เมื่อครูบ้าเลือดถูกตำรวจระราน
ตอนอยู่สงขลาครูปูเช่าบ้านทาวน์เฮาส์แฝดติดกันสองหลังอยู่กับรุ่นพี่และเพื่อนสนิท เวลากินข้าวสมาชิกทั้งสองบ้านจะมานั่งกินรวมกัน ผลัดกันเป็นเจ้ามือ ผลัดกันเป็นแม่ครัว คนที่เพิ่งกลับจากบ้านมาก็จะหอบหิ้วผักปลามาแบ่งปันเพื่อน ๆ พ่อแม่ใครส่งพัสดุกับข้าวมาจากไหนก็มาแบ่งกันกิน หลังบ้านก็เป็นเพียงรั้วปูนเตี้ย ๆ คั่น สองบ้านสามารถช่วยกันเก็บผ้าให้กันและกัน และส่งของไปมาได้อย่างสนุกสนาน เรียกว่าเข้านอกออกในกันเป็นว่าเล่นเลยล่ะค่ะระหว่างบ้านสองหลังนี่
เจ้าของบ้านเช่าก็เอ็นดูเราเหมือนลูกเหมือนหลาน เดี๋ยว ๆ ก็ทำกับข้าวทำขนมมาให้ กล้วยหรือผลไม้ในสวนแกออกก็หิ้วมาให้ วันงานเทศกาลต่าง ๆ ก็หอบหิ้วขนมจากวัดมาฝาก
ต่อมาต่างคนต่างค่อย ๆ แยกย้ายกันไปเนื่องจากได้งานทำบ้าง กลับไปอยู่บ้านกันบ้าง แต่ก็ยังมีรุ่นน้องเข้ามาแซมอยู่เรื่อย ๆ บ้านหลังติดกันเหลือเพื่อนรุ่นเดียวกันอยู่ 2 คน นอกนั้นก็เป็นรุ่นน้อง บ้านครูปูเองก็มีเพื่อนรุ่นเดียวกัน 1 คนนอกนั้นก็เป็นรุ่นน้องทั้งหมด
(ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต)
หลังเลิกงานครูปูก็จะขลุกอยู่แต่ในบ้าน ทำกับข้าว ทำงานบ้าน เขียนแผนการสอน ทำสื่อ อ่านหนังสือ ฟังเพลง เขียนจดหมายถึงพ่อ ถ้ามีรุ่นน้องมาขอให้ติวก็จะติวกันจนเย็นย่ำค่ำมืด ไม่ึค่อยไปเที่ยวเตร่ไหนกับใครเขา ติดบ้านจนพ่อเคยเขียนจดหมายมาถามว่าพ่อจะติดต่อซื้อบ้านหลังนี้ให้เลยเอาไหม ไม่รู้พูดจริง หรือประชดเพราะไม่ยอมย้ายกลับบ้านเสียทีกันแน่ ปรากฎว่าป้าแกบอกไม่ขายจะเก็บไว้เก็บค่าเช่ากินตอนแก่ เลยอดไป
อยู่มาคืนหนึ่งก็เกิดเรื่อง
กำลังนอนเขียนจดหมายถึงพ่อน้ำตาไหลพรากอยู่ดี ๆ (กำลังอินเรื่องอะไรจำไม่ได้แล้ว) ได้ยินเสียงใหญ่ ๆ ของผู้ชายสำเนียงใต้ส่งเสียง “อี่ขู่ปู ๆ“
คงปูอื่นมั้ง ใครก็ไม่รู้ จะมาเกี่ยวอะไรกับเราได้ไง ช่างมัน!
เสียงนั้นดังขึ้น ๆ “อี่ขู่ปู ๆ“
แถวนี้ครูชื่อปูมีหลายคนเหรอ แล้วทำไมเหมือนมันตะโกนอยู่หน้าบ้านเราเลยหว่า
อีกห้านาทีต่อมา เสียงนั้นดังขึ้น ๆ จนกลายเป็นตะโกนด่า
ชักไม่เข้าทีแล้ววุ้ย
หันไปหันมารอบเตียง มีอะไรป้องกันตัวได้บ้างนะเรา สังเกตเห็นห่อผ้าด้ายดิบสีขาวใต้โต๊ะกระจก จำได้ว่าเป็นมีดพกเดินป่าที่เพื่อนเอามาฝากไว้นานแล้ว เปิดออกมาใจเต้นตุ้บ ๆ เพราะตัวมีดถูกเจียรให้เป็นเยี่ยงหยัก ๆ น่าสยดสยอง ดูดิบ ๆ เถื่อน ๆ น่ากลัวกว่ารูปประกอบนั่นเยอะเลยค่ะ
เอาวะถือให้อุ่นใจไว้หน่อย ว่าแล้วก็เช็ดหน้าเช็ดตาเปิดประตูห้องนอนออกมายืนฟังให้ถนัด ๆ ริมหน้าต่างหน้าบ้าน
คำด่าทอต่อว่าหนักหน่วงขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งฟังก็ยิ่งงง
นี่มันเรื่องอะไรกัน????
