คิดแบบญี่ปุ่น

45 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 16 กันยายน 2010 เวลา 0:07 ในหมวดหมู่ งานพัฒนาสังคม #
อ่าน: 2860

ผมทำงานพัฒนาชนบทก็ชื่นชมนโยบาย OTOP ไม่ว่าใครจะริเริ่มหรือสนับสนุน แต่ผลของมันอย่างน้อยที่สุดก็เป็นโอกาสให้ชนบทลืมตาอ้าปากได้บ้าง แม้ว่าหลายอย่างดูจะเพี้ยนๆไป ผมพอรู้เรื่องมากขึ้นบ้าง ก็เพราะคนข้างกายมีส่วนในการสนับสนุนกิจกรรมนี้ แม้ว่าจะเผชิญระบบการเมืองที่มีธุรกิจแอบแฝงมากระทำให้เสียความรู้สึกไปบ้าง เราก็พยายามใช้เงื่อนไขที่มีอยู่ทำประโยชน์ให้แก่ชาวบ้านเท่าที่จะเป็นไปได้

เธอไม่เคยไปญี่ปุ่น แต่ผู้เชี่ยวชาญจากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นมาร่วมมือกับเธอเพื่อศึกษา OTOP ในประเทศไทย ส่วนตัวผมแอบนินทาว่า เออ ดูประเทศชาติเขาซิ(ญี่ปุ่น) เขาเป็นต้นตำหรับ แต่ไม่ได้หยุดนิ่งเลย ส่งนักวิชาการตามติดไปตลอดว่า ประเทศไหนเอา OTOP ไปใช้บ้างแล้วไปถึงไหน ซึ่งมีผลสองด้านหรือมากกว่า เช่น เขาเอาองค์ความรู้ที่เขาได้ย้อนกลับไปประเทศเขาเพื่อพัฒนายกระดับสินค้าของเขาให้ก้าวไปอีกระดับหนึ่ง สอง เขาเอาองค์ความรู้นี้ไปขยายต่อในประเทศอื่นๆต่อไปที่ญี่ปุ่นไปมีอิทธิพลอยู่ เช่น ในกลุ่มประเทศอาฟริกา ที่นักวิชาการญี่ปุ่นมาชวนคนข้างกายเดินทางไปสัมมนาปลายปีนี้

ผมทำงานกับผู้เชี่ยวชาญที่มาจากหลายประเทศในด้านการพัฒนาชนบท กับญี่ปุ่นนี้มีแง่คิดมากกว่าทุกประเทศ เขาฉลาดและได้เปรียบเสมอ อย่างที่เราคิดไม่ถึง หรือไม่ได้คิด เพราะมันมาพร้อมกับคำว่าวิชาการ การช่วยเหลือ หรือเงื่อนไขของการกู้เงิน ทำไมคนของเขา ระบบคิดของเขา นโยบายของเขา… จึงทำทุกอย่างให้ทุก “เยน”จะต้องตอบสนองกลับไปแผ่นดินแม่ของเขา

ส่วนหนึ่งผมคิดเอาเองว่าระบบคิดของเขา เบ้าหลอมของการคิดของเขาปลูกฝังให้คนของเขาทำทุกอย่างเพื่อประเทศชาติเขา อย่างมีประสิทธิภาพ เขาเชิญนักวิชาการเราไปพูด และทุกคำพูดเขาเอาไปใช้ประโยชน์ได้ทั้งหมด และเป้าสุดท้ายของเขาเพื่อธุรกิจในแง่มุมต่างๆ

ผมจำได้ว่าเคยอ่านเอกสารชิ้นหนึ่งที่เล่าถึงวิวัฒนาการ “ซาวอะเบ้าท์” ที่ยุคหนึ่งเฟื่องสุดขีดที่หนุ่มสาวจะต้องมีไว้ใช้ แม้ปัจจุบัน จุดเกิดมาจากท่านประธานบริษัทโซนี่เดินทางไปอเมริกา ระหว่างทางรถที่นั่งไปนั้นหยุดเติมน้ำมัน และที่ปั้มน้ำมันนั้น ท่านประธานเห็นคนผิวดำที่ทำหน้าที่เติมน้ำมันทำงานไปด้วยแต่ก็ยกทรานซิสเตอร์ ขนาดใหญ่แนบหู เพราะต้องการฟังเพลงที่ชอบตามวัยรุ่นทั่วโลกที่คลั่งไคล้เพลงที่ตัวเองชอบ เท่านั้นเองความเป็นนักธุรกิจของท่านประธานบริษัทโซนี่ ก็คิดออกว่า ทำไมเราไม่ทำเครื่องมือเล็กๆที่ใช้หนีบหูและฟังเพลงได้ตลอดเวลาแม้ขณะทำงานโดยไม่ต้องใช้มือถือ… เมื่อกลับไปบริษัทก็โยนโจทย์นี้ให้วิศวกรคิดออกมา และเพียงไม่นานเท่าไหร่ ซาวอะเบ้าท์ก็ออกสู่ตลาดและขายดิบดีไปทั่วโลก….

