คันนาพัง

โดย bangsai เมื่อ 1 กันยายน 2010 เวลา 2:32 ในหมวดหมู่ ไม่ได้จัดหมวดหมู่ #
อ่าน: 810

เมื่อคืนจวบจน 8 โมงเช้า ฝนกระหน่ำมุกดาหารซะชุ่มฉ่ำไปเลย

บ่ายแดดเปรี้ยงผสมเมฆก้อนใหญ่ๆเต็มฟ้า

ถามแม่บ้านสำนักงานและพนักงานขับรถที่เขาทำนา

พี่ คันนาพังหมดแล้ว…ไปทำใหม่ก็ไม่ได้ ไม่มีดิน

(คันนาอีสานเล็ก คันนาภาคกลางใหญ่โต)

แล้วจะเสียหายไหม

ก็เสียหายหากฝนหยุดตกนาก็เก็บกักน้ำไม่ได้ไหลไปหมด..

« « Prev : ช่างมันเต๊อะ

Next : เมฆที่ 530831 1708 » »


ผู้ใช้ Facebook สามารถให้ความเห็นที่นี่ได้ โดยกด Like เพื่อแสดงตัว

9 ความคิดเห็น

  • #1 จอมป่วน ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 กันยายน 2010 เวลา 10:26

    น่าจะตั้ง่ป็นโจทย์ว่า แล้วต่อไปจะทำยังไงกันดี ?

  • #2 ป้าจุ๋ม ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 กันยายน 2010 เวลา 10:56

    ภาพดูสวยและดุดันอีกเช่นเคยค่ะ…ซู๊ดยอดๆๆค่ะ
    เรื่่องคันนาทะลายก็คิดเหมือนท่านจอมป่วนคะ…แล้วต่อไปจะทำยังไงกันดี ?

  • #3 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 กันยายน 2010 เวลา 18:56

    ขอบคุณครับจอมป่วน และป้าจุ๋ม

  • #4 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 กันยายน 2010 เวลา 20:43

    แวะมาชมภาพสวย ๆ เมฆของพี่บางทรายสวยได้ใจจริง ๆ
    สงสัยว่าเห็นเองจริง ๆ จะสวยเท่าภาพไหม…

    อ่านคอมเม้นท์ของอ.จอมป่วนและป้าจุ๋มแล้ว… ยิ้มเลย… หากถามซะอีกคน ไม่ทราบใครจะตอบ…

    ส่วนตัวน้องคิดว่า… (ด้วยความเคารพและไม่ได้ตั้งใจล่วงเกินใครทั้งสิ้น)

    คำถามคุณภาพเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะทำให้ได้ “ข้อสรุป” สำหรับการแก้ปัญหา แต่เราเป็นนักตั้งคำถาม/ตั้งประเด็น/คุยหาข้อสรุป…กันเต็มเมือง

    เป็นแต่ว่า…ไม่มีคนทำจริง หรือ คนทำจริงก็ไม่ค่อยได้มีเวลามาตั้งคำุถามเท่าไหร่… งานมันเยอะเลยก้มหน้าก้มตาทำ ปล่อยให้นักตั้งคำถามอย่างเรา ๆ … เป็นคนตั้งคำถามต่อไป…ฮา ๆ

    ;)

  • #5 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 กันยายน 2010 เวลา 21:34

    ลูกอีช่างถามนั้น เป็นคุณสมบัติที่พี่ชอบ พี่เองก็ มีแม่ชอบถาม อิอิ (พวกเรากันเอง อย่าคิดมาก สำบัดสำนวนกันบ้างสนุกดี) ตรงข้าม เราทำงานมาก็มาก กลุ่มที่ไม่ค่อยถามนี่ซิ เราพบว่า งานบางอย่างไม่ค้นพบอะไรดีดีเพราะสักแต่ว่าได้ทำ แต่ไม่ถามให้เกิดการเรียนรู้เลย..

    อย่างวันนี้พี่เองก็ตั้งประเด็น (คำถาม) ในที่ประชุมว่า โครงการเรากำลังจะจบ แต่ไม่ได้จัดสัมมนาวิเคราะห์เจาะลึก เพื่อทำการสังเคราะห์บางประเด็นใหญ่ๆออกมา เช่นประเด็นที่พี่เห็นคือ ในการทำงานพัฒนาชุมชนนั้น เราพูดกันว่า ไม่มีสูตรสำเร็จ เราต้องพิจารณาระบบนิเวศ….. พื้นที่ที่พี่รับผิดชอบเป็นเขตนิเวศเชิงเขาและเป็นชนเผ่า งานหลายอย่างจะใช้กระบวนการ วิธีการในพื้นราบมาใช้ไม่ได้เสมอไป เราต้องคิดดัดแปลงเองตามเหตุ ปัจจัยที่ดำรงอยู่..ฯลฯ

