เฮฮาึีแม้คราจากกัน
เพิ่งมีเวลาทบทวนระยะเวลาที่ห่างบ้านไปนู่นนี่ ทั่วสารทิศ ตั้งแต่ออกจากบ้านครั้งแรกตอนไปเรียนสงขลา แล้วก็ยังไม่ได้กลับไปอยู่บ้านอีกเลย จะได้ไปเยี่ยมก็ช่วงปิดเทอม หรือไม่ก็ช่วงที่ยายหรือแม่ไม่สบาย
อันนั้นก็บ้าเลือดนั่งรถทัวร์กลับสุราษฎร์ทุกเย็นวันศุกร์แล้วนั่งกลับมาคืนวันอาทิตย์ ถึงตีห้าวันจันทร์ นั่งแท็กซี่เข้าบ้าน อาบน้ำแต่งตัวมาทำงานต่อ ตาโหลโบ๋เบ๋ อ้อแอ้ไปจนถึงวันศุกร์แล้วเอาใหม่วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่ายายหรือแม่จะดีขึ้น แล้วมีแรงไล่ครูปูกลับ ไม่ให้มาอีกเพราะสงสาร
ยิ่งหน้าที่การงานเพิ่มขึ้น เวลาที่ให้กับทางบ้านก็ยิ่งน้อยลงไปอีก มีเสียงโทรศัพท์เท่านั้นที่โทรกลับบ้านแทบจะสามเวลาหลังอาหาร ถ้าไม่ได้ยินเสียงครูปู คุณแม่ก็จะเริ่มใจไม่ดีั ถ้าโทรศัพท์มือถือมีเบอร์ที่บ้านโชว์อยู่นั่นแสดงว่า เป็นห่วงเราแย่แล้ว
แต่จะว่าไปแล้วก็น่าจะพอกันทั้งแม่ทั้งลูกนะคะ
วิถีปฎิบัติของบ้านครูปูออกแนวแปลก ๆ ค่ะ ถึงดูเหมือนจะรักกันจี๋จ๋า แต่แม่เองไม่เค๊ยไม่เคยที่จะอยากตามไปดูพฤติกรรมของลูก ๆ เลย ไม่ว่าจะไปเรียนต่างจังหวัด ใช้ชีวิตยังไง สำมะเลเทเมาไม๊ ติดแฟน ติดเพื่อน เหลวไหล แม้แต่งานรับปริญญา หรือครูปูซื้อบ้านแม่ก็จะเฉย ๆ ไม่มีพิธีรีตรองว่าจะต้องขึ้นมาจัดการขึ้นบ้านใหม่ ลงบ้านเก่าอย่างไร
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะคุณแม่ไม่ชอบนั่งรถยนต์ไปไหนไกล ๆ ไปไหนทีเมารถ วิงเวียน เกิดอาการต่าง ๆ นานา ลูก ๆ จึงไม่ชอบให้ใครพาแม่ไปไหน เพราะต้องทรมานกับโรคเบาหวานขึ้นตาอยู่แล้วด้วย
ปีที่แล้วตอนซื้อรถยนต์ใหม่ ๆ สองคนเจ๊ปูกะเจ้าน้องชายตัวดีก็เห่อซะ!
ขับรถดิ่งลงมาจากกรุงเทพฯ กะจะให้แม่นั่งเจิมก่อนเป็นคนแรก โดยมีแผนจะพาแม่และยายไปเยี่ยมน้องสาวคนกลางที่ภูเก็ต
กะจะเอาให้เหมือนในโฆษณาครอบครัวสุขสันต์อะไรประมาณนั้นหน่ะค่ะ
ปรากฎว่าแม่อาเจียน เมารถ ร้องไห้ ไม่สบายไปตลอดทาง ปากก็ร้อง “แม่บอกแล้วใช่มั้ยว่าแม่เดินทางไม่ได้ แม่เดินทางไม่ได้ก็ไม่เชื่อ เป็นไงล่ะ ฮือๆๆ”
สามคนพี่น้องหน้าจ๋อยเหลือคนละสองนิ้วเลยล่ะค่ะ …555…
แต่ก็ยังหาเรื่องนู่นนี่ขำกันไปได้ตลอดทางอยู่ดี
ครูปูอาจเป็นหนึ่งในคนทำงานที่ไม่เคยมีปัญหาแรงกดดันจากครอบครัวเลย ไม่ต้องกังวลว่าสงกรานต์ต้องไปรดน้ำดำหัว ตรุษจีน สาร์ทจีนต้องกลับไปไหว้ น้องจะบวช งานศพญาติ ปีใหม่ หรือเทศกาลใด ๆ ก็แล้วแต่ แฮ่ๆ อันนี้ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ค่ะ เพราะกลายเป็นคนที่ไม่ค่อยรู้ธรรมเีนียมวิธีปฏิบัติหรือพิธีการพวกนี้เลยค่ะ
แม่จะสั่งไว้ว่า เอาเฉพาะที่เราสะดวก ไม่ต้องไปเคร่งครัดกับอะไรจนเกินไปและยังไม่เคยเห็นอาการน้อยใจเรื่องพวกนี้ของผู้ใหญ่บ้านนี้สักคน เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เด็กจนโต
แม่จะย้ำเสมอว่า ถ้ารู้ตัวแล้วว่าอยากทำอะไร ทำไปเลย แม่รับสิ่งที่ลูกทำได้ทุกอย่าง ใครไม่เข้าใจแม่เข้าใจ เพราะแม่รู้จักลูกของแม่ดีทุกคน (น่าน..)