นี่คือการสั่งสมวิธีคิดแบบญี่ปุ่นใช่ไหม นี่คือการตั้งโจทย์ขึ้นมาใช่ไหมแล้วโยนให้ผู้เชี่ยวชาญไปคิดต่อ วันเวลาผ่านไป ก็พัฒนาเครื่องเล่นไปมากมาย และทั้งหมดก็เป็นธุรกิจที่ขายได้เอาเงินเข้าประเทศได้ทั้งหมด


เมื่อสองเดือนก่อน อาจารย์จากมหาวิทยาลัยญี่ปุ่นมาหาคนข้างกายเพื่อปรึกษาหารือเรื่อง OTOP และชักชวนไปอาฟริกาไปสัมมนากัน แลกเปลี่ยนกันกับ OTOP ที่นั่น สิ่งสุดท้ายที่นักวิชาการท่านนั้นมอบให้เธอคือ กล่องขนมกล่องหนึ่ง ผมดูก็ว่ามันสวย สีน้ำเงินเข้ม ดูขลัง ยิ่งมีเครื่องหมายมหาวิทยาลัยประทับที่หน้ากล่อง ก็ยิ่งดูมีคุณค่า มีระดับ มีความหมายอะไรทำนองนั้น ผู้ให้ก็เต็มใจที่มอบให้ ผู้รับก็รู้สึกดีที่เป็นสิ่งของที่มหาวิทยาลัยมอบให้


เราแกะกล่องออกดู ทราบว่านี่คือขนมเล็กๆที่ถูกจัดการเรื่องหีบห่ออย่างดี ดูแล้วดี นักวิชาการท่านนั้นบอกว่า นี่คือสินค้า OTOP จากหมู่บ้านหนึ่ง ที่มหาวิทยาลัยไปสนับสนุนให้มีมาตรฐานแล้วก็สั่งทำในนามของมหาวิทยาลัยเป็นของชำร่วยของมหาวิทยาลัย….

ผมหละ….สุดยอดจริงๆญี่ปุ่นนี่ ชาวบ้านได้ทำงาน ได้รายได้ มหาวิทยาลัยได้ชื่อสนับสนุนชุมชน ประเทศชาติได้….ได้ ได้ ได้…..

แนวคิดนี้ทำให้คนข้างกายเห็นว่า มีงานต้องทำอีกเยอะเลยนี่…. OTOP บ้านเรามากมาย หากมหาวิทาลัยจะทำเลียนแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย หากสถาบัน หน่วยงานรัฐใดๆจะทำ ก็มีแต่เรื่องได้กับได้

OTOP บ้านเรามากมายดูที่นี่ซิ http://www.otop5star.com/search-th.php?cat=14 แต่ยังไม่ได้ถูกพัฒนาไปในระดับนี้


เผชิญหน้าสายลับ DSI

391 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 15 กันยายน 2010 เวลา 15:29 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 62702

หากในสมองกำลังวุ่นวายและคิดอะไรมากมาย แล้วมือกับเท้ายังเดินไปไหนต่อไหน พึงระวังการเกิดสิ่งไม่พึงประสงค์ ที่เรียกว่า ขาดการครองสติให้อยู่กับปัจจุบัน คนที่มีภาระมากๆและต้องรับผิดชอบ หากไม่บริหารตัวเองให้จัดการภารกิจกับการอยู่กับปัจจุบันได้ ก็เป็นอันตราย ที่ท่านกล่าวว่า “จิตตั้งอยู่ในความประมาท”

ยืนอยู่หน้าสำนักงานตามองดอกไม้อยู่ รับโทรศัพท์ คุยกันไป แต่ไม่รู้ว่ามีงูอยู่ที่ต้นดอกไม้นี้ เพราะเขานิ่ง ฟังเราคุยโทรศัพท์อยู่ อิอิ DSI ปลอมตัวมาเก็บข่าวมั๊ง…ห้า ห้า ห้า

ความนิ่ง สงบ สยบความเคลื่อนไหว… จนเมื่อเราขยับตัวเข้าไปใกล้อย่างไม่รู้ตัวเจ้าสายลับตัวยาวๆนี่จึงขยับ เราจึงเห็น อย่าเพิ่งไปไหนนะ ไปเอากล้องมาถ่ายเก็บหลักฐานไปฟ้องศาลปกครองซะหน่อย ห้าห้าห้า

ได้รูปงูกับดอกไม้มาฝากชาวลาน


ลายเสือ

56 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 กันยายน 2010 เวลา 21:54 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1881

หมานะไม่ใช่เสือ..

ออกไปเยี่ยมดูท้องนาชาวบ้าน

เห็นเจ้าตัวนี้ลายพร้อยเหมือนเสือ

มันวิ่งเหยาะๆไปตามถนน แล้วหยุดดมโน่นนี่ คงหาอาหาร

ผมสนใจลายของมันนะ พันธุ์นี้น่าจะขยาย อิอิ


พี่เทพฯ

19 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 14 กันยายน 2010 เวลา 1:05 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1241

ไปเชียงใหม่ เข้าสะเมิงคราวที่แล้ว ผมไปกราบพระที่วัดอุโมงค์ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับสถาบันที่ผมสำเร็จการศึกษามา ผมมีประวัติศาสตร์ที่วัดนี้ และตรงปากทางเข้าวัดอุโมงค์นี้ผมยิ่งมีความทรงจำดีดีอยู่ที่นี่


เพราะที่นี่คือ บ้านพัก ที่ทำงาน ที่ชุมนุม หรือที่ส้องสุม วุ้ย.. เจ้าของสถานที่คือศิลปินเพื่อประชาชนที่ชื่อ เทพศิริ สุขโสภา ผมเรียกพี่เทพฯ พี่เป็นคนร่วมยุคสมัยการเปลี่ยนแปลงของสังคม ใหม่ๆที่ผมรู้จักพี่เทพฯนั้น ผมฟังแกพูดไม่รู้เรื่อง เหมือนผมฟังอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี โอย..กว่าจะเริ่มซึมเข้าสมองนี่ ..อิอิ..

