คนนี้ไง ยายครูปู
นี่ถ้ายายรู้ว่าถูกแอบถ่ายตอนโทรม ๆ มีหวังโดนตื้บแหง ๆ
พูดถึงคุณยายวัยเกือบเก้าสิบ ผู้เป็นต้นแบบให้ชีวิตของครูปูในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งความเมตตา เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ การวางตัว การดูแลตนเองและผู้อื่น
ยายเป็นผู้มีรสนิยมวิไลทั้งในเรื่องอาหารการกินและการแต่งตัว เครื่องแต่งกายต้องเป็นผ้าถุง สีสันคลาสสิก ดอกดวงต้องกลมกล่อม นี่ถือเป็นศาสตร์ลึกลับทาง fashion ของคุณยายที่หาสายตาคนสมัยนี้เทียบได้ยาก เสื้อลูกไม้กับผ้าถุงต้องสีเข้ากัน ซึ่งถือเป็นของฟุ่มเฟือยประการเดียวที่ยายยอมทุ่ม
อาบน้ำทีต้องใช้เฉพาะแป้งหอม แล้วฉีดน้ำหอมสำทับเข้าไปอีัก สาว ๆ สมัยนี้หาคนหอมฟุ้งเท่ายายครูปู ยากส์…
รวมทั้งครูปูเองด้วยแหละ ที่ถูกยายต่อว่าอยู่บ่อย ๆ ว่า
“เป็นสาวเป็นนาง เนื้อตัวไม่รู้จักแต่ง”
แป่ว!
และอย่าได้หวังเชียวว่าจะได้เห็นผมหงอกของคุณยาย เพราะพวกเราจะคอยแซวอยู่ตลอด ตอนคุณยายนั่งย้อมผมเองที่หลังบ้านว่า
“สู้ตายๆๆ”
ยายเองก็หัวเราะเอิ๊กอ๊ากไปกะหลาน ๆ ตัวแสบทั้ง 3 ด้วยซะงั้น ก่อนจะเดินไปเซ็ทผม ทำเล็บแล้วเลือกทาสีชมพูกลีับบัวที่ร้านเจ้าประจำ
คุณยายเป็นผู้ใหญ่ใจดี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ อารมณ์ดี ใจเย็นและที่สำคัญเป็นสุดยอดฝีมือในยุทธจักรการทำอาหารชนิดหาตัวจับได้ยาก
(คือถ้าจะจับให้ได้ ต้องตามไปจับที่ร้านเสริมสวยเจ้าประจำน่ะค่ะ 555…)
เพราะเป็นคนพื้นเพจังหวัดเพชรบุรี จึงพูดเหน่อ และใช้สรรพนาม เอ็ง ๆ ข้า ๆ แต่ด้วยน้ำเสียงที่นุ่ม น่ารัก น่าฟังแกมอู้อี้เพราะช่างพูดแม้ยามเคี้ยวหมากก็ไม่เว้น ^_^
ยายแยกทางกับตาแล้วหอบลูกสาวคนเดียวมาตั้งโรงงานปลาทูนึ่งที่ อำเภอเมือง จังหวัดสุราษฎร์ธานี พร้อมกับลูกน้องอีกหลายชีวิต สมัยก่อนยายจึงถือว่าเป็นเศรษฐีนีคนหนึ่ง เลยเลี้ยงคุณแม่ครูปูแบบคุณหนูมาตลอด ประกอบกับมีนายทหารยศนายพันมากิ๊กด้วย ยายเลยได้ชื่อว่าเป็น “คุณนายตุ๊”