แล้วมันเป็นใครฟะ???????
เราไปทำอะไรมันตั้งแต่เมื่อไหร่??????????
เจ้าของเสียงคงยังไม่สาแก่ใจที่ไม่มีปฏิกริยาโต้ตอบ ทีนี้เลยเล่นถึงพ่อถึงแม่แช่งชักหักกระดูก หยาบคาย
แล้วก็มี keyword เด็ด หลุดออกมา
“ข้อไฮผอให้แม๋มึ่งเถโส้ร๋าดจ่งฉิบห้ายต่ายโห้ง…*#$^@#!*&)(+_)(*^&$%#$@&%…“
โอเชเลย เข้าใจแล้ว แกด่าฉันแน่แล้ว เพราะครูปูที่พ่อแม่อยู่สุราษฎร์ แถวนี้ก็มีแต่ฉันคนเดียวนี่แหละ
ควันออกหูสองข้างดังวิ๊ง ๆ เลิกผ้าม่านดูเห็นผู้ชายรูปร่างกำยำใส่เสื้อยืดสีขาวขลิบแดงที่บ่าเสริมฟองน้ำเหมือนเสื้อยืดตำรวจ อ้อ กางเกงกับหัวเข็มขัดก็ด้วย ใช่ตำรวจแน่ ๆ
แต่ตอนนั้นไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมแล้วโว๊ย
ต่อให้เป็นอธิบดีกรมตำรวจมาเอง ขืนมายืนแช่งชักหักกระดูกพ่อแม่ฉันงี้ เป็นอันได้เห็นดีกัน!
ตำรวจนั่นคงเห็นลูกกะตาครูปูเข้าให้จึงปรี่เข้ามากระชากประตูรั้วบ้านซึ่งเป็นเหล็กวางบนรางเหวี่ยงทิ้งดังโครม เข้ามายืนจังก้าอยู่กลางลานหน้าบ้าน ระหว่างครูปูกับตำรวจมีเพียงกระจกบานเกร็ดธรรมดา ถอดง่าย แตกง่ายคั่นอยู่เท่านั้น ประตูบ้านก็ไม่ได้แข็งแรงอะไร ถ้าโดนถีบแรง ๆ ทีเดียวคงพังโครมมาทั้งบาน อยู่คนเดียวด้วยสิ
เอาวะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ เจอกันซะเลยก็ได้
กระชับมีดที่อยู่ในมือแล้วถือไขว้หลังไว้ เปิดประตูแกร่ก ตำรวจนั่นปร้าดถึงตัวครูปูทันที คงยิ่งฮึกเหิมเพราะเราดันบ้าจี้ออกไปเล่นด้วยแล้วนี่
มันโน้มตัวลงมาแง่ง ๆ ใส่ (แน่ล่ะสิ ก็สูงแค่หน้าอกมันเองอ่ะ ) จนจมูกชนกันประหนึ่งคู่รักกำลังอินเลิฟอยู่ก็มิปาน ได้กลิ่นเหล้าฟุ้งถึงได้รู้ว่ามันเมาได้ที่แล้วนี่หว่า
ขณะที่กำลังโดนพ่นน้ำลายใส่หน้าเหมือนโดนหมูสำรอกเศษอาหารใส่อยู่นั้น ก็ยืนวางหน้าเฉยคิดคำนวณวางแผนอยู่ตลอดเวลาว่า
ถ้าต้องฟัดกับคนเมาไม่รู้จะได้เปรียบเรื่องสติหรือขาดทุนเรื่องพละกำลังจากความฮึกเหิมกันแน่
ไอ้มีดเงี่ยง ๆ ที่ถือไขว้หลังอยู่ีนี่เขาควรจะแทงคว่ำหรือแทงหงายหว่า
ถ้าเกิดต้องพันตรูกันจริง ๆ ทำยังไงถึงจะหยุดมันได้เร็วที่สุดฟะ
เสียงด่าไม่มีท่าทีว่าจะหยุดเอาง่าย ๆ ด้วยสำเนียงใต้ที่ครูปูฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง
พอกันที! หมดความอดทนแล้วโว๊ย ตะคอกกลับไป
“ฉันไม่รู้จักแก
มายืนด่าพ่อล่อแม่ฉันตั้งแต่หัวค่ำเรื่องอะไร
ฉันไปทำร้ายโคตรเง่าสักกะหลาดแกตั้งแต่เมื่อไหร่
แล้วไอ้ฤทธิ์เดชฟูมฟายที่กำลังแสดงอยู่นี่
ฉันไม่ได้กลัวสักนิดเลยนะ จะบอกให้
เอาเป็นว่าถ้าจะทำอะไรก็ทำมาเลยแล้วกัน
แพล่มอยู่ได้
รำคาญ!
