นักสืบประจำโรงเรียน
เบอร์โทรศัพท์เป็นข้อมูลสำคัญที่ใช้ติดต่อกับนักศึกษาและผู้ปกครอง ด้วยวิถีชีวิตของครอบครัวชาวกรุงปัจจุบันที่ต้องตระเวณทำมาหากินอยู่นอกบ้านเสียเป็นส่วนใหญ่ หลายครอบครัวจึงมีที่พักที่ไม่ถาวรนัก อพาร์ตเมนท์หรือบ้านเช่าที่ย้ายกันได้ง่าย เปลี่ยนแปลงตามสถานที่ที่ได้งานทำ ครอบครัวเหล่านี้จึงไม่มีเบอร์โทรศัพท์บ้าน ครูจึงต้องประสานผู้ปกครองและนักศึกษาผ่านทางโทรศัพท์มือถือเกือบทั้งสิ้น ยกเว้นในรายที่ครอบครัวมีกิจการค้าขายเก่าแก่จริง ๆ ถึงจะมีเบอร์โทรศัพท์บ้านที่ติดต่อได้เป็นหลักแหล่ง
อาจารย์ที่ปรึกษาจะโทรแนะนำตัวกับผู้ปกครองตั้งแต่ครั้งรับตำแหน่งเพื่อทำความรู้จักและแลกเบอร์โทรซึ่งกันและกัน ก่อนโรงเรียนจะส่งจดหมายแจ้งตามไปอีกครั้ง ด้วยข้อตกลงว่าหากมีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลใด ๆ เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ ที่ทำงาน สถานภาพสมรสหรือเบอร์โทร ต้องแจ้งให้ทางโรงเรียนทราบด้วย
ปัญหาเกิดตรงที่ไม่แจ้งนี่ล่ะค่ะ
หนำซ้ำยังมีเจ้าตัวแสบส่วนหนึ่ง ตั้งใจให้เบอร์ผิดอีกต่างหาก บ้างก็ใช้เทคนิคการปิดบัง ตั้งใจกรอกผิดตั้งแต่ตอนให้ข้อมูลครั้งแรก สลับตัวเลขบางคู่บ้าง แกล้งใส่ไม่ครบหลักบ้าง ครูแก่ ๆ อย่างเราก็เพียงมองผ่าน ๆ ไม่ได้นับจนครบทุกหลักเสียหน่อย พอเกิดเหตุที่ต้องประสานนั่นล่ะความลับถึงได้แตกออกมา ยิ่งปัจจุบันเปลี่ยนเบอร์โทรกันได้ง่ายยังกับเปลี่ยนเสื้อผ้าซะอีก ทั้งผู้ปกครองทั้งนักศึกษาก็เปลี่ยนกันสนุกสนานด้วยเหตุผลต่าง ๆ กันไป
ปีหลัง ๆ มานี้จึงปรับวิธีการติดตามจากการที่อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นฝ่ายโทรถามสาเหตุของการขาดเรียน เป็นให้ผู้ปกครองเป็นฝ่ายโทรมาแจ้งสาเหตุการขาดลานั้นด้วยตนเอง โดยชี้แจงเหตุผลความจำเป็นนี้กับผู้ปกครองตั้งแต่วันปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ ผู้ปกครองส่วนใหญ่ก็เข้าใจและให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี เนื่องจากครูมักโดนเหล่าบรรดาแฟนานุแฟนของนักศึกษาทำเสียงเข้มหลอกกันกลางวันแสก ๆ กระแอมกระไอขออนุญาตพาเด็กไปต่างจังหวัดบ้าง ขอลาป่วยให้เด็กบ้าง แต่พอโทรเข้าบ้านปรากฎว่าผู้ปกครองตัวจริงไม่เห็นรู้เรื่อง หาตัวผู้ปกครองตัวปลอมที่โทรมาเมื่อครู่ก็ไม่เจอ