สมัยที่มีสามีเป็นคนมียศศักดิ์ การทำมาหากินจึงง่ายดาย มีคนนับหน้าถือตา กิจการดีมีแต่คนอยากจะค้าขายด้วย เพื่อจะได้อาศัย connection คุณตาผู้พันบ้าง พอสิ้นบุญไป ยายก็เกษียณตัวเองด้วยการยกกิจการให้ป้าแหวว ซึ่งเป็นหลานสาวคนโตของยาย (คนที่มีชื่อเป็นคุณแม่ครูปูในสูติบัตร) และสามีของป้าแหวว ที่มีชื่อเป็นคุณพ่อครูปูในสูติบัตรนั่น ก็คืออดีตทหารคนสนิทของคุณตาผู้พันนั่นเอง
ตำนานรักดอกเหมยชัด ๆ คริ..คริ..คริ
ยายมีลูกคนเดียวคือแม่ และมีหลานคือลูกของพี่สาวอีก 7 คน เมื่อพี่สาวเสียไปแล้ว หลานทั้ง 7 เลยมาขอเอี่ยวเป็นเหมือนลูก ๆ ไปด้วย
ยายพูดบ่อย ๆ ว่าตัวเองเป็นคนมีบุญ เกิดมาพ่อแม่ก็เป็นเถ้าแก่โรงงาน แม่ของยายเป็นสาวงามมาจากเมืองจีน เท้ายังต้องห่อผ้าเพื่อให้เรียวเล็กอยู่ตลอดเวลาเลย
ส่วนเตี่ยเป็นเถ้าแก่ผู้ร่ำรวย วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไร นอนสูบฝิ่นไปวัน ๆ ตัวยายกับพี่สาวก็เป็นคุณหนูโรงงานต้องมีพี่เลี้ยงประจำตัวคนละคน นี่คงเป็นที่มาของความรักสวยรักงาม อารมณ์สุนทรีย์ ความละเมียดละไม แต่ใจคอกว้างขวางและช่างเลือกของคุณยายนั่นเอง
คงจะสงสัยนะคะว่าทำไมยายไม่ยกกิจการโรงงานปลาทูนึ่งให้แม่ครูปู ก็เพราะการที่แม่สบายมาตลอดตั้งแต่เด็ก ยายจึงไม่อยากให้ลำบาก เพราะงานโรงงานปลาทูนึ่งเป็นงานหนัก ทำทั้งวันทั้งคืน นึ่งปลากับเตาถ่าน ล้าง ขัด ดองเค็ม ทำน้ำปลาไปด้วย ทำไตปลาขายไปด้วย จึงกลัวลูกสาวคนเดียวจะลำบาก
และยายก็มั่นใจว่าด้วยทรัพย์สินที่เก็บสะสมไว้ก็คงพอกินกัน 2 คนแม่ลูกไปได้ตลอดชีวิต ที่ไหนได้เนื่องจากแถวบ้าน รู้ว่ายายมีสตังค์ทำให้ถูกโจรขึ้นบ้านบ่อยมาก ยายเป็นลมแล้วเป็นลมอีก ทรัพย์สิน ทองหยอง เพชรที่คุณยายชอบซื้อสะสม เข็มขัดทอง เข็มขัดนาค หมด!
แม่ครูปูเป็นคนเรียบ ๆ ง่าย ๆ ไม่มีก็ไม่มีไม่เป็นไร ไม่งก ไม่โลภ ไม่เสียใจ ไม่เคยเรียกร้องสิทธิ์ใด ๆ ในโรงงานที่ควรจะเป็นของตนเลยจนทุกวันนี้
ประกอบกับเตี่ยก็มาขอแม่แต่งงานพอดี แม่ก็เลยเปลี่ยนบทบาทกลับมาเป็นคนเลี้ยงดูยายแทนตั้งแต่นั้นมา
แต่ยายก็ยังมีแอบเม้ม ๆ สมบัติและเงินสดไว้มากพอควร ครูปูมารู้เรื่องเอาตอนยายน้อยใจแม่แล้วระบายให้ครูปูฟังว่า
“แม่เอ็งหน่ะ ผลาญยายไปไม่รู้เท่าไหร่ เรือจมทีนึงหมดไปหลายแสน ก็ยืมยายไป ค่าน้ำมันน้ำแข็ง ค่าลูกน้องชักหน้าไม่ถึงหลัง ยายก็ให้ไป หมด ยายหมดตัวแล้ว ทรัพย์สมบัติไม่มีเหลือแล้ว จะไม่ช่วยลูกก็ทำใจไม่ได้ หนี้สินแม่เอ็งขนาดนี้ ยายก็กลุ้ม”
