คนนี้ไง ยายครูปู

อ่าน: 137437


นี่ถ้ายายรู้ว่าถูกแอบถ่ายตอนโทรม ๆ มีหวังโดนตื้บแหง ๆ

พูดถึงคุณยายวัยเกือบเก้าสิบ ผู้เป็นต้นแบบให้ชีวิตของครูปูในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งความเมตตา เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ การวางตัว การดูแลตนเองและผู้อื่น

ยายเป็นผู้มีรสนิยมวิไลทั้งในเรื่องอาหารการกินและการแต่งตัว เครื่องแต่งกายต้องเป็นผ้าถุง สีสันคลาสสิก ดอกดวงต้องกลมกล่อม นี่ถือเป็นศาสตร์ลึกลับทาง fashion ของคุณยายที่หาสายตาคนสมัยนี้เทียบได้ยาก  เสื้อลูกไม้กับผ้าถุงต้องสีเข้ากัน ซึ่งถือเป็นของฟุ่มเฟือยประการเดียวที่ยายยอมทุ่ม

อาบน้ำทีต้องใช้เฉพาะแป้งหอม แล้วฉีดน้ำหอมสำทับเข้าไปอีัก สาว ๆ สมัยนี้หาคนหอมฟุ้งเท่ายายครูปู ยากส์…

รวมทั้งครูปูเองด้วยแหละ ที่ถูกยายต่อว่าอยู่บ่อย ๆ ว่า

“เป็นสาวเป็นนาง เนื้อตัวไม่รู้จักแต่ง”

แป่ว!

และอย่าได้หวังเชียวว่าจะได้เห็นผมหงอกของคุณยาย เพราะพวกเราจะคอยแซวอยู่ตลอด ตอนคุณยายนั่งย้อมผมเองที่หลังบ้านว่า

“สู้ตายๆๆ”

ยายเองก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปกะหลาน ๆ ตัวแสบทั้ง 3 ด้วยซะงั้น ก่อนจะเดินไปเซ็ทผม ทำเล็บแล้วเลือกทาสีชมพูกลีับบัวที่ร้านเจ้าประจำ

คุณยายเป็นผู้ใหญ่ใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อารมณ์ดี ใจเย็นและที่สำคัญเป็นสุดยอดฝีมือในยุทธจักรการทำอาหารชนิดหาตัวจับได้ยาก

(คือถ้าจะจับให้ได้ ต้องตามไปจับที่ร้านเสริมสวยเจ้าประจำน่ะค่ะ 555…)

เพราะเป็นคนพื้นเพจังหวัดเพชรบุรี จึงพูดเหน่อ และใช้สรรพนาม เอ็ง ๆ ข้า ๆ แต่ด้วยน้ำเสียงที่นุ่ม น่ารัก น่าฟังแกมอู้อี้เพราะช่างพูดแม้ยามเคี้ยวหมากก็ไม่เว้น ^_^

ยายแยกทางกับตาแล้วหอบลูกสาวคนเดียวมาตั้งโรงงานปลาทูนึ่งที่ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมกับลูกน้องอีกหลายชีวิต  สมัยก่อนยายจึงถือว่าเป็นเศรษฐีนีคนหนึ่ง เลยเลี้ยงคุณแม่ครูปูแบบคุณหนูมาตลอด ประกอบกับมีนายทหารยศนายพันมากิ๊กด้วย ยายเลยได้ชื่อว่าเป็น “คุณนายตุ๊”

สมัยที่มีสามีเป็นคนมียศศักดิ์ การทำมาหากินจึงง่ายดาย มีคนนับหน้าถือตา กิจการดีมีแต่คนอยากจะค้าขายด้วย เพื่อจะได้อาศัย connection คุณตาผู้พันบ้าง  พอสิ้นบุญไป  ยายก็เกษียณตัวเองด้วยการยกกิจการให้ป้าแหวว ซึ่งเป็นหลานสาวคนโตของยาย (คนที่มีชื่อเป็นคุณแม่ครูปูในสูติบัตร) และสามีของป้าแหวว ที่มีชื่อเป็นคุณพ่อครูปูในสูติบัตรนั่น ก็คืออดีตทหารคนสนิทของคุณตาผู้พันนั่นเอง

