เจ้าเป็นไผ (งานของชีวิต)
ตรวจงานคนงานก่อสร้าง เดินเคาะพื้นกระเบื้องเพื่อรับงาน จนได้ฉายาว่าเป็น VBAC รุ่นเคาะกระเบื้อง
เช็คยาแนวตรวจความเรียบร้อยของระบบสายไฟ เจรจาต่อรองราคาวัสดุก่อสร้าง วัสดุอุปกรณ์ประกอบการเรียนการสอน ขับรถกระบะออกติดป้ายประชาสัมพันธ์ เป็น รปภ. เฝ้าโรงเรียนเพื่อสังเกตอาการของระบบสาธารณูปโภคต่าง ๆ ซื้อของขนเข้าสหกรณ์ ขัดห้องน้ำ หุงข้าวทำกับข้าวเลี้ยงครูทั้งโรงเรียน ออกบรรยายแนะแนวประชาสัมพันธ์ เดินแจกโบชัวร์ตามหมู่บ้าน ตระเวนแนะนำตัวเพื่อทำความรู้จักกับโรงเรียนใกล้เคียง (present face )
ประสานกับหน่วยงานต้นสังกัดเรื่องระเบียบวิธีการดำเนินกิจการโรงเรียน จนถึงเป็นตัวแทนออกงานสังคม เป็นกรรมการสภาวัฒนธรรมเขต เป็นพิธีกรรับเชิญ เป็นอาจารย์พิเศษ ออกให้บริการชุมชนและหน่วยงานในบริเวณใกล้เคียง ร่วมกับสถานีตำรวจและสำนักงานเขต งานราษฎร์งานหลวงอะไรที่ทำได้รับหมด
เอาเป็นว่าไม่มีงานไหนจุดใดของโรงเรียนที่ไม่เคยทำก็แล้วกัน (น้อง ๆ บอกเซ็งเลยพี่แกทำมาก รู้มาก ทำได้ไปซะทุกอย่าง เถียงแกไม่ขึ้นซักเรื่อง)
นักเรียนนักศึกษาระดับ ปวช. ปวส. จะต้องเน้นเรื่องภาษาอังกฤษธุรกิจ หรือภาษาอังกฤษในวิชาชีพ ทักษะการสื่อสารจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ครูปูจึงเน้นการสอนที่ใช้ภาษาอังกฤษล้วน เด็กนักเรียนที่เจอครูปูชั่วโมงแรก จะต้องช็อคอ้าปากค้างทุกคน จริง ๆ เป็นความจงใจจะให้เขาเกิดเครื่องหมายคำถาม อันโต ๆ ไว้ก่อนเลย ใช้ body language ประกอบแทบจะทุกคำที่ครูพูด
เรื่องนี้ครูต้องมีทักษะในการสื่อความสูงและตั้งใจมาก ๆ ยอมเหนื่อยเพื่อจะตีบทให้แตก จากประสบการณ์ ถ้าทำท่าเกินจริงหน่อยทำปากน่าเกลียด ๆ ออกเต็มเสียงก้องกังวาน accent ครบ ตาโต แลบลิ้น ปลิ้นตาเกินเหตุ ทำสีหน้าให้เกินจริง เพื่อความชัดเจน เด็ก ๆ จะชอบมาก ครูจะโดนล้อเลียนท่าต่าง ๆ เหล่านั้นไปอีกนานแสนนาน
ครูเองต้องทำตัวเป็นดาวยั่วยิ่งว่าเหมือนยิ่งยุมีท่าประหลาด ๆ มานำเสนอให้ได้ฮากันทุกวันเพราะเราจะ อิอิ อยู่ในใจเสมอเมื่อเห็นว่าลูกศิษย์เรากำลังฝึกการใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง โดยที่เขาก็ไม่รู้ตัวแถมฝึกกันอย่างสนุกสนานเสียด้วย เดินสวนกันตะโกนประโยคนั้นชัดเปรี๊ยะ คงคิดจะล้อเลียนครูปู เสร็จแล้วขำกันกร๊าก ๆ แหนะค่ะ คิดดู (เสร็จเรา หุหุ)
อีกทั้งต้องให้เขาได้เป็นพระเอกนางเอก เป็นคนสำคัญเป็นจุดศูนย์รวมสายตา ศูนย์รวมความสนใจในชั้นเรียน ทำยังไงให้เขาเรียนไปยิ้มไปหัวเราะไป
