เจ้าเป็นไผ (คนค้นชีวิต)

อ่าน: 32799

เพราะถูกท่านประธานกรรมการบริหารขอร้องแกมบังคับมาตามสายโทรศัพท์จากอเมริกา จึงต้องไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน  7 วัน 6 คืน หลักสูตรการพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดปัญญาและสันติสุข   ณ วัดผาณิตาราม   จังหวัดฉะเชิงเทรา ในวันที่ 18 - 24 มีนาคม  2546  แทนท่าน

การเดินจงกรม ด้วยการกำหนดทุกอริยาบถที่ร่างกายทำ แล้วให้ระลึกรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่  แรก ๆ ให้ส่งเสียงเลยว่านี่กำลังก้าวนะ นี่กำลังยกนะ  หลัง ๆ ก็ห้ามพูด ให้กำหนดเงียบ ๆ อยู่ในใจ

ครูปูทำไม่ได้ค่ะ

พื้นเย็น ร้อน อ่อน แข็งไม่รู้ค่ะ   กำหนดไม่ทัน ก้าวเท้าไปข้างหน้าแค่รู้สึกให้ได้แล้วบอกออกมาว่านั่นขวาหรือซ้ายยังทำไม่ได้

ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจิตตัวเองแสนหยาบและเพ้อเจ้อไม่ได้เกาะอยู่กับกายตลอดเวลาเหมือนที่ควรจะเป็น กายเป็นไปโดยอัตโนมัติเพียงสั่งงานไว้คร่าว ๆ  ว่าจะเดินแล้วเปิดระบบ auto pilot  ให้มันไปของมันเองด้วยความประมาท

สั่งการเสร็จจิตก็แจ๋นไปฟุ้งเรื่องอื่นต่อ

ฟุ้งไปถึงบ้านถึงแม่ถึงน้องถึงงาน ถึงลายเสื้อของคนข้างหน้าถึงการจับผิดจ้องพลาดของคนข้างๆ ถึงเรื่องที่ยังคาใจ  ใครต่อใครหลายคนในห้องปฏิบัติเซแทบล้มทั้งยืนรวมถึงครูปูด้วย ทั้งที่เป็นแค่การเดินช้า ๆ

นี่แค่เดินช้า ๆ นะ แล้วถ้าในชีวิตปรู๊ดปร๊าดไฮเปอร์แบบครูปูล่ะ ความระลึกรู้จะแทรกได้ไหม ทันไหม

รู้ตัวเลยว่า นี่คือระดับสติปัญญาและความสามารถที่แท้จริงของเรา

แค่กายเล็ก ๆ หยาบ ๆ กับจิตดวงเดียวยังควบคุมดูแลไม่ทั่วถึงไม่เท่าทัน

เจ้าเด็กจองหองไม่เคยยอมฟังใคร ไม่เคยอนุญาตให้ใครเข้ามารับรู้ หรือมีส่วนในความรู้สึกนึกคิดในชีวิตเลย

ใครจะพูดจะบอกอะไร  ไอ้ที่ไม่เข้าใจก็แอบว่า  ว่าเขาพูดไม่รู้เรื่อง ไอ้ที่คิดว่ารู้เรื่องแล้วก็เข้าข้างตัวเองว่า รู้ลึกกว่า

มีครบอาการเลยทั้งโกรธ  โลภ หลง ด้วยความโง่เขลารู้ไม่เท่าทันถึงจิตพิสุทธิ์ระลอกแล้ว ระลอกเล่าที่ผู้อื่นมีต่อตนเอง

หวนนึกถึงความผิดคิดพลาดหลายอย่างที่เคยทำในชีวิตติดจรวดที่ผ่านมาสามสิบกว่าปี

กับความไม่รู้ตัว ไม่เข้าใจ ไม่รู้เผลอพูดทำคิดออกไปเชือดเฉือนใคร  ให้บาดเจ็บล้มตายในความรู้สึกมาแล้วเท่าไหร่