พี่เทพฯนั้นเป็นแบบอย่างของผมในหลายเรื่อง คนอะไรสมาธิแน่วแน่เป็นเยี่ยม คิดอ่านจะทำอะไรละก็ กัดไม่ปล่อย และทำได้ดีเป็นที่สุด ศิลปินนั้นมีคุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัว พี่เทพฯนั้นเหมือนนักมานุษยวิทยา เข้าถึงคนแบบแนบแน่น ยิ่งท่วงทำนองแบบศิลปินมันสร้างเสน่ห์ยิ่งนัก ในอดีตนั้นพี่เทพฯใครเรียกแกว่าเป็นนักเล่านิทานให้เด็ก รับรองว่าไม่มีเด็กคนไหนในโลกนี้นั่งหลับ เพราะพี่แกเล่าเรื่องไปวาดรูปประกอบไปด้วย และลายเส้นของพี่เทพฯนั้นลือลั่นกันว่าเป็นเพียงสองคนในประเทศไทยเท่านั้น คนแรกคืออาจารย์เฟื้อ เขาว่าอย่างนั้นผิดถูกอย่างไรขออภัยด้วยนะครับ


สมัยที่พี่เทพเรียนที่ศิลปากรนั้น บอกว่าเข้าเรียน Anatomy พร้อมกับนักศึกษาแพทย์ด้วย คนวาดรูปจึงจะสามารถวาดรูปลักษณ์ได้เหมือนจริง สิ่งที่พี่กล่าวว่ารูปที่แสดงกล้ามเนื้อสวยที่สุดในโลกคือรูปม้า และรูปม้านี่เองที่พี่เทพฯได้เงินก้อนใหญ่มาซื้อที่ดินตรงหน้าวัดอุโมงค์นี้จากประเทศญี่ปุ่น

สมัยนั้นพี่เทพฯลี้ภัยการเมืองไปต่างประเทศหลายแห่ง แล้วไปจบลงที่ญี่ปุ่น เงินก็หมด ความรู้อย่างอื่นก็ไม่มีรู้จักแต่วาดรูป จึงตระเวนไปรับจ้างวาดรูป คน ไปๆมาๆมีเศรษฐีญี่ปุ่นไปพบแล้วคุยกัน เขาก็ว่าจ้างให้วาดรูปม้าที่สวยที่สุด ให้ งานเข้าแล้ว.. พี่เทพอธิบายว่าม้าจะสวยที่สุดคือม้าที่ยกขาหน้าสองขาขึ้น เหมือนรูปปั้นในยุโรปมากมาย.. พี่เทพฯใส่ฝีมือสุดๆว่างั้น แต่มาตกม้าตาย..เพราะเศรษฐีญี่ปุ่นคนนั้นรู้เรื่องศิลปะมากวิจารณ์ว่าม้ายกขาที่พี่เทพฯวาดนั้นผิด…..

เพราะม้ายกขาที่พี่เทพวาดนั้นเป็นการยกขาหน้าเท่ากันซึ่งผิดธรรมชาติของการยกขาม้าในความเป็นจริง มันจะต้องบิดๆและขาที่ยกสองข้างจะต้องไม่อยู่ในลักษณะที่เท่ากัน จะต้องสูงข้างต่ำข้าง..พี่เทพฯอธิบายพร้อมกับแสดงอาการยกขาม้าให้ผมและครอบครัวดูจริงๆ..

ตาย ตาย ตาย…มาตกม้าตายจริงๆ พี่เทพฯเข้าใจแล้ว ขอแก้ ในที่สุด เป็นที่ถูกใจเศรษฐีมาก เขียนเชคให้มากเท่าที่พี่เทพฯเคยได้เงินมาเชียว เงินก้อนนั้นพี่เทพฯเอาซื้อที่ดินและสร้างบ้าน และอื่นๆในกิจกรรมศิลปะของพี่มากมาย… ม้าตัวเดียวเท่านั้น…


พี่เทพฯบอกว่า เออ น้องนุ่งมาเยี่ยมก็บอกให้นั่งลง เดี๋ยวจะเอาดินสอวาดรูปให้คนละใบ… ผมไม่ได้เห็นพี่เทพฯทำงานมานานแล้ว มาเห็นอีกทีก็ทึ่งศิลปินทำงาน แกไม่ได้วาดเฉยๆ เหมือนแสดงไปด้วยมีการขยับตัวเมื่อให้น้ำหนักในช่วงที่วาด มีส่งเสียงอื้อ อ้า แสดงความรู้สึกต่อสิ่งที่เห็น แค่สองสามนาทีเสร็จแล้ว พี่เทพฯบอกว่าลายเส้นแบบนี้ยากมาก เพราะต้องวาดพรืดเดียวให้ได้เค้าโครงใบหน้าเลยพร้อมทั้งมีส่วนหนักเบาเสร็จในวินาทีนั้นเลย นี่คือความยาก รูปลายเส้นแบบนี้ไม่ใช่รูปเหมือน แต่เป็นรูปที่ดูแล้วใช่คนนั้น ใครๆดูก็รู้ว่าคนนั้น


รูปผมนี้พี่เทพฯบอกว่าหากว่าจ้างกันนั้นต้องจ่าย ห้าหลักขึ้นไป …

พี่เทพฯสร้างผลงานเยอะ หากท่านสนใจลองค้นอาจารย์ กู ดูนะครับ ผมเองได้มุมมองสังคมมาจากพี่เทพฯหลายเรื่องตั้งแต่สมัยสามสิบปีที่แล้วโน้น เช่น พี่เทพฯสร้างนิทานสำหรับเด็กเรื่อง “ฉันตามหาสิ่งที่ขาดหายไป” พี่เทพฯสร้างเรื่องง่ายๆ เป็นตัวการ์ตูนซึ่งแสดงได้หลายทักษะ เช่นวาดรูปประกอบการเล่า หรือเอาลูกเทนนิสมาผ่าครึ่งหนึ่ง แล้วใช้มือจับให้มันอ้าปากได้ แล้วก็เอามาแสดงเหมือนละครหุ่น โจหลุยส์ แต่ง่ายกว่า

พี่เทพฯเป็นคนสุโขทัย ไม่น่าเชื่อว่าพี่ชายพี่เทพฯโด่งดังมากกว่า ที่ชื่อ ประทีป สุขโสภา นักแสดงเพลงขอทานที่มีคนเดียวในประเทศไทย เดินทางไปแสดงมาแล้วทั่วโลก ท่านสนใจดูได้ที่นี่ http://www.youtube.com/watch?v=Nf0mXl0di08


น้องหมา

44 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 13 กันยายน 2010 เวลา 22:18 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1589

