บ้านหลังแรก..

747 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 30 กรกฏาคม 2011 เวลา 15:48 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 14501

ผมไม่ได้คลุกคลีกรุงเทพฯ จึงไม่รู้จักกรุงเทพดีพอ คราวที่ลูกสาวตัดสินใจว่าจะเอาบ้านไม่ต้องไปส่งค่าเช่าคอนโด เอาค่าเช่าคอนโดมาผ่อนบ้านดีกว่า คิดสะระตะแล้วก็ เมื่อลูกคิดเช่นนั้น และตลาดงานของเขาอยู่ที่ กทม. แม้ว่าผมจะไม่ชอบที่จะมาอยู่กรุงเทพฯก็ตาม แต่เมื่อลูกสาวเลือกเช่นนั้น ก็ตกลง


เราตระเวนหาบ้านมาหลายเดือน ญาติพี่น้องต่างช่วยกันแนะนำ เดินทางไปดูก็หลายครั้ง ถึงกะมัดจำแล้วทิ้งไปก็มี มาถูกใจที่แห่งหนึ่งไม่ไกลจากบ้านญาติในเสนานิเวศน์นักเลยตัดสินใจเอาที่นี่ มาติดต่อเดินเรื่องหลายต่อหลายครั้งจากไม่รู้เรื่องการซื้อบ้านก็พอเข้าใจดี พอคุยกับใครๆได้ มาดูการก่อสร้างที่กำลังขยายไปเรื่อยๆ เพราะคนต้องการที่พักมาก ญาติที่เป็นวิศวกรจากจุฬามาด้วยก็ชี้ให้ดูว่า เดี๋ยวนี้ไม่ใช้เสาแล้วก่อกำแพงสำเร็จรูปก็ขึ้นหลังคาได้เลย

ผมนึกไปถึงเมื่อสามสิบ สี่สิบปีที่แล้วที่พักที่เชียงใหม่ เป็นห้องเช่า เจ้าของเป็นสถาปนิก ห้องพักไม่มีเสาเลย สมัยนั้นงงๆมากบ้านอะไรไม่มีเสา มาเดี๋ยวนี้ใช้กันหมดแล้ว ประหยัด และรวดเร็ว


ที่หมู่บ้านนี้ใช้แรงงานเด็กจากพม่าและเขมร อย่างเด็กกลุ่มนี้มาจากเสียมเรียบ ผมพอสื่อสารได้นิดหน่อยเพราะสมัยทำงานที่สุรินทร์ก็ไปเรียนภาษาเขมรที่วิทยาลัยครู แต่นี่เป็น ขะแมร์กรอม ไม่ใช่ ขะแมร์ลือ แต่ก็พอสื่อสารได้นิดหน่อย ดูเธอยังไม่บรรลุนิติภาวะเลย…


อย่างรูปซ้ายมือนั้นดูภายนอกเป็นสี่ห้อง จริงๆแบ่งเป็นสองหลังติดกัน จริงๆก็คือห้องแถว แต่ออกแบบให้เหมือนบ้านนั่นแหละ เดี๋ยวนี้จะซื้อบ้านเขาพิจารณา อย่างแรกเงินในกระเป๋า สองทำเลที่ตั้ง สามระบบการคมนาคม สี่น้ำท่วมหรือไม่ท่วม ตามลำดับ ญาติที่เขาอยู่กรุงเทพฯมานานแสนนานก็บอกว่า ตรงนี้ดีที่สุดสำหรับลูกสาว ก็เลยตัดสินใจ ต้องมาจองตั้งแต่ยังไม่เสร็จ แย่งกันยังกะซื้อขนมปังเว้ยเฮ้ย…

หลังจากเป็นรูปร่างโอนกันเรียบร้อยก็มาถึงการตกแต่งเพราะได้แต่ตัวบ้าน จะเข้าอยู่ต้องติดนั่นติดนี่อีกหลายตังค์ คนเบี้ยน้อยหอยน้อยอย่างเราร้องจ๊ากสส์ มันหลายเท่าตัวเทียบกับบ้านขอนแก่นที่ผมซื้อเมื่อสามสิบปีที่แล้ว อ้าวก็สามสิบปีที่แล้ว…ลูกสาวผมย้อนใส่….

ผมมาขลุกกับเรื่องบ้านของลูกเสียหลายวัน เดินไปดูบ้านคนโน้นคนนี้ตามประสาคนอยากศึกษาเปรียบเทียบ ความคิดต่างๆว่าเขามองอะไร คิดอะไร แล้วเราควรจะคิดอย่างไร ก็ทราบว่า มีอาจารย์ มข.มาซื้อให้ลูกสาวเหมือนกัน และคนใต้ มาซื้อห้องให้ลูกสาวเท่าที่นับได้ เกือบห้าคน ถามช่างที่มาตกแต่งห้องเขาก็ชี้ว่าห้องโน้นคนขอนแก่นซื้อให้ลูกชาย ห้องนั้นคนเชียงใหม่ แม่เป็นใต้ซื้อให้ลูกสาว

ปรากฏว่าเป็นห้องที่คนรุ่นใหม่มาหาที่พักกันเสียส่วนใหญ่ การที่คนอายุมากออกจากงานนั้นไม่มีให้เห็นเลย มีแต่มาส่งลูก มาอยู่เป็นเพื่อนลูกสักพักหนึ่ง

เป็นที่อยู่ของคนรุ่นใหม่ มิน่าเล่า ผมถามพนักงานเจ้าของโครงการว่า ทำไมตั้งชื่อ The Color Premium เขาอธิบายว่าเป็น Concept สำหรับเด็กยุคใหม่…..

ญาติที่เป็นวิศวกรมาดูบ้านก่อนจะโอนบ้านก็ติเสียสองหน้ากระดาษให้ตกแต่ง ทำใหม่ โอย..ผมไม่รู้เรื่อง อาศัยวิศวกรพี่เขา นี่ก็บอกว่าหลังห้องนั้นหากจะปรับปรุงใส่หลังคาทำห้องครัวเล็กๆก็ต้องตอกเสาเข็ม อย่างน้อย 15 ต้น เพราะดินมันทรุด ซึ่งถามช่างที่มาตกแต่งห้องอื่นๆก็พยักหน้าว่า จริงครับ….

ผมก็วาดรูปแสดงความเห็นตรงนั้นตรงนี้ ควรจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ ลูกสาวบอกว่า ไม่ต้องเลย..นี่บ้านหนู..หนูมีไอเดียเพียบแล้ว…ไม่ต้องมาบอกว่าควรทำนั่นทำนี่…. อิอิ

เออ…ออกความเห็นก็ไม่ได้…ทีเงินซื้อบ้านก็มารีดไปจากเราจนหมดตูด…ห้า ห้า ห้า


ระบบเมือง..

10 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 30 กรกฏาคม 2011 เวลา 14:18 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1913

ที่ใจกลาง กทม.แห่งหนึ่งมีรถเข้าแถวกันยาวเหยียดโดยเฉพาะช่วงเช้าและเย็น เพื่อไปทำงานและกลับเข้าบ้าน หลายคนชิงตื่นแต่เช้าเพื่อหนีความหนาแน่นของจราจร บางคนวางแผนเดินทางแต่ตีห้าแล้วไปนอนอีกงีบหนึ่งที่ทำงาน…ไปล้างหน้าแปรงฟันแต่งโฉมอีกทีที่ห้องน้ำที่ทำงาน ซึ่งเพื่อนๆร่วมงานก็รู้กันเพราะหลายคนก็ทำเช่นนั้น ช่วงกลับคนไหนที่ยังไม่มีครอบครัว ไม่มีภาระมากนักก็นั่งแช่ที่ทำงานจน สองทุ่มและบางคนเลยเถิดไปถึงห้าทุ่มเที่ยงคืน


เช่น หลานสาวผมเธอกลับบ้านเอาประมาณ ห้าทุ่มหรือเที่ยงคืน มาถึงก็ล้มตัวหลับที่โซฟาสักพักใหญ่ๆ แล้วก็ตื่นมาอาบน้ำอาจเปิดเมล์ดูสักพักก็นอนแล้วตื่นตีห้าครึ่งรีบหนีรถติดไปทำงานอีก เป็นเช่นนี้ทุกคืน เราบอกลูกสาวว่าทำไมไม่ปลุกพี่เขาให้อาบน้ำนอนดีดี เธอบอกว่านี่คือขั้นตอนประจำของเธอ อย่าไปยุ่งเขานะ อย่าไปข้ามขั้นตอนเขา อือ……