ครูปูเพิ่งจะมาเข้าใจตอนโตว่า ความมั่นอกมั่นใจ ความกล้าแสดงออกที่เรามีนั้นเป็นต้นทุนชีวิตที่ครอบครัวอัดมาให้แน่นปึ้กตั้งแต่เด็กนี่เอง แถวบ้านเรียกซ่าส์ค่ะ อิ..อิ…อิ
แม้กระทั่งเรื่องคนรักของลูก ๆ แม่จะพูดดักคอไว้ตั้งแต่เริ่มเป็นสาว (แหวะ! ดูใช้คำดิ๊) ว่า “คบใครแม่ไม่ว่านะ จะมีจะจนไม่สำคัญ ถ้าเขารักลูกแม่ แม่ก็จะรักเขา ถ้าเขาดีกับลูกแม่ แม่ก็จะดีกับเขา”
พูดเลยเถิดไปถึง “รีบ ๆ แต่งงานมีครอบครัวกันซะทีสิ จะได้มีหลานให้แม่เลี้ยงซักคนนึงแล้วสองคนผัวเมียจะไปไหนก็ไป”
(แป่ว!)
จริง ๆ แม่คงเข้าใจวิถีชีวิตการทำมาหากินของคนสมัยนี้แล้วคงพยายามผ่อนปรนภาระที่จะมีจากการสร้างครอบครัวด้วยการอาสาจะเลี้ยงลูกให้มากกว่า เพื่อให้ครอบครัวแยกย้ายกันไปหารายได้โดยไม่ต้องกังวลมากนัก
แต่อันนี้ไม่เกี่ยวกับครูปูแล้วค่ะ เพราะน้องสาวทำ mission possible ไปแร่ะ เหอ..เหอ..เหอ.. รอดตัว ๆ
วิธีคิดจ๊าบ ๆ ไม่เหมือนใครของแม่ครูปูยังมีอีกเยอะเลยค่ะ แต่คงต้องหันไปแย่งยายกับแม่ทำอะไรบ้างแล้วล่ะ เพราะความที่ทั้งบ้านตื่นเต้นที่ครูปูจะเดินทางกลับกรุงเทพ อุตส่าห์ตื่นกันมาตั้งแต่ไก่ยังไม่โห่ แม่ขับมอเตอร์ไซค์คันเก่งไปหอบไข่เค็มมาลังแล้วลังเล่า เผื่อลูกสาวคนเดียวไม่พอ ต้องเผื่อผู้ใหญ่ เผื่อเพื่อน ๆ ทีทำงาน เผื่อผู้ปกครอง เผื่อเพื่อนบ้านด้วย แม่บอกต้องฝากเขาด้วยนะ มีอะไรเขาจะได้ดูแลเมตตาเรา ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปมา
เช้านี้คงวนตลาดเป็นสิบรอบเพื่อจะหาปูตัวแน่น ๆ ให้ลูกหิ้วกลับกรุงเทพ คั่วพริก หอม กระเทียม ปั่นกุ้งแห้ง ผัดน้ำพริกเผา จนเจ้าลูกสาวตัวดีต้องลุกจากที่นอนมาจามแต่เช้า พอเตาว่างปุ๊บ ยายซึ่งคอยท่าด้วยความกระวนกระวายอยู่แล้ว ก็จะรีบแย่งเตาเพื่อโชว์ลีลาเมนูเด็ดที่ทุกคนเฝ้ารอนั่นคือ หมูผัดกะปิสูตรโบราณ
หลังจากเสร็จจากภารกิจแพ็คของให้ลูกแล้ว แม่ก็จะขับมอเตอร์ไซค์คู่ใจคันเดิมไปบ้านป้าที่เป็นโรงงานปลาทูนึ่ง เพื่อจะได้นั่งโม้เรื่องความก้าวหน้าในชีวิตของลูกแต่ละคนกันสักพักใหญ่ก่อนจะช่วยกันแพ็คปลาทูนึ่งลงลังมีเชือกผูกหูเป็นที่เรียบร้อย
เอ… แต่อาจจะไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่นะคะ เพราะคุณยายจะเก็บเศษเชือกฟางที่เหลือเส้นสั้น ๆ หลากสีเอามาต่อ ๆ กันแล้วม้วนไว้ใช้ยามแพ็คของอย่างนี้ ครูปูจึงมักจะต้องหิ้วลังกระดาษเปื่อย ๆ ของยายที่มีเชือกฟางหลากสีสันต่อเป็นปุ่มเป็นปม เชือกห้อยระพื้นบ้างเปื่อยขาดปลิวไสวบางส่วนบ้างกลับกรุงเทพทุกครั้งไป
เอาเป็นว่าพอจะทำให้คนที่ได้พบเห็นครูปูในวันรุ่งขึ้น นึกถึงละครเรื่องบ้านทรายทองขึ้นมาได้ก็แล้วกันล่ะค่ะ
คริ..คริ..คริ..
« « Prev : นั่งลอยชายอยู่ปลายท่าน้ำ
ความคิดเห็นสำหรับ "เฮฮาึีแม้คราจากกัน"