หอมกลิ่นอดีต
อ่าน: 4546ตอนเด็ก ๆ ถ้าวันไหนถูกคุณยายกระเตงไปต่างอำเภอด้วยจะตื่นเต้นมาก ถึงจะพะุรุงพะรังตอนขาไปหน่อยก็เหอะ เพราะต้องหอบหัวน้ำปลาแท้ ไตปลาดอง (คนใต้เรียก ขี้ปลา) และปลาทูนึ่งไปฝากตามบ้านญาติ ๆ ทุกหลังก็ตามที
ตอนเด็ก ๆ ถ้าวันไหนถูกคุณยายกระเตงไปต่างอำเภอด้วยจะตื่นเต้นมาก ถึงจะพะุรุงพะรังตอนขาไปหน่อยก็เหอะ เพราะต้องหอบหัวน้ำปลาแท้ ไตปลาดอง (คนใต้เรียก ขี้ปลา) และปลาทูนึ่งไปฝากตามบ้านญาติ ๆ ทุกหลังก็ตามที
(ท้องฟ้าที่สวนป่ายามเช้าตรู่)
อยู่เมืองกรุง…
บ่มีโอกาสได้เงยดูท้องฟ้ายามเช้าตรู่อย่างนี้ร๊อก…
(ท้องฟ้าที่สวนป่ายามรุ่งสาง)
คิดไปคิดมาอยากจะเหิรฟ้าเสียจริง ๆ…
อย่ากระนั้นเลย นั่งดูเฉย ๆ ท่าจะดีกว่า…
อยู่ร่วมกัน..
หันหน้าไปทางเดียวกัน…
เรียนรู้กันไป…
ให้เกียรติซึ่งกันและกัน…
ได้มีโอกาสยิ้มให้กัน…
ได้หัวเราะไปด้วยกัน…
ได้ความสุขแบบเกินดุลกลับไปกันบ้าง…
แค่นี้ก็ถือเป็นวาสนาของชีวิตนักแล้ว… อ่านต่อ »
คุณยายมีเพื่อนรักมากอยู่คนหนึ่งชื่อยายทับ บ้านอยู่อำเภอดอนสัก จะเจอกันทีต้องนั่งรถไปหาเกือบชั่วโมง
เพิ่งมีเวลาทบทวนระยะเวลาที่ห่างบ้านไปนู่นนี่ ทั่วสารทิศ ตั้งแต่ออกจากบ้านครั้งแรกตอนไปเรียนสงขลา แล้วก็ยังไม่ได้กลับไปอยู่บ้านอีกเลย จะได้ไปเยี่ยมก็ช่วงปิดเทอม หรือไม่ก็ช่วงที่ยายหรือแม่ไม่สบาย
อันนั้นก็บ้าเลือดนั่งรถทัวร์กลับสุราษฎร์ทุกเย็นวันศุกร์แล้วนั่งกลับมาคืนวันอาทิตย์ ถึงตีห้าวันจันทร์ นั่งแท็กซี่เข้าบ้าน อาบน้ำแต่งตัวมาทำงานต่อ ตาโหลโบ๋เบ๋ อ้อแอ้ไปจนถึงวันศุกร์แล้วเอาใหม่วนเวียนอยู่อย่างนี้จนกว่ายายหรือแม่จะดีขึ้น แล้วมีแรงไล่ครูปูกลับ ไม่ให้มาอีกเพราะสงสาร
ยิ่งหน้าที่การงานเพิ่มขึ้น เวลาที่ให้กับทางบ้านก็ยิ่งน้อยลงไปอีก มีเสียงโทรศัพท์เท่านั้นที่โทรกลับบ้านแทบจะสามเวลาหลังอาหาร ถ้าไม่ได้ยินเสียงครูปู คุณแม่ก็จะเริ่มใจไม่ดีั ถ้าโทรศัพท์มือถือมีเบอร์ที่บ้านโชว์อยู่นั่นแสดงว่า เป็นห่วงเราแย่แล้ว
หลังจากความวุ่นวายตลอดสัปดาห์ที่แทบจะต้องร้องเจี๊ยก ๆ แบบญาติที่เกาะสมุย
* เช้าเคลียร์งาน แพ็คของ จัดการฝากฝังลูกสาวสุดที่รักกับข้างบ้าน
* สาย ๆ ไปรับน้องสาวที่สนามบินดอนเมืองไปทำธุระ
* บ่ายไปพบผู้ใหญ่ใจดีที่สั่งนักสั่งหนาว่าทั้งสองคนพี่น้องต้องไปพบให้ได้
* หลังจากได้รับคำอวยพรมาหอบใหญ่ พร้อมแผ่นทองศิริมงคล สี่โมงเย็นขับรถออกจากกรุงเทพฯ พาน้องกลับบ้านที่สุราษฎร์ธานี