คุณหมอสัตว์แพทย์บอกว่าต้องศึกษาให้เข้าใจเผ่าพันธุ์ของเขาด้วยว่านิสัย ใจคอเขาเป็นอย่างไร แรกๆผมไม่คิดจะเอาเจ้าโกลเด้น รีทรีฟเวอร์มาเลี้ยง และไม่มีอยู่ในหัว เพราะสมัยนั้นคุณแม่(ยาย)ยังมีชีวิตท่านไม่ชอบ เพราะมันจะทำความสกปรกมาให้เรา ซึ่งเราตามไปทำความสะอาดไม่ไหว

แต่บังเอิญลูกสาวเรียนที่กรุงเทพฯแอบเอาลูกหมามาเลี้ยงในห้อง แรกๆก็พอเลี้ยงได้ พอเขาเริ่มโต มันไม่ไหวขอร้องให้เราเอามาเลี้ยงที่ขอนแก่น เลยจำใจเราต้องเลี้ยงเขา

เลี้ยงไปเลี้ยงมา คนติดหมามากกว่า ไปไหนมาไหนก็โทรกลับบ้านให้พี่เลี้ยงดูแลหมาอย่างนั้นอย่างนี้ จนเธอแซวกลับมาว่า โทรมาทีไรถามแต่น้องหมาก่อนทุกที

มีหมาเป็นเพื่อน เพราะความที่เจ้าโกลเด้นขี้เล่น และชอบทำอากับกิริยาที่น่ารัก เช่นไปคาบผ้ามาให้เราดึงเล่นกัน เอาคางมาเกยแล้วมองหน้าเราทำตาปริบๆ มานั่งทับขาเรา … มีหรือใจเราจะไม่อ่อน…

คุณหมอบอกว่า เจ้าของจะต้องเอาน้องโกลเด้นไปเดินเล่นอย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง.. เพื่อออกกำลังกาย โดยเฉพาะบ้านที่ไม่มีบริเวณให้เขาวิ่งเล่น ที่บ้านมีบริเวณ แต่หน้าฝนมันแฉะ ก็ต้องสละเวลาช่วงวันหยุดพาเขาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะขอนแก่น เขารู้นะวันไหนเห็นเราหยิบสายรัดอกเพื่อเกี่ยวกับสายบังคับตัวเขาละก็ เขารู้ว่าจะไปเดินเล่นก็กระดิกกระดี้ วิ่งวนบิดไปมาอย่างดีใจแล้วก็เตรียมพร้อมจะขึ้นรถทันที

คนข้างกายบอกว่า เขาเป็นเพื่อน เมื่อทุกคนไม่อยู่บ้าน ต่างคนต่างไปทำหน้าที่ของตน เธอก็มานั่งเล่นนั่งคุยกับเขา

กลายเป็นคนติดหมาไปแล้ว…

(ในรูปนั่นไม่ใช่คนข้างกายนะครับ เป็นสมาชิกคนรักโกลเด้นเอาน้องหมาไปเดินเล่นที่สวนสาธารณะเหมือนกัน เดินไปมาเหนื่อยเลยนั่งพัก เจ้าน้องหมาชอบน้ำก็ลงแช่น้ำซะเลย..)


น้องแมว

131 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 กันยายน 2010 เวลา 22:43 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1866

แมวนั้นเป็นสัตว์โปรดของอาว์เปลี่ยน และอีกหลายคน จริงๆมันน่ารักและเป็นสัตว์เลี้ยงที่เป็นเพื่อนได้ดี เพราะความอ้อล้อ มันคลอเคลีย นัวเนีย กับคนนี่แหละเราก็อดใจอ่อนดูแลเขาไม่ได้


ที่บ้านไม่ได้เลี้ยงหรอกครับ แต่เขาเคยแอบมาคลอดลูกที่หลังคา และหอบหิ้วไปมาระหว่างบ้านผมกับเพื่อนบ้าน เขามาบ้านเพราะไม่มีใครไปทำร้ายเขา เพียงแต่เราไม่ได้ให้อาหารเขาโดยตรง

ผมเคยมีเรื่องทำร้ายเขาโดยคิดเอาง่ายๆ  เพราะมีหนูมาวิ่งบนฝ้าห้องนอน เลยคิดอยากไหว้วานแมวไปจับหนูให้หน่อย หลอกล่อมันได้จับตัวมันใส่ไว้บนฝ้า ทิ้งไว้เป็นวันวันเลย แล้วเปิดฝ้าดูเขา แทนที่จะได้หนู แมวจะอดตายเอา จับเขาได้เอาออกมาเขากลัวมากวิ่งหนีกระโดดลงจากห้องชั้นสองลงไปชั้นล่างเลย หายหน้าไปนาน ไม่โผล่มาดูคนใจร้ายอีกเลย ..

เจ้าตัวที่เห็นนี่ไม่ใช่ตัวที่ผมเล่านะ น่าจะเป็นรุ่นลูกมัน มานั่งที่รั้วกั้นระหว่างบ้านผมกับข้างบ้าน แอบเปิดประตูแคบๆแล้วถ่ายรูปเขาไว้ แบบแอบถ่ายไม่ให้เขารู้ตัว เลยมีสิ่งขวางสายตาอยู่ด้วย


ความจริงแมวคู่กับสังคมไทยมาแต่โบราณ แต่ดูคนสมัยนี้จะเลี้ยงน้องหมามากกว่าเลี้ยงแมว อันนี้ประเมินแบบอัตวิสัย เวลาที่ผมพาน้องหมาไปหาหมอนั้น เกือบไม่เห็นคนอุ้มแมวไปหาหมอเลย แต่น้องหมาเต็มไปหมด แม้แต่บางคนอุ้มเจ้าขี้เรื้อนมากกว่าจะเป็นหมาน่ารัก แต่คงผูกพันกับเจ้าของมาแสนนาน เขาจะขี้เหร่อย่างไร ขี้เรื้อนอย่างไรเจ้าของก็รักของเขา ดูแลอย่างลูก เรียกแต่ลูก..ลูก…

รักซะอย่าง จะอย่างไรก็รัก

ไม่มีอะไรหรอก เห็นแมวตัวนี้น่ารักก็เอามาฝากคนรักแมวก็แล้วกัน..