แถมไอ้ที่รู้ตัวและตั้งใจจะทำร้ายทำลายเขาก็มีนะ

ปากที่โชคดีมีคนเก็บมาเลี้ยงไม่ให้อดอยาก ได้อาหารหล่อเลี้ยงให้เติบใหญ่แข็งแรงแทนที่จะใช้ให้สมกับกุศโลบายนี้ของชีวิต  กลับเอาไปประดิดประดอยคิดคำไว้ฟาดไว้ฟันกับพ่อแม่หรือลูก อันเป็นที่รักของใคร ๆ เขา   ทั้ง ๆ ที่เขาก็เป็นเพื่อนร่วมทุกข์ร่วมสุขบนโลกใบเดียวกับเรา

เผลอ ๆ อาจเป็นเพื่อนกำพร้าอีกคนหนึ่งที่กำลังดิ้นรนเอาตัวรอดอยู่เหมือนเราก็เป็นได้  แต่ดันมาเจอคนที่ร้ายกว่ามีอำนาจในการทำลายล้างมากกว่าเช่นเรา

เขาเลยไม่รอด

จิตใจอาจต้องขุ่นมัวด้วยรอยแผลแห่งความเจ็บช้ำที่เรามอบให้

เขาก็ชีวิตหนึ่ง เราก็ชีวิตหนึ่ง ผิดพลาดพลั้งเผลอกันระหว่างทางแห่งการดำเนินชีวิตนี้มานับครั้งไม่ถ้วนเพียงแต่ครั้งนี้เราเป็นผู้เพ่งพิศจับผิดจ้องพลาด ไปต่าง ๆ นานา

หากคราต่อไปเป็นเราที่เผลอให้เกิดผลเช่นนั้นกับเขาบ้างเราเองยังยินดีจะให้เขาจับจ้องเราเช่นนี้บ้างหรือไม่

คิดแล้วก็แสนจะละอาย

นึกออกทั้งหมดว่าสิ่งมืดมัวที่เคยสะสมที่เคยเสพติดนั้นคือกองทุกข์  ที่เกิดจากความไม่รู้เท่าทันทั้งสิ้น

คุณฐิตินาถ  ณ พัทลุง วิทยากรพิเศษเล่าให้ฟัง เรื่องประสบการณ์แห่งการรู้ไม่เท่าทันของชีวิต  จึงทำให้เจอกับกองทุกข์ที่มหึมาเกินจริง   ที่ก้องอยู่ในหัวจนวันนี้มี 2 เรื่อง   คือตอนที่เสียใจวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเมื่อสูญเสียคนที่รัก วางไม่ลง  วางไม่เป็น เหมือนทำให้คนที่ถูกแทงตายครั้งเดียวต้องถูกแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น    ทุกครั้ง ๆ ที่คิดขึ้นมา


ตัวอย่างการสมมติว่ามีคนมาบอกว่ามี “ใครคนหนึ่ง” จมน้ำตายที่ท่าน้ำหน้าวัด พวกเราฟังแล้วคง อ้าวเหรอ น่าสงสารจัง อาจหดหู่นิดหน่อยแล้วก็ปฎิบัติต่อ แต่หากเปลี่ยนจาก “ใครคนหนึ่ง”  นั้นเป็น “แม่เรา พ่อเรา ลูกเรา น้องเรา เพื่อนเรา” หล่ะ

ความรู้สึกและการตอบสนองของเรายังเท่าเมื่อสักครู่อยู่ไหม

คุณแม่สิริ กรินชัย ว่ากลอนให้ฟังว่า

ทุกวี่วันฉันส่องคันฉ่องฉาย

ปรากฎกายแก่ตามาแต่ไหน

ประหลาดเหลือเมื่อหวนครวญคิดไป

เพียงฝ้าไฝใบหน้าบ่งว่าเรา

รูปร่างอย่างนี้ชี้ว่าฉัน

ส่วนรูปร่างอย่างนั้นนั่นคือเขา

แต่จิตใจในกายสุดจะหมายเอา

ยังโง่เขลาหลงผิดในจิตตน

บ้างอุตสาห์ฟันฝ่าศึกษาศาสตร์

จนเปรื่องปราดหยั่งรู้ดูลมฝน

เชี่ยวชาญงานนานาในสากล

แปลกหนอคนน้อยนักจักรู้ตัว

เวลาโกรธก็หน้าบึ้งทำขึ้งขับ

พอใจกลับพักตร์พริ้มนั่งยิ้มหัว

อารมณ์เวียนเปลี่ยนวนจนลืมตัว

กายสั่นรัวยั้งได้หรือใจเรา

อาณาจักรกายใจใช่ใหญ่กว้าง

แต่รกร้างห่างธรรมจึงซ้ำเขลา

คันฉ่องฉายกายเด่นเห็นเพียงเงา

อย่าโง่เขลาก่อบาปเพื่อภาพลวง

กลับออกจากวัดด้วยใบหน้าอิ่มเอิบ และหัวใจที่พองโต  ตื่นเต้นกับการรับรู้ธรรมชาติข้อนี้ของมนุษย์