ในตอนเช้าที่รถจากซอยต่างๆมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนสายหลัก ต่างก็แย่งชิงกันไปก่อน หลายรายก็แสดงน้ำใจต่อกัน แต่สังเกตเห็นหากให้น้ำใจก็หมายความว่า นั่งคอยไปอีกพักนะ เพราะจะตามมาอีกยาวเหยียด นี่อาจเป็นสาเหตุที่หยุดรถให้คนในซอยไปก่อนนั้นไม่ง่ายนัก..ยังมีคำอธิบายอีกยาวเกี่ยวกับประเด็นนี้

ผมพูดกับลูกสาวว่า หากระหว่างเข้าแถวเพื่อจะรอการเคลื่อนตัวไปนี้ รถคันใดคันหนึ่งเกิดเสีย มีปัญหา รถอีกจำนวนมากก็ถูกกระทบไปด้วย หากการเข้าออกซอยไม่เป็นไปตามกติกา จราจร มันคงวุ่นวาย

ที่คิวรถไปต่างจังหวัดในวันหยุดยาวหากไม่เข้าคิวและเป็นไปตามลำดับด้วยสามัญสำนึก ความขุ่นข้องหมองใจของคนที่ถูกละเมิดสิทธิข้างหลังก็จะนึกตำหนิในใจ แรงๆก็จะออกปากกันไปเลย

ผมนั่งรถให้ลูกสาวขับไปที่มหิดลอินเตอร์ที่เธอเรียนโทอยู่ เพราะเธอตื่นสาย จึงรีบขับรถ ได้ยินเธอสบถเพราะรถคันหน้าขับช้า …???!!!!!


ผมนั่งนึกในใจว่ายิ่งสถานที่มีความเป็นระบบเมืองมากเท่าใด ก็ยิ่งต้องการการปฏิบัติตามกฎ กติกามากขึ้นที่สุด ยิ่งต้องสังเกตสังกา เอาใจเขามาใส่ใจเรามากเท่านั้น มิเช่นนั้นระบบจะกระทบไปหมด แต่คนไม่ใช่หุ่นยนต์ที่ตั้งโปรแกรมแล้วเขาก็ทำตามโปรแกรมไปเรื่อยๆ คนมันมีกิเลสตัณหา อุปาทาน ยิ่งใครมีมากก็ยิ่งไปกระทบระบบเมืองมากทั้งต่อหน้าและลับหลัง และปัจจุบันก็ไร้รูปแบบมากขึ้นจนคนจำนวนไม่น้อยมองไม่ออกว่านั่นผิดกติกาของสังคมนะ

แล้วสังคมเมืองมันมีระบบที่ซับซ้อนมากมาย ก่ายเกี่ยวกัน ยากที่คนที่อาศัยอยู่ทุกผู้ทุกคนทุกซอกหลืบของพื้นที่จะเข้าใจถ่องแท้ เขาก็เรียนรู้เอาจากสิ่งปรากฏต่อหน้าทุกวี่ทุกวันนั่นแหละ เขาก็เรียนรู้จากสื่อที่ประโคมทุกนาทีที่หน้าจอทีวี แผงหนังสือและสื่อคอมพิวเตอร์หลากหลาย

ไอ้บักจ่อยเลี้ยงควายเลี้ยงวัวอยู่ที่ราบสูงดีดี หรือทิดมากแห่งลุ่มเจ้าพระยาเข้ามากรุงเทพฯไม่นานก็มาขับแท็กซี่ ชำนาญกรุงเทพฯมากกว่าคนกรุงเทพฯอีก

 

วันนั้นผมนั่งแท็กซี่กลับเข้าบ้านคุยกับคนขับกันไป ช่วงหนึ่งคนขับบอกว่า …คุณครับเดี๋ยวนี้ไม่มีนักการเมืองคนไหนกล้ามาแสดงนโยบายแก้ปัญหาจราจรกรุงเทพฯแล้ว…..หุหุ

 

ผมไม่มีความเห็นครับ..


วัชรพล..

1156 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 27 กรกฏาคม 2011 เวลา 22:23 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 15223

ไปธุระกับครอบครัวแถวซอยวัชรพล เลยถือโอกาสพาทานอาหารเจที่เสถียรธรรมสถาน ซึ่งตั้งใจจะพาลูกสาวไปรู้จักอยู่แล้ว โอกาสเหมาะแล้ว


ที่นี่ไม่ไกลจากที่พักเขา เขาชอบอ่านหนังสือภาษาอังกฤษมาก ทั้งตำราเรียนและนิยายสนุกๆแบบของเขาเลยพามาแนะนำว่าเบื่อที่บ้านก็หอบหนังสือมานั่งอ่านที่นี่ได้นะ ร่มรื่น แม้คนจะหนาตาแต่ไม่มีใครส่งเสียงดัง ต่างมีมารยาทและเคารพสถานที่ จึงเหมาะมากที่จะมาเจริญสติ หรือมาอ่านหนังสือ

เสถียรธรรมสถานเปลี่ยนจากเดิมไปมาก มีตึกมากขึ้น มีต้นไม้หนาแน่น และมีหินอ่อนที่ดัดแปลงเป็นที่นั่งเต็มไปหมด ที่ว่างน้อยลง แต่เขียว ร่วมเย็น เหมือนสวนป่ากลางกรุง ใครไม่ชอบที่นี่คงไม่มี ผมมากินอาหารแล้วนั่งสงบสติที่วุ่นวายมาทั้งวัน ผมแนะนำสถานที่นี้ให้ลูกสาวเข้าใจและแอบกระตุกความคิดให้เขามาที่นี่บ้างหากเบื่องาน หรือเหนื่อยจากการงาน หวังว่าหากเธอมาจะได้พบแม่ชี หรือผู้ปฏิบัติธรรมอื่นๆและคงมีโอกาสที่เขาจะได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆกัน



หายากสถานที่แบบนี้ในเมืองหลวงที่มีแต่รีบเร่ง ผมคิดว่าที่นี่นอกจากจะเป็นปอดให้คนมาหายใจดีดีแล้ว “การมาอยู่ในประเทศอันสมควรเป็นมงคลยิ่งนัก” ปฏิรูปเทสะวาโสจะ เอตัมมังคะละมุตตัมมัง นี่คือมงคลหนึ่งในสามสิบแปด

เด็กหนุ่มสาวสมัยนี้มีแต่อยู่หน้าจอคอม มือถือที่เล่น FB และเครื่องมือสื่อสารอื่นๆอีกมากมาย หรือไม่ก็เพื่อนที่ชวนกันไปดูหนัง ฟังเพลง น้อยนักที่จะเข้าวัดเข้าวา มาสถานธรรมแบบนี้ นี่คือปัญหาของสังคมใหม่ แม้ว่าพ่อแม่มีความคิด ก็หามีโอกาสให้ลูกทำได้ไม่ เพราะต่างคนต่างอยู่ ได้แต่พูดกรอกหูทางโทรศัพท์ แต่เงื่อนไขสังคม การงานปัจจุบันก็เป็นทางนำเขาให้เดินไปตามรูปแบบของยุคสมัย.


ใครมีสติ ยั้งคิดได้ก็ดีไป ใครหลงละเมอเพ้อพกไปกับความสนุกก็มีโอกาสพลาดง่ายๆ


หากชีวิตไร้ธรรม สังคมจะเหลืออะไร แค่ปัจจุบันดูเหมือนเข้าสู่ยุค “กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย..” ที่เพลงยาวกรุงเก่าจารย์ไว้ไม่ผิดเลย….

สาธุ….ท่านผู้ทำดี ประพฤติดี…


ขอไม่ได้แล้ว..

814 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 24 กรกฏาคม 2011 เวลา 18:01 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม, ทุนสังคม #
อ่าน: 11113

ไม่ได้ใช้บริการรถไฟมานาน เมื่อวันก่อนก็ทดลองดูโดยนั่งจากดอนเมืองไปขอนแก่น โอยหอบของพะรุงพะรังจากสนามบินดอนเมืองไปสถานีรถไฟดอนเมือง ฟังดูไม่น่าจะไกล แต่การหอบกระเป๋าสองใบกับ 1 กล่องนั้น หากใกล้ๆและเป็นในอาคารสนามบินก็มีรถเข็นแต่นี่ไม่ใช่ เลยนึกว่า เอาวะยอมเสียเงินจ้างแท๊กซี่จากสนามบินดอนเมืองนั่งอ้อมยูเทอนไปสถานีรถไฟ เสียเท่าไหร่ก็ยอม ปรากฏว่าไม่มีคันไหนยอมไป….เดาเหตุผลได้ครับ..