R-ชีวะเพื่อประชาชน

19 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 12 กันยายน 2010 เวลา 10:58 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 2704

 

อ่านบันทึกพ่อครูบาฯ ที่ชื่อ R-ชีวะแล้วคันไม้คันมือขึ้นมาเลยหยิบเอามาบันทึกที่นี่

ผมมีงานเล็กๆเพื่อนที่สถาบันปรีดีพนมยงค์ส่งไปให้ช่วยกันวิจารณ์ “นักวิจารณ์หนัง” เล่าสักหน่อยคือ สถาบันปรีดีฯ (อยู่ที่ไหนลองค้นเอง) มีกิจกรรมทางสังคมอยู่บ่อยๆ ล้วนเป็นกิจกรรมประเทืองปัญญาทั้งสิ้น เช่น เอาหนังดีดีมาฉาย แล้วเชิญผู้สนใจไปดู ทั้งฟรีและเก็บเงินสมทบกองทุนบ้างเป็นครั้งคราว ที่ผ่านมาเชิญนักวิจารณ์หนังไปดูแล้ววิจารณ์หนังส่งสถาบัน เขาจะประกวดการวิจารณ์หนัง เมื่อมีคนดูแล้วร่วมวิจารณ์ เขาก็คัดเอามาจำนวนหนึ่ง แล้วก็ส่งไปให้เครือข่ายผู้ใกล้ชิดสถาบันนี้ช่วยวิจารณ์ผู้วิจารณ์หนังอีกทีแล้วรวมคะแนน ประกาศให้รางวัล

มีหนังเรื่องหนึ่งที่ผมชอบสาระและมุมมองของผู้วิจารณ์ และน่าจะหยิบมาพิจารณาในกรณี R-ชีวะ ได้ หนังเรื่องนี้เล่าถึงจอมยุทธ์ นามว่า ตงจินเหมา ฉายาเขาคือ กระบี่ใต้ เขาเป็นหนึ่งในแผ่นดิน ทุกวันจะมีจอมยุทธ์ต่างๆมาท้าประลองเพื่อแย่งชิงความเป็นหนึ่ง ตงจินเหมาไม่เคยแพ้ใครและไม่มีใครรอดจากคมดาบเขา เขาภูมิใจลาภยศสรรเสริญ

จนกระทั่งเขามาพบนักพรตผู้สามารถเอาชนะตงจินเหมาได้ แต่ไม่ได้ชนะด้วยปลาบดาบ แต่ชนะด้วยคำพูดที่ให้สติ คิด ใตร่ตรอง ทบทวน ชั่งน้ำหนัก รู้ผิดชอบชั่วดี ฯ ตงจินเหมาแพ้อย่างราบคาบแล้วต้องติดตามนักพรตไปสามปี ช่วงเวลาสามปีนั้นนักพรตขัดเกลาจนตงจินเหมาค้นพบความสุขที่แท้จริงในชีวิตว่าหาใช่การเป็นหนึ่งในจอมยุทธไม่

สังคมเราต้องการหนัง ละคร ที่ให้สติกับคนเช่นนี้ มันอาจจะไม่สามารถทำให้ทุกคนเปลี่ยนได้ทั้งหมด แต่อาจจะมีบางคนได้สติ มากกว่าจะไปเสริมให้คนมุ่งมั่นเอาชนะคะคานกันด้วยเรื่องที่เป็นทุกข์

สังคมเรามีนักพรต หรือบุคคลที่คล้ายนักพรตเช่นในหนังเรื่องนี้ไหม ผมว่ามีและมีมาก แต่สังคมไม่ได้สำเหนียก บุคคลไม่ได้สำเหนียก R-ชีวะไม่ได้สำเหนียก ผมเชื่อว่าไม่มีวิธีการใดเพียงวิธีการเดียวที่เป็นยาวิเศษ แต่อาจจะช่วยกันทุกวิธีการแต่มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน บูรณาการกัน ทุกความคิดเห็นมีประโยชน์ นำมาไร่เรียงลำดับก่อนหลังการบูรณาการกันอย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ผมเห็นว่านักพรตใช้เวลาสามปีกล่อมเกลาตงจินเหมา R-ชีวะอาจจะมากกว่านั้น เพราะมีหลายปัจจัยที่หล่อหลอมจิตวิญญาณเขาอยู่แล้วกระบวนการปรับเปลี่ยนนั้นไม่สามารถเข้าไปปรับเบ้าหลอมนั้นๆได้ สิ่งแวดล้อมทางครอบครัว สังคม เพื่อน สื่อสารมวลชน สิ่งตีพิมพ์ สังคมรอบตัวเขา ภาพที่เป็นแม่พิมพ์ทางสังคม ฯลฯล้วนมีส่วนเป็นเบ้าหลอมให้ R-ชีวะและเยาวชนอื่นๆมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์มากมาย นี่คือผลลัพธ์ของสังคมที่เคลื่อนตัวไป นี่คือผลลัพธ์ของความเจริญ

การเข้าค่ายสามวันห้าวันช่วยได้บ้าง การใช้ระเบียบลูกเสือ(มีอาจารย์บางท่านเสนอ)ก็อาจมีส่วนดีบ้าง

เวลาเราพูดถึงความเจริญ เรามักจะหมายถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ความทันสมัย ซึ่งผมเองก็สนับสนุน แต่นับวันผมจะคิดต่างซะแล้วผมว่าเราน่าพิจารณาชะลอความเจริญทางด้านนี้ แล้วทุมเททรัพยากรไปที่การฟื้นฟู “ศาสตร์แห่งการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข”