กราบแทบเท้าท่านประธานกรรมการบริหาร และท่านผู้อำนวยการ  ที่ได้กรุณามอบแสงสว่างแห่งชีวิตนี้ให้

แล้วตรงดิ่งไปสถานีขนส่งสายใต้ทั้งที่ยังอยู่ในชุดขาว

เช้าตรู่วันนั้นปลุกยาย แม่ เตี่ย มานั่งเรียงกันแล้วกราบขอขมากับสิ่งที่ชีวิตได้ทำลงไปด้วยความโง่เขลาเบาปัญญา  พร้อมสารภาพบาปและขออโหสิกรรมที่ตนเองได้ก่อไว้กับแต่ละท่าน

ขอขมากับกำลังกายที่ถดถอยมาตลอดของยาย ในการที่จะต้องวิ่งไปปลอบ เดินตามไปปกป้อง คอยสอดส่องป้องกันมิให้ใครมาทำร้ายแม้กระทั่งความรู้สึกของเราได้  หลังขดหลังแข็งลุกขึ้นมาทำกับข้าวเอาใจทุกวัน  คอยจะขโมยเสื้อผ้าหลานไปซักไปรีดให้เพื่อจะได้ไม่เสียเวลาในการอ่านหนังสือ

กราบขอบพระคุณแม่ตั้งแต่กอดแรกที่คว้าตัวลูกมาจากกองถ่านวันนั้น ทำให้นั่นเป็นความสกปรกครั้งสุดท้ายที่ชีวิตเคยมี ขอบคุณสำหรับความรักการดูแลเอาใจใส่  อ้อมกอดและทุกสัมผัสที่มอบให้   เมตตาอันสูงส่งที่แม่มี ทำให้ใครต่อใครด่าว่าแม่ตลอดมาในข้อหาเลี้ยงลูกตามใจ “คอยดูเถอะ อีกหน่อยจะเสียคน

แม่อดกลั้น ไม่ว่า  ไม่ด่า  ไม่ตี ไม่เคยจะทำอะไรให้ระคายเคืองในความรู้สึกแม้สักนิดเดียว ด้วยคงคิดจะชดเชยให้กับความขาดที่มี จึงไม่อยากซ้ำเติมหรือเพิ่มความเจ็บช้ำใด ๆ ให้อีก

ขอบคุณที่ช่วยลบล้างความเข้าใจผิดในชีวิตของลูกทิ้งทั้งหมด ทำให้ลูกมีอดีตที่น่าชื่นชมได้มีตำนานแห่งชีวิตน้อย ๆว่าได้ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ จนมีวันนี้

ด้วยแรงหนุนและการอุ้มชูของแม่

ขอโทษกับความ ดื้อรั้นหยาบกระด้างที่ลูกแสดงมาตลอดชีวิต   ขอโทษและขออโหสิกับบาปที่ทำให้แม่ต้องอมทุกข์ จิตใจต้องหม่นหมองด้วยความเป็นห่วงกับอาการเว้า ๆ แหว่ง ๆ ที่ผ่านมา ทั้ง ๆ ที่มันเป็นอดีตที่น่าชื่นชมและภาคภูมิใจมิใช่เรื่องขมขื่น

กราบขอบคุณเตี่ยที่อุตสาห์ทำมาหากินอย่างหนักส่งเสียลูกมาตลอดโดยไม่เคยรังเกียจเดียดฉันท์

วันนั้นจึงเป็นวันที่ได้รับการ “กอด” ที่อบอุ่นที่สุดในชีวิต  ไม่รอช้าที่จะถ่ายทอดสิ่งที่ได้รับรู้มา บอกให้ทุกคนรู้ว่าตัวเอง พอจะเข้าใจชีวิตได้ระดับหนึ่งแล้วและจะพยายามสลัดความสับสนและหมองหม่นในชีวิตทิ้ง