เห็นที่จะต้องหอบข้ามสะพานลอย เมื่อขึ้นไปข้างบนแล้วก็วางสัมภาระลงพยายามมองหาสถานีรถไฟ มองไม่เห็น ถนนก็มีรถวิ่งเต็มไปหมดไม่มีทางเดินสำหรับคน ข้อมูลที่ได้มาก่อนคือ อุโมงค์ลอยฟ้าที่เชื่อมดอนเมืองนานาชาติกับโรงแรมอัมมารีนั้นเขาปิดตายไปแล้ว เอ ท่าจะต้องทำตามคำแนะนำที่ได้รับมาจากพนักงานเก็บรถเข็นที่สนามบินดอนเมืองคือเดินข้ามสะพานลอยแล้วไปเช่า ‘มอไซด์ เดินลงสะพานลอยด้วยเปะปะ ‘มอไซด์เห็นก็ไม่ทันคุยกันโยกมือขึ้นแล้วเขาก็สตาทรถออกเลย เราก็นั่งหลังด้วยของเต็มหลังและมือสองข้าง อิอิ

โฮ ไกลเอาเรื่องกว่าจะมาถึง นี่หากเดินมาก็เรียบร้อยเลย…

เอาตั๋วที่ซื้อไว้ไปแสดงเป็นรถนอนแอร์ราคา 672 บาท พนักงานบอกว่ารถจะมาสองทุ่มห้าสิบโปรดนั่งคอนทางหัวขบวน…

โอย…เอาหนังสือมานั่งอ่านไปตบยุงไป สังเกตวิถีคนที่นี่ มีคุณยายแก่ๆมานั่งขายมะนาวสองสามกอง มีเจ้าของร้ายขายน้ำนั่งเซ็งๆ นอกนั้นเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยว แต่งตัวรัดรูปดูแล้วทะมัดทะแมง เดินไปมา มีพนักงานรถไฟเดินมาเก็บเศษขยะไปลงถัง อือ..ดีจริงๆ

สักพักหนึ่งก็มีประกาศทางสถานีมีรถเข้า เดี๋ยวมีรถออก เดี๋ยวมีรถเที่ยวเข้า เที่ยวออก ที่ผ่านไปเฉยๆก็มี ที่จอดแวะก็มีให้คนจากด้านในกรุงเทพฯมาลงที่นี่

สักพักใหญ่ๆก็มีพ่อแม่ลูกสองคน มานั่งข้างๆผม ผมขยับสัมภาระให้เขานั่ง เขายิ้มๆ พักใหญ่ๆได้ยินเขาพูดอีสานก็เดาว่าเป็นชาวอีสานจึงถามว่าจะไปลงไหน เขาบอกว่าจะไปขอนแก่น… อ้าว ไปที่เดียวกัน ก็เลยยิงคำถามเป็นชุดเพื่อกวาดรายละเอียดของคนนี้ ครอบครัวนี้มาเพื่อจะได้รู้จัก เข้าใจเขา

มาเยี่ยมแม่ยายที่อายุมากแล้วไม่สบาย ต้องการกลับไปบ้านที่ อ.น้ำพอง ขอนแก่น แต่ก่อนมาทำงานเป็นช่างแอร์กับญาติที่กรุงเทพฯ โดนไฟดูด สลบไปสามวันเลยเลิกอาชีพนี้กลับไปอยู่กับพ่อที่บ้านทำนาและทำอาชีพช่างไม้ตามพ่อ เรียนรู้ความรู้จากพ่อและพ่อก็เสียชีวิตไปแล้วเมื่อต้นปีจึงรับสืบอาชีพช่างไม้เต็มตัวคู่กับการทำนา การทำช่างไม้นั้นมีคู่แข่งเยอะ ทำที่บ้านไม่ได้ออกไปรับงานต่างจังหวัด เน้นฝีมือที่ละเอียดสวยงาม มิเช่นนั้นแข่งกับเขาไม่ได้

ผมถามว่านาเป็นไงบ้าง เขาปลูกข่าว กข.และมะลิ ปีนี้แล้ง เขาเน้นว่าหากเดือนนี้ฝนไม่ลงมามากเพียงพอคงจะตายหมดหรือไม่ได้ผล

ผมถามต่อว่า ถ้างั้นก็ต้องไปขายแรงงานเอาเงินมาซื้อข้าวซิ เขาพยักหน้า แล้วบอกว่า ต้องหาเงินซื้อข้าวส่งลูกเรียนหนังสือ และค่าใช้จ่ายอื่นๆในบ้าน ค่าไฟ ค่าน้ำมันรถ ‘มอไซด์ ด้วย หากเกิดปัญหาแบบนี้สมัยก่อนเราก็ไป “ขอ” ข้าว “ขอ” อาหารเพื่อนบ้านกินได้ แต่เดี๋ยวนี้ “ขอ”ไม่ได้แล้ว…

ผมฉุกกึก ตรงคำว่า ขอ ไม่ได้แล้ว ผมถามต่อว่าทำไมขอไม่ได้แล้วล่ะ เขาอธิบายว่า ก็ทุกอย่างในปัจจุบันนั้นเป็นการลงทุน และใช้เงินทองลงทุนทั้งนั้น ทุกคนมุ่งหน้าหาเงินทองกันทั้งนั้น สมัยก่อนมันไม่ใช่อย่างนี้… ตั้งแต่บ้านเมืองพัฒนาไป ก้าวหน้าไปแต่ทำไมการแบ่งปันกันมันแคบลง มีแต่มุ่งหน้าแสวงหาเข้าตัว ….

บางท่านอาจจะคิดว่า การขอนั้นเป็นการกระทำที่ไม่ควรสนับสนุน เพราะแสดงการจำนนต่อการทำมาหากิน… แต่ผมคิดว่าในอดีตนั้น การขอกันกินนั้นเป็นเรื่องปกติ อย่างเช่นคนที่เอาแนวคิดพอเพียง หรือการพึ่งตนเองไปให้ชาวบ้านทำ เป็นแบบกลไก คือ ทุกครัวเรือนต้องปลูกข้างอย่างต่ำ 3 ไร่ ทำปุ๋ยชีวภาพ 2 ตัน ปลูกพืชสวนครัว 7 อย่าง อย่างละ 5 ต้น ฯลฯ ผมมาพิจารณาแล้วท่านที่สร้างแนวคิดนี้มีเจตนาดีแต่ ดีไม่พอ เพราะต้องพูดให้จบ อย่าหยุดแต่เพียงสิ่งที่จะต้องทำดังกล่าวเสมือน Indicator วัดฐานการพึ่งตนเอง

เดี๋ยวนี้ทำอะไรก็ต้องมี Indicator ทางวิชาการดูดี แต่ทางปฏิบัตินั้น มันจะไปปลูกอะไรเหมือนกันทั้งหมดทุกบ้านได้อย่างไร เหมือนพิมพ์ออกมาจากเบ้าเดียวกัน แต่ละครอบครัวแตกต่างกันมากมาย มีแต่ที่ปลูกบ้านแล้วจะเอาที่ดินที่ไหนไปปลูกพืชสวนครัว 7 อย่างอย่างละ 5 ต้น สังคมโบราณก็เป็นเช่นนั้น ไม่มีหมู่บ้านไหนที่ทุกครัวเรือนปลูกทุกอย่างเหมือนกันหมด ไม่มีหรอก ก็บ้านนี้มีพริก บ้านนั้นมีมะนาว มะกรูด บ้านโน้นมีกระเพรา ฯลฯ บ้านใครไม่มีอะไร อยากกินก็ไปขอกัน และโดยปกติการขอนั้นคนขอเขาก็ดูแล้วว่า เขามีพืชนั้นๆในปริมาณมากพอที่จะแบ่งให้เราได้จึงออกปากขอ เขาเรียกมารยาททางสังคม เมื่อมีคนขอร้อยทั้งร้อยเจ้าของก็จะบอกให้ บอกอนุญาตให้ แถมยังกำชับว่า ไม่มีก็มาเอาไปนะ ไม่ต้อเกรงใจ คนให้ถือว่าได้บุญ ทำบุญทำทาน จิตใจผ่องใสที่ได้ให้ ผู้ขอก็ระลึกในบุญคุณ ระลึกในความดีที่ถูกมอบให้ ระลึกถึงน้ำใจที่ได้รับ และพร้อมจะตอบแทนในรูปแบบต่างๆ รวมไปถึงบอกกล่าวคนข้างเคียง ลูกหลานว่า ครอบครัวเราได้รับน้ำใจจากครอบครัวนั้นๆ