แต่พอคุยกันไปซักครู่ ก็เหมือนจะปลงได้ ครูปูก็จะพยายามปลอบใจ และำทำให้สบายใจด้วยการชี้ข้อดีของการที่ครอบครัวเราอุตส่าห์ฝ่าฟันมาจนมีวันนี้ ยายก็จะรีบออกตัวว่า
“ยายก็ไม่ได้คิดแล้วเรื่องทรัพย์สมบัตินอกกาย อยู่สบายใจไปวัน ๆ ก็ดีแล้ว แม่เอ็งก็ดีหาไม่ได้แล้ว มีแต่คนอิจฉายายที่มีลูกแบบนี้ เห็นแต่คนเค้าทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ พ่อแม่แก่ ๆ แต่แม่เอ็งไม่เคยนะ ยายนี่มีบุญจริง ๆ”
แต่พอเผลอ ๆ อารมณ์บ่จอยขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็จะเผลอรำเลิกไอ้เรื่องสมบัตินี่ขึ้นมาทุกที จะไม่ค่อยพูดก็ตอนที่ครูปูอยู่บ้านนี่แหล่ะค่ะ อาจเพราะได้ระบายเยอะหน่อยหรือครูปูเอาใจทุกอย่างเลยสบายใจ หรือโดนครูปูนั่งแหย่ นั่งเมาท์ นั่งนวดให้ตลอดเวลา เลยไม่สบโอกาสเพราะมัวแต่ยิ้ม มัวแต่หัวเราะทั้งวันก็เป็นได้ค่ะ อิอิ
ยายจะห่วงแม่มากเพราะตัวเองสบายมาตลอดชีวิต พอเห็นลูกแต่งงานมีลูกมีเต้า แล้วลำบาก มีหนี้สินจากการทำงานเพราะอาชีพประมงไม่แน่ไม่นอน ความเสี่ยงสูง เงินลงทุนสูง ยายก็จะพลอยสงสารแม่ สงสารพวกเราไปด้วย ที่ไม่ได้มีชีวิตสุขสบายเหมือนยายสมัยสาว ๆ
ตั้งแต่จำความได้ ครูปูเห็นยายนอนเล่นไพ่ตองทุกวันด้วยความสบายใจเพราะชีวิตสุขสบายไม่ต้องทำอะไร พอมารู้ว่าลูกสาวเป็นหนี้เป็นสินเขามากมาย ยายเลิกเล่นไพ่เด็ดขาดเลย ตั้งแต่วันนั้นสองคนแม่ลูกก็ประกบกันแจ ยายต้องขอมีเอี่ยวรับรู้ความทุกข์สุขทุกประการของลูกสาวด้วย ถึงจะพยายามปกปิดกัน ยายก็จะล้วงแคะแกะเกาอย่างไม่ยอมลดละ
หากมีเรื่องไม่สบายใจกัน แม่กับพวกลูก ๆ และเตี่ยก็จะแอบซุบซิบ ปกปิดยายตลอด ส่งสัญญาณขยิบหู ขยิบตาให้ไปคุยหลังบ้านบ้าง แกล้งใช้ครูปูให้รถพาไปซื้อของบ้าง เพื่อจะแอบไปคุยธุระกันไม่ให้ยายรู้
กลับมายายจะนั่งตาขวาง เดินวนหลานที ลูกที
“ไปไหนมา ซื้ออะไรมาบ้าง ทำไมไปนาน แล้วเมื่อกี้ซุบซิบอะไรกัน ทำไมพอข้ามาพวกเอ็งหยุด”
หง่่ะ
ครูปูนอนกับยายทุกวัน จึงโดนซักมากที่สุดและส่วนใหญ่ความลับก็จะหลุดออกมาจากครูปูนี่แหล่ะค่ะ ไม่ใช่อยากจะปากโป้งหรอกนะคะ แต่ที่เล่าก็เพื่อจะให้ยายเข้าใจ จะได้เห็นปัญหาแค่ที่มันมีอยู่จริง คิดว่าสู้ให้รู้แล้วชวนพูดคุยกันให้เห็นทางออก บอกความคืบหน้าให้ทราบ ยายจะยังอุ่นใจกว่าการไม่รู้อะไรเลย