ตำนานรักดอกเหมยชัด ๆ คริ..คริ..คริ

ยายมีลูกคนเดียวคือแม่ และมีหลานคือลูกของพี่สาวอีก 7 คน  เมื่อพี่สาวเสียไปแล้ว หลานทั้ง 7 เลยมาขอเอี่ยวเป็นเหมือนลูก ๆ ไปด้วย

ยายพูดบ่อย ๆ ว่าตัวเองเป็นคนมีบุญ เกิดมาพ่อแม่ก็เป็นเถ้าแก่โรงงาน แม่ของยายเป็นสาวงามมาจากเมืองจีน เท้ายังต้องห่อผ้าเพื่อให้เรียวเล็กอยู่ตลอดเวลาเลย

ส่วนเตี่ยเป็นเถ้าแก่ผู้ร่ำรวย วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไร นอนสูบฝิ่นไปวัน ๆ  ตัวยายกับพี่สาวก็เป็นคุณหนูโรงงานต้องมีพี่เลี้ยงประจำตัวคนละคน นี่คงเป็นที่มาของความรักสวยรักงาม อารมณ์สุนทรีย์  ความละเมียดละไม แต่ใจคอกว้างขวางและช่างเลือกของคุณยายนั่นเอง

คงจะสงสัยนะคะว่าทำไมยายไม่ยกกิจการโรงงานปลาทูนึ่งให้แม่ครูปู  ก็เพราะการที่แม่สบายมาตลอดตั้งแต่เด็ก ยายจึงไม่อยากให้ลำบาก เพราะงานโรงงานปลาทูนึ่งเป็นงานหนัก  ทำทั้งวันทั้งคืน  นึ่งปลากับเตาถ่าน  ล้าง ขัด ดองเค็ม  ทำน้ำปลาไปด้วย ทำไตปลาขายไปด้วย  จึงกลัวลูกสาวคนเดียวจะลำบาก

และยายก็มั่นใจว่าด้วยทรัพย์สินที่เก็บสะสมไว้ก็คงพอกินกัน 2 คนแม่ลูกไปได้ตลอดชีวิต   ที่ไหนได้เนื่องจากแถวบ้าน รู้ว่ายายมีสตังค์ทำให้ถูกโจรขึ้นบ้านบ่อยมาก  ยายเป็นลมแล้วเป็นลมอีก ทรัพย์สิน ทองหยอง เพชรที่คุณยายชอบซื้อสะสม เข็มขัดทอง เข็มขัดนาค  หมด!

แม่ครูปูเป็นคนเรียบ ๆ ง่าย ๆ ไม่มีก็ไม่มีไม่เป็นไร ไม่งก ไม่โลภ ไม่เสียใจ ไม่เคยเรียกร้องสิทธิ์ใด ๆ ในโรงงานที่ควรจะเป็นของตนเลยจนทุกวันนี้

ประกอบกับเตี่ยก็มาขอแม่แต่งงานพอดี แม่ก็เลยเปลี่ยนบทบาทกลับมาเป็นคนเลี้ยงดูยายแทนตั้งแต่นั้นมา

แต่ยายก็ยังมีแอบเม้ม ๆ สมบัติและเงินสดไว้มากพอควร  ครูปูมารู้เรื่องเอาตอนยายน้อยใจแม่แล้วระบายให้ครูปูฟังว่า

“แม่เอ็งหน่ะ ผลาญยายไปไม่รู้เท่าไหร่ เรือจมทีนึงหมดไปหลายแสน ก็ยืมยายไป ค่าน้ำมันน้ำแข็ง ค่าลูกน้องชักหน้าไม่ถึงหลัง ยายก็ให้ไป หมด ยายหมดตัวแล้ว ทรัพย์สมบัติไม่มีเหลือแล้ว  จะไม่ช่วยลูกก็ทำใจไม่ได้ หนี้สินแม่เอ็งขนาดนี้  ยายก็กลุ้ม”