ปากก็แย่งกันตอบผิด ๆ ถูก ๆ ระคนกับเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม
เมื่อเลิกเรียนแล้วหากครูตามไปวัดผลสักนิด เลียบ ๆ เคียง ๆ แอบฟังว่าพวกเขายังคงหิ้วมุขภาษาอังกฤษจากห้องเรียนเมื่อสักครู่ ไปเล่นแหย่กันเองไปหัวเราะไปแอบอารยะนินทาตัวครู ถึงท่าทางประหลาด ๆ ตลก ๆ ที่ครูทำเมื่อสักครู่ด้วยความสนุกสนานหรือไม่
ถ้ามี อันนี้น่าจะเข้าข้างตัวเองได้หน่อยนึงแล้วว่าเราสอบผ่าน
ระหว่างติดตามพัฒนาการรายคนแล้ว ครูต้องทำให้งานที่กำลังจะมอบหมายหรือข้อสอบที่กำลังจะเลือกมาวัดนั้นกลายเป็นเครื่องมือที่สร้างความตระหนัก ไม่ใช่หักหาญน้ำใจ
เชื่อโดยส่วนตัวว่าถ้าเขามีความสุขแล้วใจจะเปิดรับ เมื่อได้ทำอะไรที่มีความสุข เด็กก็จะขวนขวายวุ่นวายทุ่มเทอยู่กับสิ่ง ๆ นั้น ยิ่งลูกศิษย์วัยรุ่นอย่างของครูปูหายห่วงเรื่องพลังงานและความคิดสร้างสรรค์ค่ะ
บุคลากรทุกคนในโรงเรียนจะรู้ดีว่า หากภาคเรียนไหนครูปูว่างพอจะจัดตารางสอนให้ตัวเองได้ ทุกคน! จะต้องเตรียมตัวฟื้นภาษาอังกฤษขึ้นมาใหม่ได้เลยเพราะเด็กที่ได้เรียนกับครูปูจะมีกิจกรรมนอกห้องเรียนตลอด โดยจะต้องไปสนทนาเป็นภาษาอังกฤษกับอาจารย์และเจ้าหน้าที่ทุกท่านแล้วนำข้อมูลในหัวข้อต่าง ๆ มาส่งเป็นงานชิ้นหนึ่งด้วย กรี๊ดกร๊าดกันทั้งโรงเรียน ไม่รู้ใครสอนใคร อิอิ
กลับบ้านไปแล้วก็ต้องระวังตัวให้ดีเพราะครูปูแกท่าทางจะว่างมาก แกสามารถโทรมาสุ่มสัมภาษณ์ใครเมื่อไหร่ก็ได้ หรือไม่ตอนสอบก็ต้องแย่งกันกระหน่ำโทรหาแก เพราะแกจะล็อคเวลาไว้แล้วว่าคนละ 15 นาที แถมถ้วยชามข้าวของเครื่องใช้ในบ้านจะต้องติดคำศัพท์ภาษาอังกฤษไว้ให้หมดด้วยนะ แกจะตามมาดู กว่าแกจะบอกว่าตามมาดูไม่ทันถ่ายรูปมาให้ดูหน่อยก็ต้องติดคาไว้อย่างนั้นเป็นเทอม ๆ
ดู๊ ดู ดูแกทำ
รับผิดชอบเป็นอาจารย์ที่ปรึกษาตลอด ใครขาดหรือสายบ่อย แม่ตามถึงบ้าน ไปนั่งคุยไปตีสนิทกับครอบครัว นั่งกินข้าวทำความรู้จัก รับฟังสารทุกข์สุกดิบของเขาเสียเลย ความที่ไปมาหลายบ้านก็เลยสามารถเป็นคนกลางประสานเรื่องต่าง ๆ ระหว่างครอบครัวได้ด้วย
ผู้ปกครองที่กำลังแย่เพราะเพิ่งตกงานก็ประสานไปที่อู่ซ่อมรถหรือบริษัทส่งออกของผู้ปกครองอีกคน ให้ช่วยรับหรือประสานต่อตามแต่เส้นสายที่มี
เด็กบางคนโตแล้วไม่มีผู้ปกครองส่งเสียออกมาสู้ชีวิตเอง ครูปูก็จะไปดูให้เห็นด้วยตาว่าอยู่กันสองคนกับแฟนนี่อยู่กันยังไงใช้ชีวิตกันยังไง คุมกำเนิดกันหรือเปล่า หนีบเขาไว้ใกล้ ๆ ตัว เพราะเด็กที่ใช้ชีวิตคู่แล้ว มุมที่เขาจะมองสิ่งต่าง ๆ จะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป ความเสี่ยงจึงสูงขึ้นเป็นของแถม
