คบกันทนจน 40 ปี

โดย krupu เมื่อ 13 เมษายน 2012 เวลา 22:00 ในหมวดหมู่ ข้อคิดชีวิต, มุมมองของชีวิต, วิถีชีวิต, สังคม, อารมณ์ขัน, เพื่อน #
อ่าน: 112841

ตอนเด็ก ๆ แถวบ้านที่สุราษฎร์เขามีแต่ลูกชายกันทั้งนั้น พอมีครูปูไปอยู่ก็เลยเหมือนเป็นของแปลก?  ที่บ้านคงคิดจะหาเพื่อนเล่นให้นะคะ โชคดีที่บ้านถัดไปอีกสองหลัง เกิดมีลูกหลงคนสุดท้องเป็นลูกสาวอายุเท่าครูปูเด๊ะ เลยถูกจับคู่ให้เป็นเกลอกันตั้งแต่อายุได้ขวบเดียว

คำว่า “เป็นเกลอกัน”  ก็ไม่รู้หรอกนะคะว่าเขาต้องทำอย่างไร แต่ไอ้คู่นี้ทำอะไรก็ต้องทำด้วยกันหมด เราสองคนเข้านอกออกในบ้านของกันและกันตลอด ลืมตามาก็เดินมาหากันแล้ว กับข้าวบ้านไหนน่ากินกว่ากันเราก็เลือกจ่อมลงบ้านนั้น ถูกที่บ้านใช้ถูบ้าน เราก็ไม่ลืมที่จะไปลากเพื่อนมาร่วมรับชะตากรรมด้วย ถูกใช้ไปซื้อของ ก็ต้องเดินไปลากอีกคนไปเป็นเพื่อนด้วย

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

เรื่องชอบไปรอกันนี่จำได้ว่าวันหนึ่งหม่อมแม่ครูปูกำลังผัดผักอยู่ แล้วเพิ่งรู้ว่าน้ำตาลทรายหมด จึงส่งเสียงเรียกครูปูให้วิ่งไปซื้อน้ำตาลทรายที่ร้านค้าข้างบ้านมาให้หน่อย ไอ้เรานอนดูทีวีอยู่ดี ๆ ก็ไม่ได้วิเคราะห์ความเร่งรีบอะไรหรอกนะคะ แต่โปรแกรมในสมองมีอยู่แล้วว่าไปไหน ต้องไปชวน “เจ้าน้อง” ไปเป็นเพื่อนด้วย พอรับสตางค์เสร็จ ก็เดินไปชวน เจ้าน้อง ที่บ้าน   แม่นั่นก็ยังไม่ตื่น ไอ้เราก็เกิดจะอดทนรอขึ้นมาอีก

“ตื่นเร็ว ๆ ไปเป็นเพื่อนเดินไปซื้อน้ำตาลด้วยกันก่อน”

ว่าแล้วเจ้าน้องก็งัวเงีย ๆ ลุกขึ้น ล้างหน้า แปรงฟัน เข้าห้องน้ำ พร้อมบอกที่บ้านว่าจะเดินไปเป็นเพื่อนปูแป๊บนึง เดี๋ยวมา

กว่าแม่สองเกลอตัวแสบจะไปยืนเมาท์กับอาเจ็กเจ้าของร้านของชำ เมาท์ไปก็หาเรื่องเล่นไป ด้วยการวาดรูปบนข้าวสารที่อยู่ในกระสอบแล้วให้อีกคนหนึ่งทายด้วยความสนุกสนาน ขากลับก็ยังมีน้ำใจเดินไปส่งเจ้าน้องถึงบ้าน  แล้วค่อยกลับมาบ้านตัวเอง ภาพที่ปรากฎตรงหน้าคือหม่อมแม่นั่งหน้าตึงอยู่หลังบ้าน กระทะยังมีผัดผักค้างอยู่ แต่ควันโฉ่ ๆ แบบตะกี้หายไปไหนแล้วหว่า แหะ แหะ