“การขอและการให้” จึงอยู่คู่สังคมชนบทไทยมาแต่โบราณ เป็นสายสัมพันธ์เชื่อมไมตรีต่อกัน เป็นน้ำใจที่สังคมพุทธหรือสังคมศาสนาใดๆก็พึงปฏิบัติต่อกัน ไม่มีคิดเอากำไร ขาดทุน ไม่ได้คิดธุรกิจ บางที “การให้” มิได้มาจากการขอ แต่มาจากความต้องการแบ่งปัน มาจากจิตใจที่ต้องการการเผื่อแผ่ เช่น พ่อผมทอดแหได้ปลามามาก มากเกินกินในครอบครัว ก็แบ่งให้ญาติ พี่น้องที่ไม่มี ให้ผู้มีพระคุณ รวมไปถึงตั้งใจทำอาหารไปถวายพระ ฯลฯ

การให้ การขอ จึงเป็นวัฒนธรรมที่ควบคู่สังคมชนบท มานานแสนนาน แล้ววันดีคืนดีสังคมเปลี่ยนพอความเจริญเข้ามา มีถนน มีไฟฟ้า มีวิทยุ ทีวี มีความทันสมัย มีสินค้าใหม่ๆเข้ามา มีการประชาสัมพันธ์ให้ใช้สินค้าใหม่ๆ สังคมอยู่ภายใต้ระบบธุรกิจที่ครอบ กรอกหูทุกวันตั้งแต่ตื่นนอนจนหลับไป ภายใต้ระบบนี้ กระตุ้นให้คนแสวงหามา และเงินคือตัวกลาง…

แน่นอนชายชนบทน้ำพอง ขอนแก่น คนนั้นที่ผมพบเขาที่สถานีรถไฟดอนเมืองจึงกล่าวว่า เดี๋ยวนี้ “ขอกันกินไม่ได้แล้ว”..

  • นี่คือตัวบ่งชี้ส่วนหนึ่งว่าสังคมเปลี่ยนไป
  • นี่คือตัวบ่งชี้ว่าวัฒนธรรมเดิมของเรากำลังจางหายไปกับยุคสมัย
  • นี่คือสัญญาณบ่งบอกถึงการปรับตัวใหม่ของสังคมชาวนา
  • นี่คือตัวบอกว่าการเปลี่ยนแปลงไม่มีใครมาสั่งให้เปลี่ยน มันค่อยๆคืบคลานเข้ามาจนเราเผลอตัวมันก็มาครอบเราจนหมดสิ้น
  • นี่คือตัวบ่งบอกการเข้ามาของสิ่งตรงข้ามด้วยใช่ไหมคือการเห็นแก่ตัว
  • นี่คือยอดภูเขาน้ำแข็งใช่ไหม….ภูเขาแห่งการพังทลายของสังคมชนบท
  • ฯลฯ


ปลาเก๋า

9 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 24 กรกฏาคม 2011 เวลา 12:53 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1151

อาหารจีนตามเหลานั้นขึ้นชื่อนักว่าเลิศรส และหลายชนิดอาหารกล่าวกันว่ามีคุณค่าอย่างนั้นอย่างนี้ แต่ราคานั้นชาตินี้ผมคงไม่มีโอกาสลิ้มรส แต่เศรษฐีเมืองไทย นักการเมืองและข้าราชการผู้ยิ่งใหญ่ มักจะคุยว่าไปกินเหล่าโน้นนี้ ราคาแพงระยับมาแล้ว มันอาจจะแสดงฐานะของท่านและหรือบารมีของท่านเหล่านั้น เพราะของดีราคาแพงๆนั้นมันมีความหมายในหลายอย่าง ข้าราชการผู้ปรารถนาจะก้าวไปข้างหน้าทุ่มเทของดีที่นายชอบประเคนให้แบบตัวเองมานั่งกุมขมับ พระเครื่องราคาเป็นล้านก็หามาให้ท่าน เราเห็นคนไทยบินไปทานอาหารเลิศรสที่ฮ่องกง


วันนั้นที่ ภูเก็ตผมออกสนามไปสำรวจพื้นที่โครงการและแวะเยี่ยมหน่วยตรวจสอบอากาศ มลภาวะที่มาติดตั้งอยู่ที่วัดติดสะพานสารสิน ผมเดินดูรอบบริเวณวัด พบเห็นรถปิคอัพกำลังขนถ่ายอะไรสักอย่าง จึงเข้าไปถามดู เป็นการขนถ่ายปลาเก๋าจากกระชังเลี้ยงปลาที่ไม่ไกลจากฝั่นตรงนั้นเท่าใดนัก เอามาใส่รถที่มีถังแช่และเครื่องเป่าอ๊อกซีเจนลงไปในถัง


เด็กหนุ่มทำหน้าที่จัดการแบ่งแยกปลาลงถังไม่ให้หนาแน่นเกินไป เอาไปขายในภูเก็ตนี้หรือครับ ผมถาม เด็กหนุ่มตอบว่า ไม่ใช่ครับ เอาไปแพ๊คลงกล่องแล้วส่งไปเมืองนอก

เอาไปที่ไหนครับ เขาส่งไปฮ่องกงและจีนครับ เด็กหนุ่มตอบ…ว๊าววววว

อยู่ในกล่องไม่ตายหรือครับ…เด็กหนุ่มตอบว่า ไม่ตายเขาทำดีอยู่ได้สองวัน


หากซื้อขายบ้านเราราคาเท่าไหร่ครับ ผมถาม เด็กหนุ่มบอกว่า อย่างต่ำกิโลกรัมละ 1000 บาท..จ๊ากสสสส….

ใครเป็นเจ้าของกระชังครับ ผมหาข้อมูลต่อ เจ้าของเป็นชาวใต้หวัน มีสองแห่งตรงนี้กับอีกที่หนึ่ง ส่วนคนไทยก็มีเลี้ยงแต่จะนวนกระชังมีน้อยกว่า ของเจ้านี้มี 120 กระชัง ใช้ปลาชนิดหนึ่งที่ซื้อจากประมงมาบดทำเป็นอาหารปลาเก๋า ซึ่งจะเลี้ยงโดยประมาณ เกือบปีจึงจะได้ขนาดจับได้…ฯลฯ

 

ชาตินี้ผมคงไม่มีโอกาสได้กินอาหารที่ทำมาจากปลาเก๋า แต่ก็ไม่เดือดร้อนที่จะต้องดิ้นรนไปหากิน ผมทราบจากยาหยีว่าที่จังหวัดตรังและในหลายจังหวัดพี่น้องชาวใต้ก็เลี้ยงในกระชังกัน แต่จำนวนกระชังไม่มาก

ท่านที่มีเงินก็ไปหารับประทานเถอะไม่ว่ากัน เพราะเป็นสิทธิปากท้องของท่าน ดีซะอีกชาวประมงภาคใต้จะได้มีอาชีพมีรายได้ แต่รายละเอียดที่ถูกต้องเรื่องนี้ผมไม่ทราบ ที่เล่ามาเป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น แต่ก็พอเห็นภาพอะไรบ้างนะครับ..


ท่านเห็นภาพนี้ก็คงนึกออกนะครับว่า แรงงานในการทำเรื่องนี้ก็เหมือนกิจการอื่นๆในแถบท้องถิ่นนี้ที่เป็นลูกหลาน บุเรงนอง ทั้งน้านนนนน


Color of June

41 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 24 กรกฏาคม 2011 เวลา 1:33 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1548

ประกาศผลการตัดสินรางวัลการประกวดภาพถ่ายดาราศาสตร์ประจำปี 2554

หัวข้อ “มหัศจรรย์ภาพถ่ายดาราศาสตร์ในเมืองไทย”

ขออนุญาตเอาภาพมาอวดหน่อยครับ
ชนะเลิศประเภทที่ 5 ปรากฏการณ์บนบรรยากาศโลก เป็นภาพที่ถ่ายไว้เมื่อ วันที่ 9 มิถุนายน 2553 เวลา 18:31 ที่ภูมโนรมย์ มุกดาหาร สมัยที่ยังทำงานที่ดงหลวง มุกดาหาร ข้างล่างคือข้อมูลเทคนิคกล้องที่ใช้ครับ

ท่านติดตามผลงานท่านอื่นๆได้ที่นี่ครับ

http://www.narit.or.th/index.php?option=com_content&view=article&id=251%3Aastrophoto2011&catid=1%3Aastronomy-news&Itemid=4

ผมถ่ายรูปเมฆมาสักปีกว่าๆ เพราะท่าน ดร.บัญชา ธนบุญสมบัติ แห่ง สวทช.มาชวนดูเมฆแบบหาความรู้ไปด้วย และเก็บภาพสวยๆเอาไว้ด้วย ผมถ่ายรูปเมฆได้สองเดือนก็ได้รูปสวยๆ ที่ ดร.บัญชาเลือกเอาไปลงในวารสาร 4 รูป ช่วงนั้นผมได้รูปที่ถูกใจที่สุดคือรูปละอองน้ำกระทบแสงอาทิตย์แล้วเป็นรุ้ง และจินตนาการเป็นรูปนกยูง สวยมากในสายตาผม