บางครอบครัวสนิทกันเหมือนญาติเลยค่ะ เสาร์อาทิตย์ครอบครัวเขาไปเที่ยวต่างจังหวัดก็มารับเราไปด้วย จากวางมาดเป็นอาจารย์เลยกลายเป็นพี่สาวเด็กได้แบบเนียน ๆ
(ตอนนั้นเป็นพี่ได้ ตอนนี้คงเป็นป้าแล้วล่ะค่ะ)
ทำให้เด็กไม่มองเราเป็นแค่ครูที่ยืนสอนหน้าชั้นเรียนเท่านั้นแต่เป็นคนในครอบครัวที่รับพื้นฐานชีวิตเขาได้จึงไม่ต้องอายไม่ต้องกลัวที่จะแบ่งปันการรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในชีวิตเขา
ที่ทุ่มเทขนาดนี้ก็เพราะประทับใจน้ำใจและโอกาสการทำงานอย่างอิสระที่ท่านประธานกรรมการบริหารและท่านผู้อำนวยการมอบให้ ดูแลกันอบอุ่นแบบครอบครัวตลอดเวลา ทำโครงการสวัสดิการบ้านพักเพื่อบังคับให้ครูปูยอมมีบ้านเป็นของตัวเอง บังคับให้ออมเงิน พาไปท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศอยู่เสมอ
ทุกเช้าครูปูจึงไม่คิดว่าตัวเองมาทำงานแต่เหมือนมาบ้านหลังที่สอง เห็นอะไรรกหูรกตาก็ปัดกวาดเช็ดถู ดูแลเด็ก ๆ ที่อยู่ในบ้านให้มีความสุข มีพัฒนาการ เสร็จแล้วก็นั่งยิ้มกริ่มภูมิใจสิ้นเดือนพ่อแม่จะให้เงินค่าขนมมากน้อยเท่าไหร่ นั่นอีกเรื่อง
แต่
เพื่อนร่วมงานกลับแอบนิยามครูปูว่า “เป็นคนดีที่ไม่กล้าเข้าใกล้”
ได้ยินแล้วก็แอบเสียใจแบบน้ำตาตกในอยู่คนเดียว
มันเหมือนอุตส่าห์เหนื่อยเสียสายตัวแทบขาด เข้าใจไปเองหรือเปล่าไม่ทราบว่าตัวเองก็พอจะเป็นต้นแบบได้ในเรื่องการทำงาน น้องคนไหนเกิดปัญหาอะไร ก็ตามไปล้วงลูกช่วยเขาแบบถึงลูกถึงคน พ่อแม่ใครเสียไม่มีเงินจัดงานศพยังอาสาแบกหน้าไปต่อรองค่าใช้จ่ายกับเจ้าอาวาสให้ ไม่ใช่ต่อรองซิ ขอท่านฟรีเลยล่ะ จนท่านพยักหน้ารับแบบเสียมิได้ (บีบคั้นพระนี่บาปไหมนี่)
แต่ผลที่ได้ทุกคนตีกรอบและยกเราไว้เป็นได้แค่”นาย“
ไม่ใช่ ”เพื่อนหรือพี่น้อง“ อย่างที่เราต้องการ อย่างที่เราคิดว่าเราเป็นได้
ไหนว่าเราดีไง ทำไมไม่น่าอยู่ใกล้ เรื่องเป็นคนดีไม่มีแผล ตรง ขยัน จริงใจและมีอารมณ์ขันทุกคนรับรู้หมด แต่เวลาโกรธมักขาดสติใช้คำแรงอภัยยาก ไม่รอมชอมยอมหักไม่ยอมงอนี่หลายคนขยาด ทำให้งง ๆ กับชีวิต
เมื่อให้เด็กนักเรียนลองวิเคราะห์ตัวครูปู เด็กบอกว่าอาจารย์น่ะเวลาดีก็ดีใจหาย แต่เวลาพวกเราดื้ออย่าดันทุรังเถียงข้าง ๆ คู ๆ นะแกเอาตายแน่
น้องชายคนเล็กที่ครูปูส่งให้เรียนวิศวะ เกรงใจครูปูยิ่งกว่าแม่เสียอีก จะไปเที่ยวไหนทีพอไปขอแม่ แม่จะบอกว่าแม่ไม่กล้าอนุญาตหรอกไปขอเจ๊ปูนู่น พี่แกเลือกไม่ขอไปเลยค่ะ แต่พอมีเรื่องอะไรที่ต้องติงเค้า กลับร้องไห้ บอกเจ๊ปูไม่ค่อยฟัง เจ๊ปูไม่เข้าใจ น้องสาวอีกคนก็พูดจาแข็งกร้าวมะนาวไม่มีน้ำ ทำยายเสียใจอยู่เรื่อย