    การพึ่งตัวเองที่เราพูดกันและอ้างอิงพระราชดำริพอเพียงด้วย การทำงานในสนามที่เราเกาะติดมาเราพบว่า การที่โครงการเอาคำนี้มาเป็นธงนั้น ช่วงเวลาที่ผ่านมาเราก็มีประสบการณ์พอสมควรที่จะสังเคราะห์ออกมาว่า มีองค์ประกอบที่ต้องคำนึกถึงกี่แบบ กี่ชนิด ฯลฯ ที่เราต้องเข้าใจ และตีแตกให้ได้ เพื่อเราจะได้กำหนดการสนับสนุนที่เหมาะสมแก่เขา ไม่ใช่ แจกต้นไม้ ก็ แจกๆๆๆๆๆๆๆๆ อบรมเรื่องนี้ ก็อบบบบบบบบ อยู่นั่นแหละ ต้องออกแบบตามเงื่อนไขแต่ละครอบครัวดำรงอยู่ งานแบบนี้ต้องคนเป็นลูกอีช่างถามเท่านั้นจึงจะเป็นประเด็น

    ประเด็นนี้พี่พบคร่าวๆว่า ครอบครัวเกษตรกรในชุมชนนั้นมีองคืประกอบที่สำคัญของการพึ่งตนเองดังตัวอย่างต่อไปนี้
    - การมีกรรมสิทธิในที่ดินของตนเอง และที่ดินนั้นมีขนาดไม่ต่พกว่า 1 ไร่เป็นต้นไป เราพบว่า เกษ๖รกรหลายคนสนใจการทำการเกษตรผสมผสานมาก เข้าร่วมทุกอย่างด้วยสำนึก แต่เขามาติดว่า อาจารย์ครับ พ่อแม่ยังไม่โอนที่ดินให้ครอบครัวผม ผมจะทำกิจกรรมต่างๆเต็มที่ไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่าพ่อกับแม่จะให้ลุกคนไหน เพียงตอนนี้ให้ผมทำไปก่อน….
    - จำนวนแรงงานในครอบครัว การปลูกทุกอย่างที่กินได้ กินทุกอย่าวที่ปลูก นั่นหมา่ยความว่าจะต้องใช้แรงงานปลูกๆๆๆๆๆๆๆ ครอบครัวจะต้องมีแรงงานอย่างน้อย 2 คน(แต่ต้องดูรายละเอียดเพิ่มเติม)
    - ขนาดอายุของครอบครัว ของแรงงาน… เราพบว่าพ่อเฒ่าอายุ 66 แล้ว เข้ามาในกลุ่มเพราะสนใจและสำนึกในเรื่องพอเพียง จึงเข้ามาเรียนรู้และเอาความรู้ไปทำ แต่ก็ทำได้ในระดับหนึ่ง เมื่อเราทำการประเมินผลการบรรลุเป้าหมายตามเกณฑ์วัดนั้น ครอบครัวนี้ตกเกณฑ์ในบางเรื่องเพราะอายุมากแล้วทำไม่ไหว…
    - ภาวะความจำเป็นต้องใช้เงิน…. ครอบครัวหนึ่งมีพ่อแม่ลูกสามคน แต่ลุกสองคนกำลังเรียนในมหาวิทยาลัยที่ออกนอกระบบ นั่นหมายความว่ามีค่าเทอมแพงกว่ามหาวิทยาลัยรัฐ และสองคน เปิดเทอมทีเขาต้องหาเงินให้ลุกเท่าไหร่… การหาอยู่หากินพอเพียงไปวันๆไม่ได้ ต้องทำกิจกรรมที่ให้ได้มาซึ่งเงินในจำนวนที่มากพอที่จะเอาไปให้ลูกรัก เกษตรกรนั้นไม่มีทางเลือกมากนัก นอกจากกู้ กู้ กู้ บางครอบครัวก็เลี้ยงวัวจำนวนมากเพื่อขายวัวเอาเงินเมื่อลุกต้องการ การเลี้ยงวัวจำนวนมากต้องใช้เวลามากในการดูแล ก็จะมีเวลาน้อยลงสำหรับกิจกรรมอื่นๆที่เป็นองคืประกอบการพึ่งตนเอง บางครอบครัวพ่อบ้านต้องไปขายแรงงานเพื่อหาเงินก้อนมาให้ลูก เมื่อไม่อยู่บ้านก้ไม่มีเวลามาทำกิจกรรมอื่นที่เพื่อพึ่งตนเอง….
    - ความเสี่ยงต่างๆของอาชีพ…. เช่นทำนาเพื่อมีข้าวกิน หากไม่เสียหาย 5 ไร่ก็พอกิน เหลือนิดหน่อยขาย แต่หากฟ้าฝนมาทำลายการได้ข้าวตามปกติ นั่นหมายถึงว่าเสี่ยงต่อข้าวไม่พอกินในปีนี้แล้ว….(ทำไงล่ะ จอมป่วนและป้าจุ๋มถาม) แน่นอนมีทางออกหลายทางที่เกษตรกรคนนั้นต้องคิด ตัดสินใจ เช่น ต่อไปทำคันนาให้ใหญ่ขึ้น แข็งแรงขึ้น สร้างระบบการไหล flow ของน้ำให้เพียงพอในกรณีที่สามารถทำได้ และอื่นๆในมุมมองของชาวบ้านเอง…