หากใครเสนอแนวนี้ก็เท่ากับเป็นจระเข้ขวางน้ำ ก็คิดต่างได้ไม่ใช่หรือครับ

บางทีผมนั่งริมคันนาพิจารณาโลกของชุมชนกับโลกของสังคมทุน แล้วเห็นว่าการที่เราพัฒนาการเข้าถึงสัจธรรมทางธรรมชาติที่เรียกว่าการค้นพบเทคโนโลยีใหม่ๆนั้นอาจไม่จำเป็น ชะลอลงมาได้ไหม

คุณอาจจะค้นพบแหล่งพลังงานไม่รู้จบมาทดแทนน้ำมันได้ แต่ โลกเรายังทะเลาะกันและจ้องทำลายล้างกัน ช่วงชิงการเหนือกว่าในทุกๆด้าน มีแต่จะพาโลกไปสู่จุดจบ แล้วเทคโนโลยีจะมีความหมายอะไร

ตรงข้าม ผมยิ่งเห็นแนวคิดของ อี เอฟ ชูเมกเกอร์ ที่กล่าวถึง Small is Beautiful ที่กล่าวถึงเทคโนโลยีระดับกลาง ซึ่งเขียนไว้นานมากแล้วเป็นสิ่งที่เหมาะสมกว่า

ผมไม่มีทางออกที่วิเศษเลิศเลอ ผมไม่ใช่นักพรต และไม่ใช่ตงจินเหมา ก็แค่คนทำงานชนบทคนหนึ่ง แค่ส่งเสียงมาบ้างเท่านั้น

สงสารเห็นใจนักการศึกษาคิดกันหัวจะแตก แต่ระบบก็รัดรึงให้ทำได้เพียงแค่นั้น อาจจะมีคนอย่าง ดร.อาจอง ฉีกวงการไปเปิด R-ชีวะสัตยาไส แถวดงหลวงบ้างก็ได้ อยู่กับภูเขา อยู่กับชนบท อยู่กับธรรมชาติบ้าง ออกไปคลุกคลีกับชาวบ้านทุกแง่มุม แล้วกลับเข้ามาห้องเรียนครูกับศิษย์คุยกันว่า สถาบัน R-ชีวะ จะมีส่วนพัฒนาปรับปรุงเครื่องมือการเกษตรทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นได้อย่างไร เป็นอาชีวะเพื่อประชาชน ไม่ใช่อาชีวะเพื่อเป็นหนึ่งในยุทธจักร…..


14 ค่ำเดือน 9

13 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 8 กันยายน 2010 เวลา 10:38 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 1482

วันวันกับภารกิจที่ล้นมือ ยิ่งคนเมืองกรุงยิ่งวุ่นวายกับการเดินทาง ระบบจราจร และ ฯ

สังคมเมืองมีสิ่งใหม่ๆเข้ามามากมาย ต่างก็อธิบายว่านี่คือความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี โลกยุคใหม่ นี่เห็น Ipod ออกเครื่องใหม่ล่าสุด แต่ยังไม่มีขายในบ้านเรา กลุ่มที่ชอบทางนี้ก็ตั้งตาคอยมือถือ ของเล่นชิ้นใหม่เข้ามา ของเก่าก็ผ่องถ่ายออกไป หรือไม่ก็เก็บเอาไว้

วันก่อนลูกสาวก็มาตะแห่งวๆ ทำนองอยากเปลี่ยนมือถือตามประสาคนรุ่นใหม่ใช้ชีวิตในเมือง และสังคมรอบข้างคลุกคลีกับสิ่งเหล่านี้ เราก็ต้องใช้เวลาอธิบายเธอว่า ปาป๊า น่ะเคยใช้ O2 แต่ปัจจุบันมาใช้เครื่องราคาสามพันบาท BB ที่เธอใช้อยู่นั้นก็หรูเหริดแล้ว จะเปลี่ยนทำไมอีกล่ะ อย่าวิ่งตามแฟชั่นเลย เธอก็รับฟังและเลิกล้มความอยากนั้นไป


เอาปฏิทินมาให้ดู ว่าวันนี้วันที่ 8 กันยายน แรม 14 ค่ำ เดือน 9 เป็นวันพระ อ้าวแล้วทำไมพรุ่งนี้วันที่ 9 เป็นวันขึ้น 1 ค่ำเดือน 10 ล่ะ… ความรู้ความเข้าใจของคนสมัยนี้หายไปหมดสิ้นแล้ว

แล้ววันนี้ท้องถิ่นชนบทอีสานนั้นสำคัญอย่างไร…..

นี่คือการ Face out ของวัฒนธรรม ประเพณีของสังคมชนบท และ นี่คือทุนทางสังคมรูปแบบหนึ่งที่ค่อยๆจางหายไปกับการสิ้นอายุขัยของคนเฒ่าคนแก่ที่ยังเชื่อมั่นว่าจะต้องปฏิบัติพิธีกรรมเพื่อสิ่งเหนือธรรมชาติที่เขายอมรับ.. ผูกพัน และบ่งบอกถึงสายใยระหว่างกัน..

คนสองโลกอย่างเรานั้น เฝ้ามองการผันผ่านของกาลเวลาและสรรพสิ่ง อันเป็นปกติธรรมที่ตถาคตกล่าวมานมนานแล้ว


ชุดหาปลา

109 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 7 กันยายน 2010 เวลา 1:04 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 3737

สาวลานคนไหนจะลอกเลียนแบบแฟชั่นนี้ไปไม่สงวนลิขสิทธิ์นะ เอิ้กกก..

แซวกันแบบนี้ผิด กม.ใหม่ไหมหนอ..