เดี๋ยวจะพาลน้อยออกน้อยใจคิดว่าตัวเองไม่สำคัญ ไม่มีความหมาย ไร้น้ำยา ลูกหลานไม่เห็นหัวล่ะก็ แย่เลย
ยายกับแม่เป็นต้นแบบของแม่ลูกผูกพันธ์ตัวจริงเสียงจริง สองคนนี้แทบจะไม่เคยแยกจากกันเลย คุยกันทั้งวัน หยอกล้อ เล่นกันเล่น ตั้งแต่ครูปูจำความได้ จนปูนนี้ (โห…ใช้คำหยาบคายนะเรา)
แม่จะตามใจและรู้ใจยายทุกอย่าง หมากต้องเลือกหน้าเต็ม ๆ อ่อน ๆ พลูต้องเป็นพลูเกาะสมุยใบหนากินแล้วไม่เมา ปูนต้องเป็นเจ้าประจำ ยาจืดต้องเส้นเล็กละเอียดใหม่ สีออกเขียวอ่อน ๆ หอมนุ่ม รายการที่ว่ามาทั้งหมดนี่ถือเป็นยาเสพติดที่ขาดไม่ได้เสียแล้วของยาย
แม่จะตระเวณหามาให้ไม่ได้ขาด เดี๋ยวถาม เดี๋ยวถาม ซื้อมาผิดถูกอย่างไร ถึงจะโดนโวยตามประสา แม่ก็แค่หันมาแลบลิ้นกับลูก ๆ แล้วบอก
“ซวยเลยแม่ ฮ่าๆๆ”
ของคาว ของหวาน ผลไม้อย่าให้ได้ยินว่าที่ไหนดี ที่ไหนอร่อย แม่จะหอบหิ้วจะไปสั่งเค้าไว้ ว่าขอให้เลือกของใหม่ของดีที่สุดมาให้คุณยายก่อน
แม่ลูกคู่นี้เขาจะนอนกอดกันไปมาทั้งวัน จริง ๆ โซฟานั่งรับแขกบ้านเราก็พอมี แต่ห้องประชุมประจำครอบครัวเราก็คือเตียงนอนของยายที่แทบจะตั้งอยู่กลางบ้านก็ว่าได้ พวกเราเองยังไม่ค่อยจะได้นั่งเก้าอี้ที่มีอยู่ในบ้านเลย ใครทำอะไรมาเสร็จ ก็นอนเคล้งกันอยู่บนเตียงทุกคน ทั้ง ๆ ที่ยายถือมากเรื่องที่หลับที่นอน แต่ถ้าเป็นลูกหลานตัวเอง ก็จะบ่นไปด้วยอมยิ้มกรุ้มกริ่มไปด้วย เผลอ ๆ เป็นคนมากอดเค้าเองอีกด้วยแหล่ะ อิอิ
คุยกันกระหนุงกระหนิงทุกเรื่อง พอแม่วางกุญแจมอเตอร์ไซค์ลงหลังจากไปซิ่งนอกบ้านมาครึ่งวันก็จะรีบดิ่งมาที่ยายทันที เล่าโดยละเอียด เหมือนจะพยายามให้ยายเห็นภาพเดียวกับตัวเองให้ได้ เจอไอ้คนนี้เขาพูดอย่างนี้ เขาทำอย่างนั้น ยายนั่งทำตาปริบ ๆ เก็บข้อมูลได้พอควรแล้วก็จะซัก จะเสริมทันที
ซักค้านกันบ้าง เถียงกันบ้าง เอาชนะคะคานกันบ้าง โดยมีลูก ๆ เป็นกรรมการ ยิ่งตอนออกรสออกชาติหน่อยแม่ก็จะ
“เอ้า! ปูคิดว่าไง แม่พูดอย่างนี้ ปูว่าแม่พูดถูกมั้ย”
ยายก็เอามั่ง
“ปู! เอ็งลองคิดดูซิ ใจเขาใจเรา ปั๊ดโธ่เอย เราก็ต้องคิดด้วยว่าคนอื่นเขามองเรายังไง จะไปมองด้านเดียวแบบแม่เอ็งว่าไม่ด๊ายย… ไม่ถูก”