หมาน่ะ ถ้ามันจะกัดมันไม่มัวเห่าให้เสียเวลาหรอกนะ
แกน่ะ หมาหรือคน?
หือ?”
เท่านั้นเอง ตาที่แดงกล่ำของตำรวจนั่นแทบจะถลนออกจากเบ้า เงื้อมือทำท่าจะตบครูปู
ไอ้เราก็ยิ่งกำมีดในมือให้กระชับขึ้น เอาไงเอากันล่ะวะ หน้าก็เชิด ๆ เฉย ๆ อยู่อย่างนั้นเพราะวางแผนไว้แล้วว่า
1. เอ็งทั้งด่าทั้งประจาน ประกาศเจตนาชัดเจนจะทำร้ายข้าตั้งแต่หัวค่ำแล้ว
2. เอ็งบุกรุกบ้านข้าแล้ว
3. เอ็งทำลายทรัพย์สินบ้านข้าเสียหายแล้ว
แน่จริง เอ็งลองลงมือทำร้ายข้าก่อนดูสิ ข้าจะได้สิทธิ์ป้องกันตัวทันที (ดูแผนชั่วของแม่สิ )
ไม่รู้ทำไม มันได้แต่เงื้อค้างไว้อย่างนั้น หน้าตาโกรธ ๆ ปนงง ๆ ยังไงก็ไม่รู้
แต่หน้าตายายครูบ้าเลือดปากดีนี่สิ แข็งและขุ่นยังกะผนังห้องส้วมสาธารณะ ว่าแล้วยายเพื่อนตัวดีที่ยืนแอบดูเหตุการณ์อยู่ข้างบ้านตั้งแต่ต้น ก็วิ่งมาลากตัวตำรวจขี้เมานั่นออกจากบ้านไป
อ้าว เค้ารู้จักกันเหรอ?
อ้าว แล้วทำไมเพื่อนเราถึงปล่อยให้ใครไม่รู้มาหาเรื่องเราล่ะ?????