เพราะมีแต่เพื่อนรุ่นพี่ที่เป็นเด็กผู้ชาย เราสองคนจึงต้องพลอยเล่นอะไรแบบเด็กผู้ชายไปด้วย แทนที่จะเล่นแต่งตัวตุ๊กตาแบบเด็กผู้หญิง เราก็เล่นเอาตุ๊กตายางมาทอยเส้นแข่งกันแทน เล่นมวยปล้ำ เล่นต่อยมวย

ต่อยมวย หมายถึงต่อยจริง ๆ นะคะ ถูกจับใส่นวม มีเชือกล้อมทำเวที มีเชือกกล้วยมัดผักแทนสายมงคล มีพระอาจารย์เก๊ ๆ คอยเป่ากระหม่อมให้ เป่าไปหัวเราะคิก ๆ ไป ออกแนวกระดี๊กระด๊าซาดิสม์ คงดีใจที่ได้ส่งเราไปสังเวยบนสังเวียนอะนะ  ซึ่งเราสองคนก็ต้องกลายเป็นคู่ชกกันโดยปริยายอยู่แล้ว เพราะเป็นเด็กผู้หญิงเหมือนกัน แล้วตัวเท่ากันเด๊ะ จบไฟท์แล้ว แพ้ชนะก็ไม่เคยมีผลกับเราค่ะ เข้าใจว่ามันเป็นการเล่นของพวกเราอย่างนึง จบแล้วก็จบ

ไม่ว่าจะถูกชวนไปเล่นพิเรนอะไรก็เอากับเขาด้วยทั้งนั้น ไปเดินหาไส้เดือนมาตกปลา  เล่นซ่อนแอบข้ามแม่น้ำ เรือประมงจะดูดเข้าไปใต้ท้องเรือก็หลายรอบ  แข่งกระโดดน้ำลงมาจากหลังคาเรือประมงความสูงเท่ากับตึก 3 ชั้นน่าจะได้ แล้วมีกรรมการคอยให้คะแนนอยู่ริมฝั่ง ลงผิดท่า ตัวเตอหูเหอ แขนขาแดงเป็นกุ้งต้มสุกอย่างไร ก็ไม่ยอมแสดงอาการหรอกนะคะ เดี๋ยวเสียฟอร์ม ฮ่า…

ตระเวนไปเก็บซองบุหรี่ยี่ห้อต่าง ๆ (อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแต่เด็ก :P ) มาติ๊ต่างเป็นแบงค์ 10  20  100 แล้วแต่สีของแต่ละยี่ห้อ มาเป็นต้นทุนในการเล่นไพ่ เล่นเป็นหมดทุกประเภทนะคะ ว่ามาเหอะ ยี่อิ๊ด สมสิบ ไพ่คู่ ป๊อกเด้ง (อันนี้ก็ฉลาดรู้ปูพื้นคณิตศาสตร์แต่เด็ก อิอิอิ) วัน ๆ แบกถุงซองบุหรี่พวกนี้ เดินไปเิดินมาเพื่อเตรียมรับคำท้าจากทั่วสารทิศ แจกไพ่และคิดเลขไวเป็นลิง ^^

ทำไมตอนเด็ก ๆ พี่ ๆ เขาให้ทำอะไร เราก็ทำด้วยความเมามันเต็มใจก็ไม่รู้แฮะ ไม่ค่อยทะเลาะ  ไม่ค่อยเถียงกัน  รู้แต่สนุกลูกเดียว ไปไหนก็มีพวกพี่ ๆ ล้อมหน้าล้อมหลัง  พวกพี่ ๆ ก็คงนึกว่าได้เจ้าเตี้ยสองคนนี่มาเป็นลูกสมุนเพิ่ม  ส่วนเราก็นึกในใจเหมือนกันล่ะฟะ เพียงแต่ไม่ได้พูดออกไปว่า  จะไปไหนที ก็มีองค์รักษ์ล้อมล้อมหน้าหลังเหมือนกันนาเฟ๊ย 555