ตัวอย่างเช่นกรณีที่เกิดขึ้นวันนี้ เจ้าวินที่มีผู้ปกครองเป็นหลวงลุงรูปหนึ่งคอยส่งเสีย เทอมที่แล้วขี้เกียจเรียน ติดเพื่อน หลวงลุงไม่สามารถคอยกำกับดูแลอย่างใกล้ชิดได้ตลอดเวลา วินจึงอยู่ในบ้านเช่าพร้อมกับลูกพี่ลูกน้องอีกคนที่เป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย เลยมีอิสระเหนืออื่นใด สามารถชวนเพื่อน ๆ ไปมั่วสุมที่บ้านในเวลาที่พี่คนนี้ไปเรียนได้สบาย ๆ จึงทั้งหนีเรียน ทั้งใช้บ้านเป็นแหล่งมั่วสุม ทั้งรวมแก๊งค์แข่งรถคงเพราะไม่มีอะไรทำเลยเลือกแสดงแสนยานุภาพของกลุ่มกัน ผลการเรียนก็ต่ำลงเรื่อย ๆ
ครั้นจะจี้ขอความร่วมมือจากพระท่านนักครูก็พูดกันไม่ค่อยจะเต็มปาก สั่งลงโทษให้อยู่กับครูในช่วงเย็น 1 เดือนเลยดีกว่า มีโอกาสตามงานที่ค้างอยู่ทั้งหมด เพราะอยู่ใกล้ครูเลยได้สัมผัสความเป็นกันเอง ทำให้เข้าใจครูมากขึ้น ได้เห็นครูทำท่าทางตลก ๆ บ้า ๆ บอ ๆ ในกิจกรรมต่าง ๆ หลังเลิกสอนก็ยิ่งสนิทกับครูมากขึ้น และเพราะถูกใช้งานเสียหัวปั่นจึงกลับบ้านไปสลบเหมือดทุกวัน ไม่มีพลังงานเหลือพอจะไปรวมกลุ่มเที่ยวเตร่เหมือนเคย ผลปรากฎว่าตกน้อยกว่าที่คาดไว้มาก (แต่ก็ยังตกแหละ)
มาเทอมนี้ปัญหาการขาดเรียนไม่มีแต่ยังติดขี้เกียจ มาเรียนสายบ้าง
จู่ ๆ สัปดาห์ที่แล้วหายไปเลย 1 สัปดาห์ ???
เบอร์โทรที่เคยให้ไว้ติดต่อไม่ได้ซักกะเบอร์ อาจารย์ที่ปรึกษาก็ส่งไปรษณียบัตรไปแจ้งตามที่อยู่ที่ให้ไว้ เพราะติดต่อไม่ได้เกิน 3 วันแล้ว ก็ไม่ได้รับคำตอบ ถึงจะได้รับก็คงเป็นเจ้าตัวนั่นแหละเพราะอยู่กันเองแค่สองคนเด็กทั้งคู่
วันนี้ครบหนึ่งสัปดาห์พอดี จู่ ๆ ก็มาเข้าเรียนเฉยเลย อาจารย์ที่ปรึกษาก็นำตัววินมาคุย ก็พูดบ่ายเบี่ยงอย่างนู้นอย่างนี้ บอกอยู่บ้านไม่ได้ไปไหน อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ จำเบอร์ใครก็ไม่ได้แม้แต่คนเดียว ไม่ได้การแล้วนี่แสดงว่าวินแย่ลงกว่าเดิมแล้วนี่นา เฮ้อ!
วินมีความลับอะไรที่ต้องปิดบังขนาดนี้นะ จะปล่อยไปก็กลัวจะเตลิดหายไปเลย
ที่ครูเขาโมโหกันคือ แค่บอกว่าไปไหนมาแค่นี้ ทำไมบอกไม่ได้???