(ชาวบ้านไทโซ่ ดงหลวง ไปหาปลาเป็นอาหารมื้อเย็น)


ไปวัดป่าภูก้อน

187 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 5 กันยายน 2010 เวลา 22:30 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 5911

คุณสินี หรือคุณตุ๊ ศรีภรรยาข้าพเจ้า เธอมีงานเอกสารที่ต้องเขียนไม่เคยเว้นว่าง งานชิ้นนี้จบ งานใหม่เข้ามา และทุกครั้งเธอเป็นคนเขียนรายงานหลัก นั่งๆอยู่แต่หน้าจอ แล้วก็กิน แล้วก็สัปปะหงก ผมต้องทำเป็นกระแอมดังๆ เธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา ทำต่อ อิอิ แซวเธอเล่น


ตั้งแต่น้องเบิร์ดให้ข้อมูลวัดป่าภูก้อนที่ อ.นายูง จ.อุดรธานี เราก็สนใจ จึงค้นหาข้อมูลได้มาเพียบเลย ยิ่งมีรายการทีวีออกก็ยิ่งได้ข้อมูลเพิ่มเติม กระตุ้นให้อยากไปกราบสักครั้ง เธอก็ออกปากว่า เราหาทางไปบ้างนะ ปกติเธอเอาแต่งานๆ นานๆจะออกปากอย่างนี้ก็รับปากเลย แล้วแต่เธอจะไปเมื่อไหร่เราพร้อมเสมอ เมื่อวันศุกร์เธอบอกว่าวันเสาร์ไปวัดกัน ก็ทันที..

ความจริงวัดป่าในอีสานเราก็ไปกราบมาพอสมควรศรัทธาทั้งนั้น พระเกจิอาจารย์ที่อีสานนั้นสุดยอดการปฏิบัติตั้งแต่พระอาจารย์ฝั้น พระอาจารย์มั่นเรื่อยมา จริงๆเราผูกพันกับวัดหินหมากเป้งของหลวงปู่เทศน์อยู่ เพราะน้องขวัญ ลูกสาวเราตอนเล็กๆ มีคนมาทักว่าเด็กคนนี้เลี้ยงยากนะ ให้ไปถวายเป็นลูกพระเสีย เราก็ไม่คิดมาก เพื่อความสบายใจก็ไปถวายน้องขวัญให้เป็นลูกบุญธรรมของหลวงปู่เทศน์ตั้งแต่เธอยังไม่รู้ความโน้น…


แม้วัดป่าภูก้อนจะไกลพอสมควร จากขอนแก่นประมาณ 200 ก.ม.เศษ แต่เส้นทางก็สะดวก แม้จะมีหลายช่วงเป็น Local Road แต่ก็ใช้ได้ดี เพียงแต่ ป้ายแสดงหนทางไปวัดน้อยไปหน่อย ต้องจอดรถถามชาวบ้านให้แน่ใจ แต่ความศรัทธาทำให้ระยะทางไม่มีปัญหา

ตลอดเส้นทางมีแต่ป้ายวัดป่าเต็มไปหมด ยิ่งเข้าเขตภูเขาก็ยิ่งมีวัดป่าถี่ไปหมด เป็นเมืองที่อุดมพระสายธรรมยุติที่นิยมธุดงค์เป็นวัตร ผมเคยบวชพระมาแล้ว 1 พรรษา จึงพอรู้ว่าภูมิประเทศแบบนี้เหมาะแก่การปลีกวิเวก เพราะมีป่า ที่เงียบสงบ และไม่ไกลจากชุมชนที่พอจะเดินออกมาบิณฑบาตได้ สมเป็น “ปฏิรูปะเทสะวาโสจะ เอตัมมังคะละมุตตัมมัง” อยู่ในประเทศ(ภูมิพื้นที่)อันสมควรเป็นมงคลยิ่งนัก


เมื่อไปถึงวัดก็ตรงไปกราบมหาเจดีย์ก่อน มีสถานที่จอดรถ มีร้านค้าของที่ระลึก ชา กาแฟ และอาหารเบาๆได้ มีร้านแสดงนิทรรศการ มีห้องน้ำ และสถานที่จำหน่ายเครื่องบูชาพระมหาเจดีย์


นาคบนบันไดนั้นทำจากทองแดงยาวเหยียด ที่ตั้งสวยงามเมื่อไปอยู่ข้างบนมองไปรอบๆพื้นที่ ชื่นใจ สดชื่น อากาศเย็น สงบ อาจเป็นเพราะไม่มีคนมากในวันที่เราไปก็ได้..


ภายในมหาเจดีย์มีรูปของพระอาจารย์ท่านต่างๆในปัจจุบันที่มีส่วนสำคัญในการก่อสร้างวัดป่าภูก้อนแห่งนี้ โดยมีพระอาจารย์ชาลี ถิรธัมโม เป็นเจ้าอาวาสปัจจุบันที่นี่ ซึ่งเราได้พบท่านที่มาควบคุมงานก่อสร้างอยู่ในวันนั้นด้วย


ส่วนชั้นบนของมหาเจดีย์เป็นรูปเหมือนของพระอาจารย์ใหญ่ทั้งหลายของสายธรรมยุติอีสาน รวบรวมไว้ให้ญาติโยมมากราบไหว้ระลึกถึงหลักธรรมที่ท่านได้สั่งสอนไว้


หลักจากชื่นชมแล้วเดินลงมาชมนิทรรศการตรงลานจอดรถ มีเจ้าหน้าที่ของวัดทำหน้าที่ให้ข้อมูลต่างๆตลอด และผู้ใดจะทำบุญในรูปแบบต่างๆก็ย่อมได้ เช่นบริจาคตรงๆ หรือซื้อสิ่งของต่างๆที่ทางวัดจัดไว้จำหน่าย ใครจะเข้าห้องน้ำก็มีมากมายหลายห้อง สะอาด หมดจดดียิ่ง

ตอนขาลงเพื่อจะไปยังอาคารพระพุทธไสยาสน์ ผมเกือบทับงูเห่าตัวใหญ่ เขาเลื้อยผ่านหน้ารถแบบช้าๆ ผมเบรกกะทันหัน เขาแผ่แม่เบี้ยใส่เลย ผมตัดสินใจถอยหลังให้เขาหายตกใจและบอกให้เขาเลื้อยต่อไปแบบทางใครทางมันนะ แทนที่เขาจะเลื้อยต่อไปเขาวกกลับมาทางเดิม เราจึงถอยรถให้ห่างๆให้เขาเลื้อยให้สะดวก แล้วเขาก็หายไปกับต้นไม้ข้างทาง..