มาครั้งนี้ผมลืมไปแล้วว่ามีการประกวดภาพ ดร.บัญชาอีกนั่นแหละ อีเมล์มาเตือนว่า ผมตุนรูปสวยๆไว้เยอะ น่าจะส่งไปประกวดดู ได้หรือไม่ได้รางวัลก็ไม่เป็นไร ถือว่าเข้าไปมีส่วนร่วมกับกิจกรรมทางดาราศาสตร์  ผมเลยไปค้นรูปจาก external HD ที่จัดเก็บไว้ คัดมาสัก 25 รูปได้ แล้วเอามาคัดอีกเหลือ 10 รูป คัดอีก เหลือ 6 รูป ส่งไปในวันสุดท้ายเลย

ต้องขอบคุณ ดร.บัญชา เป็นอย่างมากที่แนะนำกิจกรรมดีดีอย่างนี้ครับ


เขียนบันทึกไม่จบ

36 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 23 กรกฏาคม 2011 เวลา 19:19 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1768

งานเข้า เลยเขียนไม่จบสักบันทึก อิอิ


ศูนย์ประชุมนานาชาติฯภูเก็ต

20 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 18 กรกฏาคม 2011 เวลา 16:40 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 951

วันที่ 20-21จะไปภูเก็ต ค้างคืนเดียว ไม่มีโอกาสได้พบท่านอัยการ เพราะโปแกรมแน่นเลยตั้งแต่ลงไปถึงก็ทำงานเลย ยังมีอีกหลายครั้งครับที่จะลงไป

เป็นงานศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมเพราะกรมธนารักษ์ตั้งงบประมาณสร้างศูนย์ประชุมและนิทรรศการนานาชาติภูเก็ต ที่หาดไม้ขาว เคยมีการศึกษาแล้ว แต่ทางกรมฯให้ทำเพิ่มเติม ทีมงานของเราก็ลงไป

อาคารศูนย์นี้หากสร้างขึ้น จะรองรับการประชุมระดับนานาชาติได้ หากพิจารณาเผินๆก็น่าที่จะเป็นเหตุผลจูงใจให้มีการชักนำการประชุมนานาชาติที่ภูเก็ต ก็จะมีรายได้เข้าประเทศ เพราะมีระบบธุรกิจที่เกี่ยวข้องอีกมากมายที่จะคึกคัก ตามมา เช่น อาหารการกิน การคมนาคม การท่องเที่ยว สินค้า และ ฯลฯ ซึ่งกรมธนารักษ์ก็คาดหวังเช่นนั้น

การศึกษาผลกระทบสิ่งแวดล้อมและอื่นๆ มีส่วนดีที่จะทำการศึกษารายละเอียดและสรุปออกมาว่า การก่อสร้างและการดำเนินงานของศูนย์นี้จะบรรลุเป้าหมายหรือไม่ อย่างไร จะส่งผลกระทบอะไรบ้างไหม เท่าไหร่ อย่างไร ฯลฯ

เท่าที่ศึกษาเอกสารและฟังชาวภูเก็ตพูดคร่าวๆก็ทราบว่า ปัจจุบันปัญหาที่เผชิญก็พอสมควรในเรื่องสาธารณูปโภค หากมีคนมามากขึ้น อยู่กินหลายวันก็อาจจะเป็นปัญหาได้ นี่คือข้อกังวล

ทั้งนี้เพราะว่า น้ำดื่มภูเก็ตนั้นอาศัยน้ำฝน และนำเข้ามาจากแผ่นดินใหญ่ เนื่องจากภูเก็ตมีแรงจูงใจชาวต่างชาติมาท่องเที่ยวและมาลงทุน รวมไปถึงมาสร้างบ้านพักที่นี่ คนท้องถิ่นบางคนกล่าวว่า คนภูเก็ตอพยพไปที่อื่น ฝรั่งเข้ามาอยู่อาศัยมาก มากจนเกิดธุรกิจต่อเนื่องที่เราคาดไม่ถึง เช่น มีเที่ยวบินราคาถูกสายตรงจากภูเก็ตไปอุดรธานีทุกสัปดาห์ โดยไม่แวะกรุงเทพฯ มีผู้รู้กล่าวว่า เที่ยวบินสายตรงนี้บินเพื่อพาฝรั่งจากภูเก็ตไปต่อวีซาที่ลาว….???!!! แล้วกลับไปใช้ชีวิตที่ภูเก็ตต่อ..

ไม่มีอะไรหรอก แค่มาเล่าให้ฟังเฉยๆ และรูปก็ไม่เกี่ยวกับเนื้อเรื่องด้วย เอามาใส่เฉยๆ อิอิ



ดอกอะไร

319 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 17 กรกฏาคม 2011 เวลา 9:41 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 5189

ไม่แน่ใจว่า…มีสักกี่คน

ที่มีโอกาสเห็นดอกไม้ชนิดนี้

ผมก็เพิ่งมีโอกาสเห็น

ดอกอะไรเอ่ย..


ถนนมิตรภาพคือที่รวมน้ำ

145 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 15 กรกฏาคม 2011 เวลา 23:31 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2142

เมื่อวันที่ 13 ที่ผ่านมา ตอนบ่าย ฝนตกที่ขอนแก่นมากทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในเมือง และที่ ถนนมิตรภาพหน้าร.พ.ศรีนครินทร์ ส่วนที่ท่วมมากกว่านี้ก็มีแต่ถ่ายรูปไม่ทัน ถนนกลายเป็นคลองรวมน้ำที่มาจากมอดินแดง คือ มข. มอคือโนน คือเนิน คือที่สูง น้ำจากพื้นที่สูงส่วนใหญ่คือพื้นที่มข.ก็ไหลมารวมกันตรงนี้ นี่ขนาดตกแบบที่เรียกว่าฝนไล่ช้าง คือมาหนักแล้วผ่านไป หากตกหนักเป็นเวลานาน อะไรจะเกิดขึ้น


บางกอก 2554

72 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 15 กรกฏาคม 2011 เวลา 19:15 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2224

ทีสถานี MRT แห่งหนึ่ง ผมขับรถไปรอลูกสาวเมื่อเธอเลิกจากงานแล้วนั่งรถใต้ดินมาโผล่ตรงนี้ แล้วผมรับกลับบ้านพักแถวบางเขน ผมไม่ได้คลุกคลีกับกรุงเทพฯ การขับรถไปไหนมาไหนมันลำบากใจกลัวจะเฉี่ยวชน กลัวไปไม่ถูก กลัวหาทางเข้าจุดเป้าหมายไม่ถูกแล้วเลยเป้าหมาย ..ฯลฯ หากไม่จำเป็นจริงๆก็ใช้บริการแท็กซี่ แต่งานนี้ลูกสาวขอให้ไปรับเธอ ส่วนหนึ่งเธออยากให้ผมมีประสบการณ์ในกรุงเทพฯ อิอิ ไม่ค่อยอยากมีสักหน่อย เมื่อลูกขอร้องก็เอาซะหน่อย

 

ผมเอารถไปจอดที่จอดรถก่อนเวลานานเป็นชั่วโมง ไปก่อนเวลาก็เพราะเกรงว่าอาจมีปัญหาจะได้มีเวลาแก้ไข เมื่อถึงที่หมายก็ผ่านด่าน พนักงานให้การ์ดจอดรด เรารับไว้ หาที่จอดได้แล้ว ซึ่งอาคารจอดรถเป็นตึกสักสิบชั้นได้มั๊ง สำหรับคนทำงานเอารถมาจอดที่นี่แล้วนั่งรถใต้ดินไปทำงาน เลิกงานก็กลับมาเอารถ วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า จาก “กระฉับกระเฉง” เป็น “ชินชา” แล้วเข้าสู่ “เชื่องช้า” มันเป็นวิวัฒนาการของคนทำงานในระบบ ในเมืองใหญ่ แต่คำว่าเชื่องช้า อาจไม่ได้มีความหมายจะต้องเป็นทางลบ แต่เช่องช้าเพราะสุขุมมากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น ไตร่ตรองมากขึ้น จึงใช้เวลามากขึ้นในการทำอะไร ตัดสินใจอะไร…