เกิดสะดุดแนวคิด Neo-Humanist ใน blog ของคุณคนไม่มีรากขึ้นมา หันรีหันขวางนาทีนี้จะไปถามความเห็นใครดีล่ะ
แม่คร้าบ ยายคร้าบ ฟังเพื่อนลูำกคนนี้เขาพูดเรื่องการใช้ชีวิตหน่อยนะ (อ่านให้ฟังช้า ๆ)
นี่ถ้ายายรู้ว่าถูกแอบถ่ายตอนโทรม ๆ มีหวังโดนตื้บแหง ๆ
พูดถึงคุณยายวัยเกือบเก้าสิบ ผู้เป็นต้นแบบให้ชีวิตของครูปูในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งความเมตตา เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ การวางตัว การดูแลตนเองและผู้อื่น
ยายเป็นผู้มีรสนิยมวิไลทั้งในเรื่องอาหารการกินและการแต่งตัว เครื่องแต่งกายต้องเป็นผ้าถุง สีสันคลาสสิก ดอกดวงต้องกลมกล่อม นี่ถือเป็นศาสตร์ลึกลับทาง fashion ของคุณยายที่หาสายตาคนสมัยนี้เทียบได้ยาก เสื้อลูกไม้กับผ้าถุงต้องสีเข้ากัน ซึ่งถือเป็นของฟุ่มเฟือยประการเดียวที่ยายยอมทุ่ม
อาบน้ำทีต้องใช้เฉพาะแป้งหอม แล้วฉีดน้ำหอมสำทับเข้าไปอีัก สาว ๆ สมัยนี้หาคนหอมฟุ้งเท่ายายครูปู ยากส์…
รวมทั้งครูปูเองด้วยแหละ ที่ถูกยายต่อว่าอยู่บ่อย ๆ ว่า
“เป็นสาวเป็นนาง เนื้อตัวไม่รู้จักแต่ง”
แป่ว!
อำเภอเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานี หรือที่คนในท้องที่จะเรียกกันติดปากว่า “บ้านดอน” เป็นเหมือนบ้านเกิดของครูปูค่ะ (เพราะมาอยู่ตั้งแต่ขวบเดียว)
คุณยายเล่าให้ฟังว่า ต่อให้ภาคใต้น้ำท่วมหมด ยังไงก็จะเหลืออำเภอนี้แหล่ะ ที่ไม่มีทางถูกน้ำท่วม (ฟังดูเท่ๆ ยังไงไม่รู้นะคะ) ถึงครูปูจะเนรคุณนิด ๆ ด้วยการพูดใต้ไม่เป็น เนื่องจากไม่มีใครในบ้านเป็นคนใต้เลย แต่ก็ฟังรู้เรื่องโม้ด… ใครอย่าได้นินทาทีเดียวเชียว แฮ่ๆ…
ลงจากรถทัวร์เกือบตีห้าก็เจอหน้าเจ้าเพื่อนเลิฟตั้งแต่วัยเด็กยืนงัวเงียอย่างน่าเอ็นดู เพราะถูกครูปูโทรจิกให้มารับที่ขนส่งตั้งแต่ตีสี่ เอามือลูบหัวไปสองสามทีเพื่อแสดงความขอบคุณ แล้วต่อด้วยการเมาท์กระจายกันมาตลอดทาง
เพราะถูกท่านประธานกรรมการบริหารขอร้องแกมบังคับมาตามสายโทรศัพท์จากอเมริกา จึงต้องไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน 7 วัน 6 คืน หลักสูตรการพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดปัญญาและสันติสุข ณ วัดผาณิตาราม จังหวัดฉะเชิงเทรา ในวันที่ 18 - 24 มีนาคม 2546 แทนท่าน
การเดินจงกรม ด้วยการกำหนดทุกอริยาบถที่ร่างกายทำ แล้วให้ระลึกรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แรก ๆ ให้ส่งเสียงเลยว่านี่กำลังก้าวนะ นี่กำลังยกนะ หลัง ๆ ก็ห้ามพูด ให้กำหนดเงียบ ๆ อยู่ในใจ
ครูปูทำไม่ได้ค่ะ