แต่พอคุยกันไปซักครู่ ก็เหมือนจะปลงได้ ครูปูก็จะพยายามปลอบใจ และำทำให้สบายใจด้วยการชี้ข้อดีของการที่ครอบครัวเราอุตส่าห์ฝ่าฟันมาจนมีวันนี้  ยายก็จะรีบออกตัวว่า

“ยายก็ไม่ได้คิดแล้วเรื่องทรัพย์สมบัตินอกกาย อยู่สบายใจไปวัน ๆ ก็ดีแล้ว  แม่เอ็งก็ดีหาไม่ได้แล้ว มีแต่คนอิจฉายายที่มีลูกแบบนี้ เห็นแต่คนเค้าทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ พ่อแม่แก่ ๆ แต่แม่เอ็งไม่เคยนะ  ยายนี่มีบุญจริง ๆ”

แต่พอเผลอ ๆ  อารมณ์บ่จอยขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะเผลอรำเลิกไอ้เรื่องสมบัตินี่ขึ้นมาทุกที  จะไม่ค่อยพูดก็ตอนที่ครูปูอยู่บ้านนี่แหล่ะค่ะ  อาจเพราะได้ระบายเยอะหน่อยหรือครูปูเอาใจทุกอย่างเลยสบายใจ หรือโดนครูปูนั่งแหย่ นั่งเมาท์ นั่งนวดให้ตลอดเวลา เลยไม่สบโอกาสเพราะมัวแต่ยิ้ม มัวแต่หัวเราะทั้งวันก็เป็นได้ค่ะ  อิอิ

ยายจะห่วงแม่มากเพราะตัวเองสบายมาตลอดชีวิต พอเห็นลูกแต่งงานมีลูกมีเต้า แล้วลำบาก มีหนี้สินจากการทำงานเพราะอาชีพประมงไม่แน่ไม่นอน ความเสี่ยงสูง เงินลงทุนสูง ยายก็จะพลอยสงสารแม่ สงสารพวกเราไปด้วย ที่ไม่ได้มีชีวิตสุขสบายเหมือนยายสมัยสาว ๆ

ตั้งแต่จำความได้ ครูปูเห็นยายนอนเล่นไพ่ตองทุกวันด้วยความสบายใจเพราะชีวิตสุขสบายไม่ต้องทำอะไร พอมารู้ว่าลูกสาวเป็นหนี้เป็นสินเขามากมาย ยายเลิกเล่นไพ่เด็ดขาดเลย  ตั้งแต่วันนั้นสองคนแม่ลูกก็ประกบกันแจ ยายต้องขอมีเอี่ยวรับรู้ความทุกข์สุขทุกประการของลูกสาวด้วย ถึงจะพยายามปกปิดกัน ยายก็จะล้วงแคะแกะเกาอย่างไม่ยอมลดละ

หากมีเรื่องไม่สบายใจกัน แม่กับพวกลูก ๆ และเตี่ยก็จะแอบซุบซิบ ปกปิดยายตลอด ส่งสัญญาณขยิบหู ขยิบตาให้ไปคุยหลังบ้านบ้าง  แกล้งใช้ครูปูให้รถพาไปซื้อของบ้าง เพื่อจะแอบไปคุยธุระกันไม่ให้ยายรู้

กลับมายายจะนั่งตาขวาง เดินวนหลานที ลูกที

“ไปไหนมา ซื้ออะไรมาบ้าง ทำไมไปนาน แล้วเมื่อกี้ซุบซิบอะไรกัน  ทำไมพอข้ามาพวกเอ็งหยุด”

หง่่ะ :P

ครูปูนอนกับยายทุกวัน จึงโดนซักมากที่สุดและส่วนใหญ่ความลับก็จะหลุดออกมาจากครูปูนี่แหล่ะค่ะ   ไม่ใช่อยากจะปากโป้งหรอกนะคะ แต่ที่เล่าก็เพื่อจะให้ยายเข้าใจ จะได้เห็นปัญหาแค่ที่มันมีอยู่จริง คิดว่าสู้ให้รู้แล้วชวนพูดคุยกันให้เห็นทางออก บอกความคืบหน้าให้ทราบ ยายจะยังอุ่นใจกว่าการไม่รู้อะไรเลย