อาคารต่างๆกำลังก่อสร้างอย่างเร่งรีบ(เจ้าหน้าที่วัดอธิบาย) เพราะต้องการให้เสร็จทันฉลองในหลวงในปีหน้า ส่วนประกอบต่างๆที่เป็นทองแดงรอยนูนที่หน้าต่าง ประตูอันสวยงามนั้นเสร็จหมดแล้ว องค์พระพุทธไสยาสน์ก็แกะเสร็จแล้ว ด้วยหินอ่อนสีขาวจากประเทศอิตาลี ฝีมือช่างเชียงราย อ.นริศ รัตนวิมลที่สุดยอดฝีมือจริงๆ


องค์พระพุทธไสยาสน์ถูกอาคารชั่วคราวครอบเพื่อป้องกันงานก่อสร้างตัวอาคารและหลังคา จึงเข้าไปกราบได้และเห็นเฉพาะพระเศียร เท่านั้น งดงามมาก สุดจะบรรยาย


ที่อาคารหลังที่เห็นนี้เป็นนิทรรศการและเจ้าหน้าที่วัดจัดจำหน่ายสิ่งของที่ระลึกต่างๆ ไปดูนิทรรศการแบบง่ายๆชั่วคราวไปก่อนนี้ก็ได้ความรู้พื้นฐานที่มาของวัดนี้บ้าง รูปตรงกลางนั้นคือภูเขาที่ตั้งของวัดนั้นเมื่อมองมาจากชุมชนจะเห็นเป็นรูปพระพุทธไสยาสน์ งดงามอย่างธรรมชาติ เทียบกับรูปขวามือที่แกะสลักหินอ่อนเป็นองค์พระพุทธไสยาสน์แล้วยิ่งตระการจิต นี่คือแรงบันดาลใจตระกูลวรวรรณและอื่นๆมาสนับสนุนการก่อสร้างวัดแห่งนี้..


เดินออกมาข้างนอกอาคาร วิวธรรมชาติเบื้องล่างสวยงามจริงๆ ที่สงบและเป็นสถานที่บ่งบอกถึงหลักธรรมในการเจริญสติ การค้นหา ปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น เมื่อเรามองลึกลงไปมากกว่าตัวอาคารรูปธรรมที่สร้างขึ้นนั้น คือของจริงของแท้ คือคำสั่งสอนของพระพุทธองค์ และพระอาจารย์ทั้งหลายได้เดินทางเส้นนั้นมารุ่นแล้วรุ่นเล่า ส่งไม้ต่อให้ปุถุชนอย่างเราตระหนัก ผ่านรูปธรรมและธรรมชาติที่ให้เราถอดรหัสความจริงออกมา


ก่อนจากลา ได้พบท่านเจ้าอาวาสที่มาควบคุมงานก่อสร้างด้วยท่านเอง ท่านส่งยิ้มให้ด้วยความเมตตาเมื่อเราก้มกราบท่าน เราไม่รบกวนภารกิจของท่าน

แล้วคุณตุ๊ก็กล่าวว่า เราจะมาอีกครั้งเมื่อก่อสร้างเสร็จแล้ว

ผมมองหน้าเธอแล้วตอบว่า จะมาอีกหลายครั้งครับ



เมฆที่ 530831 1708

32 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 1 กันยายน 2010 เวลา 22:35 ในหมวดหมู่ เรื่องทั่วไป #
อ่าน: 1330

นึกว่างานเตรียมต้นฉบับจะเสร็จ มีอีกตั้งหลายอย่างที่ต้องทำ อิอิ”

รูปนี้ถ่ายเมื่อวานบ่ายขณะขับรถกลับขอนแก่น บนเส้นทางกุฉินารายณ์-โพนทอง

ที่ท้องฟ้าไกลๆโน้นเมฆก้อนใหญ่ขวางทาง กำลังแปรเปลี่ยนรูปร่างไปเรื่อยๆ

หยุดรถแล้วก็เก็บเข้ากล้องซะ 200 กว่ารูป

ไปยืนถ่ายรุปที่สวนอ้อย กลางทุ่งเพื่อหลบสายไฟฟ้าข้างทางที่บังภูมิทัศน์

ชาวบ้านปลูกกระต๊อบใกล้ๆคงสงสัยว่า ตาเฒ่านี่มาถ่ายรูปอะไรเป็นนานสองนาน

ขี่มอเตอร์ไซด์มาถาม ถ่ายอะไรครับ….

ผมถ่ายรูปเมฆสวยๆครับ เขาหัวเราะหึหึ แล้วก็จากไป


คันนาพัง

9 ความคิดเห็น โดย bangsai เมื่อ 1 กันยายน 2010 เวลา 2:32 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 805

เมื่อคืนจวบจน 8 โมงเช้า ฝนกระหน่ำมุกดาหารซะชุ่มฉ่ำไปเลย

บ่ายแดดเปรี้ยงผสมเมฆก้อนใหญ่ๆเต็มฟ้า

ถามแม่บ้านสำนักงานและพนักงานขับรถที่เขาทำนา

พี่ คันนาพังหมดแล้ว…ไปทำใหม่ก็ไม่ได้ ไม่มีดิน

(คันนาอีสานเล็ก คันนาภาคกลางใหญ่โต)

แล้วจะเสียหายไหม

ก็เสียหายหากฝนหยุดตกนาก็เก็บกักน้ำไม่ได้ไหลไปหมด..



Main: 1.079754114151 sec
Sidebar: 0.30836391448975 sec