เราก็งง ๆ คิดไปว่าตัวเองก็ทำหน้าที่ที่ควรจะทำครบทุกอย่างแล้วนะ ทำไมครอบครัวเราไม่อบอุ่นเลย ทำไมทุกคน (โทษคนอื่น) ไม่พยายามทำให้ครอบครัวอบอุ่นพูดคุยกันดี ๆ แบบครอบครัวอื่นนะ
ทำไม ?
เจ้านายก็ลุ้นตัวโก่งสอนมวยทุกวัน ปีหนึ่งมี 12 เดือน หลอกครูปูออกไปนั่งรถเล่นซักสองเดือนเห็นจะได้ บางวัน 9 โมงเช้า ท่านมารับแล้ว หายกันไปทั้งวัน ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะท่านเพิ่งกลับมาเมืองไทยก็เลยไม่ชำนาญเส้นทาง แล้วก็ไม่ค่อยจะยอมไปกับคนรู้ทางหรอกนะ ต้องไปกับครูปูเท่านั้น พอหลงก็ชอบหันมาถาม ครูปูเลยบอกท่านไปว่า
“ท่านประธานฯ คะ หนูน่ะก่อนมาใช้นามสกุลนี้หนูเคยใช้แซ่มาก่อนนะคะ แซ่หลง อ่ะค่ะ” อิอิ
ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะเวลาที่ไม่อยู่กับงาน ไม่เครียด ครูปูจะเป็นคนตลก พูดเก่ง มุขเยอะ แหย่คนนู้นคนนี้ให้หัวเราะได้ตลอดเวลา น้อง ๆ มักบอกว่าทำงานกับพี่ปูเครียดแต่ไปเที่ยวต้องมีพี่ปูถึงจะสนุก (เอายังไงกันแน่ยะ)
ท่านประธาน ฯ จึงได้ทั้งเพื่อนคุยและมีเวลาสอนมวยลูกน้องไปด้วย แถมยังได้ขำๆ ไปตลอดทางแม้จะหลงทางเสียเวลาทุกครั้งก็เหอะ
กว่าท่านประธานฯ กับครูปูจะกลับถึงโรงเรียนก็มืดทุกวัน บางวันครูปูหนีเลยค่ะ ไม่รับโทรศัพท์ หาตัวไม่เจอ ท่านรอไม่ได้ก็เลยต้องหาคนอื่นไปแทน ด้วยความเขลาจึงคิดไปว่าเป็นเรื่องเสียเวลา งานการก็ไม่ได้ทำซักแอะ ตะลอน ๆ ไปห้างนู้นทีห้างนี้ที กินข้าวกับท่านประธานฯ ทั้งมื้อเช้า เที่ยง และเย็น แถมกลับมานั่งคุยกันต่อที่โรงเรียนอีกจนมืดค่ำ ดึกสุดเคยนั่งคุยกันเกือบถึงตี 3 แล้วครูปูหลับคาเก้าอี้ไปนั่นแหละท่านจึงไปส่งที่พัก
เสาร์อาทิตย์ท่านจะมาบีบแตรปรี๊น ๆ ที่หอพัก แล้วโทรขึ้นมาบอกว่า “ปู ประธาน ฯ กับ ผอ. น้องอ๊อฟ น้องโอ๊ต รออยู่ข้างล่างนะลูก เดี๋ยววันนี้เราไปไหว้พระกันนะลูก ไปสระบุรี ดูผ้าไหมกัน ไปดูที่ที่อยุธยากัน ไปดูนเรศวรรอบปฐมฤกษ์กัน ไปตลาดต้นไม้คลอง 12 กัน ไปลุยจตุจักรกัน วันนี้ประธาน ฯ จะพาหนูไปดูบ้านนะ จะได้เป็นไอเดียเวลาที่จะตัดสินใจซื้อบ้านนะ“
เรียกว่าอยู่กับท่าน 7 วันต่อสัปดาห์ตลอดมา
ท่านประธาน ฯ จะแกล้งหลอกว่าไปซื้อของบ้าง ไปธุระบ้าง แล้วค่อย ๆ psycho
“ปูเนี่ยะเป็นคนเก่งนะ คล่องแคล่ว หัวไว มั่นใจในตัวเอง ตาแหลมด้วย มีปาก มีวาทศิลป์ มีความสามารถรอบตัว ทำได้ทุกเรื่องแล้วปูก็มีความเป็นครูสูง เด็ก ๆ เค้ารับรู้ได้นะ
แต่!