อาจารย์ที่ปรึกษาก็แล้ว รองหัวหน้างานก็แล้ว มาถึงหัวหน้างานก็แล้วอีก ยังไม่มีใครสามารถทำให้วินเปิดปากพูดได้ หัวหน้างานจึงมาปรึกษาว่าจะทำอย่างไรกันดี ครูปูขอให้ประชุมระดมกำลังหาข้อมูลจากแหล่งอื่นเท่าที่ทำได้ พบว่าในทางพฤตินัยนั้นมีหลวงลุงเป็นผู้ปกครองก็จริง แต่ในใบสมัครตอนปี 1 เด็กกรอกไว้ว่ามีผู้ปกครองอีกคนเป็นครูอยู่โรงเรียนแห่งหนึ่ง แต่ไม่ได้ให้เบอร์โทรไว้ จึงค้นหาเบอร์โทรของโรงเรียนนั้นใน internet แล้วลองโทรไปสอบถามว่ามีครูชื่อนี้อยู่หรือไม่ ปรากฎว่ายังอยู่ แต่เนื่องจากมีนโยบายไม่เปิดเผยเบอร์โทรส่วนตัวของครูแก่บุคคลภายนอก จึงให้เบอร์โทรไม่ได้
แนะนำตัวก็แล้ว แจ้งว่าต้องการประสานด่วนเนื่องจากเด็กติดปัญหาพฤติกรรมก็แล้ว
เจ้าหน้าที่ธุรการตอบว่า จะโน๊ตไปบอกอาจารย์ท่านนั้นให้ แต่กว่าจะเลิกสอนก็ต้องเป็นหลัง 3 โมงเย็นไปแล้ว
กว่าจะรู้เรื่องกว่าจะโทรกลับ อยู่ก็ไกล กว่าจะเดินทางมาถึง เราเองก็ไม่ควรกักตัววินไว้ถึงเย็นย่ำค่ำมืดเสียด้วย จะตามไปบ้านด้วยก็รู้แล้วว่าอยู่เพียงลำพัง ถึงครูตามไปก็คงไม่เจอใคร จะปล่อยไปก่อนก็ไม่ได้ เพราะวินรู้ตัวแล้วว่าโรงเรียนเอาเรื่อง ถ้าหนีเตลิดหายไปเลยล่ะ จะทำยังไง
ไม่เอาดีกว่า ช้าตายชัก ไม่ทันใจเลย ลองอำดูดีกว่า
“จริง ๆ อาจารย์เองเคยคุยกับคุณครูท่านแล้วล่ะ แค่แปลกใจว่าท่านเปลี่ยนเบอร์โทรหรือเปล่า ทำไมโทรไม่ติดเลยหลายครั้งแล้ว รบกวนน้องช่วยบอกแค่ว่าเบอร์เปลี่ยนหรือไม่ก็พอ อาจารย์เข้าใจดีนะว่าน้องต้องทำตามหน้าที่”
ปรากฎว่าน้องธุรการหลุดพลั่กออกมา “ใช่เบอร์ 086- xxxxxxx หรือเปล่าคะ”
รีบรับมุขทันควัน “ใช่จ๊ะ ๆ เอ แล้วทำไมพี่โทรไม่ติดน้า… น้องแน่ใจนะว่าครู…ยังใช้เบอร์ 086-xxxxxxx อยู่น่ะ”
“ค่ะ ยังใช้อยู่แน่นอนค่ะ เมื่อเช้า ผอ.ยังให้หนูโทรหาแกอยู่เลยค่ะ”
“อ๋อจ๊ะ ไม่เป็นไร งั้นขอบคุณน้องมาก เดี๋ยวอาจารย์จะพยายามโทรอีกทีแล้วกัน”
ได้เบอร์มาแล้วเฟ๊ย แต่ไม่กล้าทำหน้าบานในตอนนั้นเพราะถูกน้อง ๆ จ้องหน้าอยู่ บางคนก็แอบขำในเทคนิคของเรา เลยแก้เก้อกดโทรศัพท์ให้อาจารย์ที่ปรึกษาเป็นคนคุยแทน ได้ข้อมูลเบื้องต้นมาอีกหน่อย
ซักพักมีเบอร์แปลก ๆ โทรเข้าเครื่องครูปู ปรากฎว่าเป็นเบอร์ใหม่ของหลวงลุงที่เพิ่งเปลี่ยน (แล้วไม่แจ้ง) โทรกลับมาตามเบอร์ที่โชว์อยู่ในเครื่องของคุณครูท่านนั้น เข้าใจว่าครูท่านนั้นอาจไม่ได้รับผิดชอบเด็กโดยตรง จึงรีบประสานหลวงลุงให้ประสานกับทางโรงเรียนแทน เลยฉวยโอกาสอัพเดตข้อมูลใหม่หมด ก่อนจะเข้าเรื่อง
แล้วก็ได้เรื่อง!