ได้ความงงมาสมทบกับความโกรธที่ยังพลุ่งพล่านอยู่ ยืนนิ่งถือมีดไขว้หลังอยู่ที่เดิม จ้องตามไอ้ตำรวจนั่นไปไม่ละสายตา (ใช่ย่อยที่ไหนล่ะเรา)
จู่ ๆ ได้ยินเสียงเรียก “ลู๋กปู ๆ ๆ ๆ”
เป็น “พี่สาว” แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวใจดีตรงข้ามบ้านนั่นเอง แกวิ่งตัวสั่นมาลากครูปูข้ามถนนไปบ้านแก ระหว่างที่เดินออกจากบ้าน ก็เห็นชาวบ้านแถวนั้นหลายหลังตื่นมายืนแอบดูเหตุการณ์นี้กันเป็นแถว ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “แจ้งความเลยน้องปู พวกพี่จะเป็นพยานให้”
ยิ้มแหย ๆ ตอบไปแต่ “ขอบคุณค่ะ ๆ”
พอเข้าบ้านพี่สาวได้ แกสวมกอดเหมือนอยากจะปลอบครูปู “ไมตองหร่องนะลู๋กปู ไมตองหร่อง ไป ไป่แจ๋งฟามกัน”
คิดอยู่ในใจแต่ไม่ได้ตอบออกไปว่า “ป่าว…หนูไม่ได้ร้องให้ซะหน่อย ไอ้ที่ตาแดง ๆ นี่เพราะกำลังดราม่าทางจดหมายกับพ่อหนูอยู่ต่างหาก อิอิอิ”
แกรีบปลุกสามีแกที่นอนเมาแอ๋หลับอยู่ตรงโซฟาให้ลุกขึ้นมาช่วยเข็นรถมอเตอร์ไซค์อย่างทุลักทุเลออกจากบ้านเพื่อพาครูปูไปแจ้งความที่โรงพัก ไปถึง ตำรวจก็ไม่รับแจ้ง ให้เหตุผลว่าร้อยเวรคนที่รับผิดชอบ ณ เวลาที่เกิดเรื่อง เพิ่งออกเวณไปตะกี้ เสียใจด้วยมาใหม่อีกทีแล้วกันแต่ก็ไม่แน่ใจนะว่าพรุ่งนี้เขาเข้าเวรกี่โมง
อืม…ชื่นใจกับบริการของตำรวจไทยเข้าให้แล้วสิเรา
ขากลับเจอตำรวจคู่กรณีขี่รถมาจอดเอี๊ยด ทำเป็นทักทายเฮฮากับเพื่อนตำรวจบน สน.นั่น เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คงอยากจะส่งสัญญาณบอกเรามั๊ง ว่านี่ที่ทำงานข้า นี่พวกข้าทั้งนั้น
เช้าวันรุ่งขึ้นเตี่ย ลุง แม่พร้อมอาวุธครบมือขนกันมาเต็มรถกระบะ
เตี่ยถาม “อยากเอาคืนไหม เอาแบบไหนว่ามา โถ ลูกกระสุนถูกยังกะอะไรดีเดี๋ยวนี้ ให้มันรู้ไปว่าตำรวจตายไม่เป็น”
แง่ว! เพิ่งรู้ว่าเราอยู่ในครอบครัวมาเฟียก็วันนี้แหละ
ลุงก็ให้ท้ายสุดลิ่มทิ่มประตู โทรหาพรรคพวกเพื่อนฝูงให้ควั่กคงเตรียมการใหญ่เพราะต้องต่อกรกับตำรวจ
แม่ถาม “จะเอาเรื่องเขาไหม ถ้าจะเอาเรื่องก็ต้องไปลาออก กลับบ้านเรา อยู่ต่อไม่ได้ อันตราย”
“อ้าว แล้วกัน อยู่ดี ๆ ทำไมปูต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตเพราะไอ้เบื้อกนั่นด้วยล่ะ”
“ก็มันเป็นตำรวจ เดี๋ยวถ้ามันเล่นสกปรกขึ้นมาจะทำยังไง”
“ไม่เอาอ่ะ ปูจะอยู่ต่อ ไม่ใช่ความผิดปูนี่ เรื่องอะไรจะต้องไปหนีมัน” (ดูมัน!)
แม่บอก “ถ้าจะอยู่ต่อต้องไม่แจ้งความนะ เพราะถ้าแจ้งความเราชนะอยู่แล้ว ทีนี้พอมันเดือดร้อนแม่กลัวมันจะเอาคืนน่ะสิ”
เตี่ยยุต่อ “เอ้า จะอยู่ต่อก็อยู่ แต่เอาปืนนี่ไว้”
ส่งปืนกระบอกเล็กนิดเดียวเป็นโลหะผสมทองคำขาวให้ เตี่ยบอกเป็นปืนสำหรับผู้หญิง
แม่ร้อง “ไม่ได้ ๆ ปูมันคนมือขาด ให้จับปืนผาหน้าไม้ไม่ได้ มันเอาเค้าตายแน่”
อ้าว! แม่ ยังไงกันนี่?