เดี๋ยวจะพาลน้อยออกน้อยใจคิดว่าตัวเองไม่สำคัญ ไม่มีความหมาย ไร้น้ำยา ลูกหลานไม่เห็นหัวล่ะก็ แย่เลย


ยายกับแม่เป็นต้นแบบของแม่ลูกผูกพันธ์ตัวจริงเสียงจริง สองคนนี้แทบจะไม่เคยแยกจากกันเลย คุยกันทั้งวัน หยอกล้อ เล่นกันเล่น ตั้งแต่ครูปูจำความได้ จนปูนนี้ (โห…ใช้คำหยาบคายนะเรา)

แม่จะตามใจและรู้ใจยายทุกอย่าง หมากต้องเลือกหน้าเต็ม ๆ อ่อน ๆ พลูต้องเป็นพลูเกาะสมุยใบหนากินแล้วไม่เมา ปูนต้องเป็นเจ้าประจำ ยาจืดต้องเส้นเล็กละเอียดใหม่ สีออกเขียวอ่อน ๆ หอมนุ่ม รายการที่ว่ามาทั้งหมดนี่ถือเป็นยาเสพติดที่ขาดไม่ได้เสียแล้วของยาย

แม่จะตระเวณหามาให้ไม่ได้ขาด เดี๋ยวถาม เดี๋ยวถาม ซื้อมาผิดถูกอย่างไร ถึงจะโดนโวยตามประสา แม่ก็แค่หันมาแลบลิ้นกับลูก ๆ แล้วบอก

“ซวยเลยแม่ ฮ่าๆๆ”

ของคาว ของหวาน ผลไม้อย่าให้ได้ยินว่าที่ไหนดี ที่ไหนอร่อย  แม่จะหอบหิ้วจะไปสั่งเค้าไว้ ว่าขอให้เลือกของใหม่ของดีที่สุดมาให้คุณยายก่อน

แม่ลูกคู่นี้เขาจะนอนกอดกันไปมาทั้งวัน  จริง ๆ โซฟานั่งรับแขกบ้านเราก็พอมี  แต่ห้องประชุมประจำครอบครัวเราก็คือเตียงนอนของยายที่แทบจะตั้งอยู่กลางบ้านก็ว่าได้  พวกเราเองยังไม่ค่อยจะได้นั่งเก้าอี้ที่มีอยู่ในบ้านเลย ใครทำอะไรมาเสร็จ ก็นอนเคล้งกันอยู่บนเตียงทุกคน ทั้ง ๆ ที่ยายถือมากเรื่องที่หลับที่นอน แต่ถ้าเป็นลูกหลานตัวเอง ก็จะบ่นไปด้วยอมยิ้มกรุ้มกริ่มไปด้วย เผลอ ๆ เป็นคนมากอดเค้าเองอีกด้วยแหล่ะ อิอิ

คุยกันกระหนุงกระหนิงทุกเรื่อง   พอแม่วางกุญแจมอเตอร์ไซค์ลงหลังจากไปซิ่งนอกบ้านมาครึ่งวันก็จะรีบดิ่งมาที่ยายทันที  เล่าโดยละเอียด เหมือนจะพยายามให้ยายเห็นภาพเดียวกับตัวเองให้ได้  เจอไอ้คนนี้เขาพูดอย่างนี้ เขาทำอย่างนั้น ยายนั่งทำตาปริบ ๆ เก็บข้อมูลได้พอควรแล้วก็จะซัก จะเสริมทันที

ซักค้านกันบ้าง เถียงกันบ้าง เอาชนะคะคานกันบ้าง โดยมีลูก ๆ เป็นกรรมการ ยิ่งตอนออกรสออกชาติหน่อยแม่ก็จะ

“เอ้า! ปูคิดว่าไง แม่พูดอย่างนี้ ปูว่าแม่พูดถูกมั้ย”

ยายก็เอามั่ง

“ปู! เอ็งลองคิดดูซิ ใจเขาใจเรา ปั๊ดโธ่เอย เราก็ต้องคิดด้วยว่าคนอื่นเขามองเรายังไง จะไปมองด้านเดียวแบบแม่เอ็งว่าไม่ด๊ายย… ไม่ถูก”