แง๊ว! ตายทั้งขึ้นทั้งล่องสิตรู
วง dialogue เกิดขึ้นแทบจะตลอดเวลาในบ้านครูปู เพียงแต่จะสุนทรียะหรือไม่แค่ไหน ก็ต้องสุดแล้วแต่กระบวนกรผู้ทรงเกียรติทั้งสองท่านนี้แล อิอิอิ
วันไหนงอน ๆ กัน สองคนแม่ลูกก็จะเงียบ ๆ ตึง ๆ กันไป ผ่านไปซักวันครึ่งวันก็ลืมเดี๋ยวก็กลับมากระหนุงกระนิงกันอีกแร่ะ
ยิ่งเวลาที่ต้องแยกจากกันซักวันสองวันนี่ยิ่งชัด เช่น ถ้าครูปูไปรับตัวมาตรวจร่างกายที่กรุงเทพ หรือไปงานบุญของญาติที่ต่างจังหวัด แล้วคนใดคนหนึ่งต้องอยู่โยงเฝ้าบ้าน ยายก็จะรบเร้าให้หลานที่ไปนอนเป็นเพื่อนช่วยกดโทรศัพท์มาหาครูปูเพื่อจะขอสายคุยกับลูกสาวตัวเองเช้าเย็น
ส่วนแม่ครูปูพอทำอะไรเพลิน ๆ ซักพักก็เริ่มออกอาการ กระสับกระส่าย คิดถึงยายขึ้นมา “ป่านนี้ยายทำอะไรอยู่ว้า… อาบน้ำหรือยังไม่รู้ น้าวรรณมันจะนวดให้ยายก่อนนอนหรือเปล่าน้า ปู แม่ว่าลองกดหายายเล่น ๆ ดูหน่อยซิ”
ที่ชอบล้อคุณแม่มากที่สุดตั้งแต่เด็ก คือ แม่จะแทนตัวเองกับยายว่า หนูอย่างนั้น หนูอย่างนี้ทุกคำ และจะพูดเหน่อแบบคนเพชรบุรีเฉพาะเวลาพูดกับยายเท่านั้น กับลูก ๆ กับเพื่อน ๆ ไม่เป็นค่ะ พวกเราก็จะ
“โห คุณหนูยักษ์ กิ๊ว ๆ”
เดี๋ยวหลานคนนั้นเอาสตังค์มาให้ เดี๋ยวหลานคนนี้เอาของมาฝากไม่ได้ขาด พอคนนู้นขัดใจกับคนนี้ ไม่พูดกับคนนั้นก็มาแย่งกันเล่าประเด็นในฝ่ายตนให้ยายฟังคงหวังจะให้เข้าข้าง แต่ยายก็เป็นกาวใจประสานให้ทุกครั้งไป ทำให้ครอบครัวเรารอดจากวิกฤติความแตกแยกมานับครังไม่ถ้วน เพราะยาย
ยิ่งหลานรุมรักมาก ตัวเองก็ต้องยิ่งหาทางดูแลลูกบ้านนู้น หลานบ้านนี้ ด้วยการทำอาหารหรือขนม แล้วให้ครูปูปั่นจักรยานไปส่งมิได้ขาด ไม่เว้นแม้แดดจะร้อนจนหัวแดงแค่ไหน
“ตัวเอ็งยังรู้จักร้อน แล้วคนที่เค้ารอขนมอยู่ ทำงานเหนื่อยด้วยร้อนด้วย ถ้าได้ขนมเย็น ๆ เค้าจะชื่นใจขนาดไหน”
ได้ยินแค่นั้น แม่ก็เร่งสปีดซะ ตาแทบเหลือกออกนอกเบ้าเลยล่ะค่ะ
(เฮ้อ…)
ไม่เคยมีฝีมือใครหรือการเลือกวัตถุดิบของผู้ใด ถูกใจคุณยายเด๊ะ ๆ สักกะที “ปูไข่ต้องแน่นกว่านี้ ปูม้าต้องสด ๆ หน่อย กะทิต้องเค็มปะแล่ม ๆ น้ำจิ้มต้องหวานอมเปรี้ยว ข้าวเหนียวต้องนุ่ม หอม สวย เรียงเม็ดกว่านี้ ทุเรียนต้องเนื้อมาก เม็ดลีบ เหนียว และที่สำคัญต้องไม่แพง เข้าใจ๊?”