ลูกสาวบอกให้ผมเดินลงไปใต้ดินดูโน่นดูนี่ ผมก็ลองทำดู เดินสวนทางคนที่เลิกงานมาเอารถกลับบ้านเป็นกลุ่มๆ ดูหน้าตาส่วนใหญ่เป็นวัยทำงานต้นๆ หรือกลางๆ และจำนวนมากในกลุ่มนั้นเป็นสตรี หลายคนมีสายเสียบหูต่อเครื่องมือถือ หรือ iPhone อะไรสักอย่าง ผมลงไปสองชั้นด้วยบันไดเลื่อนที่ทำงานเร็วมากเมื่อเทียบกับบันไดเลื่อนที่ห้างสรรพสินค้า น่าจะใช้ไฟฟ้ามหาศาล เพราะมันเดินเครื่องตลอดไม่ว่าจะมีคนหรือไม่มี สถานที่เป็นโล่งๆ ไม่มีร้านค้าใดๆ อาจเป็นเพราะยังลงไม่ถึงล่างสุด เพราะมีด่านการ์ดทำหน้าที่ตรวจวัตถุต้องห้ามสำหรับทุกคนที่ผ่านเข้า ผมตัดสินใจไม่ลงไปต่อ ย้อนกลับขึ้นมา มีแถวตู้ ATM ของหลายธนาคารตั้งบริการอยู่ มีหนุ่มๆสองสามคนไปใช้บริการ เขาอาจมีโปรแกรมต่อจากนี้ก็ได้ จำเป็นใช้เงิน อากาศอบอ้าว

ผมขึ้นมาที่จอดรถ เดินไปมาดูโน่นนี่เหมือนบ้านนอกเข้ากรุง เอาน้ำในรถมาดื่ม นึกได้ว่าผมเอาเก้าอี้ที่พับได้ติดมา จึงเอามากางมุมหนึ่งแล้วเอาหนังสือมาอ่าน สายตาสลับกับการสังเกตชีวิตความเป็นไปของคนกรุงเทพฯที่มาใช้บริการที่จอดรถใต้ดิน เดี๋ยวก็มีคนออกมาจากรถใต้ดิน ขับรถของเขาที่จอดอยู่ออกไป เดี๋ยวก็มาอีก เดี๋ยวก็มาอีก สังเกตการแต่งตัวใส่แขนยาวขาว ผูกเนคไทด์ หิ้วกระเป๋า Notebook หรือบางคนห้อยไหล่ ดูท่าทางเหนื่อยอ่อน บางคนหยิบมือถือมาโทรคุย เห็นมีรถเข้ามาจอดเหมือนกัน ดูดูไปเป็นพ่อแม่ มารับลูกสาว เออ เหมือนเราเลยนะ นั่นมาทั้งพ่อทั้งแม่ หรือสามีมารับภรรยา หรือแฟน บางคู่เกี่ยวก้อยจับมือกันหวานเจี๊ยบไปขึ้นรถออกไปด้วยกัน

ผมดูเวลาแล้ว สี่ทุ่มครึ่งแล้วรถยังจอดอยู่หนาตา แต่ก็ลดลงเรื่อยๆ มีชายหนุ่มท้วมๆคนหนึ่ง เหงื่อโซกมาเลย เดินตรงมาที่ผมนั่ง “พี่ครับ รถผมแบตหมดอยู่ชั้นบน รถพี่มีสายเชื่อมแบตไหมครับ ขอยืมไปใช้หน่อยครับ” ผมเข้าใจสถานการณ์ทันที แต่ก็จนใจเพราะในรถผมก็ไม่มี รถคันเดิมมีครบ แต่คันนี้ไม่ได้เตรียมไว้ โอย ทำไงดีจะช่วยได้.. ผมแสดงความเห็นใจแต่จนปัญญา เลยแนะนำแบบกำปั้นทุบดินว่า ติดต่อตำรวจ หรือการ์ดที่นี่ได้ไหม เขาก็บอกว่า มันก็ดึกแล้วนะ ร้านรวงต่างๆก็คงปิดไปหมดแล้ว ดูเขาเป็นห่วงมาก เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า เขามีกำหนดการอย่างไรอีก อาจจะมีพ่อแม่ที่แก่เฒ่าคอยลูกกลับบ้าน อาจมีครอบครัวคอยเขา หรือเขามีงานที่ต้องรีบกลับไปทำต่อที่บ้าน …

เขาจากไปโดยไม่ประสบผลสำเร็จในการร้องขอความช่วยเหลือจากผม ผมนึกว่า เอ เราไปช่วยเขาดันรถได้ไหม อยากช่วย สงสาร เพราะใจก็นึกไปว่า นี่เป็นผู้ชาย หากลูกสาวเราเป็นเช่นนี้บ้างจะแก้ปัญหาอย่างไร ใจคิดไปร้อยแปด คิดไปว่า เธอควรมีคู่มือการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าสารพัดเรื่องแบบนี้ในเมืองหลวง อย่างน้อยที่สุด เบอร์โทรศัพท์ที่สำคัญๆที่สามารถขอความช่วยเหลือ หรือขอแนะนำอะไรได้บ้าง กรุงเทพฯน่าที่จะมีหน่วยฉุกเฉินที่พร้อมเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาแบบนี้ นอกจากแต่ละบุคคลจะเตรียมพร้อมให้มากที่สุดแล้วอาจจะไม่ครอบคลุมปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นได้…

เป็นเวลาชั่วโมงกว่าที่ลูกสาจะมาถึง เห็นรถที่จอดอยู่ค่อยๆทยอยออกไปจนบางตามากแล้ว เรากลับบ้านกว่าจะถึงบ้านก็ห้าทุ่ม หลานอีกคนที่ทำงานยังไม่กลับมาเลย ถามเธอว่า พี่เขากลับดึกอย่างนี้ทุกวันหรือ เธอตอบว่าเป็นปกติ….???!!!

ผมไม่คิดว่าเด็กรุ่นใหม่ทำงานในกรุงเทพฯจะใช้เวลาที่ทำงานและการเดินทางมากขนาดนี้ ลูกสาสกลับถึงบ้านพัก ประมาณ สามทุ่มขึ้นไปทุกคืน ยกเว้นเสาร์ อาทิตย์ที่เธอไปเรียน ป.โทที่มหิดล ส่วนหลานสาวคนนั้นที่พักด้วยกันกลับมาถึงบ้านอย่างต่ำก็ สี่ทุ่มครึ่งทุกคืน ออกจากบ้านก็แต่เช้ามืด

เธอมีเวลาที่ทำงานและการเดินทางมากกว่าอยู่ที่บ้าน ….??!!!

 

มิน่าเล่าช่วงไหนมีวันหยุดสามวันขึ้นไปต่างก็แห่ออกจากรุงเทพฯไปไหนก็ได้ที่เป็นต่างจังหวัด เป็นสภาพสังคมที่ชีวิตต้องจำนนอย่างนั้นหรือ…

สงสารลูกสาว หลานสาว และคนกรุงเทพฯจริงๆ…


@

110 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 กรกฏาคม 2011 เวลา 16:36 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2653

@

สัญลักษณ์ @ มนุษย์รู้จักมาตั้งแต่ยุคกลาง นักธุรกิจสมัยนั้นใช้เป็นตัวย่อแทนคำว่า at (ที่) หรือ each (ตัวละ) เช่น “lace@ 1 d 1 yard” (ผ้าลูกไม้หลาละ 1 เหรียญ) นี่คือเหตุผลว่าทำไมจึงต้องบรรจุสัญลักษณ์นี้ไว้ในเครื่องพิมพ์ดีด และต่อมาอยู่ในแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์ เมื่อปี 2515 เรย์ ทอมลินสัน วิศวกรซอฟต์แวร์ชาวอเมริกันคิดค้นโปรแกรมอีเมล์สำเร็จ แต่เขาต้องการสัญลักษณ์ที่จะแยกชื่อผู้ใช้ออกจากรายละเอียดอื่นๆเกี่ยวกับตัวเครื่องในที่อยู่อีเมล์ อักษรที่เขามองหานี้จะต้องไม่ปรากฏในชื่อของใครทั้งสิ้น ในที่สุด ทอมลินสันเลือกใช้สัญลักษณ์ @

——————

ขอบคุณแหล่งข้อมูล: จาก Reader’s Digest ฉบับ พ.ค. 2548 หน้า 22


หากินกันหลายแบบ

68 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 9 กรกฏาคม 2011 เวลา 17:38 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2032

เป็น contact ที่ไม่ปกติ ได้รับบ่อย ผมลบทิ้งหมด

หนึ่ง อาจจะเป็น virus

สอง เป็นลูกแหย่ หากเราไม่รู้เรื่องเดินตามเขาไปอาจตกหลุมเรื่องเงินทอง หรืออย่างอื่น

สาม อย่ายุ่งดีกว่าลบทิ้งหมดทุกครั้ง

ตัวอย่างข้างล่างนี้

————————

New comment on your post #2874 “ขอนแก่นอบอุ่น”

Author : NIKKIHubbard22 (IP: 95.64.12.20 , 95.64.12.20) E-mail : lindathorn@mail15.com

URL :

Whois : http://ws.arin.net/cgi-bin/whois.pl?queryinput=95.64.12.20

ความคิดเห็น:

Some time before, I really needed to buy a building for my corporation but I did not have enough money and could not order something. Thank God my brother adviced to try to take the <a href=”http://bestfinance-blog.com/topics/mortgage-loans” rel=”nofollow”>mortgage loans</a> from creditors. Thence, I did so and used to be happy with my car loan.

