศิษย์
ต่อด้วยการเป็นอาจารย์โรงเรียนบริหารธุรกิจนานาชาติ Stamford อีก 1 ปี เหตุผลเดียวกันจึงไม่อยากทำต่อ
ก่อนจะย้ายกลับลงใต้ เพื่อน 4 คน ชวนนั่งรถมาเป็นเพื่อนสมัครงาน ปรากฏว่าเจ้าของโรงเรียนที่เพิ่งกลับมาจากอเมริกาเห็นครูปูแล้วเกิดถูกชะตา ท่านบอกว่าเห็นนั่งเมาท์คนนู้นคนนี้ หัวเราะร่าอยู่ตลอดเวลา เลยให้เจ้าหน้าที่มาเชิญไปพบ พอบอกว่าเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษเลยถูกลองของสัมภาษณ์เป็นภาษาอังกฤษอยู่ครึ่งวัน
คุยกันถูกคอจนลุกขึ้นกอดคอจับไม้จับมือกันใหญ่ แล้วบอกว่ารับเข้าทำงานแล้วนะ
ตอบไปว่า “ไม่ได้มาสัมภาษณ์งานค่ะ มาเป็นเพื่อนของเพื่อนเฉย ๆ ค่ะ “
ตั้งแต่นั้นเจ้าของโรงเรียนก็โทรหาตลอด ชวนไปทำบุญไหว้พระ ชวนไปเที่ยวต่างจังหวัด ครูปูก็ไม่เคยไปไหนด้วย
วันหนึ่งเจ้าของโรงเรียนโทรมาหาบอกว่าผู้อำนวยการ(ภรรยา) อยากเจอตัวมาก เพราะท่านไปเล่าให้ฟังทุกวัน ช่วยมาเจอหน้ากันหน่อย ว่าแล้วสองสามีภรรยาจึงขอร้องให้ร่วมงานกัน ในปี 2542 ตั้งแต่อาคารยังสร้างไม่เสร็จจนถึงปัจจุบัน
ด้วยเงื่อนไขอะไรอย่างไรก็ได้ที่ครูปูขอ ได้หมด!
ลืมบอกไปว่า เจ้าเพื่อน 4 คนที่ชวนครูปูมาไม่มีใครได้งานเลยค่ะ แฮ่ ๆ
ด้วยความมุ่งหวังที่จะยกระดับการใช้ภาษาอังกฤษในโรงเรียน เจ้าของโรงเรียน ผู้อำนวยการและครูปูจึงใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารกันตลอดเพื่อสร้างความคุ้นเคยและเป็นการเตรียมความพร้อมให้นักศึกษาสำหรับการพัฒนาหลักสูตรในอนาคต โดยไม่ทันคิดว่าเป็นการข่มบางคนบางกลุ่มโดยไม่ตั้งใจ ก่อให้เกิดความหมั่นไส้และแบ่งกลุ่มว่าครูปูเป็นเด็กเส้น
ประกอบกับเป็นคนตรง โผงผาง ไม่กลัวใคร ไม่ชอบเรื่องไม่ซื่อและขี้สงสาร จึงมักยื่นมือเข้าไปช่วยเด็กแบบตามเช็ดตามล้างทุกจุด จนกว่าจะได้คำตอบหรือแก้ปัญหาให้เขาได้
มักเข้าไปจุ้นจ้านวุ่นวายโดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ไม่สนใจว่างานฝ่ายไหนของใคร บี้ซะหญ้าแพรกแหลกลาญไปหมด
คนไหนรู้ตัวว่าจะต้องมาประสานกับครูปูจะตาลีตาเหลือกเตรียมข้อมูลกันตัวสั่น ทั้ง ๆ ที่แต่แรกก็เป็นเพียงครูผู้สอนธรรมดาคนหนึ่ง เพียงแต่ยายครูคนนี้ ใจร้อน ปากจัดและตรงจนคนหงายหลัง กระหายใคร่รู้เฉพาะความจริงเท่านั้น ความรู้สึกใครจะอย่างไร เสียหน้า ช้า ไม่รู้ ไม่เคยเก็บมาคิดพิจารณา
เรื่องกระทบกระทั่งเกิดขึ้นตลอดเวลาเมื่อครูปูยิ่งตำแหน่งสูงขึ้น ๆ แต่ไม่เคยสร้างความรู้สึกรู้สาอะไรให้เลย ใครแหลมมาได้หงายหลังกลับไปทุกราย แถมได้อายในวงกว้างอีกต่างหาก
ใครต่อใครที่อยากนินทาจึงทำได้แค่ซุบซิบ ๆ พอมีคนมาบอก ครูปูก็จะบอกไปว่า ไม่ต้องมาบอกหรอก เพราะถ้าไม่ได้ยินกับหูตัวเอง ก็ไม่นับ
จะว่าอะไรก็ช่างมัน ทำในสิ่งที่ต้องทำ พอ จบ!
รางวัลที่ได้คือการเป็นฮีโร่ขวัญใจยามยากของเด็ก ๆ และผู้ปกครอง พ่วงท้ายด้วยการเป็นศัตรูหมายเลขหนึ่งของกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า ลูกเมียน้อย
ด้วยความหมั่นไส้จึงจับกลุ่มกัน ตั้งแต่ระดับผู้ช่วยผู้อำนวยการ หัวหน้าฝ่าย หัวหน้างานและครูลูกทีมอีกจำนวนหนึ่งขึ้นไปยื่นข้อเสนอกับผู้บริหารว่า ให้เลือกเอาระหว่างเสา 20 ต้น ที่ค้ำยันโรงเรียนเปิดใหม่แบบนี้ กับยายนั่นคนเดียว โรงเรียนจะเลือกใคร
ถ้าเลือกพวกเขากรุณาเชิญครูปูออกเพื่อความสงบของโรงเรียน
ถ้าเลือกครูปูไว้พวกเขาก็จะไป
คำตอบคือ “ปูเค้าไม่เคยทำอะไรผิด จึงไม่มีเหตุผลที่ต้องให้เขาออก ส่วนคนที่กำลังรวมหัวกันมาบีบคั้นผู้บริหารอยู่นี่ขอให้พิจารณาตัวเองด้วยว่าเหมาะสมหรือไม่”
ปรากฏว่าไปกันยกเซ็ท พ่วงท้ายกะปริบกะปรอยตามหลังไปอีกแทบหมดโรงเรียน หอบแฟ้มงานเอกสารไฟล์งานต่าง ๆ ไปด้วยเต็มอัตราศึก ทำเอาวุ่นวายน่าดู
แทนที่ครูปูจะสำนึกอะไรบ้างกลับไม่สน ไม่เอะใจอะไรสักนิด ไม่อยู่เหรอ ทำเองก็ได้(วะ) เปิดรับสมัครบุคลากรใหม่ทันที จัดกำลังน้อง ๆ ที่เหลือไม่ถึง 10 คน แบ่งงานกันใหม่และลงไปร่วมกับเขาด้วยทุกจุด ทำให้งานไม่ได้รับผลกระทบเหมือนที่ใคร ๆ คาดคิด
จำนวนนักเรียนนักศึกษาเพิ่มขึ้นทุกปี โรงเรียนมีความก้าวหน้าและพัฒนาตลอด
« « Prev : เจ้าเป็นไผ (พอจำได้ว่า)
Next : เจ้าเป็นไผ (งานของชีวิต) » »
ความคิดเห็นสำหรับ "เจ้าเป็นไผ (ฟ้ายังมีฝน)"