เมื่อถูกถามหนัก ๆ เข้า หลวงลุงจึงค่อย ๆ บอกมาว่า
น้องสาวซึ่งเป็นแม่ของเด็กติดคุกในข้อหาค้ายาเสพติดมาหลายปีแล้ว เป็นสาเหตุให้ตนต้องมารับภาระดูแลเด็กตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน เด็กจึงโตมาแบบเว้า ๆ แหว่ง ๆ เพราะชีวิตวินไม่มีใครแล้วนอกจากท่าน เมื่ออาทิตย์ที่แล้วแม่เด็กเพิ่งพ้นโทษ ด้วยความคิดถึงลูกจึงมารับตัววินไปอยู่กับตนเองที่บ้านต่างจังหวัด 1 สัปดาห์
ถึงบางอ้อกันทั้งวงสิครูเรา
จากที่ถูกกักตัวไว้เมื่อครู่กลายเป็นได้ขึ้นเรียนทันที พร้อมทั้งมอบหมายอาจารย์ที่ปรึกษาพาไปพบอาจารย์ประจำวิชาเพื่อตามงานและขอสอบย้อนหลังทั้งหมดที่ขาดไป
ช่วงเย็นครูปูจึงเปิดวงแลกเปลี่ยนเรื่องนี้กับงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะงานพัฒนาวินัยฯ ที่แจ้งมาว่าเอือมระอากับเด็กแย่แล้ว อาจถึงขั้นเสนอพิจารณาสถานภาพได้ หลังจากฟังจบกลับเห็นใจ แล้วก็พอเดาสาเหตุที่เด็กไม่ยอมเปิดปากบอกว่าหายไปไหนมาได้ เปลี่ยนจากวงพิจารณาโทษมาเป็นวงวิเคราะห์สภาพจิตใจของเด็กเพื่อวางแผนช่วยเหลือด้วยวิธีการต่าง ๆ แทน และตกลงกันว่าเราจะ “ข้าม” ไม่พูดถึงเหตุการณ์ครั้งนี้กันอีกเลย โดยเฉพาะกับวิน
เพราะ “แม่” เป็นสัญลักษณ์ของความดี ความงาม จะให้เขาให้คำตอบเป็นอย่างอื่นไปได้อย่างไร อย่าว่าแต่เด็กเลย เป็นตัวเราเอง เราจะตอบว่าอย่างไร? จะพูดออกไหม?
จะเห็นว่าข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กมีความสำคัญมาก ๆ เพราะข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน เว้า ๆ แหว่ง ๆ อาจทำให้ผู้ใหญ่อย่างเราคิดกันไปเอง เผลอตัดสินเขาในแบบที่เราคิดว่าเขาเป็น
เด็กกับครูเป็นคนสองวัยที่จำต้องมาขลุกอยู่กันอย่างน้อย 5 วันต่อสัปดาห์ แถมอัตราส่วนยังไม่ใช่ 1ต่อ 1 อีกต่างหาก จึงจำเป็นต้องรู้จัก เพื่อเข้าใจ เพื่อรู้ใจ เพื่อพัฒนาและงอกงามไปพร้อม ๆ กันให้จงได้
ต่อให้ต้องใช้เทคนิคแพรวพราวแค่ไหนในการเสาะแสวงหาข้อมูลที่จำเป็นบ้าง
ก็จะทำค่ะ
« « Prev : หัวอก ผอ.
Next : เมื่อครูบ้าเลือดถูกตำรวจระราน » »
ความคิดเห็นสำหรับ "นักสืบประจำโรงเรียน"