แง๊ว! ตายทั้งขึ้นทั้งล่องสิตรู  :(

วง dialogue เกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลาในบ้านครูปู เพียงแต่จะสุนทรียะหรือไม่แค่ไหน ก็ต้องสุดแล้วแต่กระบวนกรผู้ทรงเกียรติทั้งสองท่านนี้แล อิอิอิ

วันไหนงอน ๆ กัน สองคนแม่ลูกก็จะเงียบ ๆ ตึง ๆ กันไป ผ่านไปซักวันครึ่งวันก็ลืมเดี๋ยวก็กลับมากระหนุงกระนิงกันอีกแร่ะ

ยิ่งเวลาที่ต้องแยกจากกันซักวันสองวันนี่ยิ่งชัด  เช่น ถ้าครูปูไปรับตัวมาตรวจร่างกายที่กรุงเทพ  หรือไปงานบุญของญาติที่ต่างจังหวัด  แล้วคนใดคนหนึ่งต้องอยู่โยงเฝ้าบ้าน  ยายก็จะรบเร้าให้หลานที่ไปนอนเป็นเพื่อนช่วยกดโทรศัพท์มาหาครูปูเพื่อจะขอสายคุยกับลูกสาวตัวเองเช้าเย็น

ส่วนแม่ครูปูพอทำอะไรเพลิน ๆ ซักพักก็เริ่มออกอาการ กระสับกระส่าย คิดถึงยายขึ้นมา “ป่านนี้ยายทำอะไรอยู่ว้า… อาบน้ำหรือยังไม่รู้  น้าวรรณมันจะนวดให้ยายก่อนนอนหรือเปล่าน้า ปู แม่ว่าลองกดหายายเล่น ๆ ดูหน่อยซิ”

ที่ชอบล้อคุณแม่มากที่สุดตั้งแต่เด็ก คือ แม่จะแทนตัวเองกับยายว่า หนูอย่างนั้น หนูอย่างนี้ทุกคำ  และจะพูดเหน่อแบบคนเพชรบุรีเฉพาะเวลาพูดกับยายเท่านั้น กับลูก ๆ กับเพื่อน ๆ ไม่เป็นค่ะ พวกเราก็จะ

“โห คุณหนูยักษ์ กิ๊ว ๆ” :P

เดี๋ยวหลานคนนั้นเอาสตังค์มาให้ เดี๋ยวหลานคนนี้เอาของมาฝากไม่ได้ขาด พอคนนู้นขัดใจกับคนนี้ ไม่พูดกับคนนั้นก็มาแย่งกันเล่าประเด็นในฝ่ายตนให้ยายฟังคงหวังจะให้เข้าข้าง แต่ยายก็เป็นกาวใจประสานให้ทุกครั้งไป ทำให้ครอบครัวเรารอดจากวิกฤติความแตกแยกมานับครังไม่ถ้วน เพราะยาย

ยิ่งหลานรุมรักมาก ตัวเองก็ต้องยิ่งหาทางดูแลลูกบ้านนู้น หลานบ้านนี้ ด้วยการทำอาหารหรือขนม แล้วให้ครูปูปั่นจักรยานไปส่งมิได้ขาด ไม่เว้นแม้แดดจะร้อนจนหัวแดงแค่ไหน

“ตัวเอ็งยังรู้จักร้อน แล้วคนที่เค้ารอขนมอยู่ ทำงานเหนื่อยด้วยร้อนด้วย ถ้าได้ขนมเย็น ๆ เค้าจะชื่นใจขนาดไหน”

ได้ยินแค่นั้น แม่ก็เร่งสปีดซะ ตาแทบเหลือกออกนอกเบ้าเลยล่ะค่ะ

(เฮ้อ…)

ห่อหมด

ไม่เคยมีฝีมือใครหรือการเลือกวัตถุดิบของผู้ใด ถูกใจคุณยายเด๊ะ ๆ สักกะที  “ปูไข่ต้องแน่นกว่านี้ ปูม้าต้องสด ๆ หน่อย กะทิต้องเค็มปะแล่ม ๆ น้ำจิ้มต้องหวานอมเปรี้ยว  ข้าวเหนียวต้องนุ่ม หอม สวย เรียงเม็ดกว่านี้ ทุเรียนต้องเนื้อมาก เม็ดลีบ เหนียว และที่สำคัญต้องไม่แพง  เข้าใจ๊?”