    หากเราไม่ตั้งคำถาม ปีนี้ก็จัดอบรมเรื่องพึ่งตัวเอง ปีที่แล้วก็อบรม ปีต่อไปก็ตั้งงบอีก แต่ไม่ลงไปสังเคราะห์รายละเอียด หรือหากไม่ลงสัมผัสเงื่อนไขเกษตรกรในระดับครัวเรือน ก็ไม่ง่ายนักที่เกษตรกรจะเอาความรู้ไปทำในเงื่อนไขของตัวเองได้ ยกเว้นเกษตรกรบางรายที่เป็น super ชาวนา เก่งจริงๆก็มีแต่น้อย ที่มีจำนวนมากคือ เราต้องลงไปช่วยดูรายละเอียดดังกล่าวแล้วกระตุ้นให้ช่วยกันคิดต่อในเงื่อนไขแต่ละคน

    เราพบว่าการพึ่งตนเองนั้น เกือบจะไม่มีแล้ว มีแต่ “พึ่งตนเองและพึ่งพาอาศัยกัน” สิ่งที่เป็นแกนกลางของการพึ่งตนเองกับการพึ่งพาอาศัยกันนั้นคือ วัฒนธรรมเดิมๆของสังคมไทยเรา ที่เราเรียกทุนสังคม คือการเอื้ออาทรกัน

    เพราไม่มีชุมชนใดที่ทุกครัวเรือนปลูกพืชเพื่อกินได้เหมือนกันไปหมดทุกครัวเรือน ไม่มี มีแต่ เรามีเกือบทุกอย่างขาดต้นมะกรูด เวลาอยากได้ใบมะกรูดก็ไปขอเพื่อนบ้าน เพื่อนบ้านเขาก็มาขอ พริกบ้านเรา อะไรทำนองนี้…..

    แต่เวลานักวิชาการไปวัดตามเกณฑ์ชี้วัด พึงระวังว่าแบบชี้วัดนั้นเป็นเพียงเครื่องมือให้เรารู้ ว่าใครมีอะไรเท่าไหร่ แต่การตัดสินว่า เขาตกเกณฑ์ เหนือเกณฑ์นั้นจะต้องลงรายละเอียดอีกมาก….

    อ้าวกลายเป็นเขียนบันทึกไปแล้ว อิอิ

    ถามเถอะครับ ถามแล้วเกิดปัญญาครับ
    ตั้งประเด็นเถอะครับ มีประเด็นแล้วเกิดการเรียนรู้เพิ่มเติม
    และการ cross ความเป็น professional ก็อย่ารังเกียจ เพราะจำนวนมากเกิดการพัฒนาเพราะวิศวกรมาตั้งประเด็นให้นักสังคม สถาปนิกตั้งประเด็นดีดีให้กับแพทย์ ฯลฯ

    อ้าว แถมไปเรื่อย อิอิ

  • #6 freemind ให้ความคิดเห็นเมื่อ 2 กันยายน 2010 เวลา 22:40

    แอบกลับมาอ่านต่อค่ะ
    เหมือนได้นั่งเรียนกับครูเก่ง ๆ ใต้ต้นไม้ บรรยากาศดี ๆ …55555….

    น่าเขียนเป็นบันทึกจริง ๆ ด้วยค่ะพี่
    ขอบคุณค่ะ

  • #7 bangsai ให้ความคิดเห็นเมื่อ 3 กันยายน 2010 เวลา 0:34

    เพราะมีคนดีดีมาแลกเปลี่ยนน่ะซี

  • #8 Adamswals ให้ความคิดเห็นเมื่อ 31 ตุลาคม 2017 เวลา 20:26

    cheap generic super cialis

    http://canadianiucialis.com/ - buy cialis

    cialis cheap

    the best choice cialis brand

  • #9 Makritskayaswals ให้ความคิดเห็นเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2017 เวลา 20:22

    viagra como medicament

    buy viagra online

    buy generic viagra

    viagra fa effetto


แสดงความคิดเห็น

ท่านอยากจะเข้าระบบหรือไม่


*
To prove you're a person (not a spam script), type the security word shown in the picture. Click on the picture to hear an audio file of the word.
Click to hear an audio file of the anti-spam word


Main: 0.083050966262817 sec
Sidebar: 0.049685955047607 sec