คิดแบบแม่
เกิดสะดุดแนวคิด Neo-Humanist ใน blog ของคุณคนไม่มีรากขึ้นมา หันรีหันขวางนาทีนี้จะไปถามความเห็นใครดีล่ะ
แม่คร้าบ ยายคร้าบ ฟังเพื่อนลูำกคนนี้เขาพูดเรื่องการใช้ชีวิตหน่อยนะ (อ่านให้ฟังช้า ๆ)
เกิดสะดุดแนวคิด Neo-Humanist ใน blog ของคุณคนไม่มีรากขึ้นมา หันรีหันขวางนาทีนี้จะไปถามความเห็นใครดีล่ะ
แม่คร้าบ ยายคร้าบ ฟังเพื่อนลูำกคนนี้เขาพูดเรื่องการใช้ชีวิตหน่อยนะ (อ่านให้ฟังช้า ๆ)
นี่ถ้ายายรู้ว่าถูกแอบถ่ายตอนโทรม ๆ มีหวังโดนตื้บแหง ๆ
พูดถึงคุณยายวัยเกือบเก้าสิบ ผู้เป็นต้นแบบให้ชีวิตของครูปูในหลาย ๆ เรื่อง ทั้งความเมตตา เอื้อเฟื้อ เผื่อแผ่ การวางตัว การดูแลตนเองและผู้อื่น
ยายเป็นผู้มีรสนิยมวิไลทั้งในเรื่องอาหารการกินและการแต่งตัว เครื่องแต่งกายต้องเป็นผ้าถุง สีสันคลาสสิก ดอกดวงต้องกลมกล่อม นี่ถือเป็นศาสตร์ลึกลับทาง fashion ของคุณยายที่หาสายตาคนสมัยนี้เทียบได้ยาก เสื้อลูกไม้กับผ้าถุงต้องสีเข้ากัน ซึ่งถือเป็นของฟุ่มเฟือยประการเดียวที่ยายยอมทุ่ม
อาบน้ำทีต้องใช้เฉพาะแป้งหอม แล้วฉีดน้ำหอมสำทับเข้าไปอีัก สาว ๆ สมัยนี้หาคนหอมฟุ้งเท่ายายครูปู ยากส์…
รวมทั้งครูปูเองด้วยแหละ ที่ถูกยายต่อว่าอยู่บ่อย ๆ ว่า
“เป็นสาวเป็นนาง เนื้อตัวไม่รู้จักแต่ง”
แป่ว!
อำเภอเมืองจังหวัดสุราษฎร์ธานี หรือที่คนในท้องที่จะเรียกกันติดปากว่า “บ้านดอน” เป็นเหมือนบ้านเกิดของครูปูค่ะ (เพราะมาอยู่ตั้งแต่ขวบเดียว)
คุณยายเล่าให้ฟังว่า ต่อให้ภาคใต้น้ำท่วมหมด ยังไงก็จะเหลืออำเภอนี้แหล่ะ ที่ไม่มีทางถูกน้ำท่วม (ฟังดูเท่ๆ ยังไงไม่รู้นะคะ) ถึงครูปูจะเนรคุณนิด ๆ ด้วยการพูดใต้ไม่เป็น เนื่องจากไม่มีใครในบ้านเป็นคนใต้เลย แต่ก็ฟังรู้เรื่องโม้ด… ใครอย่าได้นินทาทีเดียวเชียว แฮ่ๆ…
ลงจากรถทัวร์เกือบตีห้าก็เจอหน้าเจ้าเพื่อนเลิฟตั้งแต่วัยเด็กยืนงัวเงียอย่างน่าเอ็นดู เพราะถูกครูปูโทรจิกให้มารับที่ขนส่งตั้งแต่ตีสี่ เอามือลูบหัวไปสองสามทีเพื่อแสดงความขอบคุณ แล้วต่อด้วยการเมาท์กระจายกันมาตลอดทาง
หลังจากอ่านหนังสือเจ้าเป็นไผ1 จบ รู้สึกว่าตัวหนูนี่เกิดมาสบายจริงๆ อยู่พร้อมหน้าทั้งครอบครัว อยากได้อะไรพ่อแม่ก็หามาให้ อยากเรียนอะไรท่านก็สนับสนุน แต่อีกมุมหนึ่งของโลกใบเดียวกัน ยังมีอีกหลายคนที่เลือกเกิดไม่ได้ อยากได้อะไร ก็ต้องพยายามให้ได้มา อ่านแล้วเข้าใจชีวิตอย่างบอกไม่ถูก
เพิ่งมีเวลาอ่านเมล์ที่เพื่อนส่งมาให้ แล้วเกิดไม่อยากขำก๊ากๆ อยู่คนเดียว
เลยนำมาแบ่งกันขำค่ะ (^_^)
เข้าใจว่าคงเป็นกระทู้แหย่กันเล่นมังคะ
จาก Fwd ใน board pantip …
ก่อนอื่นดิฉันขอสาบานว่าสิ่งที่ดิฉันพูดเป็นความจริงค่ะ
ดิฉันอายุ 25 ปีค่ะ ความสูง 170 ซม. น้ำหนัก 50 กิโล สัดส่วน 34-24-36
ผมยาว หน้าตาจัดว่าสวยมาก เซ็กซี่ มีรสนิยม
ดิฉันอยากจะแต่งงานกับผู้ชายรายได้สักสองแสนบาทอัพต่อเดือนสักคน
หลังจากขอบคุณคุณรอกอดตอนกระโดดลงจากรถ และกอดกันกลมกับป๋าจุ๋มจนฉ่ำใจแล้ว ก็บึ่งรถไปเคลียร์งานที่ทำงานเพื่อจะได้กลับสุราษฎร์ธานีอย่างโล่งใจเกือบ 1 เดือน (น่าจะกลับมา กทม. ทันงานรพีเสวนา่ 3 พ.ค.)