ใช้ัค่าเงินเมื่อ 20-30 ปีที่แล้วเป็นฐานเปรียบเทียบซะด้วยสิคะ แหะ แหะ…

เรื่องการที่จะต้องทำอาหารทานเองทุกอย่างของยาย เคยเป็นตำนานความชอกช้ำ เหน็ดเหนื่อยและฝังใจไม่ลืมเลือนของครูปูประการหนึ่งเชียวค่ะ  แค่อยากกินรวมมิตรถ้วยเดียว ยายจะเริ่มตั้งแต่ต้มน้ำร้อน นวดแป้งให้เป็นตัวเพื่อทำครองแครง ใส่สีเขียว แดง ส้ม เหลือง ครบ!

วานใครไปฟันมะพร้าวมาให้เพื่อขูดทีละเส้น ซื้อขนุนมานั่งฉีก คั้นกะทิหลายรอบ ทั้งหัวทั้งหาง เหงื่อไหลไคลย้อย เดินเซตุปัดตุเป๋ยืนแทบไม่ไหว

หนำซ้ำพอทำเสร็จคนในบ้านจะตักกินกันเองไม่เกิน 4-5 ถ้วย ครูปูซึ่งหมดอารมณ์จะกินไปนานแล้ว ด้วยความเบื่อหน่ายในกระบวนการของความยุ่งยากทั้งหลายแหล่นั่น (สงสัยจะเป็นเหตุผลให้ไม่ชอบกินขนมหวานมาจนทุกวันนี้)  แต่ก็ยังคงรั้งตำแหน่งพนักงาน delivery ดีเด่นจัดส่งจนครบทุกบ้านตามเคย

แต่ก่อนครูปูจะหงุดหงิดมากและขวางตลอด พร้อมยื่นคำขาดไม่ยอมให้ทำ เพราะเป็นห่วงและสงสารยายที่ต้องมาสาละวนกับเรื่องแบบนี้ ซื้อเขากินบ้างก็ได้ค่ะ คุณยายขา…

(ทุกวันนี้กรรมเลยตามทัน ต้องซื้อเขากินเกือบทุกมื้อ กินไปถวิลหารสมือของแม่กับยายไปตลอด)

แต่เดี๋ยวนี้ตามใจหมดทุกอย่างแล้วค่ะ ไม่ว่าอยากจะทำอะไร จะคอยเป็นลูกมือและช่วยให้ได้มากที่สุด ลากเก้าอี้มาให้นั่งบัญชาการอยู่หน้าเตา หันไปถามตลอด

“ได้หรือยังอ่ะยาย”

“ใส่เท่านี้พอมั้ย”

“ต้องตักฟองทิ้งก่อนหรือเปล่าเนี่ยะ”

“ต้องคนบ่อยแค่ไหนอ่ะ”

“เดือดแค่นี้พอหรือยัง หนูว่าพอได้แล้วมั้ง”

“อย่า ๆ วางเลยยาย วางเลย เดี๋ยวปูเอง จะเอาอะไรว่ามาโลด

เดี๋ยวทำให้”

“หม่ะ!”

เพราะรู้ตัว

และเริ่มนับถอยหลังตั้งนานแล้วล่ะค่ะว่า

ชีวิต จะเหลือช่วงเวลาดี ๆ อย่างนี้อีกสักกี่มากน้อย


และเมื่อมันผ่านไปแล้ว

เราจะมีเรื่องอะไร

ที่ต้องย้อนหลังไปเสียใจ

ว่ายังไม่ได้ทำให้คนที่เรารักอีกหรือไม่

Post to Facebook

« « Prev : น้ำใจในบ้านเรา

Next : คิดแบบแม่ » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

12822 ความคิดเห็น