ถึงจะมอมแมมเป็นลูกหมากลับเข้าบ้านแทบทุกวัน ก็สนุกดีค่ะ ชีวิตวัยเด็กแบบนี้ ส่งผลให้เราแข็งแรงกลายเป็นนักกีฬาและไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องการปรับตัวเวลาอยู่กับพวกผู้ชาย

ที่เล่ามานี่ก็ไม่ได้โทษหรอกนะคะว่าพวกเด็กผู้ชายพาซน เพราะขนาดอยู่กับเจ้าน้องสองคนก็ยังหาอะไรเล่นกันพิเรนได้อยู่ดี  แล้วอาฆาตอะไรกับรถสามล้อไม่รู้  ชอบไปเล่น  ชอบไปป้วนเปี้ยนแต่กับรถสามล้อถีบ  อย่าให้เห็นว่าคันไหนจอดอยู่เฉย ๆ ยัยสองคนนี่เป็นได้เข็นของลุง ๆ แกไปเล่น  ไปผลัดกันถีบ ไปปีนป่าย โดนไล่ตะเพิดมานับครั้งไม่ถ้วน ก็ยังจะเถียงว่าขอลองขี่นิดเดียวเอง ไม่พังหรอกน่า  :(

เยื้อง ๆ กับบ้านจะเป็นบ้านหมอชาวบ้านที่เขารับกวาดยาที่ลิ้นเด็กอ่อนรักษาไข้ซาง ทีนี้บรรดาคุณแม่หรือคุณยายของเด็ก ๆ  มักจะนั่งสามล้อเข้าซอยมาบ้านหมอท่านนี้ซึ่งอยู่ในสวน  คนถีบสามล้อส่วนใหญ่จะเป็นลุงแก่ ๆ สามล้อเก่า ๆ ถีบไปก็ได้ยินเสียง อ๊อด.. แอ๊ด.. ปานจะขาดใจไป  พอส่งเสร็จก็จะหันหัวรถสามล้อรอกลับได้เลย เพราะใช้เวลาไม่นาน

เจ้าปูกับเจ้าน้องก็นึกสนุกระหว่างที่ผู้โดยสารขึ้นนั่ง ลุงสามล้อกำลังจะเริ่มทิ้งน้ำหนักตัวไปที่แป้นถีบเพื่อออกตัว เจ้าสองคนนี่ก็หัวร่อต่อกระซิกค่อย ๆ ย่อง ปีนไปนั่งอยู่ที่ไม้กระดานด้านหลังที่มักต่อเพิ่มเพื่อให้แม่ค้าเอาไว้วางผักวางข้าวของ

ด้วยความที่ตัวเล็กทั้งคู่ น้ำหนักก็ไม่มาก หัวก็โผล่ไม่พ้นพนักพิง ผู้โดยสารและลุงถีบสามล้อจึงไม่เคยจับได้เลย นั่งห้อยขาแอบหัวเราะคิก ๆ อย่างสนุกสนาน พอสามล้อถึงหน้าบ้านก็ให้สัญญาณนับ นึง ส่อง ส้าม กระโดดลง!

“ฮ่า ๆ ๆ หนุกดีวุ๊ย  เอางี้นะ เราสองคนมากรีดเลือดสาบานกันมั้ย (พูดซะเท่ไปงั้นเอง เข้าใจว่ากำลังฮิต ติดมาจากซี่รี่ส์ทีวีตอนเย็นเรื่อง มังกรหยก มังคะ)  ถ้าถูกจับได้เราจะไม่ทิ้งกัน เราจะโดนด่าด้วยกัน ตกลงมั้ย”

“ตกลง ๆ”

ถึงวันนี้ก็ยังคงโบ้ยกันอยู่ว่าใครเป็นเจ้าของความคิดบ้า ๆ นี่กันฟะ 555

และแล้ว เย็นวันหนึ่งเจ้าเตี้ยสองคนนี่ก็เจอดี

เหตุการณ์เหมือนเดิมทุกอย่าง แม่ลูกอ่อนอุ้มลูกมากวาดยาแล้วขึ้นสามล้อกลับ โดยมีลิงสองตัวแอบย่องขึ้นนั่งท้ายรถ