จะเริ่มทำสิ่งที่ชีวิตควรจะทำนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเพราะเชื่อโดยส่วนตัวว่าหากเราสามารถระลึกตัวทั่วพร้อม  อยู่กับปัจจุบันที่กำลังทำ พูด คิดแล้ว เราจะเข้าใจและเกิดความคิดที่มีประสิทธิภาพพอ  ที่จะเลือกตอบสนองได้อย่างมีคุณค่าทั้งต่อตนเองและผู้อื่นได้ ยอมได้  อภัยเป็น  รักและเข้่าใจได้ ควบคุมสมดุลความคิดได้อยู่เสมอ

เรียกว่ารู้ตัวได้ใช้ตัวเป็นอย่างภาษาธรรมว่าก็น่าจะใช่

ความพยายามนี้ค่อย ๆ ส่งผลให้ครอบครัวกลับมาจ๊ะจ๋า กอดกันทุกครั้งที่เจอโทรหากันนัวเนียทั้งพี่น้อง  ยายหลาน  แม่ลูก บรรยากาศแห่งความอบอุ่นทำให้น้อง ๆ หันหน้ากลับบ้าน ใช้บ้านเป็นศูนย์กลาง พูดจาน่ารัก อารมณ์เย็นลงมีอะไรปรึกษาแบ่งปัน

การย้ายฐานคิดไปที่ผู้อื่นบังคับตัวเองให้เป็นนักขอโทษ อดทนเป็นผู้ฟังที่ดีได้ หัดเสริมแรงหัดหลับตากับความผิดเล็กน้อยเลยพอจะเป็นที่ปรึกษา(ที่คนเขาอยากปรึกษา) สำหรับที่ทำงานได้บ้างแล้ว

คิดถึงใจเขาใจเราไม่บีบคั้นกดดันใครให้เสียหน้าหรือเสียความรู้สึก และพัฒนาศิลปะในการบริหารงานอย่างนุ่มนวลแต่ได้ใจทำให้บรรยากาศที่ทำงานดีขึ้นมาก

งานเป็นระบบและผู้ร่วมงานมีความสุขและมั่นใจขึ้นเพราะมีโอกาสแสดงศักยภาพมากขึ้นและขยายผลต่อแขนขาได้อีกมาก โดยมีเราเป็นคุณอำนวยอยู่เบื้องหลัง

เมื่อโจรกลับใจ กลับมาใช้ชีวิติจริงนอกวัด  ความรับรู้นี้มิอาจคงทน  ต้องอาศัยการฝึกให้ตัวเองรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา   พยายามประคับประคองสติให้อยู่รอดท่ามกลางสิ่งเร้าแปลกใหม่  ที่หมุนเวียนกันเข้ามากระทบกายและใจนี้อยู่ตลอดเวลา

บางวันก็สอบได้ บางวันก็สอบตก

บางวันก็เผลอปล่อยนางยักษ์ออกมาอะวาดอยู่

บางวันคิดได้ก็ยอมได้ประนีประนอมลง

ครูปูจึงเป็นเพียงนักเรียนตัวเล็ก ๆ อีกคนหนึ่งที่กำลังเรียนรู้ชีวิต และพยายามจะทำชีวิตให้มีคุณค่าเท่าที่จะสามารถทำได้

พ่อครูบา ฯ เคยเขียนไว้ในบันทึกหนึ่งว่า

คนเราตายไปแล้วก็มีแต่ความว่างเปล่า

ความเป็นมนุษย์หยุดลงเพียงแต่ที่เรามีลมหายใจนี่แหละ

จะคิดจะทำอะไรก็ควรลงมือในช่วงนี้

พ้นขีดนี้ไปแล้ว จะทำอะไรไม่ได้เลย

แม้แต่ลุกขึ้นมากอดใคร ยิ้มให้ใคร เป็นห่วงใคร และรักใคร

วันนี้ คืนนี้ จึงขออนุญาต กอด คิดถึง และรัก

จนสุดสายป่านสายใยเท่าที่มนุษย์จะมีให้กันได้

ขอบคุณค่ะ

Post to Facebook

« « Prev : เจ้าเป็นไผ (งานของชีวิต)

Next : ระดมใจไปตีแตกอีสาน (1) » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

2792 ความคิดเห็น


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 7.6976430416107 sec
Sidebar: 0.73066091537476 sec