 

You can see all comments on this post here:

http://lanpanya.com/dongluang/archives/2874#comments

 

Delete it: http://lanpanya.com/dongluang/wp-admin/comment.php?action=cdc&c=2185

สแปมมัน: http://lanpanya.com/dongluang/wp-admin/comment.php?action=cdc&dt=spam&c=2185


มืออาชีพ..

24 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 9 กรกฏาคม 2011 เวลา 1:24 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1104


เฮ่อ..วันนี้ยังไม่ได้กินอะไรเลย หิวว่ะ….


ตรงนี้ปลอดภัยดีนะ ไม่มีศัตรู ไม่มีคนแอบมองเรา อิอิ


เอ้า ทำมาหากินของเราดีกว่า..อย่าไปสนเลย คนเขายุ่งกับตั้งรัฐบาลอยู่


นั่น นั่น นั่น เหยื่อเรามาแล้ว….เสร็จเราแน่ไอ้ตัวนี้


อ้าวไปซะแล้ว…เอาใหม่ เงียบๆไว้เราเดี๋ยวเหยื่อมาใหม่


น่าน…งัย…มาอีกแล้ว …คราวนี้เสร็จกระยางอย่างเราแน่…


เรามันวิญญาณนักฆ่า แม้จะไม่ใส่ชุดดำ แต่เรื่องนี้ละก็ ฉันก็หนึ่งเหมือนกัน


นี่ไง..เห็น สีมือฉันไหมง่ะ


จั๊บ จั๊บ อาหย่อยจัง….


เมื่อยว่ะ…เปลี่ยนท่ายืน เปลี่ยนข้างบ้างดีกว่า เอ่อ…ค่อยยังชั่ว …


น่าน…. มาอีกแล้วอาหารเรา…


เย็นไว้..เดี๋ยวจัดการ เย็นไว้…เรามันมืออาชีพอยู่แล้วววว


ว๊ายยย……ผิดพลาดไปหน่อย ไม่มีใครเห็นนะ เสียชื่อโหมด


แต่เองก็เสร็จฉันจนได้ บอกแล้วว่าฉันมันมืออาชีพ


ดาราแสดงนำ: กระยางบ้าน

สถานที่: บึงทุ่งสร้าง ขอนแก่น

เรื่องที่แสดง: วิถีชีวิตกระยางบ้านนอก

โรงหนัง: ลานปัญญาเธียร์เตอร์


ขุนรองปลัดชู..

356 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 กรกฏาคม 2011 เวลา 0:54 ในหมวดหมู่ ทุนสังคม #
อ่าน: 28602

ในฐานะเป็นลูกชาวนาคนวิเศษชัยชาญ ขอแสดงคารวะต่อบรรพบุรุษ ขุนรองปลัดชู (และผู้กล้าท่านอื่นๆอีก) ที่เป็นภาพยนต์กำลังจะฉายให้ผู้สนใจชม เริ่มวันจันทร์ที่ 11 นี้ เวลา 5 ทุ่ม Thai PBS ขออนุญาตนำข้อมูลที่เผยแพร่ตามสื่อต่างๆมาแล้ว บางท่านอาจจะยังไม่ทราบ เลยขอพื้นที่นี้เผยแพร่ แต่จะฉายภาพยนตร์พรีวิว ในรายการไทยเธียเตอร์ ช่อง Thai PBS วันเสาร์ที่ 9 กรกฎาคม 2554 เวลา 22.00 น.

ข้อความต่อไปนี้ผมสำเนามาจาก การย่อความ จาก หนังสือ กองอาทมาท ประกาศศึก (การ์ตูน) โดย คุณพงษ์พัฒน์ เพชรรัตน์ สำนักพิมพ์อาทมาท, พิมพ์ครั้งแรก กันยายน ๒๕๕๐ ซึ่งปรากฏใน http://www.oknation.net/blog/print.php?id=138161


ใน พ.ศ. ๒๒๙๔ พระเจ้าอลองพญา ขึ้นครองพม่า แล้วก็แผ่พระราชอำนาจ รวบหัวเมืองน้อยใหญ่รวมทั้งมอญ ไว้ได้หมดสิ้น

ครอง ราชย์ 8 ปี ก็ เป็นเวลาที่ กรุงศรีอยุธยา ผลัดแผ่นดิน เป็นพระเจ้าเอกทัศน์ พม่าเห็นว่าไทย อยู่ในช่วงรอยต่อ มีความวุ่นวาย รวมทั้ง ต้องการลองกำลังหยั่งเชิง ซึ่งพอดีมีเหตุ เรือบรรทุกสินค้าของฝรั่ง ที่ค้าขายในเมืองอังวะ ถูกพายุซัดมาทางตะวันออก แวะมาซ่อมเรือที่มะริด ซึ่งเป็นเมืองขึ้นของตะนาวศรี พม่าก็ขอให้เจ้าเมืองตะนาวศรี ส่งฝรั่ง และ มอญ ที่เป็นกบฏ หนีมา จับตัวส่งไป ทั้งคน และ เรือ ไทยตอบว่า ฝรั่งมาซ่อมเรือ ส่วนจะมีกบฏมอญมาหรือไม่นั้น หาทราบไม่

พม่าก็ถือเป็นโอกาส หาเหตุ ส่ง มังระ ราชบุตรองค์ที่สอง กับ มังฆ้องนรธา คุมกำลัง แปดพันคน มาตีทวาย ซึ่งตอนนั้นกำลังแข็งเมืองอยู่

เขา ว่า สมัยนั้น การข่าวของ อยุธยาผิดพลาด….เจ้าเมืองกาญจนบุรี แจ้งว่าพม่าจะยกมาทางด่านเจดีย์สามองค์ พระเจ้าเอกทัศน์ ก็มีรับสั่งให้พระยาอภัยราชมนตรี ยกพลหนึ่งหมื่นไป ดักรอสกัด ที่นั่น และให้พระยาพระคลัง ยกพลอีกหนึ่งหมื่นไป เป็นทัพหนุนที่ ราชบุรี
ต่อมามีข่าวจากเจ้าเมืองกำแพงเพชรว่า พม่าจะส่งมาทางด่านแม่ละเมาอีกทางหนึ่ง ทางกรุงศรีฯ ก็ส่งทัพไปสกัดอีกเช่นกัน

ด้าน พม่านั้นเมื่อตีทะวายได้แล้ว ก็ต่อมายังมะริด และ ตะนาวศรี เจ้าเมืองจึงได้มีหนังสือมาแจ้งเมืองหลวง แต่ตอนนั้น กำลังพลส่วนใหญ่ได้ใช้ไปรักษาสองด่าน แรกหมดแล้ว จึงเหลือเพียงกำลังเล็กๆ ที่ยกไปรักษามะริด และ ตะนาวศรี
พระเจ้าเอกทัศน์ โปรดให้ พระยายมราช เป็นแม่ทัพคุมกำลัง สามพัน และ พระยารัตนาธิเบศร์คุมทัพหนุน สองพัน

ใน เวลานั้น มีครูฝึกเพลงอาวุธอยู่ในเมืองวิเศษไชยชาญอยู่ผู้หนึ่ง ชื่อ ครูดาบชู ซึ่งได้รับแต่งตั้งจากพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ให้เป็น ปลัดเมือง กรมการเมืองวิเศษไชยชาญ ชาวบ้านจึงเรียนว่าขุนรองปลัดชู

เมื่อท่าน ทราบข่าว ว่าพม่ายกมาตีมะริด ตะนาวศรี ท่านก็สละตำแหน่ง ปลัดเมืองทันที แล้วนำชายฉกรรจ์ ที่เป็นลูกศิษย์ประมาณ ๔๐๐ คน เดินทางมายังพระนคร เพื่อทูลขออาสาออกศึกกับพม่า โดยไม่ต้องรอคำสั่งย้าย แต่ประการ

เรามักจะสงสัยกันว่าว่า ทำไมอยุธยาเสียกรุงสองครั้ง
…การข่าวพลาดมั้ง..?