ที่ต่างไปประการเดียวก็คือ วันนี้คนปั่นกลับเป็นชายรูปร่างกำยำสูงใหญ่ จำได้ว่ากล้ามขาแกใหญ่ยังกะตุ๊กตายางที่เราเล่นทอยเส้นยังไงยังงั้นเลย แค่แกออกแรงถีบรถครั้งแรก เราสองคนก็หงายเงิบจนจะกระเด็นตกรถเสียให้ได้ ตกใจก็ตกใจแต่ไม่กล้าส่งเสียง หันมาทำหน้าตาตื่นมองกันไปมาเลิ่กลั่ก

ไอ้เจ้าน้องเริ่มสติแตก หันมากระซิบ

“ปู ๆ รถวิ่งเร็วแบบนี้ แล้วเราจะกระโดดลงได้ยังไงอะ”

ยายปูเหรอคะ ยังหรอกค่ะ ยังไม่กลัวอะไรง่าย ๆ หรอกค่ะ

ไม่หรอกน่า เดี๋ยวแกก็เหนื่อย เดี๋ยวผ่านหน้าบ้านเราคงจะไม่เร็วขนาดนี้หรอกมั้ง” แน้ ใจดี สู้สามล้ออีก

แต่กาลไม่เหมือนคาด สามล้อแรงดีคนนี้ แรงดีไม่มีตกจริง ๆ ยิ่งปั่นยิ่งเร็ว แป๊บเดียวก็ถึงหน้าบ้านครูปูซึ่งเป็นจุดนัดกระโดดประจำ  ว่าแล้วก็เกิดอารมณ์ drama กันโดยมิได้นัดหมาย หันมามองหน้ากันแล้ว นึกถึงคำสัญญา

“เอาล่ะ พวกเราจะทำตามที่สัญญากันไว้นะ เราต้องกระโดดพร้อมกัน เราจะกุมมือกันไว้ เราจะไม่พรากจากกัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น (บ้ากันเข้าไป!)  เราจะร่วมเจ็บ ร่วมทุกข์ร่วมสุขกัน เราจะเป็นพี่น้องร่วมน้ำสาบานกันตลอดไป!

ตกลงนะ เอาล่ะ นึง ส่อง ส้าม”

สองเกลอกลับมาเจอหน้ากันตอนเย็น ในอีกสองวันถัดมา ต่างคนต่างระเบิดหัวเราะใส่กันโดยมิได้นัดหมาย เพราะสภาพหัวหูบวมปูด แขนขาถลอกเป็นรอยขูดขีดไม่มีใครแพ้ใคร

ไอ้เจ้าน้องหนักหน่อยตรงที่ตาก็บวม หัวก็ปูดอยู่ตรงกลางหน้าผากเด๊ะ

เพื่อนอุตส่าห์หอบสังขารมาทัก ไอ้เราก็อดที่จะแซวไม่ได้

“เง้อ นึกว่าแรดจะวิ่งเข้ามาขวิดเสียอีกอะ กร๊ากกกก…”

นึกภาพไปก็ยังขำกร๊ากได้อยู่เลยค่ะ ^^

และที่น่าหัวเราะเยาะยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ไอ้ที่โม้ว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุข เป็นพี่น้องร่วมน้ำสาบาน จะไม่ปล่อยมือจากกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นน่ะ  กระโดดกระเด็นไปทางใครทางมันตั้งแต่แรกแล้ว  แต่ละคนกลิ้งหลุน ๆ ไปฟาดนุ่นฟาดนี่ ทั้งกลัวทั้งตกใจ ต่างคนเลยต่างวิ่งแยกย้ายกระจัดกระจายบ้านใครบ้านมันในทันที  แอบหลบไปนอนเลียแผลกันคนละสองวัน  จึงค่อย ๆ มีหน้าเยื้องกรายออกมาสู่โลกภายนอก