ปูนะ ชีวิตคนเรามันต้องแกล้งโง่เป็นบ้าง การอยู่ร่วมกันกับคนหมู่มาก มันต้องมีการเมืองนะลูก ปูต้องหาวิธีซื้อใจลูกน้องบ้างนะ หัดปิดตาซะบ้าง อย่าดันคนจนติดผนังมันจะไม่มีที่ให้กลับตัวนะ
เวลาใครทำผิดอะไรให้ปูถามตัวเองก่อนว่าจะเอาเขาไว้มั้ย ถ้าไม่เอาประธานฯ จะเคลียร์ให้
แต่ถ้าปูตั้งใจจะแค่เตือนน้องเพื่อให้เขาเปลี่ยนแปลงปูต้องเหลือที่ให้คนกลับตัวบ้างนะ อย่าดันเค้าจนหลังชนฝานะลูก คนมันเข้าตาจนมันอาจต้องเลือกที่จะต้านกลับนะ แล้วตอนมันหน้ามืดเนี่ยะมันจะจำไม่ค่อยได้หรอกว่าปูเคยดีกับมัน เคยรักมันขนาดไหน
เอาอย่างนี้นะ เดี๋ยวประธาน ฯ จะพูดแบบนี้นะแล้วปูรับลูกไปเลยนะ ปูจะได้มีเครดิตกับน้อง ๆ ไง เดี๋ยวหนูเอาไป 2,000 นะแล้วหาเรื่องพาทีมนี้ไปกินข้าวเฮฮากันนะ น้อง ๆ เค้าจะได้รู้สึกสบาย ๆ กับปูไง
ปูเอ๊ย เอาไว้หนูอายุเยอะกว่านี้หน่อยประธานฯ จะส่งหนูไปเรียน สจว.”
แม้แต่ก่อนประชุมท่านก็จะเรียกไปแบ่งหัวข้อกันก่อน
เรื่องไหนที่เป็นเรื่องลบท่านจะเลือกพูดเอง ให้ครูปูพูดแต่สิ่งที่เป็นบวกกับน้อง ๆ แต่เวลาปฎิบัติถ้าเจอข้อผิดพลาดในการทำงาน ก็เผลอแว๊ดเข้าให้อีกอยู่ดีล่ะค่ะ
เฮ้อ!
ท่านมักหนีบครูปูออกงานสังคมอยู่เรื่อย ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่ชอบ มันอึดอัดและเป็นตัวของตัวเองไม่ได้อาจเพราะอยากให้เกิดการเรียนรู้ในสังคมที่กว้างขึ้น งานเลี้ยง วปอ. ของลุงเอกนี่ไปประจำค่ะ แต่ก็ไม่เคย get อะไรเพิ่ม
คำถามที่ค้างเติ่งในใจ ยังน่ารำคาญเหมือนเศษอาหารติดเหงือกอยู่ตลอดเวลา
« « Prev : เจ้าเป็นไผ (ฟ้ายังมีฝน)
Next : เจ้าเป็นไผ (คนค้นชีวิต) » »
ความคิดเห็นสำหรับ "เจ้าเป็นไผ (งานของชีวิต)"