ตะกี้ยังห่วงปูอยู่เลยนะ
บ่ะ แหล่ว กัน
(เพิ่งรู้ว่าเป็น “คนมือขาด” ก็ตอนแม่บอกนี่แหละค่ะ)
มารู้เอาทีหลัึงว่าเพื่อนคนนั้นเขากิ๊กกับตำรวจนั่น ชวนกันมานั่งป้อนั่งก๊งที่บ้านนั้นบ่อยครั้ง พอมีคนเอาไปพูดในโรงเรียน ก็เลยเดากันมั่วว่าคงเป็นครูปูีนี่แหละเพราะอยู่ใกล้ที่สุด (เออ ง่ายดีนิ) ทั้ง ๆ ที่เรานอนแต่หัวค่ำทุกวัน คิดว่าเคยเห็นหน้าตำรวจนั่นแว่ป ๆ เหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยใส่ใจ
หลังจากเรื่องนี้ถูกโจษจันไป เพื่อนคนนั้นก็ย้ายหนีกลับบ้านที่ต่างอำเภอ ตำรวจนั่นก็หาย head ไป ไม่มาสบตาทำหน้าปุเลี่ยน ๆ เหมือนวันแรก ๆ หลังเกิดเรื่องอีกเลย
จากนั้นครูปูยังทำงานต่อไปอีกจนหนำใจ จึงค่อยตัดสินใจกลับบ้านและเลือกมาทำงานต่อที่กรุงเทพจนทุกวันนี้ล่ะค่ะ
—————
วันนี้เล่าเรื่องนี้ให้กลุ่มที่มีปัญหาเรื่องการควบคุมอารมณ์ฟัง
อยากให้เด็กเขาเห็นว่าผู้ใหญ่ก็ไม่ได้วิเศษมาจากไหนหรอกนะ ทำผิดทำพลาดระห่ำกับการใช้ชีวิตมาก็มาก แต่เพราะเขารู้ตัวแล้ว ก็เลยพยายามมีสติกับเรื่องถัด ๆ มา เลยทำให้รอดมาจนมีวันนี้ได้ เหตุการณ์แย่ ๆ ที่เคยทำก็เอาไว้เตือนตัวเอง ระมัดระวังอย่าให้เกิดขึ้นอีก
การที่ผู้ใหญ่เขาเตือนไม่ได้แปลว่าเขาคิดว่าเขาวิเศษกว่าเรา ก็เลยมาต่อว่า มาห้ามปรามเราอย่างนู้นอย่างนี้ แต่เพราะเขารักและปรารถนาดีกับเรา ไม่อยากให้เราเจ็บตัวหรือเสียใจเหมือนที่เขาเคยเจอต่างหาก
เรื่องที่ด่วนตัดสินใจตอนขาดสติ จะด้วยความบ้าระห่ำหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ก็ต้องมานั่งอับอายกับสิ่งที่เคยทำลงไป เหมือนอาจารย์นี่ไง ก็ทั้ง ๆ ที่หัวเดียวกระเทียมลีบ เกิดอะไรขึ้น พ่อแม่ครอบครัวจะเสียใจขนาดไหน ตัวก็เท่าลูกหมา ปากดีแค่ไหนก็คงไม่อาจรับประกันความปลอดภัยให้กับชีวิตได้หรอก มีแต่ความสะใจในช่วงนั้น
แค่นั้นเอง
คุ้มไหมล่ะ?
ขนาดตอนเล่าอยู่นี่ก็อายนะไม่ใช่ไม่อาย ทำไปได้เนาะ’จารย์
แต่เจ้าพวกตัวดีทั้งหลายกลับตาลุกวาว ถามนู่นซักนี่ สนุกสนาน วี๊ดว๊าด ชื่นชมโสมนัสเป็นอย่างยิ่ง ลืมไอ้เรื่องที่เถียงคอเป็นเอ็นเมื่อซักครู่ บอกว่าเจ๋งอย่างนั้น เปรี้ยวอย่างนี้
เลยย้ำสยบความคึกคะนองไปว่า
“ที่อาจารย์เล่าให้พวกเอ็งฟังนี่ ก็อยากให้เห็นมุมที่มันหมิ่นเหม่และโทษของการไม่มีสตินาเฟ๊ย ไม่ได้อวดอิทธิฤทธิ์อิทธิเดชให้พวกเอ็งชื่นชม”
ไม่มีแมวที่ไหนรับมุขสักคน ได้แต่หัวเราะชอบใจ
“กั่กๆๆ เดี๋ยวผมเอาไปเล่าต่อนะ’จารย์
สะใจว่ะ สะจาย….”
ดูมัน!
« « Prev : นักสืบประจำโรงเรียน
ความคิดเห็นสำหรับ "เมื่อครูบ้าเลือดถูกตำรวจระราน"