ยังมีหน้ามานั่งกระซิบกระซาบอวดกันอีกนะ

“ปูโดนอะไรบ้าง น้องโดนด่านิดหน่อยเองแหละ รอดไป ๆ อิอิอิ”

ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต

ยิ่งโตเราสองคนก็ยิ่งมีเพื่อนต่างกลุ่มกันเนื่องจากเรียนคนละโรงเรียน คนละสายการเรียน  ครูปูสอบเข้าโรงเรียนประจำจังหวัดได้ในสายสามัญเพื่อสอบ Entrance เข้ามหาวิทยาลัยที่จังหวัดสงขลา   น้องสอบเข้าไม่ได้จึงไปเลือกเีัรียนสายพาณิชยกรรม ปวช. ปวส.ในจังหวัดแทน แล้วสอบทำงานราชการ ไต่เต้าจากการวิ่งสอบเป็นเจ้าหน้าที่การปกครองส่วนท้องถิ่นไปเรื่อย ๆ ถูกบังคับให้ย้ายไปต่างจังหวัด เพื่อที่จะได้มีตำแหน่งลง ในขณะที่ครูปูเลือกเป็นอาจารย์และย้ายมาอยู่ในกรุงเทพ

เราสองเกลอเหมือนพลุแตกแยกย้ายกันไปคนละทิศ เหมือนตอนกระโดดลงจากสามล้อคันนั้นไม่มีผิด

ถึงกระนั้น เมื่อใครได้กลับบ้านที่สุราษฎร์ ก็จะไปติดตามข่าวคราวความคืบหน้าของกันและกันผ่านทางครอบครัวโดยตลอด นาน ๆ ทีถึงจะได้กลับบ้านตรงกัน เจอกันแต่ละครั้งก็สัมผัสได้ถึงความแตกต่างของวิถีชีวิตของเราสองคน

แต่ถึงแม้เราจะอยู่กันคนละสังคม คนละรสนิยมไปเสียแล้ว เราสองคนก็ยังสามารถพูดคุยเฉพาะเรื่องที่เป็นจุดร่วมได้  เช่น ความหลัง ครอบครัว วีรกรรมบ้า ๆ บอ ๆ ที่เคยก่อไว้ตอนเด็ก เรื่องแผนการยาว ๆ ในอนาคต ฯ

น้องเป็นคนขี้อาย รักความสงบ ไม่ค่อยพูด เข้าสังคมไม่เก่ง มักปฏิเสธที่จะไปเที่ยวรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ของครูปูด้วยความเขินอาย  ถ้าครูปูหอบเพื่อนลงไปจากกรุงเทพ น้องจะไม่เคยยอมไปไหนด้วยเลย หลบหน้าได้เป็นหลบ อันนี้ครูปูเข้าใจเพื่อนดี

ครูปูเองกลับไม่เคยปฏิเสธที่จะไปรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ ของน้องเลย  ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนเก่าสมัยเรียน หรือเพื่อนร่วมงานที่ อบต.ไหนก็แล้วแต่  ครูปูมีเวลาเมื่อไหร่ แม่บึ่งตามไปล่าเพื่อนจนเจอได้ทุกจังหวัด แล้วก็สัมผัสได้ด้วยว่า ไปหาน้องทีไร น้องจะเกณฑ์พรรคพวกเพื่อนฝูงมาให้มากที่สุด และแนะนำครูปูด้วยความภาคภูมิใจเสมอ รับรู้ถึงความชื่นชมที่เพื่อนมีต่อเราได้อย่างชัดเจน และคงมั่นใจแหละค่ะ ว่าครูปูจัดการกับความเขินอายได้อย่างไม่มีปัญหา จึงซะแฮ๊ปเพื่อนของน้องทุกคนให้กลายมาเป็นเพื่อนของตัวเองได้ไม่ยาก ^^