แล้วก็ความเห็นแก่ตัว ของมนุษย์
สมัยนั้นก็มีคนแบบในภาพนี้แหละ ที่ บอกว่า แค่กำลังสี่ร้อยคน จะไปสู้สึก เรือนหมื่น ทัพพม่าแปดพันที่ยกมา มันฝันกลางวัน ในฝันอีกที คือ ไปตามหมู่มากกว่า

ความเห็นแก่ตัวระดับ เล็กๆ ก็ไม่น่ากลัวเท่ากับความเห็นแก่ตัว และเห็นแก่ได้ ของคน
ความ รักชาติระหว่างการเกณฑ์ผู้คนให้ได้ครบนั้น ชาวบ้านต่างมาร่วมใจกันทั้งตำบล แม้กระทั่งคนตาบอด ที่มีวิทยายุทธก็พากันมาสมัคร แต่ระดับขุนพลในกรุงศรี ฯ กลับไปประจบสอพลอขันทีเฒ่า เช้า ตีกอล์ฟ เย็นเข้าผับ แถมแอบเบียดบังตั้งงบเป็นแสนล้านกว่าจะกินกันข้ามภพข้ามชาติ แผ่นดินจะพินาศไม่สนใจ

ทัพพม่ามาเต็มรูปแบบ ทั้งช้าง ม้า ปืนใหญ่ ของเราคนน้อยกว่า ก็ต้องอาศัย ยุทธวิธี หรือ กลยุทธ์บ้าง ไม่ได้จะสู้ตายอย่างเดียว

เช่น

.. ตัดต้นขวาก มีหนามแหลม มากีดขวางทัพข้าศึก ให้ทะลวงผ่านช่องเขาไม่ได้ง่าย

.. กลิ้งตะกร้อ ที่สานด้วยไม้ไผ่กรุด้วย ฟางแห้ง เผาไฟลงใส่ข้าศึก

.. ราดน้ำมันบริเวณช่องเขา พอทหารล่วงเข้ามาก็ใช้ธนูเพลิง ระดมยิงให้ไฟครอกตาย

แล้ววันแห่งการรุกรบก็มาถึง….ในคืนก่อนการศึกนั้น
ท่านขุนรองปลัดชู ปลุกใจ บรรดาเพื่อนร่วมรบว่า


.. ไม่คืนนี้ ก็อาจจะเป็นตอนย่ำรุ่ง ที่กองทัพพม่า จะเดินทางมาถึง
พวกเอ็งเตรียมใจแล้วหรือยัง

เจ้าแช่ม หนึ่งในกองทหาร ตอบว่า
.. เรื่องนั้น พี่ชู มิต้องวิตก คนวิเศษไชยชาญ ทุกคนในที่นี้ ล้วนแล้วแต่กำลังใจดีกันทั้งสิ้น แต่เมื่อช่วงพลบค่ำ ก็มีหลายเสียงที่ยังไม่กระจ่างใจ
ว่าเหตุใด ทับหลวงมิส่งกองหนุนมาสมทบให้เราบ้าง ส่งมาสักกองก็ยังดี หากทัพพม่ามันมาทางนี้ พวกเราสี่ร้อยคน จะรับมือไหวรึ ?

ท่านขุนรอง ตอบว่า
” เอ็งก็คงสงสัยมิใช่น้อยเหมือนกัน แต่ช่างหัวมันปะไร, ใครใคร่เห็นแก่ตัว ก็ปล่อยเขา, บ้านเมืองเรา ยามนี้ มีศึก, มัวหดหัว กลัวเสี่ยงภัย ไร้สำนึก, ต้องผนึก ผนวกใจ ไปต่อกร

ไอ้แช่ม เอ็งดูต้นไม้นี่สิ กว่ามันจะเติบโตขึ้นมาได้ มันก็ต้องอาศัยหลายอย่าง รอบต้นไม้มีทั้งก้อนหิน ก้อนดิน หากมีแต่ก้อนหิน มันคงตาย ต้องมีก้อนดิน เพื่อพยุงให้มันโต ให้รากยึดเกาะได้ แล้วเราไม่อยากเป็นก้อนดินเหล่านี้รึ เป็นก้อนดินที่ยังให้ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ ยึดเหนี่ยวต่อไป นานๆ เถิด

..เหมือนกับเป็นคนดี ที่ต้องปกป้องรักษาแผ่นดินเกิดของตัวเองไว้จนถึงที่สุด

กองทัพอาทมาท ต่อสู้กับพม่าอย่างถวายชีวิต จนแม่ทัพพม่า ถึงกับออกปากชม เชย
ศัตรูยังนับถือน้ำใจ …. แล้วคนในชาติเดียวกัน ?
รู้สึกอย่างไรล่ะ

ท่านขุนรองปลัดชู มิได้รบจนมุทะลุอย่างเดียว ในเมื่อไม่เป็นไปตามแผนการ กองหนุนก็ไม่มาสักทีกองทหารอ่อนแรงไปมากแล้ว

ก็มีช่วงที่ต้องข่มขู่กันด้วย การเจรจา ข่มขวัญบ้างละ….

แม้ไม่ได้ผลเต็มร้อย หยุดรบบ้างก็ยังมีเวลาหายใจ เพื่อ…จะไปลบจำนวนศัตรูลงให้มากที่สุด อันเป็นเป้าหมายในการศึกคราวนี้

“………แม้จะตายก็ขอตายในหน้าที่
ชีวีนี้ พลีเพื่อชาติ ที่ข้ารัก
แม้ศัตรู รุกเข้ามา จนหน่วงหนัก
ข้าพร้อมพรัก ประจัญบาน สังหารมัน …..”

ในที่สุด กองทัพอาทมาดทั้งสี่ร้อยก็พลีชีพดับดิ้นสิ้นใจด้วยหมดแรงล้า ตายทั้งที่สองมือยังถือดาบมั่น


แต่ปฎิธาน ของท่านขุนรอง ปลัดชู และ เพื่อนร่วมทัพของท่าน คงยังอยู่ ว่า

” ตราบใดที่ลมหายใจยังมี
ชีวิตนี้ กูขออุทิศ เพื่อปกป้อง ผืนแผ่นดิน สยาม

กูจะสู้  แม้ว่าพวกกูน้อย  สู้ไม่ถอย  ถึงแม้ว่าจะดับสลายขอขอบคุณแหล่งข้อมูล

แผ่นดินนี้  พ่อกูอยู่  ปู่กูตาย  ยอมมลายมิยอมให้ไพรีครอง

…. ใครบ้างเหวยจะยืนสู้เช่นกูบ้าง   ใครบ้างเหวยจะเคียงข้างไทยใจหาญ

ใครบ้างเหวย  จะละสุขสนุกสำราญ  ใครบ้างเหวย  ยอมวายปราณ  เพื่อไทยคง…..

รูปนำมาจาก : http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=301923

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูลทั้งสองแห่ง

คนท้องถิ่นเรียนรู้เรื่องท้องถิ่นนี้มานาน ประวัติศาสตร์ท้องถิ่นได้มีส่วนสร้างสมจิตวิญญาณลูกหลานมาบ้าง แม้จะปลายแถว ยังมีประวัติศาสตร์ท้องถิ่นอีกหลายแห่ง ที่บ่งบอกถึงสถานการณ์บ้านเมืองในสมัยรบกับพม่า อาจเป็นเพราะเมืองวิเศษชัยชาญเป็นเมืองหน้าด่านที่ติดกับกรุงศรีอยุธยา จึงมีเรื่องเล่ามากมาย เสียดายที่หลักสูตรในโรงเรียนรุ่นหลังนั้นยกเลิกสิ่งเหล่านี้ไปหมด จิตวิญญาณเพื่อชาติจึงหดหายไปปกป้องอะไรก็ไม่รู้….


เราจะกลับมา..

172 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 4 กรกฏาคม 2011 เวลา 23:46 ในหมวดหมู่ การบริหารจัดการประเทศ #
อ่าน: 3672

ไปเหอะพวกเรา คะแนนเสียงก็ลงแล้ว

เราทำหน้าที่แล้ว กลับไปทำงานปกติของเรา

คอยติดตามว่าสัญญาน่ะจะทำได้สักแค่ไหน

แต่ดู ปัญหาใหญ่ๆรออยู่ข้างหน้าเยอะอยู่นะ

เมื่อถึงวันนั้นเราจะกลับมาอีก

นะพวกเรา..



Main: 0.096925020217896 sec
Sidebar: 0.0536789894104 sec