ฝนตกฟ้าร้องอย่างหนักอยู่เกือบ 2 ชั่วโมง ถนนน้ำท่วมขังตลอดทาง เปียกปอนเพราะเอารถไปเติมน้ำมันและแก๊สให้พร้อมกับการเดินทางไกลพรุ่งนี้ และเปียกอย่างสมบูรณ์แบบอีกทีตอนวิ่งไปเปิดประตูรั้วบ้าน
แต่ทำไมแอบสะใจเล็ก ๆ กับสายฝนที่กระหน่ำลงมาคราวนี้ ก็ไม่รู้ค่ะ อิอิ
เพราะถูกท่านประธานกรรมการบริหารขอร้องแกมบังคับมาตามสายโทรศัพท์จากอเมริกา จึงต้องไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน 7 วัน 6 คืน หลักสูตรการพัฒนาจิตเพื่อให้เกิดปัญญาและสันติสุข ณ วัดผาณิตาราม จังหวัดฉะเชิงเทรา ในวันที่ 18 - 24 มีนาคม 2546 แทนท่าน
การเดินจงกรม ด้วยการกำหนดทุกอริยาบถที่ร่างกายทำ แล้วให้ระลึกรู้ว่ากำลังทำอะไรอยู่ แรก ๆ ให้ส่งเสียงเลยว่านี่กำลังก้าวนะ นี่กำลังยกนะ หลัง ๆ ก็ห้ามพูด ให้กำหนดเงียบ ๆ อยู่ในใจ
ครูปูทำไม่ได้ค่ะ
ตรวจงานคนงานก่อสร้าง เดินเคาะพื้นกระเบื้องเพื่อรับงาน จนได้ฉายาว่าเป็น VBAC รุ่นเคาะกระเบื้อง
ช่วงก่อนสอบ Entrance นั่งปรึกษาตัวเองพร้อมตัดสินใจว่า อย่าเรียนต่อเลยนะเรา สงสารแม่ น้อง ๆ ยังเล็ก ให้น้องเรียนแทนดีกว่า คิดไม่ออกหรอกว่าจะไปทำมาหากินอะไร รู้แต่ว่าถ้าเราไม่เรียนสักคน แม่คงประหยัดสตางค์ได้โขอยู่
อยู่ดี ๆ เหมือนฟ้าผ่า เช้าตี 5 วันหนึ่ง แม่ขึ้นมาปลุกที่ห้องบอก “พ่อมาหา”
แม่ผู้หญิงเรียนน้อยแต่มักมีความคิดทันสมัยอยู่เสมอ ไม่ใช้วิธีเลี้ยงลูกแบบรุนแรงแบบที่คนแถวนั้นมักใช้กัน ไม่ตี ไม่บ่น ไม่เคยด่าว่า ไม่มีการตวาดออกอารมณ์ เมื่อมีคนถามว่า ทำไมไม่ตีลูกบ้าง แม่กับยายจะตอบว่า
“ไม่อยากตีมันหรอก ไอ้เรามันคนโมโหร้าย ตีแล้วก็จะตายเปล่า ๆ”
ครูปูได้ยินทีไร แอบหัวเราะคิก ๆ อยู่ในใจทุกที รู้แล้วว่าเราได้เชื้อโม้มาจากใคร