ความเป็นเพื่อนมันอยู่ที่เดิมเสมอ เราคิดถึง จึงอยากเจอ ให้ได้รู้ได้เห็นความเป็นอยู่ ได้รู้แน่ว่าเพื่อนเรายังสบายดี ให้แน่ใจว่าเพื่อนเราอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี แค่นั้นเราก็สบายใจแล้้ว

สัมพันธภาพระหว่างเราจึงไม่เคยติดปัญหาหรือกินใจกันเลย เรารับเพื่อนได้ในแบบที่เพื่อนเป็น ด้านไหนสังคมไหนที่ติดตัวเรามาแล้วเพื่อนเราประหม่าหรืออึดอัด ก็หันด้านอื่นคุยกันก็ได้ โดยที่ไม่ต้องเสียเวลาไปปรับเปลี่ยนอะไรเลย

เราก็ยังเป็นเราคนเดิม ความรักและปรารถนาดีต่อเพื่อนก็ยังอยู่ที่เดิม

เพียงแต่ถ้าเหตุปัจจัยเปลี่ยนไปเพราะกาลเวลา ก็ปรับให้เข้ากับสถานการณ์เสียหน่อย ให้ใช้การได้

อย่าละเลยจนเหินห่าง หรือไม่ใส่ใจจนขาดสะบั้น

แม้แต่เรื่องการมีครอบครัว ที่บ้านของน้องมักจะบอกครูปูว่าน้องขี้อายแบบนี้จะหาแฟนได้ไหมน้อ ยิ่งอายุมากขึ้นก็ยิ่งโดนสบประมาทไอ้สองคนนี่คงไม่พ้นขึ้นคานเป็นคู่แหง ๆ  คบกันไปจนแก่แล้วกันนะ

ปรากฎว่าเจ้าน้องแต่งงานมีลูกสองคนกับหนุ่มชาวสวนไปเป็นที่เรียบร้อย ตอนงานแต่งครูปูจัดการให้ทุกอย่างเลยค่ะ สถานที่ การ์ด ชุด ของชำร่วย (เลือกเอง แพ็คเอง วิ่งไปแจกให้เองอีกต่างหาก) ต่อรอง บริหารจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมด เป็นพิธีกรเอง ช่วยเขียนสคริปให้เจ้าบ่าว เจ้าสาว ญาติผู้ใหญ่ทั้งหมดเอง เลือกเพลงเอง เลือกเมนูอาหารและเครื่องดื่มเอง เอาช่างภาพส่วนตัวมาเอง (กลัวเพื่อนเสียตังค์แยะอะ)

น้องไปเล่าเรื่องนี้ให้ทุกคนฟัง จึงมีหลายคนมาขอจับไม้จับมือตอนเสร็จหน้าที่พิธีกรว่า

“ฟังที่น้องเล่าแล้วอยากมีเพื่อนแบบปูสักคนจัง”

สามีน้องเข้ามาสารภาพเลยว่า ตอนแรกไม่ค่อยกล้าพูดกับปูเท่าไหร่เพราะดูเป็นคนกรุงเทพเปรี้ยว ๆ แรง ๆ กลับบอกขอบคุณเป็นอย่างมากสำหรับทุกอย่างที่เราทำให้เขาทั้งสองอย่างสุดตัว เขาเองก็ยังไม่เคยเจอเพื่อนที่ไหน ที่เขาปกป้องดูแลและดีต่อกันเหมือนเราสองคนเลย

นี่ไงคะ “เจ้าน้อง” เพื่อนที่คบกันมา 40 ปี

เพื่อน

เราสองคนยังพูดคุยกันอย่างสนุกสนาน ด้วยมุขบ้าบอได้เหมือนเดิม

แถมเห็นตรงกันด้วยว่า

ความเป็นเพื่อนของเราก็คงจะแก่ไปพร้อม ๆ กับหน้าตาของพวกเรานี่แหละเนอะ

ฮ่า ๆ ๆ ๆ

(^_____________^)

Post to Facebook

« « Prev : บ้านของหนูในสวนของพ่อ

Next : เรื่องของใจยังไงก็ห้ามชุ่ย » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

18712 ความคิดเห็น