ใช้ัค่าเงินเมื่อ 20-30 ปีที่แล้วเป็นฐานเปรียบเทียบซะด้วยสิคะ แหะ แหะ…
เรื่องการที่จะต้องทำอาหารทานเองทุกอย่างของยาย เคยเป็นตำนานความชอกช้ำ เหน็ดเหนื่อยและฝังใจไม่ลืมเลือนของครูปูประการหนึ่งเชียวค่ะ แค่อยากกินรวมมิตรถ้วยเดียว ยายจะเริ่มตั้งแต่ต้มน้ำร้อน นวดแป้งให้เป็นตัวเพื่อทำครองแครง ใส่สีเขียว แดง ส้ม เหลือง ครบ!
วานใครไปฟันมะพร้าวมาให้เพื่อขูดทีละเส้น ซื้อขนุนมานั่งฉีก คั้นกะทิหลายรอบ ทั้งหัวทั้งหาง เหงื่อไหลไคลย้อย เดินเซตุปัดตุเป๋ยืนแทบไม่ไหว
หนำซ้ำพอทำเสร็จคนในบ้านจะตักกินกันเองไม่เกิน 4-5 ถ้วย ครูปูซึ่งหมดอารมณ์จะกินไปนานแล้ว ด้วยความเบื่อหน่ายในกระบวนการของความยุ่งยากทั้งหลายแหล่นั่น (สงสัยจะเป็นเหตุผลให้ไม่ชอบกินขนมหวานมาจนทุกวันนี้) แต่ก็ยังคงรั้งตำแหน่งพนักงาน delivery ดีเด่นจัดส่งจนครบทุกบ้านตามเคย
แต่ก่อนครูปูจะหงุดหงิดมากและขวางตลอด พร้อมยื่นคำขาดไม่ยอมให้ทำ เพราะเป็นห่วงและสงสารยายที่ต้องมาสาละวนกับเรื่องแบบนี้ ซื้อเขากินบ้างก็ได้ค่ะ คุณยายขา…
(ทุกวันนี้กรรมเลยตามทัน ต้องซื้อเขากินเกือบทุกมื้อ กินไปถวิลหารสมือของแม่กับยายไปตลอด)
แต่เดี๋ยวนี้ตามใจหมดทุกอย่างแล้วค่ะ ไม่ว่าอยากจะทำอะไร จะคอยเป็นลูกมือและช่วยให้ได้มากที่สุด ลากเก้าอี้มาให้นั่งบัญชาการอยู่หน้าเตา หันไปถามตลอด
“ได้หรือยังอ่ะยาย”
“ใส่เท่านี้พอมั้ย”
“ต้องตักฟองทิ้งก่อนหรือเปล่าเนี่ยะ”
“ต้องคนบ่อยแค่ไหนอ่ะ”
“เดือดแค่นี้พอหรือยัง หนูว่าพอได้แล้วมั้ง”
“อย่า ๆ วางเลยยาย วางเลย เดี๋ยวปูเอง จะเอาอะไรว่ามาโลด
เดี๋ยวทำให้”
“หม่ะ!”
เพราะรู้ตัว
และเริ่มนับถอยหลังตั้งนานแล้วล่ะค่ะว่า
ชีวิต จะเหลือช่วงเวลาดี ๆ อย่างนี้อีกสักกี่มากน้อย
และเมื่อมันผ่านไปแล้ว
เราจะมีเรื่องอะไร
ที่ต้องย้อนหลังไปเสียใจ
ว่ายังไม่ได้ทำให้คนที่เรารักอีกหรือไม่
Next : คิดแบบแม่ » »
ความคิดเห็นสำหรับ "คนนี้ไง ยายครูปู"